ภาคินัยฟังประโยคที่เปล่งออกมาจากปากของคนข้างกายก็เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ เอ่ยตอบออกมาเสียงแผ่ว ราวกับกำลังกระซิบกับตัวเองมากกว่า"ไม่รู้สิ"ดารินเห็นท่าทางของเขาก็รีบเปลี่ยนน้ำเสียงเพื่อไม่ให้ต่างฝ่ายต่างรู้สึกอึดอัดต่อกัน ริมฝีปากเล็กค่อยๆ เอ่ยออกมาอย่างสดใสอีกครั้ง ให้เหมือนกับว่าคำพูดก่อนหน้านั้น เธอแค่พูดเล่น"เรื่องนั้นช่างมันค่ะ เอาเป็นว่าเรามาใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้มีความสุขกันเถอะ"ชายหนุ่มมองหน้าเธอนิ่งแล้วค่อยๆ พยักหน้าเห็นด้วยกับประโยคล่าสุดที่เธอพูด เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าอนาคตที่จะเกิดขึ้นนั้นเป็นอย่างไรเหมือนกันทั้งสองนั่งพูดคุยสัพเพเหระกันต่อไปเรื่อยๆ กระทั่งภรัณยูโทรศัพท์มาบอกว่าตนเองจะกลับไปนอนที่บ้าน ทำให้พวกเขาต้องรีบลงไปเพราะคิดว่ามารดาอาจจะกำลังรออยู่แต่ครั้นไปถึง ภายในห้องกลับเปิดไฟไว้แค่สลัวๆ เท่านั้น ร่างของคนบนเตียงก็ดูเหมือนว่าจะหลับสนิทไปแล้ว ทำให้คนทั้งสองรีบจัดการตัวเอง โดยการอาบน้ำแต่งตัวให้เกิดเสียงเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากไม่อยากรบกวนคนที่กำลังหลับใหลอยู่ดารินหยิบผ้าห่มบนโซฟาของตัวเองมาดูก็เห็นว่ามันมีสองผืน จึงส่งให้ชายหนุ่มที่กำลังเดินมาทา
ฮัดชิ่ว!ฮัดชิ่ว!เสียงจามอย่างต่อเนื่องดังมาจากคนตัวเล็กที่รีบดึงทิชชูมาปิดปากเอาไว้ ตามมาด้วยเสียงของภาคินัยอีกคนที่ดังแข่งกันกลางโต๊ะ ขณะนั่งรับประทานอาหารมื้อค่ำกันอยู่ ซึ่งคุณหญิงของบ้านรีบหันไปมองทันที รวมถึงคนอื่นๆก็มองตามอย่างพร้อมเพรียง มัทนาที่นั่งอยู่ตรงข้ามคนทั้งสองมองใบหน้าที่ค่อยๆ ขึ้นสีระเรื่อของลูกชายและคนข้างกายเขาพร้อมเอ่ยถามขึ้น“ลูกออกไปตากฝนกันมาเหรอ?”“ผมพาเธอไปเดินเล่นมาครับ แล้วฝนก็ดันตกพอดี” ชายหนุ่มบอกมารดาเสียงเนือยๆ เนื่องจากรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวแล้วเอื้อมหยิบทิชชูมาปิดปากไว้“แล้วพวกเขาก็เล่นน้ำฝนกันอย่างสนุกสนานครับ” ภรัณยูพูดขณะตักอาหารเข้าปากด้วยรอยยิ้มกริ่ม ก่อนหน้านี้เขาเห็นทั้งคู่กำลังวิ่งเล่นกันท่ามกลางสายฝนอย่างสนุกสนาน“ถ้าอย่างนั้นก็รีบทานข้าว จะได้ไปนอนพักกัน” มัทนาส่ายหน้าน้อยๆ แล้วหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม หลังจากรู้สึกอิ่ม“ฮัดชิ่ว ขอโทษค่ะ” หญิงสาวรู้สึกคันจมูกขึ้นมารีบก้มหน้าใช้มือปิดปากตัวเองไว้แน่นแล้วจามออกมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่ จากนั้นรีบเงยหน้าขอโทษขอโพยคนที่นั่งอยู่เป็นการใหญ่เพราะรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำตัวเสียมารยาท“พาน้องออกไปไม
