บรรยากาศลมพัดเอื่อยๆ บริเวณสนามหญ้ากว้างใต้ต้นไม้ใหญ่อายุหลายสิบปีแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาซึ่งมีแสงแดดลอดผ่านเข้ามาเล็กน้อย เหมาะแก่การพักผ่อนในยามบ่าย ปุยเมฆสีขาวเกาะกลุ่มเป็นรูปร่างบ่งบอกถึงสภาพอากาศสดใส ต้นหญ้าเขียวขจีแซมด้วยดอกไม้ขนาดเล็กสีขาวพัดพลิ้วไปตามสายลม นกที่กำลังโบยบิน บ้างเกาะอยู่ตามกิ่งไม้ขับขานออกมาพอให้ได้รื่นหูเจ้าของใบหน้าหวานในชุดเสื้อผ้าสีสันสดใสนั่งอยู่บนเสื่อผืนเล็ก โดยแผ่นหลังพิงกับต้นไม้ใหญ่อย่างผ่อนคลาย ข้างกายมีหนังสือวรรณกรรมที่หยิบติดมือมาหนึ่งเล่มแทนการถือสมาร์ตโฟนผมสลวยที่มักจะปล่อยลงมาถูกมัดขึ้นเป็นทรงดังโงะ เผยกรอบหน้าให้ดูน่ารักยิ่งขึ้นซึ่งขณะนี้กำลังแหงนมองดูความสวยงามของท้องฟ้าอย่างเพลิดเพลิน ดารินออกมานั่งบริเวณสนามหญ้าซึ่งไม่ไกลจากตัวบ้านมาสักพักแล้วหลังจากฟังเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นเมื่อคืนจากปากของชายหนุ่มด้วยความอับอายกับวีรกรรมที่ได้ก่อไว้ของตนเอง ถึงแม้ว่าบนโต๊ะอาหารในมื้อเที่ยงจะไม่ได้มีใครพูดถึงมันก็ตาม แต่เธอก็ยังรู้สึกแปลกๆ อยู่ดี จึงพาตัวเองออกมานั่งเล่นบริเวณนี้“มาแอบอยู่ที่นี่เอง”เสียงสุดแสนจะคุ้นเคยดังอยู่ไม่ไกล จนหญิงสาวต้องหันไปมอง ชา
หลังกลับมาจากต่างจังหวัด จนตอนนี้เวลาล่วงเลยมาถึงวันเปิดเทอมวันแรกของนักศึกษาชั้นปีที่สี่อย่างดาริน เธอดูตื่นเต้นเป็นพิเศษเพราะจะได้เจอเพื่อนสาวคนสนิทที่ไม่ได้เจอกันมานานหลายเดือน เนื่องจากมีเรื่องราวต่างๆ ที่อยากเล่าให้ฟังมากมาย ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะพูดคุยกันบ้าง แต่การได้เม้าท์มอยต่อหน้ามันย่อมได้อรรถรสมากกว่าดารินตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่เช้า เนื่องจากวันนี้ชายหนุ่มจะเป็นคนไปส่งเธอที่มหาวิทยาลัยเอง หญิงสาวตรวจดูความเรียบร้อยของตัวเองในกระจกอีกครั้ง ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายใบเล็กแล้วเดินออกไปจากห้องหญิงสาวในชุดนักศึกษากระโปรงทรงเอตัวสั้นกับเสื้อสีขาวที่เคยหลวมเมื่อเทอมก่อน บัดนี้กลับพอดีตัวจนทำให้เห็นส่วนโค้งส่วนเว้าอย่างชัดเจน เธอไม่ซื้อชุดนักศึกษาใหม่เพราะคิดว่าชุดเก่าน่าจะยังใส่ได้ แต่กลับกลายเป็นว่ากว่าจะรูปซิบกระโปรงได้เล่นเอาเหงื่อแทบแตกถึงแม้มันจะไม่ได้อึดอัดถึงขนาดหายใจไม่ออก แต่เธอชอบใส่แบบหลวมๆมากกว่าและคิดว่าคงต้องซื้อชุดนักศึกษาตัวใหม่แล้ว ก่อนหน้านี้เธอพยายามลดน้ำหนักอยู่หลายครั้ง แต่กลับหักห้ามใจพวกของหวานไม่ได้เลยจริงๆชายหนุ่มในชุดสูทสีเทาเรียบหรูกำลังนั่งรอหญิงสาวอย
