ขณะที่เสิ่นหยินอู้กำลังจะพูด ฉินเย่ก็ก้าวเข้ามาและปิดประตู และเขาก็ก้าวไปข้างหน้าอีกเล็กน้อย ทำให้เธอแทบจะตัวติดกับผนังกำแพงตรงโถงทางเข้า "คุณมีอะไรจะพูดกับผมหรอ?" เสียงของฉินเย่ต่ำและแหบแห้ง สายตาของเขาลึกซึ้งมาก เหมือนกับหมาป่าที่กำลังตามหาเหยื่อในค่ำคืนอันเงียบสงบเสิ่นหยินอู้: "..." เธอรู้สึกว่าเขาได้คืบจะเอาศอกอย่างบอกไม่ถูก ก่อนหน้าคืนก่อนหน้านี้ เขายังไม่กล้าทำแบบนี้กับเธอเลยและในตอนเช้าวันนี้ ก่อนออกจากบ้าน เขาก็จูบเธอที่หน้าผากอีก เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เอื้อมมือออกไปผลักเขาออกไป "คุณทำอะไรเนี่ย? ฉันบอกแล้วไม่ใช่หรอว่าฉันโทรผิด?" "ผมไม่เชื่อ" ฉินเย่ประสานนิ้วกับเธอและยับยั้งความวู่วามที่จะพูดอะไรเลี่ยนๆของตัวเอง: "คุณเป็นคนมีเหตุผลมาก ไม่มีทางโทรหาผมเพราะโทรผิดในเวลาแบบนี้หรอก" เสิ่นหยินอู้ชะงักไป “ดังนั้นการที่คุณโทรหาผม ก็คงมีเรื่องจะคุยกับผมแน่ๆ” เสียงของฉินเย่อ่อนโยนนุ่มนวลมาก: “คุณไม่อยากบอกผมทางโทรศัพท์ ผมก็เลยได้แต่ต้องมาหาคุณเอง” เขารู้จักเธอมาหลายปี เขาก็ยังเข้าใจเธอดีมาก เสิ่นหยินอู้มองไปที่เขาและเม้มริมฝีปาก แต่กลับไม่พูดอะไร ฉินเย่เ
เมื่อสัมผัสได้ถึงริมฝีปากบางของเขาที่แนบติดกับริมฝีปากของเธอ เสิ่นหยินอู้ก็หยุดหายใจ เธอเอนตัวไปด้านหลังโดยอัตโนมัติ มือใหญ่คู่หนึ่งจับเอวของเธอไว้แล้วดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนของเขา จากนั้นริมฝีปากสีแดงของเธอก็ถูกเขาจุมพิต "อื้อ" หลังจากตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เสิ่นหยินอู้ก็เอื้อมมือออกไปผลักเขาออกไปอย่างแรง "ฉันกำลังคุยกับคุณนะ คุณทำบ้าอะไรเนี่ย?" หลังจากที่ฉินเย่ถูกผลักออกไป เขาก็มองเธออย่างติดใจและพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า "ผมเห็นคุณหึง ก็เลยอยากจูบคุณ" “ใครหึง?” เสิ่นหยินอู้ปฏิเสธโดยไม่รู้ตัว ฉินเย่ยิ้มและไม่พูดอะไรต่อ เมื่อเห็นเขาเป็นแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาเล็กน้อย เธอกำลังพูดกับเขาด้วยความจริงจัง แต่เขากลับทำตัวเอ้อระเหยลอยชาเหมือนกับว่าไม่เชื่อเธอ เขาจึงจงใจทำเช่นนี้เพื่อมาเบี่ยงเบนความสนใจของเธอ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า: "คุณกำลังจงใจทำให้ฉันเสียสมาธิใช่ไหม?" ฉินเย่: "..." “คิดเพ้อเจ้ออะไรน่ะ ผมเชื่อคุณอยู่แล้ว” ฉินเย่เอื้อมมือไปบีบแก้มเธอ สีหน้าของเขาจริงจังขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “แต่ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่? คนที
“ช่างมันเถอะ” เสิ่นหยินอู้หันกลับมา “ยังไงมันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ถ้าฉันนึกเรื่องนี้ขึ้นมาไม่ได้ ทุกคนคงคิดว่าเธอเป็นคนช่วยคุณ” เมื่อมองไปที่แผ่นหลังของเธอ ฉินเย่ก็เม้มริมฝีปาก “ไม่ต้องห่วง ผมจะไม่ปล่อยให้คนอื่นเอาความดีความชอบของคุณไปแอบอ้างโดยไม่มีเหตุผล” เสิ่นหยินอู้หัวเราะเยาะ “คุณพูดไปตอนนี้จะไปมีประโยชน์อะไร? ทุกคนต่างก็คิดว่าเธอเป็นคนช่วยคุณหมดแล้ว นี่ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว หรือคุณคิดจะออกไปป่าวประกาศว่าคนที่ช่วยคุณไว้คือฉัน ไม่ใช่เธออย่างงั้นหรอ? คุณมีหลักฐานหรอ?” "ไม่มี" "งั้นก็ไม่..." เธอรู้สึกถึงแรงที่ไหล่ของเธอ จู่ๆฉินเย่ก็จับไหล่ของเธอแล้วดึงเธอให้หันหน้ามาหาเขา “หลักฐานน่ะ แค่ถ้าผมอยากได้ มันก็มีอยู่แล้ว” เสิ่นหยินอู้ตกใจ: "อะไรนะ?" ฉินเย่พูดอย่างใจเย็นว่า: "เดิมที ผมแค่อยากจะตัดความสัมพันธ์กับเธอ ท้ายที่สุดเธอก็เคยช่วยผมไว้ แต่ตอนนี้ในเมื่อเธอไม่ได้เป็นคนที่ช่วยผม ผมคงไม่ทำแค่การตัดความสัมพันธ์ง่ายๆอย่างเดียวหรอก" เสิ่นหยินอู้มองเขาอย่างแน่วแน่ ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็หันไปแล้วพูดว่า "แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน?" “นั่วนั่ว” ในโถงทางเข้าที่มีแสงสลัวๆ ฉินเย่เ
หลังจากที่ฉินเย่ออกไป เสิ่นหยินอู้ก็ยืนอยู่ที่โถงถางเข้าเพื่อสงบลมหายใจและอารมณ์ของเธอ หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ยกมือขึ้นแตะที่แก้มของเธอ มันยังร้อนอยู่... มันเป็นเพียงแค่การสวมกอดเองแท้ๆ อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้คาดหวังว่าฉินเย่จะเชื่อในสิ่งที่เธอพูดโดยไม่ตั้งคำถามอะไรกับเธอเลย นี่หมายความว่า ตลอดมาหัวใจของเขาอยู่กับเธออย่างงั้นสินะ? "หม่ามี๊?" ทันใดนั้นก็มีเสียงเด็กตัวน้อยดังขึ้นมาจากด้านหลัง เสิ่นหยินอู้สะดุ้ง เธอหันกลับมาและพบว่าเป็นเหนียนเหนียนที่ยืนมองเธออยู่ซึ่งเขามาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เมื่อเห็นเขา เสิ่นหยินอู้ก็ตกใจ “เหนียนเหนียน ลูกตื่นมาตั้งแต่เมื่อไร?” เขาไม่ได้หลับไปแล้วหรอกเหรอ? เสิ่นหยินอู้หลบสายตา เขายืนอยู่ที่นี่มานานเท่าไรแล้ว เมื่อครู่นี้คงไม่เห็นอะไรใช่ไหม? ในขณะที่เธอกำลังคิด เธอก็เดินเข้าไปหาเสิ่นซือเหนียน เธอคุกเข่าลงข้างหน้าแล้วอุ้มเขาขึ้นมา "เดินออกมาก็ไม่รู้จักหาอะไรมาใส่ เป็นหวัดขึ้นมาจะทำยังไง?" หลังจากที่ถูกเธออุ้มขึ้นมา เหนียนเหนียนก็ใช้มือโอบคอของเสิ่นหยินอู้ เสิ่นหยินอู้ถามอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย: "ลูกออกมาตั้งแต่เมื่อไ
เพราะต่อหน้าเขา เธอเป็นคนอ่อนโยนและใจกว้างมาโดยตลอด เธอไม่เคยดูเหมือนคนปากร้ายที่ชอบด่ากราดแบบในตอนนี้ เจียงฉูฉู่ตื่นตระหนกขึ้นมาทันที เธอเอาผ้าห่มออกแล้วลุกจากเตียง “เย่ นายมาที่นี่ได้ยังไง?” เมื่อพูดไปได้ครึ่งหนึ่ง น้ำตาของเจียงฉูฉู่ก็ไหลออกมา เธอร้องให้และเดินเข้าไปตรงหน้าฉินเย่ “ฉันคิดว่านายจะไม่สนใจฉันแล้ว” ฉินเย่ลดสายตาลงและมองไปที่ข้อมือของเธอ “ทำไมถึงโกรธขนาดนี้?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจียงฉูฉู่จึงรีบอธิบาย: "ฉัน ฉันคิดว่านายไม่สนใจฉันแล้ว ฉันก็เลยอารมณ์ไม่ดีมากๆ ฉันขอโทษ... ฉันไม่ได้ตั้งใจ เสี่ยวเหลียน เธอไม่เป็นไรใช่ไหม?" เสี่ยวเหลียนส่ายหัว เธอต่อว่าฉูฉู่อยู่ภายในใจว่าเป็นพวกตีสองหน้าเก่ง จากนั้นก็ถอยหลังออกไป: "งั้นฉันออกไปก่อนนะคะ คุณหนูกับคุณฉินค่อยๆคุยกันนะคะ" เธอออกไปอย่างรวดเร็วและปิดประตูห้องผู้ป่วยให้เจียงฉูฉู่ เจียงฉูฉู่ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลากี่โมงแล้ว แต่ก็คงดึกมากแล้ว เธอไม่คิดเลยว่าฉินเย่จะมาหาเธอในเวลานี้ “เย่ นายยังโกรธฉันอยู่ใช่ไหม? ฉันอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้ นายอย่าไปฟังข่าวลือพวกนั้นนะ ฉันไม่ได้มีอะไรกับผู้ชายที่ชื่อต้วนจื่อฝ