“หายดีแล้วเหรอลูก”ดารินกำลังเดินไปในห้องครัว เนื่องจากรู้สึกกระหายน้ำ หลังเธอตื่นขึ้นมาในช่วงบ่ายของวันซึ่งหลับใหลไปอย่างยาวนาน ได้ยินคำทักทายของมัทนาก็แย้มยิ้มสดใสแล้วเอ่ยตอบเสียงหวาน พร้อมกับเดินไปกดน้ำแร่มาดื่มดับกระหาย“ดีขึ้นแล้วค่ะ”“ลูกชายของแม่ล่ะ” มัทนาที่กำลังยืนชงชาหอมกรุ่นให้สามีเอ่ยถามออกมาอีกครั้ง“ยังหลับอยู่ค่ะ แต่ตัวไม่ร้อนแล้ว อีกสักพักก็น่าจะตื่น”หญิงสาวพูดจบยกแก้วน้ำขึ้นดื่มไปอีกครึ่งแก้ว สายตาทอดมองไปยังเบื้องหน้าซึ่งเป็นไร่องุ่นที่มีคนงานกำลังเก็บเกี่ยวผลผลิตของมันอยู่ไกลๆ จากนั้นก็หันกลับมาชวนมัทนาคุยต่อ“คุณป้าไม่อยากกลับไปกรุงเทพฯบ้างเหรอคะ”“รอบนี้ว่าจะกลับไปพร้อมกับพวกเรานี่แหละจ้ะ ทิ้งบ้านที่นั่นไว้หลายเดือนแล้วเหมือนกัน” คุณหญิงของบ้านกล่าวพร้อมเผยรอยยิ้มอย่างคนใจดี“คุยอะไรกันอยู่ครับ” ร่างสูงในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิงเดินเข้ามาในห้องครัวด้วยอาการสะลึมสะลือแล้วเดินไปฉวยแก้วน้ำจากมือของดารินไปดื่มรวดเดียวหมดแก้ว จากนั้นก็วางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะ โดยไม่สนใจใบหน้าบูดบึ้งของคนตัวเล็กที่กำลังมองอยู่“ไปดึงแก้วน้ำจากมือน้องแบบนั้นได้ยังไง ไร้มารยาท” มัทนาพูดตำหนิการกร
อื้อ!ร่างเล็กถูกคนตัวโตกว่าตะปบเข้าที่ริมฝีปากอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว จนเผลอส่งเสียงหวานออกมา ขณะเอาของส่วนหนึ่งมาเก็บไว้ในห้องครัวและอีกส่วนที่ต้องจัดใส่จานให้กับคนที่กำลังนั่งสังสรรค์กันอยู่ข้างนอก ในตอนแรกที่คิดว่ามาถึงบ้าน เขาจะจัดการหญิงสาวเสียหน่อย แต่ครั้นกลับมาถึงก็เห็นว่าบิดามารดา รวมถึงน้องชายของเขากำลังดื่มกินกันอยู่ในห้องไว้สำหรับปาร์ตี้ของบ้านโดยเฉพาะ “พอแล้วค่ะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”เธอผละออกจากริมฝีปากของเขาแล้วเอ่ยปรามเสียงแผ่ว ถึงแม้ว่าการกระทำแบบนี้จะดูตื่นเต้นไปอีกแบบ แต่เธอก็รู้สึกเกรงใจพวกผู้ใหญ่ที่อาจจะมาเห็นอะไรแบบนี้เหมือนกัน“ไม่มีหรอกน่า”หลังพูดจบ เขาก็ประกบลงไปบนริมฝีปากเล็กอีกครั้งแล้วมอบสัมผัสที่สุดแสนจะดูดดื่มนั้นอย่างหิวกระหาย ไม่ว่าจะเป็นริมฝีปากหวานละมุนและเรือนร่างที่มีเสน่ห์ดึงดูดนี่พรึ่บ!โอ๊ะ โอ~เสียงทุ้มติดทะเล้นดังขึ้นพร้อมกับแสงไฟที่ถูกเปิดให้สว่างจ้าภายในห้องครัว ตามมาด้วยร่างของภรัณยูปรากฏอยู่ตรงหน้าคนทั้งสองดารินรีบผละออกจากชายหนุ่มราวกับของร้อนเมื่อเห็นภรัณยูเดินเข้ามาเพราะรู้สึกเขินอายจนใบหน้าร้อนผ่าวอย่างไม่อาจห้ามได้“โทษทีครับพี่ชาย พ