“ดะ เดี๋ยว ฟังกันก่อน” ร่างเล็กละล่ำละลักบอกคนใจร้อน เพื่อหวังว่าเขาจะฟังในสิ่งที่เธอกำลังพูดให้จบก่อน“ยังต้องพูดอะไรอีก หืม?” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันโดยไม่ยอมปล่อยให้คนตัวเล็กเป็นอิสระ“ฉันจะยอมคุณทุกอย่างเลย แลกกับของที่อยากได้” พูดจบก็กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ หัวใจสั่นระรัวอย่างไม่อาจห้ามได้กับความบ้าบิ่นของตัวเอง“ว่ามา”“ชุดเครื่องประดับแบรนด์ xxx”“อืม ได้สิ”“แต่ราคามันเป็นแสนเลยนะ” เธอเอ่ยออกอย่างไม่เต็มเสียงนัก พร้อมรอฟังคำตอบจากเขาอย่างใจจดใจจ่อ แต่ครั้นได้ยินเสียงพึมพำในลำคอของอีกฝ่ายกลับทำให้เธอรู้สึกใจแป้ว“หืม?” ภาคินัยค่อนข้างแปลกใจกับความต้องการของเธอ เพราะที่ผ่านมาของในตู้ซึ่งเป็นแบรนด์เนมแทบจะทั้งสิ้นพวกนั้น เธอกลับไม่ใช้มันด้วยซ้ำและราคาของบางอย่างสูงกว่าสิ่งที่เธอกำลังขอเขาอยู่ตอนนี้อีก ไม่รู้เจ้าตัวจะรู้หรือเปล่าแต่ไม่ว่าเธอจะต้องการอะไรมีหรือที่เขาจะไม่ให้ อีกทั้งยังเห็นถึงความทุ่มสุดตัวของเธอกับการกล้ามาในสภาพนี้อีก แสดงว่าคงจะอยากได้มันมากจริงๆ“แต่ถ้ามันแพงไป...” ดารินกำลังรอฟังคำตอบจากคนที่เงียบอยู่นานก็เอ่ยออกมาอีกครั้งอย่างตัดใจภาคินัยปล่อยร่างเล็กให้เป็นอิสร
ในวันหยุดสุดสัปดาห์ซึ่งเป็นวันพักผ่อนของใครหลายๆ คน รวมถึงสองสาวต่างวัยที่นัดกันออกมาเดินชอปปิ้งยังห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่งในช่วงบ่ายของวัน และเพราะเป็นวันหยุดทำให้ผู้คนพลุกพล่านกว่าที่เคยครั้นมาถึง ทั้งสองก็รีบมุ่งหน้าไปยังร้านจิวเวลรี่ซึ่งเป็นเป้าหมายของการละลายทรัพย์ในวันนี้ คุณหญิงมัทนาเมื่ออยู่กับเด็กสาวอย่างดาริน ก็เหมือนเธอได้ย้อนวัยกลับไปสมัยช่วงวัยรุ่นอีกครั้ง ที่ผ่านมาเธอเองไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างวัยรุ่นทั่วไปมากมายนัก เนื่องจากช่วงนั้นต้องทำหน้าที่แม่และภรรยาอย่างเต็มรูปแบบภายในร้านที่มีเครื่องประดับหรูหราหลากหลายแบบวางเรียงรายกันจนดูละลานตา คนตัวเล็กที่หยุดมองอยู่รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก แต่ก็พยายามเก็บอาการไว้ดารินไม่เคยคิดฝันด้วยซ้ำว่าตัวเองจะได้เข้ามาเหยียบยังร้านแบบนี้ ครั้นเข้าไปถึงก็มีพนักงานออกมาต้อนรับเป็นอย่างดีแล้วเดินนำพวกเขาไปในห้องวีไอพีที่ได้จัดเตรียมไว้ เมื่อทั้งสองนั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่ก็มีเครื่องดื่มเข้ามาเสิร์ฟทันที รวมถึงของที่ต้องการจะดูก็ถูกวางเรียงรายกันอยู่บนโต๊ะตัวหรูเรียบร้อยแล้วเช่นเดียวกัน‘มีเงิน มันดีอย่างนี้นี่เอง ’ ดารินนึกคิดในใจ“บอกแล
สัปดาห์ต่อมา...“ไม่มีของขวัญให้ผมจริงดิ?” เจ้าของวันเกิดที่ในมือถือกล่องของขวัญใบเล็กสองชิ้นซึ่งได้รับมาจากบิดามารดา และน้องชายของเขาเอ่ยถามคนตัวเล็กข้างกาย ขณะเดินออกมาจากร้านหลังรับประทานอาหารกับครอบครัวเสร็จพวกเขานัดรับประทานอาหารและมอบของขวัญให้กับชายหนุ่มซึ่งวันนี้มีอายุครบสามสิบหกปีบริบูรณ์อย่างเรียบง่ายในช่วงค่ำของวัน"คุณก็มีทุกอย่างแล้ว