คนถูกถามเงียบงันไปชั่วขณะ เหมือนกำลังประมวลความคิดที่วกวนอยู่ในหัว หรืออีกนัยหนึ่งคือเธอกำลังสับสนกับอะไรบางอย่าง“ฉัน...”ดารินมีท่าทีอึกอักเล็กน้อยในตอนแรก สักพักก็ตัดสินใจเอ่ยออกมา เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มกำลังรอฟังสิ่งที่เธอกำลังจะพูดอย่างใจจดใจจ่อ“ฉันขอเวลาคิดอีกหน่อยได้มั้ยคะ ตอนนี้ทุกอย่างมันดูรวบรัดไปหมด จนตั้งตัวไม่ทันเลยจริงๆ”ตอนนี้ความรู้สึกของเธอกำลังสับสนอย่างที่ว่าจึงตัดสินใจบอกให้อีกฝ่ายได้รับรู้ สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือเธออยากรอดูพฤติกรรมของเขาอีกสักพัก เพราะคำพูดใครๆก็พูดได้ แต่การกระทำมันย่อมเด่นชัดมากกว่า“เป็นเพราะเรื่องราวในอดีตของผมหรือเปล่า”“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ ฉันไม่ได้สนใจอดีตพวกนั้นเลยนะ ขอแค่คุณรับปากว่าจะเลิกยุ่งกับผู้หญิงคนนั้นแบบเด็ดขาดก็พอ”“อืม ผมรับปาก และผมจะให้เวลาคุณคิดทบทวนอีกหน่อย แต่อย่านานนักละ”เขามองอีกฝ่ายอย่างเข้าใจในความต้องการนั้น“แล้วเรื่องสัญญาฉบับนั้นก็ให้มันดำเนินต่อไป เผื่อระหว่างนี้คุณเกิดทำอะไรผิด ฉันจะได้เรียกค่าปลอบใจให้หมดตัวเลย และเรื่องก่อนหน้าที่ฉันพูดไว้ก็ไม่ได้ขู่นะคะ เพราะฉันทำจริง” เธอบอกเขาด้วยสีหน้าจริงจัง ไม่มีน้ำเสียงล้
มือใหญ่เลื่อนขึ้นจับคางมนเพื่อยึดใบหน้าหวานไว้ให้มั่น ก่อนจะค่อยๆ ใช้ลิ้นดุนเข้าไปสอดแทรกควานหาความหอมหวานในโพรงปากนิ่ม ลิ้นร้อนของทั้งสองกระหวัดเกี่ยวสอดประสานกันด้วยความนุ่มนวล ซึ่งทุกสัมผัสล้วนเต็มไปด้วยความละมุนราวกับลอยบนปุยเมฆแห่งสรวงสวรรค์ โดยร่างกายทั้งสองแนบชิดกันอยู่ภายใต้ฟองสบู่สีขาวฟูฟ่องซึ่งแม้แต่อากาศก็แทบแทรกผ่านช่องว่างระหว่างเขาและเธอไปไม่ได้ใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆผละริมฝีปากออกจากอีกฝ่ายอย่างอ้อยอิ่งเพื่อให้เธอได้หายใจหายคอ แล้วเคลื่อนไปพรมจูบทั่วใบหน้าหวานพร้อมส่งรอยยิ้มจางให้อย่างหลงใหล ก่อนจะเลื่อนริมฝีปากที่ความหวานยังคงตราตรึงอยู่ในความรู้สึกเพื่อชิมรสสัมผัสอีกครั้ง แต่คนตัวเล็กกลับยกมือที่เต็มไปด้วยฟองสบู่หอมๆ ขึ้นมาปิดปากเขาไว้แล้วเอ่ยออกมาเสียงหวาน“พอได้แล้วค่ะ”“แค่นี้มันจะไปพออะไรกัน” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างเด็กเอาแต่ใจแล้วไล่มองใบหน้าเธอด้วยแววตาซุกซน ลากลงมายังลำคอระหง จนหยุดอยู่ที่เนินอกอวบอิ่มซึ่งโผล่พ้นขึ้นมาบนผิวน้ำและมีฟองสบู่ปกปิดมันวับๆแวมๆให้ได้จินตนาการไปไกล ดารินเห็นสายตากระหายหิวของอีกฝ่ายก็นึกอยากจะแกล้งรีบหันหลังกำลังจะพาตัวเองออกไปนั่งอีกฝั่งของอ่
สัปดาห์ต่อมา...“จะลงไปด้วยหรือเปล่า แต่ฉันไปไม่นานหรอกนะ” ทอฝันหันไปถามเพื่อนสาวที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับทันที หลังจากรถมินิคูเปอร์ของเธอมาหยุดอยู่บริเวณลานจอดชั้นใต้ดินของโรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่งในช่วงบ่ายของวัน ซึ่งทอฝันแวะมารับเอกสารจากพี่ชายที่มีนัดคุยงาน ณ สถานที่แห่งนี้“ฉันลงไปด้วยดีกว่า พอดีอยากเข้าห้องน้ำนะ” ดารินเอ่ยบอกเพื่อนสาวด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยสดใสนักเพราะวันนี้เธอตื่นขึ้นมาในตอนเช้าด้วยอาการพะอืดพะอมที่มากกว่าปกติจึงตัดสินใจลองใช้เครื่องทดสอบการตั้งครรภ์ตรวจดูอีกครั้ง ผลที่ได้ปรากฏว่าขึ้นสองขีดทั้งสามอัน!!เมื่อผลตรวจออกมาชัดเจนแบบนี้แล้วทำให้เธอมั่นใจและยอมรับความจริงมากขึ้นว่าตัวเองกำลังจะเป็นว่าที่คุณแม่แล้วจริงๆ แต่ก็มีบางสิ่งที่เธอค่อนข้างเป็นกังวลใจคืออาการปวดหน่วงในช่องท้องที่มักจะเป็นๆ หายๆ อยู่บ่อยครั้ง วันนี้เธอจึงนัดกับเพื่อนสาวคนสนิทเพื่อไปตรวจเช็คร่างกายที่โรงพยาบาลอีกครั้ง หลังปล่อยปละละเลยมาเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เต็มสองสาวเพื่อนสนิทเดินไปยังบริเวณล็อบบี้ของโรงแรมแล้วแยกย้ายกันไปทำธุระของตัวเอง ร่างเล็กเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องน้ำก็เห็นว่ามันมีการซ่อมแซมปิดปรับปรุ
ใบหน้าคมหวานที่ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกมากนักอย่างทอฝัน บัดนี้กลับเปรอะไปด้วยหยาดน้ำตาที่ไหลนองหน้าไม่ขาดสาย สองเท้าของเธอกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามรถเข็นที่มีร่างเล็กของเพื่อนสาวคนสนิทกำลังนอนแน่นิ่งอยู่บนนั้น คราบเลือดประปรายตามเสื้อผ้าและเนื้อตัวมีรอยถลอกปอกเปิกหลายจุดบนตัวของดารินยิ่งทำให้คนที่เป็นห่วงเพื่อนแทบจะขาดใจมีหยาดน้ำใสๆ ไหลลงมา ไม่มีทีท่าว่าจะเหือดแห้งไปเจ้าหน้าที่สามคนเข็นร่างของคนตัวเล็กเข้าไปยังห้องฉุกเฉินทันทีที่มาถึง โดยทอฝันทำได้แค่นั่งฟุบอยู่บนพื้นเย็นๆ หน้าประตูห้องฉุกเฉินด้วยความรู้สึกกลัวจนตัวสั่นทำอะไรแทบไม่ถูกกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้เธอทำได้เพียงแค่ร้องไห้ออกมาก็เท่านั้น ครั้นเหมือนได้สติ หญิงสาวพยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นเพื่อไปนั่งบนเก้าอี้ ถึงแม้ว่าเสียงสะอื้นจะยังคงดังอย่างต่อเนื่องก็ตามพร้อมกับใช้มือปาดน้ำตาออกลวกๆ พอดีกับที่ได้ยินเสียงของคนมากกว่าหนึ่งเหมือนจะกำลังวิ่งมาทางเธอชายหนุ่มในชุดสูทวิ่งมาหยุดบริเวณหน้าห้องฉุกเฉินด้วยสภาพเหนื่อยหอบเล็กน้อย ตามมาด้วยเลขาคนสนิทที่หยุดยืนอยู่ด้านหลังของเขาซึ่งมีอาการไม่ต่างกันมากนัก ใบหน้าหล่อเหลาของภาคินัยที่มักจะดู