บรรยากาศลมพัดเอื่อยๆ บริเวณสนามหญ้ากว้างใต้ต้นไม้ใหญ่อายุหลายสิบปีแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาซึ่งมีแสงแดดลอดผ่านเข้ามาเล็กน้อย เหมาะแก่การพักผ่อนในยามบ่าย ปุยเมฆสีขาวเกาะกลุ่มเป็นรูปร่างบ่งบอกถึงสภาพอากาศสดใส ต้นหญ้าเขียวขจีแซมด้วยดอกไม้ขนาดเล็กสีขาวพัดพลิ้วไปตามสายลม นกที่กำลังโบยบิน บ้างเกาะอยู่ตามกิ่งไม้ขับขานออกมาพอให้ได้รื่นหูเจ้าของใบหน้าหวานในชุดเสื้อผ้าสีสันสดใสนั่งอยู่บนเสื่อผืนเล็ก โดยแผ่นหลังพิงกับต้นไม้ใหญ่อย่างผ่อนคลาย ข้างกายมีหนังสือวรรณกรรมที่หยิบติดมือมาหนึ่งเล่มแทนการถือสมาร์ตโฟนผมสลวยที่มักจะปล่อยลงมาถูกมัดขึ้นเป็นทรงดังโงะ เผยกรอบหน้าให้ดูน่ารักยิ่งขึ้นซึ่งขณะนี้กำลังแหงนมองดูความสวยงามของท้องฟ้าอย่างเพลิดเพลิน ดารินออกมานั่งบริเวณสนามหญ้าซึ่งไม่ไกลจากตัวบ้านมาสักพักแล้วหลังจากฟังเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นเมื่อคืนจากปากของชายหนุ่มด้วยความอับอายกับวีรกรรมที่ได้ก่อไว้ของตนเอง ถึงแม้ว่าบนโต๊ะอาหารในมื้อเที่ยงจะไม่ได้มีใครพูดถึงมันก็ตาม แต่เธอก็ยังรู้สึกแปลกๆ อยู่ดี จึงพาตัวเองออกมานั่งเล่นบริเวณนี้“มาแอบอยู่ที่นี่เอง”เสียงสุดแสนจะคุ้นเคยดังอยู่ไม่ไกล จนหญิงสาวต้องหันไปมอง ชา
หลังกลับมาจากต่างจังหวัด จนตอนนี้เวลาล่วงเลยมาถึงวันเปิดเทอมวันแรกของนักศึกษาชั้นปีที่สี่อย่างดาริน เธอดูตื่นเต้นเป็นพิเศษเพราะจะได้เจอเพื่อนสาวคนสนิทที่ไม่ได้เจอกันมานานหลายเดือน เนื่องจากมีเรื่องราวต่างๆ ที่อยากเล่าให้ฟังมากมาย ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะพูดคุยกันบ้าง แต่การได้เม้าท์มอยต่อหน้ามันย่อมได้อรรถรสมากกว่าดารินตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่เช้า เนื่องจากวันนี้ชายหนุ่มจะเป็นคนไปส่งเธอที่มหาวิทยาลัยเอง หญิงสาวตรวจดูความเรียบร้อยของตัวเองในกระจกอีกครั้ง ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายใบเล็กแล้วเดินออกไปจากห้องหญิงสาวในชุดนักศึกษากระโปรงทรงเอตัวสั้นกับเสื้อสีขาวที่เคยหลวมเมื่อเทอมก่อน บัดนี้กลับพอดีตัวจนทำให้เห็นส่วนโค้งส่วนเว้าอย่างชัดเจน เธอไม่ซื้อชุดนักศึกษาใหม่เพราะคิดว่าชุดเก่าน่าจะยังใส่ได้ แต่กลับกลายเป็นว่ากว่าจะรูปซิบกระโปรงได้เล่นเอาเหงื่อแทบแตกถึงแม้มันจะไม่ได้อึดอัดถึงขนาดหายใจไม่ออก แต่เธอชอบใส่แบบหลวมๆมากกว่าและคิดว่าคงต้องซื้อชุดนักศึกษาตัวใหม่แล้ว ก่อนหน้านี้เธอพยายามลดน้ำหนักอยู่หลายครั้ง แต่กลับหักห้ามใจพวกของหวานไม่ได้เลยจริงๆชายหนุ่มในชุดสูทสีเทาเรียบหรูกำลังนั่งรอหญิงสาวอย
“ดะ เดี๋ยว ฟังกันก่อน” ร่างเล็กละล่ำละลักบอกคนใจร้อน เพื่อหวังว่าเขาจะฟังในสิ่งที่เธอกำลังพูดให้จบก่อน“ยังต้องพูดอะไรอีก หืม?” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันโดยไม่ยอมปล่อยให้คนตัวเล็กเป็นอิสระ“ฉันจะยอมคุณทุกอย่างเลย แลกกับของที่อยากได้” พูดจบก็กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ หัวใจสั่นระรัวอย่างไม่อาจห้ามได้กับความบ้าบิ่นของตัวเอง“ว่ามา”“ชุดเครื่องประดับแบรนด์ xxx”“อืม ได้สิ”“แต่ราคามันเป็นแสนเลยนะ” เธอเอ่ยออกอย่างไม่เต็มเสียงนัก พร้อมรอฟังคำตอบจากเขาอย่างใจจดใจจ่อ แต่ครั้นได้ยินเสียงพึมพำในลำคอของอีกฝ่ายกลับทำให้เธอรู้สึกใจแป้ว“หืม?” ภาคินัยค่อนข้างแปลกใจกับความต้องการของเธอ เพราะที่ผ่านมาของในตู้ซึ่งเป็นแบรนด์เนมแทบจะทั้งสิ้นพวกนั้น เธอกลับไม่ใช้มันด้วยซ้ำและราคาของบางอย่างสูงกว่าสิ่งที่เธอกำลังขอเขาอยู่ตอนนี้อีก ไม่รู้เจ้าตัวจะรู้หรือเปล่าแต่ไม่ว่าเธอจะต้องการอะไรมีหรือที่เขาจะไม่ให้ อีกทั้งยังเห็นถึงความทุ่มสุดตัวของเธอกับการกล้ามาในสภาพนี้อีก แสดงว่าคงจะอยากได้มันมากจริงๆ“แต่ถ้ามันแพงไป...” ดารินกำลังรอฟังคำตอบจากคนที่เงียบอยู่นานก็เอ่ยออกมาอีกครั้งอย่างตัดใจภาคินัยปล่อยร่างเล็กให้เป็นอิสร
ในวันหยุดสุดสัปดาห์ซึ่งเป็นวันพักผ่อนของใครหลายๆ คน รวมถึงสองสาวต่างวัยที่นัดกันออกมาเดินชอปปิ้งยังห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่งในช่วงบ่ายของวัน และเพราะเป็นวันหยุดทำให้ผู้คนพลุกพล่านกว่าที่เคยครั้นมาถึง ทั้งสองก็รีบมุ่งหน้าไปยังร้านจิวเวลรี่ซึ่งเป็นเป้าหมายของการละลายทรัพย์ในวันนี้ คุณหญิงมัทนาเมื่ออยู่กับเด็กสาวอย่างดาริน ก็เหมือนเธอได้ย้อนวัยกลับไปสมัยช่วงวัยรุ่นอีกครั้ง ที่ผ่านมาเธอเองไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างวัยรุ่นทั่วไปมากมายนัก เนื่องจากช่วงนั้นต้องทำหน้าที่แม่และภรรยาอย่างเต็มรูปแบบภายในร้านที่มีเครื่องประดับหรูหราหลากหลายแบบวางเรียงรายกันจนดูละลานตา คนตัวเล็กที่หยุดมองอยู่รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก แต่ก็พยายามเก็บอาการไว้ดารินไม่เคยคิดฝันด้วยซ้ำว่าตัวเองจะได้เข้ามาเหยียบยังร้านแบบนี้ ครั้นเข้าไปถึงก็มีพนักงานออกมาต้อนรับเป็นอย่างดีแล้วเดินนำพวกเขาไปในห้องวีไอพีที่ได้จัดเตรียมไว้ เมื่อทั้งสองนั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่ก็มีเครื่องดื่มเข้ามาเสิร์ฟทันที รวมถึงของที่ต้องการจะดูก็ถูกวางเรียงรายกันอยู่บนโต๊ะตัวหรูเรียบร้อยแล้วเช่นเดียวกัน‘มีเงิน มันดีอย่างนี้นี่เอง ’ ดารินนึกคิดในใจ“บอกแล
หญิงสาวเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างคนดีใจกับสิ่งที่พึ่งรับรู้มา มือเล็กกำแท่งพลาสติกไว้แน่นเพื่อจะเอาไปให้ผู้เป็นสามีดูและคิดว่าเขาต้องดีใจมากอย่างแน่นอน แต่ครั้นเดินไปหาบริเวณเตียงนอนที่เขาเล่นอยู่กับลูกสาวในตอนแรกก็พบเพียงความว่างเปล่า“อยู่ไหนกันนะ”ดารินพึมพำแผ่วเบาแล้วเดินไปในห้องของลูกสาวตัวน้อยก็ไม่เจอใคร จึงคิดว่าห้องสุดท้ายที่ทั้งสองน่าจะอยู่ก็คงหนีไม่พ้นห้องนั่งเล่นภาคินัยนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกซึ่งมีลูกสาวตัวน้อยนอนซบอยู่บนหน้าอกแกร่งดูเหมือนว่ากำลังจะเข้าสู่ห้วงนิทราในเวลาไม่นาน ทำให้ชายหนุ่มที่เห็นคนตัวเล็กกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่างรีบยกมือขึ้นห้ามเพราะเห็นว่าลูกสาวสุดที่รักกำลังจะหลับ“ชู่ว”หญิงสาวถึงกับส่ายหน้าให้ท่าทางของเขาอย่างไม่จริงจังนัก เธอจึงเดินเข้าไปอย่างเงียบๆ แล้วก้มไปหอมแก้มลูกสาวเบาๆ ก่อนสามีหนุ่มจะทำแก้มป่องเป็นเชิงว่าตัวเองจะขอแบบนั้นด้วย หญิงสาวจึงก้มลงแล้วไม่ลืมที่จะให้เขาหอมแก้มเธอด้วย“ฉันมีข่าวดีจะบอกค่ะ”เสียงหวานเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกตื่นเต้น“ครับ ว่า?”