จะอยากได้อะไรอีกล่ะคะ"ดารินแสร้งเอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงจริงจังเพื่อต้องการจะแกล้ง เพราะหลังจากแยกย้ายกันกับครอบครัวดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะยังคงถามเธอถึงเรื่องนี้ตลอดการทางเดินไปยังลานจอดรถ“ขึ้นรถได้แล้วค่ะ”ครั้นมาถึงรถเธอรีบเปิดประตูเข้าไปนั่งแล้วเหลือบมองใบหน้าที่งอง้ำเล็กน้อยของเขา ซึ่งแค่เสี้ยววินาทีก็เปลี่ยนสีหน้ากลับไปเรียบเฉยดังเดิม ชายหนุ่มได้ยินอย่างนั้นก็เข้าไปนั่งประจำที่คนขับแล้วสตาร์ทรถก่อนจะเคลื่อนตัวออกไป“คืนนี้ เราไปนอนที่บ้านฉันกันเถอะค่ะ”ไม่ถึงสามนาทีที่รถเคลื่อนตัวออกมา เธอก็รีบทำลายความเงียบโดยการเอ่ยชวนเขา“อืม”ตอบกลับแค่สั้นๆ ราวกับว่ายังงอนเธอเรื่องของขวัญก่อนหน้านี้ แต่ถึงอย่างนั้นภาคินัยก็ขับรถไปตามทางที่เธอบอกโดยไม่
“อ้อใช่! พรุ่งนี้เราต้องไปงานประมูลแทนคุณแม่นะ” ภาคินัยบอกกล่าวคนตัวเล็กทันทีที่นึกขึ้นได้ เนื่องจากมารดาส่งข้อความมาบอกเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนเรื่องการไปงานประมูลในวันพรุ่งนี้ดารินกำลังนั่งเช็ดผมเปียกหมาดของตนเอง หลังจากอาบน้ำใส่ชุดนอนอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้งภายในห้อง ดวงตากลมโตมองร่างสูงที่นอนอยู่บนเตียงผ่านกระจกใสบานเล็กแล้วเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย“ท่านกลับไปเชียงรายแล้วเหรอคะ”“เปล่าหรอก พวกท่านแค่ติดธุระนะ เราเลยต้องไปแทน”“งานใหญ่รึเปล่าคะ แล้วเรื่องชุด...” คนที่กำลังจะได้ออกงานแบบนี้ครั้งแรกดูจะตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่อยู่รีบยิงคำถามใส่รัวๆ ทำให้เขาต้องรีบบอกรายละเอียดต่างๆ เพื่อให้เธอได้เตรียมตัว“งานไม่ใหญ่มาก ส่วนเรื่องชุดกับช่างแต่งหน้าทำผม คุณแม่ติดต่อไว้ให้คุณแล้ว”“ดูน่าตื่นเต้นจังค่ะ ฉันยังไม่เคยไปงานแบบนั้นเลย”“เดี๋ยวพอไป อาจจะเปลี่ยนความคิดก็ได้ งานพวกนั้นน่าเบื่อจะตาย”เขาออกความคิดเห็นโดยไล่สายตามองไปยังโปสเตอร์นักแสดงคนโปรดที่ติดอยู่ตามผนังห้องของเธอ 'ก็ว่าอยู่ ทำไมคุยกับแม่ของเขาถูกคอนัก ชอบนักแสดงคนเดียวกันนี่เอง'อีกอย่างที่เขาพึ่งรับรู้มาว่า วันนั้นเธอไ
ร่างเล็กรับรู้ได้ถึงปฏิกิริยาที่แปลกไปของคนข้างกายก็เลื่อนมือไปจับชายเสื้อเขาแล้วกระตุกเบาๆ ให้รู้สึกตัว ภาคินัยรวบรวมสติที่เหมือนล่องลอยไปไกลให้กลับมาพร้อมถอนหายใจเบาๆ แล้วใช้มือใหญ่กุมไปยังมือของคนตัวเล็กอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆ หมุนตัวเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียงนั้นดารินเงยมองสีหน้าที่แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาด้วยความรู้สึกหลากหลาย เนื่องจากเธอสัมผัสได้ว่าสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นมันค่อนข้างตึงเครียด อีกทั้งเธอเองก็ไม่รู้เรื่องราวของพวกเขาว่าเป็นมาอย่างไร อันนา