เมื่อเจียงฉูฉู่ถูกเขาถามเช่นนั้น เธอก็ยืนเหม่อลอยอยู่กับที่ มองเขาอย่างงุนงง หลังจากนั้นสักพัก เธอก็ได้สติ หรือว่าฉินเย่จะรู้แล้วว่าเธอแอบอ้างความดีความชอบนั้น? ไม่ เป็นไปไม่ได้ ตอนนั้นที่ช่วยเขาขึ้นมา เขาอยู่ในสภาพที่ไม่ได้สติ และเสิ่นหยินอู้ก็สูญเสียความทรงจำของเธอไปแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะรู้เรื่องนี้ เว้นแต่ว่าเสิ่นหยินอู้จะได้ความทรงจำกลับคืนมา แต่นี่ก็ผ่านไปหลายปีแล้ว หากเสิ่นหยินอู้จะได้ความทรงจำกลับคืนมา เธอก็คงจะนึกเรื่องนี้ได้ไปนานแล้ว เธอจะรอมาถึงตอนนี้ไปเพื่ออะไร? ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหยินอู้ได้ความทรงจำกลับมาจริงๆ แล้วทำไมจนถึงตอนนี้หยินอู้ถึงไม่มาหาเธอล่ะ? เธอกลัวว่าจะต้องป่าวประกาศให้คนทั้งโลกรับรู้ว่าเธอคือคนที่ช่วยชีวิตฉินเย่งั้นสินะ? หลังจากคิดเช่นนั้นแล้ว เจียงฉูฉู่ก็รู้สึกว่าที่เธออ่อนไหวและหวาดระแวงมากขนาดนี้อาจเป็นเพราะความฝันนั้น การที่ฉินเย่ถามคำถามนี้ขึ้นมา มันก็เป็นโอกาสที่ดีสำหรับเธอ ขอแค่เธอแต่งเรื่องให้ตัวเองดูน่าเวทนาสักหน่อย เขาคงจะเห็นใจเธออย่างแน่นอน ถึงตอนนั้น เธอค่อยใช้โอกาสนั้นในการให้ฉินเย่ขอเธอแต่งงาน ถ้าไม่ได้ เธอก็จะใช้ชีวิตข
คำตอบนี้ทำให้เจียงฉูฉู่ตระหนกตกใจขึ้นมาจริงๆ เดิมทีเธอคิดว่าเขามาถามเรื่องนี้กับเธอเพราะเขาอยากได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่า... เมื่อนึกถึงว่าเขาได้รู้ความจริง ชะตากรรมของเขาคงจะน่าอนาถาเป็นอย่างยิ่ง เจียงฉูฉู่ก็ตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก คำพูดของเธอก็ไม่มีเหตุผลเลยสักนิด “เย่ ตอนนั้นฉันเป็นคนช่วยชีวิตนายไว้จริงๆ อย่าไปฟังหยินอู้พูดอะไรไร้สาระ เธอแค่อยากหลอกนายเพื่อที่จะได้รับความสงสารจากนาย แล้วก็อยากให้นายทิ้งฉันไป” จากคำพูดของเธอ ในที่สุดฉินเย่ก็ได้รับข้อมูลสำคัญที่เขาต้องการ เขาหรี่ดวงตาที่เฉี่ยวคมนั้นอย่างไม่ไว้วางใจ น้ำเสียงเย็นชาจนหาที่เปรียบไม่ได้ “ผมบอกหรอว่าเป็นใคร?” เจียงฉูฉู่อึ้งไปโดยสมบูรณ์ “ตอนนั้นที่ริมฝั่งมีแค่ผมกับเธอไม่ใช่หรอ ทำไมเธอถึงคิดว่าเป็นหยินอู้ที่พูดอะไรกับผม? ถ้าเธอไม่อยู่ที่นั่น เธอจะพูดอะไรมันจะสำคัญด้วยหรอ?” เมื่อพุดถึงตรงนี้ จู่ๆน้ำเสียงของฉินเย่ก็เฉียบคมขึ้นมา “หรือจะบอกว่า ในตอนนั้น ที่นั่นไม่ได้มีแค่เราสองคน แต่ยังมีบุคคลที่สามอยู่ที่นั่นด้วย!” "ไม่! ไม่มี!" เจียงฉูฉู่ส่ายหัวด้วยความตื่นตระหนก เธอหลบสายตาของฉินเย่ "ฉั