หญิงสาวถูกย้ายมายังห้องพักผู้ป่วยระดับวีไอพีที่สะดวกสบายและมีพยาบาลคอยแวะเวียนมาตรวจดูอาการทุกชั่วโมงอย่างใกล้ชิด ซึ่งตอนนี้ก็ล่วงเลยมาเป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้ว โดยมีชายหนุ่มนั่งกอบกุมมือเล็กที่นอนหลับใหลอยู่บนเตียงไม่ยอมห่างจากเธอแม้สักวินาทีเดียวสายตาเคร่งเครียดแฝงไปด้วยความเป็นห่วงมองสำรวจใบหน้าหวานที่เคยสดใสดูมีออร่า บัดนี้กลับซีดเซียวไร้สีเลือด เหนือคิ้วเรียวสวยมีปลาสเตอร์แผ่นเล็กแปะไว้เพื่อปิดบาดแผล มือด้านซ้ายของเธอถูกเจาะเข้ากับสายน้ำเกลือห้อยระโยงระยางดวงตาคู่คมเลื่อนไปมองร่างกายของเธอทีละจุดด้วยความรู้สึกสงสารจับใจ ขอบตาร้อนผ่าวอย่างไม่อาจห้ามได้ จนรู้สึกถึงหยาดน้ำใสที่เริ่มปริ่มออกมาบริเวณนั้น เขาจึงรีบกะพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่มันให้จางหายไปมือใหญ่อีกข้างเลื่อนสัมผัสบนหน้าท้องแบนราบของเธออย่างแผ่วเบาแล้วลูบมันไปมาอย่างหวงแหน ในใจของเขาได้แต่พร่ำภาวนาให้เจ้าจิ๋วในนั้นอยู่รอดปลอดภัยดีและเป็นทารกน้อยที่สมบูรณ์ จนไม่ทันสังเกตเห็นว่ามารดามาหยุดยืนอยู่ด้านหลังสักพักแล้วมัทนาเอื้อมมือไปแตะสัมผัสบนบ่าของลูกชายเบาๆ ด้วยความห่วงใย หลังทราบข่าวจากเลขาคนสนิทของเขา เธอก็รีบมาโรงพยาบาลทันท
ระหว่างทางเดินมายังห้องพักของหญิงสาวดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะคิดอะไรขึ้นได้ ครั้นพอมาถึงเขาก็รีบสั่งการให้เลขาคนสนิทผู้ซึ่งทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องออกไปหาซื้อดอกลิลลี่สีขาวมาประดับแจกันเพิ่มจากเดิมที่มีอยู่ก่อนแล้ว เขาสังเกตจากตอนที่อยู่เพนต์เฮาส์ด้วยกัน ซึ่งหญิงสาวชอบให้ภายในห้องมีดอกไม้ประดับอยู่เสมอ และเห็นว่าเธอมักจะชอบสับเปลี่ยนดอกไม้ไปเรื่อยๆทุกสัปดาห์ ชายหนุ่มจึงคิดว่าคนที่ชอบดอกไม้อย่างเธอ หากตื่นขึ้นมาด้วยบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยของสวยงามพวกนั้น น่าจะรู้สึกผ่อนคลายขึ้นไม่น้อยหากขึ้นชื่อว่าโรงพยาบาลก็คงไม่มีใครอยากอย่างกรายเข้ามา แต่เธอกลับต้องพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ไปอย่างไม่มีกำหนด เพราะเหตุนี้ทำให้เขารู้สึกว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวส่งผลต่อจิตใจของคนเราเป็นอย่างมาก และเหนือสิ่งอื่นใดตัวเขาเองก็ต้องเข้มแข็งเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจให้กับเธอ และหวังว่าเรื่องราวทุกอย่างมันจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดีดอกลิลลี่สีขาวสบายตาถูกปักลงแจกันหลายใบก่อนนำไปวางทั่วทุกมุม จนตอนนี้ภายในห้องดูเหมือนจะเป็นสวนดอกไม้ขนาดย่อมซึ่งมีเจ้าหญิงนิทรานอนหลับใหลอยู่บนเตียงสีขาว ราวกับว่ากำลังรอจ
สัปดาห์ต่อมา...“มันไม่โหดไปเหรอคะ” ร่างเล็กที่นอนติดเตียงอยู่เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เต็มเอ่ยถามเสียงแผ่ว หลังจากเลขาคนสนิทของชายหนุ่มขอปลีกตัวออกไปข้างนอกเพื่อให้พวกเขาได้อยู่กันตามลำพังช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองจะดีขึ้นมากเป็นพิเศษ หลังจากทำการเซ็นยกเลิกสัญญาฉบับนั้นกันเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งชายหนุ่มยังคงทำหน้าที่ดูแลเธอได้ไม่ขาดตกบกพร่องอีกต่างหากประโยคก่อนหน้าที่ดารินเอ่ยออกมาก็เพราะได้ฟังคำรายงานบางอย่างจากปากของอคิน