“ลูกมาแล้วค่ะ”“อืม ฮะ!” คนที่บอกให้เธอลดเสียงในตอนแรกถึงกับอุทา
ร่างเล็กบนเตียงกว้างมีอาการสะลึมสะลือเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงรบกวนเข้าสู่โสตประสาท เนื่องจากเธอพึ่งจะได้นอนหลับไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงเพราะโดนสามีหนุ่มคอยรังแกเกือบทั้งคืน ดวงตากลมโตค่อยๆ เปิดขึ้นทีละน้อยครั้นได้ยินเสียงสองของคนข้างกายที่มักจะใช้พูดคุยหยอกล้อกับลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของเขาซึ่งดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะกำลังหัวเราะและส่งเสียงอ้อแอ้ออกมาอย่างชอบใจตามประสาเด็ก เสียงนี้เองที่ทำให้ร่างเล็กบนเตียงรีบลืมตาขึ้นมาก่อนจะมองไปยังนาฬิกาบนผนังก็เห็นว่าเป็นเวลาแปดโมงเช้า และที่ประเทศไทยก็คงจะบ่ายโมงพอดีใบหน้าหวานมองชายหนุ่มที่นอนหันหลังให้เธอแล้วชะโงกไปยังจอสมาร์ทโฟนในมือเขาก็เห็นใบหน้าจิ้มลิ้มของลูกสาวที่มีคุณแม่สามีเป็นคนถือกล้องให้ เด็กตัวน้อยกำลังมองมาที่ผู้เป็นพ่อตาแป๋วแล้วหัวเราะคิกด้วยความสดใสภาคินัยรับรู้ได้ว่าภรรยาสุดที่รักของเขาตื่นเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็รีบนอนหงายเพื่อให้หญิงสาวเข้ามาร่วมจอด้วยกัน ก่อนจะทักทายแก้วตาดวงใจ“ไออุ่นจ๋า” เสียงหวานเรียกลูกสาวตัวน้อยเบาๆ พร้อมส่งยิ้มให้ด้วยความคิดถึง“เอิ๊กๆ” หนูน้อยไออุ่นวัยเก้าเดือนผู้มีใบหน้าจิ้มลิ้มและตัวจ้ำม่ำน่ากอดมองใบหน้าผู้ให้กำ
ภายในห้องนอนขนาดใหญ่ของโรงแรมสุดหรูสามารถมองเห็นหอคอยเหล็กกล้าตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางกรุงปารีสซึ่งเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของที่นี่ได้อย่างเต็มตา ช่วงฤดูหนาวของเดือนแห่งความรักอย่างกุมภาพันธ์จึงมักจะเต็มไปด้วยคู่รักและบรรดาครอบครัวที่พากันมาเยือนเมืองสุดแสนจะโรแมนติกแห่งนี้กันอย่างล้นหลามอุณหภูมิสองถึงห้าองศาด้านนอกเต็มไปด้วยม่านหมอกและหิมะขาวโพลนตกลงมาปกคลุมยอดหอไอเฟลขนาดใหญ่ทำให้ในยามค่ำคืนการนั่งจิบไวน์และมองดูวิวเป็นอะไรที่สวยงามไปอีกแบบ“สวย”“สวยมาก”“สวยเหลือเกิน”เสียงทุ้มเอ่ยชมไม่ขาดปากราวกับว่าถูกใจสิ่งที่กำลังมองอย่างสุดหัวใจ“ผมไม่คิดว่าปารีสตอนกลางคืนมันจะดีขนาดนี้มาก่อน”สภาพอากาศด้านนอกที่แค่มองก็รับรู้ได้ถึงความเย็นยะเยือกนั้นไม่มีผลต่อคู่สามีภรรยาที่อยู่ภายในห้องนอนสุดแสนจะอบอุ่น มันอบอุ่นจนค่อนไปทางร้อนเสียมากกว่า หากดูจากหยาดเหงื่อไหลย้อยที่เคลือบผิวกายของร่างเปลือยเปล่าทั้งสอง“ที่รักชอบมันหรือเปล่า”“อึก อื้อ!”ริมฝีปากเล็กกัดเข้าหากันจนห้อเลือดเพื่อสะกดกลั้นเสียงไม่ให้ดังจนเกินไปและเลือกที่จะไม่ตอบคำถามของอีกฝ่ายด้วยเช่นกันครั้นภาคินัยเห็นว่าคำถามของตนไร้เสียงตอบรับใ