เมื่อครู่นี้เจียงฉูฉู่รู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย แต่ตอนนี้เธอได้สติกลับคืนมาแล้ว วันนี้ฉินเย่มาที่นี่เพื่อหลอกเธอ แต่ตราบใดที่เธอกัดแน่นไม่ปล่อย ใครหน้าไหนก็ทำอะไรเธอไม่ได้เมื่อคิดเช่นนั้น เจียงฉูฉู่ก็มองไปที่ฉินเย่และพูดว่า "นายมันคนเนรคุณ นายมาที่นี่เพื่อหลอกเอาหลักฐาน จะได้กลับไปอธิบายให้เสิ่นหยินอู้ฟังใช่ไหม? ฉินเย่ ฉันจะบอกอะไรให้ ฉันนะไม่ดีเท่าคนในใจของนายหรอก แต่นายคือคนที่ฉันเสี่ยงชีวิตช่วยไว้ ตอนนั้นฉันเกือบจมน้ำตายในแม่น้ำเพื่อช่วยนาย สำหรับที่เกี่ยวกับเสิ่นหยินอู้มันไม่เกี่ยวกับฉัน แต่ความดีความชอบของฉัน ใครหน้าไหนก็มาแย่งไปไม่ได้ทั้งนั้น นายอยากเป็นคนเนรคุณก็เชิญเลย แต่อย่าคิดจะมาบังคับข่มขู่เพื่อเอาหลักฐานอะไรจากฉัน” หลังจากพูดจบ เจียงฉูฉู่ก็หันหลังแล้วเดินไปนั่งลงที่ข้างๆเตียง เธอถอดรองเท้าแล้วขึ้นไปบนเตียงผู้ป่วย “สิบกว่าปีมานี้ ฉันเป็นคนที่ช่วยนายมาโดยตลอด ตอนที่ทุกคนมา พวกเขาก็เห็นแค่ฉันกับนายเท่านั้น ไม่มีเสิ่นหยินอู้อะไรเลยด้วยซ้ำ เธอมีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าเธอเป็นคนที่ช่วยชีวิตนาย ถ้านายไม่อยากยอมรับว่าฉันเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตนายไว้ก็เชิญ แสดงหลักฐานมาสิว่
แม้ว่าในที่สุดเขาก็พบเธอ แต่ใครจะกล้ารับประกันกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้? "พอได้แล้ว" เมื่อเห็นเธอกัดริมฝีปากล่างและคิดจะพูดอะไรอื่นอีก ฉินเย่ก็เอามือใหญ่โอบไปที่เอวบางของเธอ "ไม่ต้องคิดแล้ว ในเมื่อผมเลือกที่จะอยู่ นั่นก็หมายความว่าผมมั่นใจ" “แต่... เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรทำตั้งแต่แรกนะ” “นั่วนั่ว” ฉินเย่เรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วเบา “การจะทำอะไรสักอย่างน่ะ ไม่มีคำว่าควรหรือไม่ควร มีแต่เต็มหรือไม่เต็มใจเท่านั้นแหละ” “ถ้าคุณรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผมจะอยู่ที่นี่จริงๆ งั้นหลังจากที่ผมกลับไปที่จีนแล้วก็ลองคิดเรื่องที่จะเปลี่ยนสถานะให้ผมดูดีกว่าไหม?” เสิ่นหยินอู้เข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องการเรียกชื่อ เขาต้องการให้เด็กทั้งสองหยุดเรียกเขาว่าลุงเย่มู่และเรียกเขาว่าพ่อแทน หรือจะบอกว่า ที่เขาทำมามากขนาดนั้นก็เพียงเพื่อความปรารถนาเล็กๆน้อยๆเช่นนี้งั้นหรอ? เมื่อเธอคิดได้เช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป แล้วพูดว่า "คุณจะไม่บอกพวกเขางั้นหรอ?" ริมฝีปากของฉินเย่โค้งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเธอ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดเบาๆว่า: "ครั้งนี้ ผมจะไม่ไปเจอพวกเข
คำพูดทางจิตวิทยาเช่นนี้... ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบลุงโม่ไป๋มากกว่า ถึงตอนนั้น... เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็พูดว่า: "ลุงโม่ไป๋อยู่กับพวกเรามานานกว่า" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็กลั้นหายใจ "ถ้างั้น……" “แต่ลุงเย่มู่มาดูไลฟ์สดของเราบ่อยๆแล้วก็ให้รางวัลเราตลอดเลยด้วย” คำพูดประโยคหลังทำให้หัวใจที่กำลังจมดิ่งลงไปของฉินเย่ลอยกลับขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขาคิดว่าตามความคิดของซือเหนียน เขาคงจะหมดโอกาสแล้ว แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าคำพูดของซือเหนียนจะเปลี่ยนไป