ซึ่งเป็นข่าวที่ทำให้ใบหน้าเรียบนิ่งของภาคินัยมีแววพึงพอใจอย่างเห็นได้ชัด และข่าวดีที่ว่าก็ไม่พ้นเรื่องราวที่เขาให้ไปจัดการตอนนี้คนก่อเหตุอย่างอันนากำลังได้รับโทษทางกฎหมายในสิ่งที่ตัวเองก่อ และมันไม่ใช่แค่นั้นเพราะเขาขุดคุ้ยเบื้องหลังอันเน่าเฟะของบริษัทที่เธอก่อตั้งขึ้นแบบไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะฉะนั้นอันนาจะมีคดีความติดตัวสองคดี และคาดว่าจะมีมาอีกเรื่อยๆเพราะมีคนบางกลุ่มออกมาฟ้องร้องถึงค่าเสียหายต่างๆ ที่เธอเคยฉ้อโกงไว้ ไม่ช้าไม่นานเธอก็ไม่ต่างจากบุคคลล้มละลาย“ไม่เห็นจะโหดตรงไหนเลย มันก็คู่ควรกับการกระทำของเธอ เพราะคนเราทำอะไรไว้ก็ย่อม
ช่วงค่ำของวันเดียวกัน...ชายหนุ่มเดินเข้ามาในห้องพร้อมนำของพะรุงพะรังพวกนั้นวางลงบนโต๊ะ หลังออกไปเลือกซื้อของใช้ที่จำเป็นมาจากห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ แล้วถือถุงอีกใบติดมือไปทางหญิงสาวที่เอนหลังดูทีวีอยู่โดยไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย“ไม่สนใจกันเลยนะ” พูดพลางหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงแล้วดึงหนังสือประมาณสี่ห้าเล่มออกมาจากถุง พร้อมวางลงบนตักเธอเบาๆ ซึ่งมีทั้งนิตยสารเกี่ยวกับคุณแม่มือใหม่และเครื่องประดับต่างๆ แต่เล่มที่ดูจะสะดุดตาเธอคงจะเป็นนิตยสารที่มีนักแสดงสาวชื่อดังอย่างแคนเดิลปรากฏอยู่บนหน้าปกในคอลเล็คชั่นถ่ายแบบชุดแต่งงานแบรนด์ดังดารินเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงเพราะพึ่งเห็นนักแสดงคนโปรดถ่ายแบบชุดแต่งงานเป็นครั้งแรก ก่อนจะหยิบรีโมทกดปิดทีวีอย่างรวดเร็วเพราะมีสิ่งที่น่าสนใจกว่าอยู่ตรงหน้าแล้ว อย่างที่รู้ๆกัน หากใครมีไอดอลในดวงใจและไม่ว่าคนๆนั้นจะทำอะไร เรามักจะชื่นชอบ ชื่นชมและยินดีในทุกเรื่อง“โห! สวยจัง”หญิงสาวอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น จนคนที่มองอยู่ถึงกับอมยิ้มให้กับท่าทางนั้น‘เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงดูตื่นเต้นอย่างกับได้ใส่ชุดพวกนั้นเอง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ดีใจที่เธอดูมีความสุขเป
หญิงสาวเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างคนดีใจกับสิ่งที่พึ่งรับรู้มา มือเล็กกำแท่งพลาสติกไว้แน่นเพื่อจะเอาไปให้ผู้เป็นสามีดูและคิดว่าเขาต้องดีใจมากอย่างแน่นอน แต่ครั้นเดินไปหาบริเวณเตียงนอนที่เขาเล่นอยู่กับลูกสาวในตอนแรกก็พบเพียงความว่างเปล่า“อยู่ไหนกันนะ”ดารินพึมพำแผ่วเบาแล้วเดินไปในห้องของลูกสาวตัวน้อยก็ไม่เจอใคร จึงคิดว่าห้องสุดท้ายที่ทั้งสองน่าจะอยู่ก็คงหนีไม่พ้นห้องนั่งเล่นภาคินัยนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกซึ่งมีลูกสาวตัวน้อยนอนซบอยู่บนหน้าอกแกร่งดูเหมือนว่ากำลังจะเข้าสู่ห้วงนิทราในเวลาไม่นาน