พิธีวิวาห์ของคู่รักต่างวัยถูกจัดขึ้นที่บ้านทางภาคเหนือของครอบครัวชายหนุ่ม โดยหญิงสาวเป็นคนเลือกสถานที่แห่งนี้เพราะรู้สึกตกหลุมรักธรรมชาติตั้งแต่ครั้งก่อนที่ได้มาสัมผัส ซึ่งทุกคนก็ต่างเห็นด้วยกับการใช้สถานที่แห่งนี้จัดงานครั้งอดีตพื้นที่บริเวณนี้เคยเป็นสถานที่จัดพิธีแต่งงานอย่างใหญ่โตของนายภักดีกับคุณหญิงมัทนาและไม่คิดว่าอีกสามสิบปีต่อมาจะได้ใช้จัดงานมงคลอีกครั้ง ถึงแม้จะไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมายอย่างครั้งก่อน แต่บรรยากาศภายในงานล้วนอบอุ่นและอบอวลไปด้วยความรัก จากบรรดาแขกเหรื่อทางฝ่ายเจ้าบ่าวที่มักจะเป็นคนสนิทสนมกันเสียส่วนใหญ่แม้ว่าแขกทางฝ่ายเจ้าสาวจะมีแค่ทอฝันกับสายหมอก แต่เธอกลับรับรู้ได้ถึงความจริงใจและความเอ็นดูจากบุคคลแปลกหน้าที่มาร่วมแสดงความยินดี ส่วนน้าสาวเพียงคนเดียวของเธอเผอิญติดธุระอยู่ต่างประเทศและไม่สามารถมาร่วมงานได้ แต่ถึงอย่างนั้นดารินก็เข้าใจเพราะงานที่จัดขึ้นดูจะสายฟ้าแลบไปหน่อยก่อนหน้านี้พวกเขามีเวลาจัดเตรียมงานและเตรียมตัวเองแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น เนื่องจากเป็นช่วงที่หญิงสาวสอบเสร็จพอดี และสุขภาพของเธอก็พร้อมสำหรับงานวิวาห์ที่จะเกิดขึ้นแต่เหนือสิ่งอื่นใดเลยคือดาริน
ลัลล้า~ดวงตาคู่คมเหลือบมองคนตัวเล็กข้างกายที่ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษด้วยรอยยิ้มจาง หลังได้ออกจากโรงพยาบาลที่เธอต้องไปใช้ชีวิตอยู่นานกว่าสองสัปดาห์ ส่วนเขาเองก็ต้องนอนให้น้ำเกลือเพื่อดูอาการไปอีกหนึ่งคืนเลขาคนสนิทอย่างอคินเป็นคนทำหน้าที่ไปรับทั้งสองกลับมายังเพนต์เฮาส์ในช่วงเย็นของวันนี้ ถึงแม้ภาคินัยจะอาการยังไม่ค่อยปกติมากนัก แต่คนดื้อและเอาแต่ใจอย่างเขาก็รบเร้าคุณหมอเพื่อที่จะกลับบ้านให้ได้และผลก็อย่างที่เห็น เพราะชายหนุ่มมายืนอยู่ภายในลิฟต์ส่วนตัวของเพนต์เฮาส์เป็นที่เรียบร้อยแล้วติ้ง ปัง ปิ้ว~เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกทำให้ทั้งสองถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย จากเสียงพลุของเล่นที่ดังขึ้นพร้อมเศษกระดาษตกลงสู่พื้นประปราย สายตาสองคู่มองไปยังฝีมือของคนตรงหน้าก็เห็นว่าเป็นภรัณยูกับทอฝันกำลังยืนต้อนรับพวกเขาด้วยรอยยิ้ม "คิดถึงแกจังเลย"ดารินเอ่ยออกมาเป็นคนแรกด้วยน้ำเสียงดีใจเมื่อเห็นเพื่อนสาวคนสนิทมองมาที่เธอ"แหม พึ่งเจอกันเมื่อสองวันที่แล้วเองย่ะ"ทอฝันเบะปากใส่เพื่อนสาวอย่างไม่จริงจังนัก แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ดีใจมากที่เพื่อนได้ออกจากโรงพยาบาลเสียทีนายภักดีและคุณหญิงมัทนายืนมองลูกชายคนโตกับว่าที่สะใภ