ซึ่งมันไม่ต่างกับเป็นการทำให้หัวใจของฉินเย่ลุกเป็นไฟ "แล้วไงต่อ?" ฉินเย่ยังคงรู้สึกประหม่ามากในขณะที่เขาถามคำถามนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะสนใจความคิดของเด็กคนหนึ่งมากขนาดนี้ เพราะกลัวว่าเด็กคนนี้จะไม่เลือกเขาแต่ไปเลือกคนอื่นแทน "ก็……"เสิ่นซือเหนียนจงใจพูดเสียงยาว เมื่อเห็นว่าการหายใจของฉินเย่ดูเหมือนจะติดๆขัดๆขึ้นมา เขาก็คิดว่ามันค่อนข้างน่าขันเล็กน้อย เขาจงใจเอียงศีรษะแล้วพูดว่า: "ลุงเย่มู่กับลุงโม่ไป๋เสมอกันครับ" เสมอกัน? ฉินเย่ตกตะลึง “เสมอกันงั้นเหรอ?” “ลุงเย่มู่ หรือว่าลุงคิดว่าลุงจะแพ้ลุงโม่ไป๋เหรอครั
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ
ฉินเย่สัญญาว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เธอ รวมถึงอาการบาดเจ็บของผู้ช่วยเฉินด้วย คนของเขาสามารถจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก ในวันถัดมา เสิ่นหยินอู้ก็ได้รับข่าวคราวล่าสุดของพวกโม่ไป๋ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยของผู้ช่วยเฉินเลย “ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินเช่นนั้น เธอก็มีลางสังหรณ์แย่ๆขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวัน จากนั้นเมื่อเธอถามถึงเขา เขาจึงปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญคืออาการบาดเจ็บของเขาหนักแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถรับรู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถอดเสื้อของเขาออกมาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บแค่ไหน ต่อมาเขาปล่อยเธอและพาเธอออกมา หลังจากที่เขากลับไป โม่ไป๋ก็คงจะยิ่งไม่เกรงใจเขามากขึ้น ตอนนี้... ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ โม่ไป๋ยังได้รับบาดเจ็บ เขาคงจะโกรธมากและระบายความโกรธทั้งหมดที่มีใส่ผู้ช่วยเฉินหรือไม่? และที่นี่คือที่ต่างประเทศ ถ้าหากว่า... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายจะมีด้านนี้เหมือนกัน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเขา “ฉันไม่ได้อึดอัด แต่ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่ คุณไม่ได้ต้องพักผ่อนเหรอ?” "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ: "เมื่อคืนนี้ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เขาคงจะไม่ได้คิดที่จะให้เธออยู่กับเขาไปตลอดใช่ไหม? เธอยังต้องไปดูแลลูกๆ “นั่วนั่ว” เขาดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ผมเป็นคนป่วย ต้องการคนอยู่ด้วยในระยะยาว" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขัดขืน ฉินเย่ก็ดึงเธอขึ้นไปนั่งบนตักเขาแล้วเอามือพยุงไว้ที่เอวของเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ เธอก็ตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้ว ฉินเย่ก้มศีรษะลงและโน้มตัวเอาหน้าลงไปซุกไว้ที่ซอกคอของเธอ เขาสูดดมกลิ่นของเธอด้วยความละโมบ ลมหายใจอันร้อนรุ่มที่ออกมาทั้งหมดถูกปล่อยออกมาที่ซอกคอของเสิ่นหยินอู้ เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็วและกระตุกหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาประทับริมฝีปากบางที่นุ่มนิ่มของเขาลงไปบนซอกคอของเธอ เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ในที่สุดเสิ่นหยินอ