ทำให้ชายหนุ่มที่เห็นคนตัวเล็กกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่างรีบยกมือขึ้นห้ามเพราะเห็นว่าลูกสาวสุดที่รักกำลังจะหลับ“ชู่ว”หญิงสาวถึงกับส่ายหน้าให้ท่าทางของเขาอย่างไม่จริงจังนัก เธอจึงเดินเข้าไปอย่างเงียบๆ แล้วก้มไปหอมแก้มลูกสาวเบาๆ ก่อนสามีหนุ่มจะทำแก้มป่องเป็นเชิงว่าตัวเองจะขอแบบนั้นด้วย หญิงสาวจึงก้มลงแล้วไม่ลืมที่จะให้เขาหอมแก้มเธอด้วย“ฉันมีข่าวดีจะบอกค่ะ”เสียงหวานเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกตื่นเต้น“ครับ ว่า?”“ลูกมาแล้วค่ะ”“อืม ฮะ!” คนที่บอกให้เธอลดเสียงในตอนแรกถึงกับอุทา
ร่างเล็กบนเตียงกว้างมีอาการสะลึมสะลือเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงรบกวนเข้าสู่โสตประสาท เนื่องจากเธอพึ่งจะได้นอนหลับไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงเพราะโดนสามีหนุ่มคอยรังแกเกือบทั้งคืน ดวงตากลมโตค่อยๆ เปิดขึ้นทีละน้อยครั้นได้ยินเสียงสองของคนข้างกายที่มักจะใช้พูดคุยหยอกล้อกับลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของเขาซึ่งดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะกำลังหัวเราะและส่งเสียงอ้อแอ้ออกมาอย่างชอบใจตามประสาเด็ก เสียงนี้เองที่ทำให้ร่างเล็กบนเตียงรีบลืมตาขึ้นมาก่อนจะมองไปยังนาฬิกาบนผนังก็เห็นว่าเป็นเวลาแปดโมงเช้า และที่ประเทศไทยก็คงจะบ่ายโมงพอดีใบหน้าหวานมองชายหนุ่มที่นอนหันหลังให้เธอแล้วชะโงกไปยังจอสมาร์ทโฟนในมือเขาก็เห็นใบหน้าจิ้มลิ้มของลูกสาวที่มีคุณแม่สามีเป็นคนถือกล้องให้ เด็กตัวน้อยกำลังมองมาที่ผู้เป็นพ่อตาแป๋วแล้วหัวเราะคิกด้วยความสดใสภาคินัยรับรู้ได้ว่าภรรยาสุดที่รักของเขาตื่นเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็รีบนอนหงายเพื่อให้หญิงสาวเข้ามาร่วมจอด้วยกัน ก่อนจะทักทายแก้วตาดวงใจ“ไออุ่นจ๋า” เสียงหวานเรียกลูกสาวตัวน้อยเบาๆ พร้อมส่งยิ้มให้ด้วยความคิดถึง“เอิ๊กๆ” หนูน้อยไออุ่นวัยเก้าเดือนผู้มีใบหน้าจิ้มลิ้มและตัวจ้ำม่ำน่ากอดมองใบหน้าผู้ให้กำ
ภายในห้องนอนขนาดใหญ่ของโรงแรมสุดหรูสามารถมองเห็นหอคอยเหล็กกล้าตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางกรุงปารีสซึ่งเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของที่นี่ได้อย่างเต็มตา ช่วงฤดูหนาวของเดือนแห่งความรักอย่างกุมภาพันธ์จึงมักจะเต็มไปด้วยคู่รักและบรรดาครอบครัวที่พากันมาเยือนเมืองสุดแสนจะโรแมนติกแห่งนี้กันอย่างล้นหลามอุณหภูมิสองถึงห้าองศาด้านนอกเต็มไปด้วยม่านหมอกและหิมะขาวโพลนตกลงมาปกคลุมยอดหอไอเฟลขนาดใหญ่ทำให้ในยามค่ำคืนการนั่งจิบไวน์และมองดูวิวเป็นอะไรที่สวยงามไปอีกแบบ“สวย”“สวยมาก”“สวยเหลือเกิน”เสียงทุ้มเอ่ยชมไม่ขาดปากราวกับว่าถูกใจสิ่งที่กำลังมองอย่างสุดหัวใจ“ผมไม่คิดว่าปารีสตอนกลางคืนมันจะดีขนาดนี้มาก่อน”สภาพอากาศด้านนอกที่แค่มองก็รับรู้ได้ถึงความเย็นยะเยือกนั้นไม่มีผลต่อคู่สามีภรรยาที่อยู่ภายในห้องนอนสุดแสนจะอบอุ่น มันอบอุ่นจนค่อนไปทางร้อนเสียมากกว่า หากดูจากหยาดเหงื่อไหลย้อยที่เคลือบผิวกายของร่างเปลือยเปล่าทั้งสอง“ที่รักชอบมันหรือเปล่า”“อึก อื้อ!”