คนตัวเล็กฟังประโยคเหล่านั้นที่ถูกเปล่งออกมาจากปากของเขาก็ได้แต่ยืนนิ่งเพราะความรู้สึกหลากหลายที่ก่อเกิดขึ้นภายในใจ ส่วนคนที่อยู่ในท่าคุกเข่าเห็นว่าอีกฝ่ายกลับแน่นิ่งไปและไม่ยอมตอบตกลง จึงเปล่งเสียงถามออกมาใหม่อีกครั้งพร้อมส่งสายตามองเธอเป็นเชิงว่าห้ามปฏิเสธ“แต่งงานกันนะครับ...”ดารินทำได้แค่พยักหน้าเร็วๆเพื่อเป็นการตอบรับพร้อมกับริมฝีปากเล็กที่ค่อยๆเบะทีละน้อย อีกทั้งดวงตากลมโตที่มีแค่น้ำใสๆรื้นขึ้นบริเวณขอบตาในตอนแรก บัดนี้มันไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองข้างของเธออย่างกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป จนอีกฝ่ายรู้สึกตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นเธอปล่อยโฮออกมา แล้วรีบสวมแหวนให้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะลุกขึ้นกอดคนตัวเล็กไว้ในอ้อมแขน“ฮึก ฮือ~”“ที่ร้องไห้นี่คือดีใจใช่มั้ย?”เขาแสร้งหยอกอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู แต่เธอกลับบ่นกระปอดกระแปดพร้อมใช้กำปั้นเล็กๆทุบลงบนอกของเขาไปสองที“คนบ้า! ทำไมไม่บอกกันก่อนเล่าว่าจะขอแต่งงาน ฉันจะได้แต่งตัวสวยๆ”“เอ๊ะ! ที่ร้องไห้นี่...เพราะไม่ได้แต่งตัวสวยๆอย่างนั้นเหรอ แต่เดี๋ยวนะ ถ้าบอกก่อนแล้วจะเรียกว่าเซอร์ไพรส์เหรอ? แต่ก็เอาน่าเมียผมสวยตลอดอยู่แล้ว ขนาดร้องไห้ยังสวยเลย”คนปากหวานเอ่ยชมเธอ
สายลมเอื่อยๆ ยามค่ำคืนพัดสัมผัสผิวกายคนทั้งสองที่กำลังพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลินบนเก้าอี้ตัวยาวบริเวณดาดฟ้าของโรงพยาบาล โดยมีร่างสูงนอนหนุนตักคนตัวเล็กพร้อมเงยมองใบหน้าหวานซึ่งริมฝีปากกำลังเปล่งเสียงเจื้อยแจ้วออกมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหญิงสาวในชุดผู้ป่วยที่ปราศจากสายน้ำเกลือเชื่อมต่อรู้สึกราวกับว่าตัวเองได้รับอิสระคืนมาอีกครั้ง หลังจากใช้ชีวิตอยู่โรงพยาบาลมาจะครบสองสัปดาห์แล้ว และคาดว่าน่าจะได้กลับบ้านเร็วๆนี้ ซึ่งอาจจะด้วยข่าวดีที่รู้มาว่าตนเองกำลังจะได้ออกจากที่นี่ทำให้คนช่างพูดช่างเจรจาส่งเสียงออกมาไม่ขาดสาย โดยมีผู้ฟังที่ดีนอนยิ้มให้กับท่าทางของเธอเป็นครั้งคราวดวงตากลมโตมองไปยังวิวเบื้องหน้าที่มีแสงสีส่องสว่างออกมาตามตึกสูงระฟ้า เสียงแตรจากรถราสัญจรไปมาดังเป็นระยะตามแบบฉบับของเมืองศิวิไลซ์ที่ค่อนข้างวุ่นวาย จนเธออดที่จะคิดถึงบรรยากาศเก่าๆ ตอนนั่งดูดาวกับชายหนุ่มที่ภาคเหนือไม่ได้อย่างน้อยๆ วันนี้คนข้างกายของเธอก็ยังคงเป็นเขาและการได้ออกมาแบบนี้มันก็ย่อมดีกว่าต้องนอนอุดอู้ภายในห้องทั้งวัน และเหนือสิ่งอื่นใดกลับมีสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจอยู่อย่างหนึ่งก็คือ บนนี้มีการตกแต่งด้วยโค