เขาคว้าโทรศัพท์ไปทั้งเครื่อง เสิ่นหยินอู้ไม่ได้จับโทรศัพท์เลย เธอไม่กล้าแย่งมันคืนมาเพราะกลัวว่าระหว่างการแย่งชิงโทรศัพท์กันจะทำให้บาดแผลของเขาฉีกกว้างขึ้น “บทลงโทษอะไรกัน? ต่อให้คุณจะพูดไม่เหมาะสม แต่ก็มันไม่เกี่ยวอะไรกับบาดแผลของคุณเลย” น่าเสียดายที่ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร ฉินเย่ก็เหมือนจะไม่ได้ยินเธอ ราวกับว่าเขายินยอมที่จะรับบทลงโทษของตัวเอง เมื่อเห็นท่าทางที่นิ่งเฉยของเขา เสิ่นหยินอู้ก็พูดได้เพียงว่า: "ต่อให้คุณจะลงโทษตัวเอง แต่ก็ใช้วิธีอื่นก็ได้" วิธีอื่นเหรอ? ในที่สุดฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองเธอ “แล้วคุณว่า ต้องลงโทษแบบไหนล่ะ?”เสิ่นหยินอู้คิดอย่างจริงจังอยู่สักพัก "วิธีลงโทษคุณน่ะมี แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รอหลังจากที่แผลคุณหายดีแล้วก่อนเถอะ" “งั้นหลังจากลงโทษแล้ว คุณจะยกโทษให้ผมได้ไหม?” “เรื่องนี้ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีนะ” คำพูดที่เขาพูดในวันนี้มันทำให้เธอโกรธมากจริงๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรอีก “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจะโทรตามคุณหมอมาทำแผลให้คุณใหม่” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฉินเย่ก็ยื่นโทรศัพท์ให้เธอหลังจ
รวมถึงโม่ไป๋ด้วย การที่เขาลักพาตัวเธอไปอย่างกะทันหันก็เป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงเช่นกัน แต่สิ่งที่ฉินเย่พูดในตอนนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตื่นตระหนกขึ้นมา แต่ในไม่ช้าเธอก็สงบลง “เรื่องนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยนะ มันไม่เหมาะสมที่คุณที่จะยกตัวอย่างแบบนี้ขึ้นมา” คำตอบของเธอทำให้สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย “เป็นเพราะผมยกตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือเพราะคุณไม่สามารถตอบคำถามของผมได้เลย หรือจะบอกว่าคำตอบของคุณก็เหมือนกับที่ผมคิดไว้” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก เธอพยายามจินตนาการถึงภาพนี้ในหัว หากฉินเย่ลักพาตัวเธอ และให้เธอกับลูกๆอยู่ด้วยกันกับเขาไปตลอดชีวิตเท่านั้น ไม่ได้ ต่อให้จะเป็นเขา แต่เธอก็รับไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าพวกเขาจะสนิทสนมเพียงใด เธอก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องที่พวกเขาทำผิดกฎหมายได้ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สนใจว่าคำพูดถัดไปจะทำร้ายจิตใจของฉินเย่หรือไม่ เธอพูดออกมาตรงๆ “ใช่ คุณพูดถูก ถ้าคุณลักพาตัวฉัน ฉันก็จะไม่อยู่กับคุณ” ดวงตาของฉินเย่มืดลง “แต่ในอีกความหมายหนึ่ง การที่ฉันไม่อยู่กับคุณมันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปอยู่กับเขา ถ้าฉันจะอยู่กับคุณมัน