ริมฝีปากเล็กกัดเข้าหากันจนห้อเลือดเพื่อสะกดกลั้นเสียงไม่ให้ดังจนเกินไปและเลือกที่จะไม่ตอบคำถามของอีกฝ่ายด้วยเช่นกันครั้นภาคินัยเห็นว่าคำถามของตนไร้เสียงตอบรับใ
พิธีวิวาห์ของคู่รักต่างวัยถูกจัดขึ้นที่บ้านทางภาคเหนือของครอบครัวชายหนุ่ม โดยหญิงสาวเป็นคนเลือกสถานที่แห่งนี้เพราะรู้สึกตกหลุมรักธรรมชาติตั้งแต่ครั้งก่อนที่ได้มาสัมผัส ซึ่งทุกคนก็ต่างเห็นด้วยกับการใช้สถานที่แห่งนี้จัดงานครั้งอดีตพื้นที่บริเวณนี้เคยเป็นสถานที่จัดพิธีแต่งงานอย่างใหญ่โตของนายภักดีกับคุณหญิงมัทนาและไม่คิดว่าอีกสามสิบปีต่อมาจะได้ใช้จัดงานมงคลอีกครั้ง ถึงแม้จะไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมายอย่างครั้งก่อน แต่บรรยากาศภายในงานล้วนอบอุ่นและอบอวลไปด้วยความรัก จากบรรดาแขกเหรื่อทางฝ่ายเจ้าบ่าวที่มักจะเป็นคนสนิทสนมกันเสียส่วนใหญ่แม้ว่าแขกทางฝ่ายเจ้าสาวจะมีแค่ทอฝันกับสายหมอก แต่เธอกลับรับรู้ได้ถึงความจริงใจและความเอ็นดูจากบุคคลแปลกหน้าที่มาร่วมแสดงความยินดี ส่วนน้าสาวเพียงคนเดียวของเธอเผอิญติดธุระอยู่ต่างประเทศและไม่สามารถมาร่วมงานได้ แต่ถึงอย่างนั้นดารินก็เข้าใจเพราะงานที่จัดขึ้นดูจะสายฟ้าแลบไปหน่อยก่อนหน้านี้พวกเขามีเวลาจัดเตรียมงานและเตรียมตัวเองแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น เนื่องจากเป็นช่วงที่หญิงสาวสอบเสร็จพอดี และสุขภาพของเธอก็พร้อมสำหรับงานวิวาห์ที่จะเกิดขึ้นแต่เหนือสิ่งอื่นใดเลยคือดาริน
ลัลล้า~ดวงตาคู่คมเหลือบมองคนตัวเล็กข้างกายที่ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษด้วยรอยยิ้มจาง หลังได้ออกจากโรงพยาบาลที่เธอต้องไปใช้ชีวิตอยู่นานกว่าสองสัปดาห์ ส่วนเขาเองก็ต้องนอนให้น้ำเกลือเพื่อดูอาการไปอีกหนึ่งคืนเลขาคนสนิทอย่างอคินเป็นคนทำหน้าที่ไปรับทั้งสองกลับมายังเพนต์เฮาส์ในช่วงเย็นของวันนี้ ถึงแม้ภาคินัยจะอาการยังไม่ค่อยปกติมากนัก แต่คนดื้อและเอาแต่ใจอย่างเขาก็รบเร้าคุณหมอเพื่อที่จะกลับบ้านให้ได้และผลก็อย่างที่เห็น เพราะชายหนุ่มมายืนอยู่ภายในลิฟต์ส่วนตัวของเพนต์เฮาส์เป็นที่เรียบร้อยแล้วติ้ง ปัง ปิ้ว~เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกทำให้ทั้งสองถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย จากเสียงพลุของเล่นที่ดังขึ้นพร้อมเศษกระดาษตกลงสู่พื้นประปราย สายตาสองคู่มองไปยังฝีมือของคนตรงหน้าก็เห็นว่าเป็นภรัณยูกับทอฝันกำลังยืนต้อนรับพวกเขาด้วยรอยยิ้ม "คิดถึงแกจังเลย"ดารินเอ่ยออกมาเป็นคนแรกด้วยน้ำเสียงดีใจเมื่อเห็นเพื่อนสาวคนสนิทมองมาที่เธอ"แหม พึ่งเจอกันเมื่อสองวันที่แล้วเองย่ะ"ทอฝันเบะปากใส่เพื่อนสาวอย่างไม่จริงจังนัก แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ดีใจมากที่เพื่อนได้ออกจากโรงพยาบาลเสียทีนายภักดีและคุณหญิงมัทนายืนมองลูกชายคนโตกับว่าที่สะใภ