เจ้าของใบหน้ารูปไข่ที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางจนดูโฉบเฉี่ยวเข้ากันกับผมทรงบ๊อบเทสีบลอนด์สว่าง ซึ่งขับผิวที่ขาวผ่องเป็นยองใยให้ดูโดดเด่นมากขึ้น รูปร่างสมส่วนในชุดราตรีรัดรูปตัวยาวทรงหางปลาแนบเข้ากับเรือนร่างจนเห็นส่วนเว้าส่วนโค้งได้อย่างชัดเจนหญิงสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับภาคินัย ทั้งสองรู้จักและสนิทสนมกันตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย ถึงแม้ต่างฝ่ายต่างก็รู้สึกดีต่อกันตั้งแต่ตอนนั้น แต่กลับไม่มีฝ่ายใดยอมปริปากพูดความในใจออกมา จึงทำให้หลังจากเรียนจบคนทั้งสองก็แยกย้ายกันไปถึงสามปีและระหว่างนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยกระทั่งพวกเขากลั
เช้าวันใหม่ดารินตื่นขึ้นมาด้วยสภาพร่างกายอิดโรยเนื่องจากเมื่อคืนเธอแทบไม่ได้นอนเพราะมีความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในหัว อีกทั้งยังต้องเตรียมตัวสำหรับการพรีเซนต์งานในวันนี้ด้วย หลังจากจัดการตัวเองเสร็จเธอก็ลงมาเรียกแท็กซี่เพื่อมุ่งหน้าไปยังมหาวิทยาลัยซึ่งปกติแล้วภาคินัยจะเป็นคนมาส่งเอง แต่ด้วยเรื่องเมื่อคืนที่ชายหนุ่มยังคงไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมาทำให้เธอแยกมานอนอีกห้องพร้อมกับอารมณ์กรุ่นโกรธที่ก่อตัวขึ้นในใจทีละน้อย จึงเลือกที่จะไม่สนใจเขาบ้างครั้นมาถึงมหาวิทยาลัยร่างเล็กก็รีบเดินไปใต้ตึกคณะเพื่อไปยังโต๊ะตัวเดิมที่เธอกับเพื่อนสาวคนสนิทมักจะนัดเจอกัน ซึ่งเห็นว่าทอฝันมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว ในมือของเธอถือซาลาเปาลูกใหญ่พร้อมกับกัดกินมันอย่างเอร็ดอร่อยคนที่กำลังมีความสุขอยู่กับซาลาเปานุ่มๆเอ่ยทักทายคนตัวเล็กทันที เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั่งลงตรงข้าม แล้วไม่ลืมที่จะเอ่ยชวนเพราะมีซาลาเปาอีกลูกที่ซื้อมาเผื่อหญิงสาว ทว่าพอเห็นอีกฝ่ายเงียบไม่ยอมตอบอะไร ทอฝันจึงเงยหน้าขึ้นมองก็ต้องตกใจกับสภาพของเพื่อนจนต้องถามออกมา“ทำไมหน้าตาแกเป็นแบบนั้นอะ”“เมื่อคืนนอนไม่หลับนะสิ” ดารินเอ่ยตอบเบาๆ แล้วยกแขนมาวางบนโต๊
หญิงสาวเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างคนดีใจกับสิ่งที่พึ่งรับรู้มา มือเล็กกำแท่งพลาสติกไว้แน่นเพื่อจะเอาไปให้ผู้เป็นสามีดูและคิดว่าเขาต้องดีใจมากอย่างแน่นอน แต่ครั้นเดินไปหาบริเวณเตียงนอนที่เขาเล่นอยู่กับลูกสาวในตอนแรกก็พบเพียงความว่างเปล่า“อยู่ไหนกันนะ”ดารินพึมพำแผ่วเบาแล้วเดินไปในห้องของลูกสาวตัวน้อยก็ไม่เจอใคร จึงคิดว่าห้องสุดท้ายที่ทั้งสองน่าจะอยู่ก็คงหนีไม่พ้นห้องนั่งเล่นภาคินัยนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกซึ่งมีลูกสาวตัวน้อยนอนซบอยู่บนหน้าอกแกร่งดูเหมือนว่ากำลังจะเข้าสู่ห้วงนิทราในเวลาไม่นาน