ช่วงค่ำของวันเดียวกัน...ชายหนุ่มเดินเข้ามาในห้องพร้อมนำของพะรุงพะรังพวกนั้นวางลงบนโต๊ะ หลังออกไปเลือกซื้อของใช้ที่จำเป็นมาจากห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ แล้วถือถุงอีกใบติดมือไปทางหญิงสาวที่เอนหลังดูทีวีอยู่โดยไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย“ไม่สนใจกันเลยนะ” พูดพลางหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงแล้วดึงหนังสือประมาณสี่ห้าเล่มออกมาจากถุง พร้อมวางลงบนตักเธอเบาๆ ซึ่งมีทั้งนิตยสารเกี่ยวกับคุณแม่มือใหม่และเครื่องประดับต่างๆ แต่เล่มที่ดูจะสะดุดตาเธอคงจะเป็นนิตยสารที่มีนักแสดงสาวชื่อดังอย่างแคนเดิลปรากฏอยู่บนหน้าปกในคอลเล็คชั่นถ่ายแบบชุดแต่งงานแบรนด์ดังดารินเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงเพราะพึ่งเห็นนักแสดงคนโปรดถ่ายแบบชุดแต่งงานเป็นครั้งแรก ก่อนจะหยิบรีโมทกดปิดทีวีอย่างรวดเร็วเพราะมีสิ่งที่น่าสนใจกว่าอยู่ตรงหน้าแล้ว อย่างที่รู้ๆกัน หากใครมีไอดอลในดวงใจและไม่ว่าคนๆนั้นจะทำอะไร เรามักจะชื่นชอบ ชื่นชมและยินดีในทุกเรื่อง“โห! สวยจัง”หญิงสาวอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น จนคนที่มองอยู่ถึงกับอมยิ้มให้กับท่าทางนั้น‘เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงดูตื่นเต้นอย่างกับได้ใส่ชุดพวกนั้นเอง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ดีใจที่เธอดูมีความสุขเป
สัปดาห์ต่อมา...“มันไม่โหดไปเหรอคะ” ร่างเล็กที่นอนติดเตียงอยู่เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เต็มเอ่ยถามเสียงแผ่ว หลังจากเลขาคนสนิทของชายหนุ่มขอปลีกตัวออกไปข้างนอกเพื่อให้พวกเขาได้อยู่กันตามลำพังช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองจะดีขึ้นมากเป็นพิเศษ หลังจากทำการเซ็นยกเลิกสัญญาฉบับนั้นกันเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งชายหนุ่มยังคงทำหน้าที่ดูแลเธอได้ไม่ขาดตกบกพร่องอีกต่างหากประโยคก่อนหน้าที่ดารินเอ่ยออกมาก็เพราะได้ฟังคำรายงานบางอย่างจากปากของอคิน ซึ่งเป็นข่าวที่ทำให้ใบหน้าเรียบนิ่งของภาคินัยมีแววพึงพอใจอย่างเห็นได้ชัด และข่าวดีที่ว่าก็ไม่พ้นเรื่องราวที่เขาให้ไปจัดการตอนนี้คนก่อเหตุอย่างอันนากำลังได้รับโทษทางกฎหมายในสิ่งที่ตัวเองก่อ และมันไม่ใช่แค่นั้นเพราะเขาขุดคุ้ยเบื้องหลังอันเน่าเฟะของบริษัทที่เธอก่อตั้งขึ้นแบบไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะฉะนั้นอันนาจะมีคดีความติดตัวสองคดี และคาดว่าจะมีมาอีกเรื่อยๆเพราะมีคนบางกลุ่มออกมาฟ้องร้องถึงค่าเสียหายต่างๆ ที่เธอเคยฉ้อโกงไว้ ไม่ช้าไม่นานเธอก็ไม่ต่างจากบุคคลล้มละลาย“ไม่เห็นจะโหดตรงไหนเลย มันก็คู่ควรกับการกระทำของเธอ เพราะคนเราทำอะไรไว้ก็ย่อม