คนตัวเล็กฟังประโยคเหล่านั้นที่ถูกเปล่งออกมาจากปากของเขาก็ได้แต่ยืนนิ่งเพราะความรู้สึกหลากหลายที่ก่อเกิดขึ้นภายในใจ ส่วนคนที่อยู่ในท่าคุกเข่าเห็นว่าอีกฝ่ายกลับแน่นิ่งไปและไม่ยอมตอบตกลง จึงเปล่งเสียงถามออกมาใหม่อีกครั้งพร้อมส่งสายตามองเธอเป็นเชิงว่าห้ามปฏิเสธ“แต่งงานกันนะครับ...”ดารินทำได้แค่พยักหน้าเร็วๆเพื่อเป็นการตอบรับพร้อมกับริมฝีปากเล็กที่ค่อยๆเบะทีละน้อย อีกทั้งดวงตากลมโตที่มีแค่น้ำใสๆรื้นขึ้นบริเวณขอบตาในตอนแรก บัดนี้มันไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองข้างของเธออย่างกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป จนอีกฝ่ายรู้สึกตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นเธอปล่อยโฮออกมา แล้วรีบสวมแหวนให้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะลุกขึ้นกอดคนตัวเล็กไว้ในอ้อมแขน“ฮึก ฮือ~”“ที่ร้องไห้นี่คือดีใจใช่มั้ย?”เขาแสร้งหยอกอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู แต่เธอกลับบ่นกระปอดกระแปดพร้อมใช้กำปั้นเล็กๆทุบลงบนอกของเขาไปสองที“คนบ้า! ทำไมไม่บอกกันก่อนเล่าว่าจะขอแต่งงาน ฉันจะได้แต่งตัวสวยๆ”“เอ๊ะ! ที่ร้องไห้นี่...เพราะไม่ได้แต่งตัวสวยๆอย่างนั้นเหรอ แต่เดี๋ยวนะ ถ้าบอกก่อนแล้วจะเรียกว่าเซอร์ไพรส์เหรอ? แต่ก็เอาน่าเมียผมสวยตลอดอยู่แล้ว ขนาดร้องไห้ยังสวยเลย”คนปากหวานเอ่ยชมเธอ
สายลมเอื่อยๆ ยามค่ำคืนพัดสัมผัสผิวกายคนทั้งสองที่กำลังพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลินบนเก้าอี้ตัวยาวบริเวณดาดฟ้าของโรงพยาบาล โดยมีร่างสูงนอนหนุนตักคนตัวเล็กพร้อมเงยมองใบหน้าหวานซึ่งริมฝีปากกำลังเปล่งเสียงเจื้อยแจ้วออกมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหญิงสาวในชุดผู้ป่วยที่ปราศจากสายน้ำเกลือเชื่อมต่อรู้สึกราวกับว่าตัวเองได้รับอิสระคืนมาอีกครั้ง หลังจากใช้ชีวิตอยู่โรงพยาบาลมาจะครบสองสัปดาห์แล้ว และคาดว่าน่าจะได้กลับบ้านเร็วๆนี้ ซึ่งอาจจะด้วยข่าวดีที่รู้มาว่าตนเองกำลังจะได้ออกจากที่นี่ทำให้คนช่างพูดช่างเจรจาส่งเสียงออกมาไม่ขาดสาย โดยมีผู้ฟังที่ดีนอนยิ้มให้กับท่าทางของเธอเป็นครั้งคราวดวงตากลมโตมองไปยังวิวเบื้องหน้าที่มีแสงสีส่องสว่างออกมาตามตึกสูงระฟ้า เสียงแตรจากรถราสัญจรไปมาดังเป็นระยะตามแบบฉบับของเมืองศิวิไลซ์ที่ค่อนข้างวุ่นวาย จนเธออดที่จะคิดถึงบรรยากาศเก่าๆ ตอนนั่งดูดาวกับชายหนุ่มที่ภาคเหนือไม่ได้อย่างน้อยๆ วันนี้คนข้างกายของเธอก็ยังคงเป็นเขาและการได้ออกมาแบบนี้มันก็ย่อมดีกว่าต้องนอนอุดอู้ภายในห้องทั้งวัน และเหนือสิ่งอื่นใดกลับมีสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจอยู่อย่างหนึ่งก็คือ บนนี้มีการตกแต่งด้วยโค