ทำให้ชายหนุ่มที่เห็นคนตัวเล็กกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่างรีบยกมือขึ้นห้ามเพราะเห็นว่าลูกสาวสุดที่รักกำลังจะหลับ“ชู่ว”หญิงสาวถึงกับส่ายหน้าให้ท่าทางของเขาอย่างไม่จริงจังนัก เธอจึงเดินเข้าไปอย่างเงียบๆ แล้วก้มไปหอมแก้มลูกสาวเบาๆ ก่อนสามีหนุ่มจะทำแก้มป่องเป็นเชิงว่าตัวเองจะขอแบบนั้นด้วย หญิงสาวจึงก้มลงแล้วไม่ลืมที่จะให้เขาหอมแก้มเธอด้วย“ฉันมีข่าวดีจะบอกค่ะ”เสียงหวานเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกตื่นเต้น“ครับ ว่า?”“ลูกมาแล้วค่ะ”“อืม ฮะ!” คนที่บอกให้เธอลดเสียงในตอนแรกถึงกับอุทา
ร่างเล็กบนเตียงกว้างมีอาการสะลึมสะลือเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงรบกวนเข้าสู่โสตประสาท เนื่องจากเธอพึ่งจะได้นอนหลับไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงเพราะโดนสามีหนุ่มคอยรังแกเกือบทั้งคืน ดวงตากลมโตค่อยๆ เปิดขึ้นทีละน้อยครั้นได้ยินเสียงสองของคนข้างกายที่มักจะใช้พูดคุยหยอกล้อกับลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของเขาซึ่งดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะกำลังหัวเราะและส่งเสียงอ้อแอ้ออกมาอย่างชอบใจตามประสาเด็ก เสียงนี้เองที่ทำให้ร่างเล็กบนเตียงรีบลืมตาขึ้นมาก่อนจะมองไปยังนาฬิกาบนผนังก็เห็นว่าเป็นเวลาแปดโมงเช้า และที่ประเทศไทยก็คงจะบ่ายโมงพอดีใบหน้าหวานมองชายหนุ่มที่นอนหันหลังให้เธอแล้วชะโงกไปยังจอสมาร์ทโฟนในมือเขาก็เห็นใบหน้าจิ้มลิ้มของลูกสาวที่มีคุณแม่สามีเป็นคนถือกล้องให้ เด็กตัวน้อยกำลังมองมาที่ผู้เป็นพ่อตาแป๋วแล้วหัวเราะคิกด้วยความสดใสภาคินัยรับรู้ได้ว่าภรรยาสุดที่รักของเขาตื่นเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็รีบนอนหงายเพื่อให้หญิงสาวเข้ามาร่วมจอด้วยกัน ก่อนจะทักทายแก้วตาดวงใจ“ไออุ่นจ๋า” เสียงหวานเรียกลูกสาวตัวน้อยเบาๆ พร้อมส่งยิ้มให้ด้วยความคิดถึง“เอิ๊กๆ” หนูน้อยไออุ่นวัยเก้าเดือนผู้มีใบหน้าจิ้มลิ้มและตัวจ้ำม่ำน่ากอดมองใบหน้าผู้ให้กำ
ภายในห้องนอนขนาดใหญ่ของโรงแรมสุดหรูสามารถมองเห็นหอคอยเหล็กกล้าตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางกรุงปารีสซึ่งเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของที่นี่ได้อย่างเต็มตา ช่วงฤดูหนาวของเดือนแห่งความรักอย่างกุมภาพันธ์จึงมักจะเต็มไปด้วยคู่รักและบรรดาครอบครัวที่พากันมาเยือนเมืองสุดแสนจะโรแมนติกแห่งนี้กันอย่างล้นหลามอุณหภูมิสองถึงห้าองศาด้านนอกเต็มไปด้วยม่านหมอกและหิมะขาวโพลนตกลงมาปกคลุมยอดหอไอเฟลขนาดใหญ่ทำให้ในยามค่ำคืนการนั่งจิบไวน์และมองดูวิวเป็นอะไรที่สวยงามไปอีกแบบ“สวย”“สวยมาก”“สวยเหลือเกิน”เสียงทุ้มเอ่ยชมไม่ขาดปากราวกับว่าถูกใจสิ่งที่กำลังมองอย่างสุดหัวใจ“ผมไม่คิดว่าปารีสตอนกลางคืนมันจะดีขนาดนี้มาก่อน”สภาพอากาศด้านนอกที่แค่มองก็รับรู้ได้ถึงความเย็นยะเยือกนั้นไม่มีผลต่อคู่สามีภรรยาที่อยู่ภายในห้องนอนสุดแสนจะอบอุ่น มันอบอุ่นจนค่อนไปทางร้อนเสียมากกว่า หากดูจากหยาดเหงื่อไหลย้อยที่เคลือบผิวกายของร่างเปลือยเปล่าทั้งสอง“ที่รักชอบมันหรือเปล่า”“อึก อื้อ!”ริมฝีปากเล็กกัดเข้าหากันจนห้อเลือดเพื่อสะกดกลั้นเสียงไม่ให้ดังจนเกินไปและเลือกที่จะไม่ตอบคำถามของอีกฝ่ายด้วยเช่นกันครั้นภาคินัยเห็นว่าคำถามของตนไร้เสียงตอบรับใ