ช่วงค่ำของวันเดียวกัน...ชายหนุ่มเดินเข้ามาในห้องพร้อมนำของพะรุงพะรังพวกนั้นวางลงบนโต๊ะ หลังออกไปเลือกซื้อของใช้ที่จำเป็นมาจากห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ แล้วถือถุงอีกใบติดมือไปทางหญิงสาวที่เอนหลังดูทีวีอยู่โดยไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย“ไม่สนใจกันเลยนะ” พูดพลางหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงแล้วดึงหนังสือประมาณสี่ห้าเล่มออกมาจากถุง พร้อมวางลงบนตักเธอเบาๆ ซึ่งมีทั้งนิตยสารเกี่ยวกับคุณแม่มือใหม่และเครื่องประดับต่างๆ แต่เล่มที่ดูจะสะดุดตาเธอคงจะเป็นนิตยสารที่มีนักแสดงสาวชื่อดังอย่างแคนเดิลปรากฏอยู่บนหน้าปกในคอลเล็คชั่นถ่ายแบบชุดแต่งงานแบรนด์ดังดารินเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงเพราะพึ่งเห็นนักแสดงคนโปรดถ่ายแบบชุดแต่งงานเป็นครั้งแรก ก่อนจะหยิบรีโมทกดปิดทีวีอย่างรวดเร็วเพราะมีสิ่งที่น่าสนใจกว่าอยู่ตรงหน้าแล้ว อย่างที่รู้ๆกัน หากใครมีไอดอลในดวงใจและไม่ว่าคนๆนั้นจะทำอะไร เรามักจะชื่นชอบ ชื่นชมและยินดีในทุกเรื่อง“โห! สวยจัง”หญิงสาวอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น จนคนที่มองอยู่ถึงกับอมยิ้มให้กับท่าทางนั้น‘เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงดูตื่นเต้นอย่างกับได้ใส่ชุดพวกนั้นเอง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ดีใจที่เธอดูมีความสุขเป
สัปดาห์ต่อมา...“มันไม่โหดไปเหรอคะ” ร่างเล็กที่นอนติดเตียงอยู่เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เต็มเอ่ยถามเสียงแผ่ว หลังจากเลขาคนสนิทของชายหนุ่มขอปลีกตัวออกไปข้างนอกเพื่อให้พวกเขาได้อยู่กันตามลำพังช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองจะดีขึ้นมากเป็นพิเศษ หลังจากทำการเซ็นยกเลิกสัญญาฉบับนั้นกันเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งชายหนุ่มยังคงทำหน้าที่ดูแลเธอได้ไม่ขาดตกบกพร่องอีกต่างหากประโยคก่อนหน้าที่ดารินเอ่ยออกมาก็เพราะได้ฟังคำรายงานบางอย่างจากปากของอคิน ซึ่งเป็นข่าวที่ทำให้ใบหน้าเรียบนิ่งของภาคินัยมีแววพึงพอใจอย่างเห็นได้ชัด และข่าวดีที่ว่าก็ไม่พ้นเรื่องราวที่เขาให้ไปจัดการตอนนี้คนก่อเหตุอย่างอันนากำลังได้รับโทษทางกฎหมายในสิ่งที่ตัวเองก่อ และมันไม่ใช่แค่นั้นเพราะเขาขุดคุ้ยเบื้องหลังอันเน่าเฟะของบริษัทที่เธอก่อตั้งขึ้นแบบไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะฉะนั้นอันนาจะมีคดีความติดตัวสองคดี และคาดว่าจะมีมาอีกเรื่อยๆเพราะมีคนบางกลุ่มออกมาฟ้องร้องถึงค่าเสียหายต่างๆ ที่เธอเคยฉ้อโกงไว้ ไม่ช้าไม่นานเธอก็ไม่ต่างจากบุคคลล้มละลาย“ไม่เห็นจะโหดตรงไหนเลย มันก็คู่ควรกับการกระทำของเธอ เพราะคนเราทำอะไรไว้ก็ย่อม