พิธีวิวาห์ของคู่รักต่างวัยถูกจัดขึ้นที่บ้านทางภาคเหนือของครอบครัวชายหนุ่ม โดยหญิงสาวเป็นคนเลือกสถานที่แห่งนี้เพราะรู้สึกตกหลุมรักธรรมชาติตั้งแต่ครั้งก่อนที่ได้มาสัมผัส ซึ่งทุกคนก็ต่างเห็นด้วยกับการใช้สถานที่แห่งนี้จัดงานครั้งอดีตพื้นที่บริเวณนี้เคยเป็นสถานที่จัดพิธีแต่งงานอย่างใหญ่โตของนายภักดีกับคุณหญิงมัทนาและไม่คิดว่าอีกสามสิบปีต่อมาจะได้ใช้จัดงานมงคลอีกครั้ง ถึงแม้จะไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมายอย่างครั้งก่อน แต่บรรยากาศภายในงานล้วนอบอุ่นและอบอวลไปด้วยความรัก จากบรรดาแขกเหรื่อทางฝ่ายเจ้าบ่าวที่มักจะเป็นคนสนิทสนมกันเสียส่วนใหญ่แม้ว่าแขกทางฝ่ายเจ้าสาวจะมีแค่ทอฝันกับสายหมอก แต่เธอกลับรับรู้ได้ถึงความจริงใจและความเอ็นดูจากบุคคลแปลกหน้าที่มาร่วมแสดงความยินดี ส่วนน้าสาวเพียงคนเดียวของเธอเผอิญติดธุระอยู่ต่างประเทศและไม่สามารถมาร่วมงานได้ แต่ถึงอย่างนั้นดารินก็เข้าใจเพราะงานที่จัดขึ้นดูจะสายฟ้าแลบไปหน่อยก่อนหน้านี้พวกเขามีเวลาจัดเตรียมงานและเตรียมตัวเองแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น เนื่องจากเป็นช่วงที่หญิงสาวสอบเสร็จพอดี และสุขภาพของเธอก็พร้อมสำหรับงานวิวาห์ที่จะเกิดขึ้นแต่เหนือสิ่งอื่นใดเลยคือดาริน
ลัลล้า~ดวงตาคู่คมเหลือบมองคนตัวเล็กข้างกายที่ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษด้วยรอยยิ้มจาง หลังได้ออกจากโรงพยาบาลที่เธอต้องไปใช้ชีวิตอยู่นานกว่าสองสัปดาห์ ส่วนเขาเองก็ต้องนอนให้น้ำเกลือเพื่อดูอาการไปอีกหนึ่งคืนเลขาคนสนิทอย่างอคินเป็นคนทำหน้าที่ไปรับทั้งสองกลับมายังเพนต์เฮาส์ในช่วงเย็นของวันนี้ ถึงแม้ภาคินัยจะอาการยังไม่ค่อยปกติมากนัก แต่คนดื้อและเอาแต่ใจอย่างเขาก็รบเร้าคุณหมอเพื่อที่จะกลับบ้านให้ได้และผลก็อย่างที่เห็น เพราะชายหนุ่มมายืนอยู่ภายในลิฟต์ส่วนตัวของเพนต์เฮาส์เป็นที่เรียบร้อยแล้วติ้ง ปัง ปิ้ว~เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกทำให้ทั้งสองถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย จากเสียงพลุของเล่นที่ดังขึ้นพร้อมเศษกระดาษตกลงสู่พื้นประปราย สายตาสองคู่มองไปยังฝีมือของคนตรงหน้าก็เห็นว่าเป็นภรัณยูกับทอฝันกำลังยืนต้อนรับพวกเขาด้วยรอยยิ้ม "คิดถึงแกจังเลย"ดารินเอ่ยออกมาเป็นคนแรกด้วยน้ำเสียงดีใจเมื่อเห็นเพื่อนสาวคนสนิทมองมาที่เธอ"แหม พึ่งเจอกันเมื่อสองวันที่แล้วเองย่ะ"ทอฝันเบะปากใส่เพื่อนสาวอย่างไม่จริงจังนัก แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ดีใจมากที่เพื่อนได้ออกจากโรงพยาบาลเสียทีนายภักดีและคุณหญิงมัทนายืนมองลูกชายคนโตกับว่าที่สะใภ
คนตัวเล็กฟังประโยคเหล่านั้นที่ถูกเปล่งออกมาจากปากของเขาก็ได้แต่ยืนนิ่งเพราะความรู้สึกหลากหลายที่ก่อเกิดขึ้นภายในใจ ส่วนคนที่อยู่ในท่าคุกเข่าเห็นว่าอีกฝ่ายกลับแน่นิ่งไปและไม่ยอมตอบตกลง จึงเปล่งเสียงถามออกมาใหม่อีกครั้งพร้อมส่งสายตามองเธอเป็นเชิงว่าห้ามปฏิเสธ“แต่งงานกันนะครับ...”ดารินทำได้แค่พยักหน้าเร็วๆเพื่อเป็นการตอบรับพร้อมกับริมฝีปากเล็กที่ค่อยๆเบะทีละน้อย อีกทั้งดวงตากลมโตที่มีแค่น้ำใสๆรื้นขึ้นบริเวณขอบตาในตอนแรก บัดนี้มันไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองข้างของเธออย่างกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป จนอีกฝ่ายรู้สึกตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นเธอปล่อยโฮออกมา แล้วรีบสวมแหวนให้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะลุกขึ้นกอดคนตัวเล็กไว้ในอ้อมแขน“ฮึก ฮือ~”“ที่ร้องไห้นี่คือดีใจใช่มั้ย?”เขาแสร้งหยอกอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู แต่เธอกลับบ่นกระปอดกระแปดพร้อมใช้กำปั้นเล็กๆทุบลงบนอกของเขาไปสองที“คนบ้า! ทำไมไม่บอกกันก่อนเล่าว่าจะขอแต่งงาน ฉันจะได้แต่งตัวสวยๆ”“เอ๊ะ! ที่ร้องไห้นี่...เพราะไม่ได้แต่งตัวสวยๆอย่างนั้นเหรอ แต่เดี๋ยวนะ ถ้าบอกก่อนแล้วจะเรียกว่าเซอร์ไพรส์เหรอ? แต่ก็เอาน่าเมียผมสวยตลอดอยู่แล้ว ขนาดร้องไห้ยังสวยเลย”คนปากหวานเอ่ยชมเธอ
สายลมเอื่อยๆ ยามค่ำคืนพัดสัมผัสผิวกายคนทั้งสองที่กำลังพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลินบนเก้าอี้ตัวยาวบริเวณดาดฟ้าของโรงพยาบาล โดยมีร่างสูงนอนหนุนตักคนตัวเล็กพร้อมเงยมองใบหน้าหวานซึ่งริมฝีปากกำลังเปล่งเสียงเจื้อยแจ้วออกมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหญิงสาวในชุดผู้ป่วยที่ปราศจากสายน้ำเกลือเชื่อมต่อรู้สึกราวกับว่าตัวเองได้รับอิสระคืนมาอีกครั้ง หลังจากใช้ชีวิตอยู่โรงพยาบาลมาจะครบสองสัปดาห์แล้ว และคาดว่าน่าจะได้กลับบ้านเร็วๆนี้ ซึ่งอาจจะด้วยข่าวดีที่รู้มาว่าตนเองกำลังจะได้ออกจากที่นี่ทำให้คนช่างพูดช่างเจรจาส่งเสียงออกมาไม่ขาดสาย โดยมีผู้ฟังที่ดีนอนยิ้มให้กับท่าทางของเธอเป็นครั้งคราวดวงตากลมโตมองไปยังวิวเบื้องหน้าที่มีแสงสีส่องสว่างออกมาตามตึกสูงระฟ้า เสียงแตรจากรถราสัญจรไปมาดังเป็นระยะตามแบบฉบับของเมืองศิวิไลซ์ที่ค่อนข้างวุ่นวาย จนเธออดที่จะคิดถึงบรรยากาศเก่าๆ ตอนนั่งดูดาวกับชายหนุ่มที่ภาคเหนือไม่ได้อย่างน้อยๆ วันนี้คนข้างกายของเธอก็ยังคงเป็นเขาและการได้ออกมาแบบนี้มันก็ย่อมดีกว่าต้องนอนอุดอู้ภายในห้องทั้งวัน และเหนือสิ่งอื่นใดกลับมีสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจอยู่อย่างหนึ่งก็คือ บนนี้มีการตกแต่งด้วยโค
ช่วงค่ำของวันเดียวกัน...ชายหนุ่มเดินเข้ามาในห้องพร้อมนำของพะรุงพะรังพวกนั้นวางลงบนโต๊ะ หลังออกไปเลือกซื้อของใช้ที่จำเป็นมาจากห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ แล้วถือถุงอีกใบติดมือไปทางหญิงสาวที่เอนหลังดูทีวีอยู่โดยไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย“ไม่สนใจกันเลยนะ” พูดพลางหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงแล้วดึงหนังสือประมาณสี่ห้าเล่มออกมาจากถุง พร้อมวางลงบนตักเธอเบาๆ ซึ่งมีทั้งนิตยสารเกี่ยวกับคุณแม่มือใหม่และเครื่องประดับต่างๆ แต่เล่มที่ดูจะสะดุดตาเธอคงจะเป็นนิตยสารที่มีนักแสดงสาวชื่อดังอย่างแคนเดิลปรากฏอยู่บนหน้าปกในคอลเล็คชั่นถ่ายแบบชุดแต่งงานแบรนด์ดังดารินเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงเพราะพึ่งเห็นนักแสดงคนโปรดถ่ายแบบชุดแต่งงานเป็นครั้งแรก ก่อนจะหยิบรีโมทกดปิดทีวีอย่างรวดเร็วเพราะมีสิ่งที่น่าสนใจกว่าอยู่ตรงหน้าแล้ว อย่างที่รู้ๆกัน หากใครมีไอดอลในดวงใจและไม่ว่าคนๆนั้นจะทำอะไร เรามักจะชื่นชอบ ชื่นชมและยินดีในทุกเรื่อง“โห! สวยจัง”หญิงสาวอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น จนคนที่มองอยู่ถึงกับอมยิ้มให้กับท่าทางนั้น‘เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงดูตื่นเต้นอย่างกับได้ใส่ชุดพวกนั้นเอง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ดีใจที่เธอดูมีความสุขเป
สัปดาห์ต่อมา...“มันไม่โหดไปเหรอคะ” ร่างเล็กที่นอนติดเตียงอยู่เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เต็มเอ่ยถามเสียงแผ่ว หลังจากเลขาคนสนิทของชายหนุ่มขอปลีกตัวออกไปข้างนอกเพื่อให้พวกเขาได้อยู่กันตามลำพังช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองจะดีขึ้นมากเป็นพิเศษ หลังจากทำการเซ็นยกเลิกสัญญาฉบับนั้นกันเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งชายหนุ่มยังคงทำหน้าที่ดูแลเธอได้ไม่ขาดตกบกพร่องอีกต่างหากประโยคก่อนหน้าที่ดารินเอ่ยออกมาก็เพราะได้ฟังคำรายงานบางอย่างจากปากของอคิน ซึ่งเป็นข่าวที่ทำให้ใบหน้าเรียบนิ่งของภาคินัยมีแววพึงพอใจอย่างเห็นได้ชัด และข่าวดีที่ว่าก็ไม่พ้นเรื่องราวที่เขาให้ไปจัดการตอนนี้คนก่อเหตุอย่างอันนากำลังได้รับโทษทางกฎหมายในสิ่งที่ตัวเองก่อ และมันไม่ใช่แค่นั้นเพราะเขาขุดคุ้ยเบื้องหลังอันเน่าเฟะของบริษัทที่เธอก่อตั้งขึ้นแบบไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะฉะนั้นอันนาจะมีคดีความติดตัวสองคดี และคาดว่าจะมีมาอีกเรื่อยๆเพราะมีคนบางกลุ่มออกมาฟ้องร้องถึงค่าเสียหายต่างๆ ที่เธอเคยฉ้อโกงไว้ ไม่ช้าไม่นานเธอก็ไม่ต่างจากบุคคลล้มละลาย“ไม่เห็นจะโหดตรงไหนเลย มันก็คู่ควรกับการกระทำของเธอ เพราะคนเราทำอะไรไว้ก็ย่อม