เธอพูดอย่างละเอียดมาก แต่ฉินเย่กลับยังรักษาสีหน้าและท่าทางเช่นเดิมของเขาไว้ ไม่รู้ว่าเขาได้ฟังสิ่งที่เธอพูดหรือไม่ “คุณได้ยินไหม?” ฉินเย่เงยหน้าขึ้นมอง "อืม" เสิ่นหยินอู้: "..." ช่างมันเถอะ ท่าทางของเขาดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ยินที่เธอพูดเลย เขาคงแทบจะไม่มีสติหลงเหลืออยู่แล้ว เธอจะพูดอะไรกับเขาได้อีกล่ะ? "เข้ามา" เธอทำได้เพียงถอยหลังไปสองก้าวแล้วหลีกทางให้ฉินเย่เข้าไป ฉินเย่มองไปที่ในห้องของเธอ แต่ไม่ได้ก้าวเข้าไป “ทำไมล่ะ? ไม่อยากเข้ามาเหรอ? งั้นฉันไป...” ก่อนที่เธอจะพูดจบ ฉินเย่ก็ก้าวเข้าไปในบ้าน ปัง หลังจากที่เขาเข้าไปในห้องแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็ลากเขาไปที่โซฟาในห้องนั่งเล่น ให้เขานั่งตรงนั้นนิ่งๆ จากนั้นก็ไปรินน้ำให้เขา “อยากได้เย็นๆ” จู่ๆเขาก็พูดขึ้น "อะไรนะ?" เสิ่นหยินอู้คิดว่าเธอได้ยินผิด: "คุณอยากดื่มน้ำเย็นๆหรอ?" "น้ำแข็ง ขอ...น้ำแข็ง ไม่มีน้ำแข็ง น้ำเย็นก็ได้" "นี่มันฤดูหนาว..." เมื่อพูดไปได้ครึ่งประโยค จู่ๆเสิ่นหยินอู้ก็นึกอะไรขึ้นได้และไม่ได้ปฏิเสธเขา หลังจากเข้าไปในครัว เธอก็เปิดตู้เย็นโดยอัตโนมัติ เนื่องจากตอนนี้เป็นฤดูหนาว ในตู้เย็นจึงไม่มี
ใครจะรู้ว่าทันทีที่นิ้วที่วาววับของเสิ่นหยินอู้แตะกระดุมเม็ดแรกของเสื้อเชิ้ต อยู่ดีๆเธอก็ถูกเขาจับข้อมือเอาไว้ แรงนั้นเยอะมากและดุร้ายมาก เสิ่นหยินอู้เงยหน้าขึ้นไปสบตากับสายตาที่มืดมนและลึกล้ำของเขา ในห้องนั่งเล่นที่ไม่สว่างมากนัก ฉินเย่จ้องมองเธอเขม็งด้วยสายตาที่ดุร้ายเหมือนหมาป่า ราวกับว่า เขากำลังจะกระโจนเข้ามาหาเธอ เสิ่นหยินอู้ตกใจ ไม่รู้ว่าเขาตื่นตั้งแต่เมื่อไร ตื่นขึ้นมาก็ดีแล้ว จะได้ให้เขาเช็ดตัวเอง แต่... เขาดูผิดปกติมาก เขาคงไม่ได้สูญเสียความรู้สึกผิดชอบชั่วดีไปใช่ไหม? แม้ว่าเธอจะไม่เคยลอง แต่เธอก็เคยได้ยินมาว่าของบางอย่างถ้าโดนเข้าไปก็อาจจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ถ้าหาก... เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถคิดอะไรได้มาก เพราะเธอรู้สึกว่าแรงที่ข้อมือของเธอแรงขึ้น และลมหายใจของฉินเย่ก็หนักหน่วงขึ้น สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอพยายามดึงมือกลับพร้อมพูดว่า: "ผ้าเช็ดตัวอยู่ข้างๆ ในเมื่อตื่นแล้ว งั้นคุณก็เช็ดเอง...อ๊ะ..." เสิ่นหยินอู้ยังไม่ทันจะพูดจบประโยค เธออุทานด้วยความตกใจ เธอถูกฉินเย่ดึงไปตรงหน้าเขา จากนั้นฉินเย่ก็กดลงบนโซฟาในเสี้ยววินาที ลมหายใจที่ชัดเจนของชายคน
"อย่าเข้ามา"ดูเหมือนเขาจะพยายามควบคุมตัวเองอย่างหนัก แต่เขากลับหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง และ... เขาโดนยานั้น ดังนั้นในตอนนี้เขาคงจะกำลังทำสิ่งที่อธิบายออกมาไม่ได้อยู่ เสิ่นหยินอู้กัดริมฝีปากล่าง อยากจะเข้าไปดึงเขาออกมาจริงๆ หลังจากอดทนครู่พักหนึ่ง เธอก็ยังอดใจไม่ได้และพูดกับเขาผ่านประตู: "คุณ... แค่อาบน้ำเย็นๆก็พอ อย่าทำอะไรแปลกๆในนั้นนะ" สิ่งที่ตอบกลับ คือเสียงหอบหายใจเบาๆพร้อมกับเสียงน้ำ เสิ่นหยินอู้: "!" “ฉินเย่ คุณได้ยินที่ฉันบอกคุณหรือเปล่า?” “ฉินเย่!” อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเธอจะเรียกเขาอย่างไร เขาก็ไม่สนใจเธอ ราวกับว่าเขาได้ตัดสินใจที่จะเมินเธอแล้ว หรือบางทีตอนนี้เขาอาจจะกำลังยุ่งอยู่และไม่มีเวลามาสนใจเธอ เสิ่นหยินอู้โกรธเขามาก เธอรู้ดีว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะตะโกนต่อไป ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงยอมแพ้ เธอหันหลังเดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่น หยิบแก้วที่เขาดื่มไปล้างที่ห้องครัว ต่อจากนั้นก็หันหลังกลับไปดูเด็กๆทั้งสอง เมื่อพบว่าเด็กทั้งสองยังคงนอนหลับสนิทและไม่ได้ถูกปลุก เสิ่นหยินอู้ก็โล่งใจ หลังจากนั้นประมาณห้านาที เธอก็กลับไปที่ประตูห้องน้ำและเคาะประตู เธอยังคงได
"อะไรนะ?" เสียงน้ำไหลดังไปทั่วห้อง และเสียงของฉินเย่ก็เบามาก ดังนั้นในขณะนั้นเสิ่นหยินอู้จึงได้ยินสิ่งที่เขาพูดไม่ชัดเจนนัก เธอทำได้เพียงนั่งลงไปแล้วถามเขาอีกครั้ง “เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ?” ฉินเย่มองเธอดวงตาสีดำเข้มของเขา “เอาเสื้อผ้ามาจากไหน?” เธอไม่มีผู้ชายในครอบครัว แล้วเธอจะไปเอาเสื้อผ้าผู้ชายมาจากที่ไหน? ครั้งนี้ เสิ่นหยินอู้ได้ยินชัดเจน เธอชะงักไป แต่ยังไม่ทันที่เธอจะตอบ เธอก็ได้ยินฉินเย่พูดด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราด: "ถ้าเป็นของคนอื่น ผมไม่ใส่" เสิ่นหยินอู้: "..." เมื่อดูจากสีหน้าและน้ำเสียงของเขา หรือว่าเขาจะคิดว่าชุดนั้นเป็นของคนอื่น? ก็เลยจะไม่ใส่งั้นเหรอ? หลังจากได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็หัวเราะเยาะต่อหน้าเขา "ได้ ถ้าคุณจะไม่ใส่ งั้นคุณก็นั่งอยู่ตรงนี้แหละ ฉันไม่มานั่งเอาใจคุณหรอกนะ ฉันจะออกไปโทรหาผู้ช่วยของคุณ ให้เขามาพาคุณกลับไป” เขามาที่นี่ในกลางดึกและมารบกวนเธอตั้งนาน เธอไม่ได้นอนด้วยซ้ำ และตอนนี้เขายังทำเช่นนี้ต่อหน้าเธองั้นเหรอ? เธอไม่ยอมหรอก! หลังจากพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็หันหลังและกำลังเดินออกไป หลังจากก้าวออกไปหนึ่งก้าว เธอก็รู้สึกถึงแรงดึงที่ชา
มีเพียงคำถามเดียวที่หลงเหลืออยู่ในหัวของเขา ชุดของผู้ชายชุดนี้เป็นของใครกัน? เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะคาดเดาได้ว่าเขาจะมาแล้วก็เตรียมไว้ให้เขา ฉินเย่สวมเสื้อผ้าด้วยเศษเสี้ยวความหวังสุดท้าย จากนั้นสีหน้าของเขาก็มืดมนอย่างสมบูรณ์ ทั้งเสื้อและกางเกงใหญ่กว่าตัวเขามากกว่าหนึ่งไซส์ มันดูหลวมโครกครากเมื่ออยู่บนตัวของเขา โชคดีที่เสื้อผ้าไม่มีกลิ่น คงไม่มีใครเคยใส่มาก่อน เพียงแค่ผ่านการซักมาเท่านั้น แต่ใบหน้าของฉินเย่กลับบูดบึ้งเมื่อเขาคิดว่าเธอได้เตรียมเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนไว้ให้กับผู้ชายคนอื่น โม่ไป๋.... หรือว่าเสื้อผ้าชุดนี้จะเตรียมไว้ให้เขางั้นเหรอ? ความสัมพันธ์ของเธอกับเขามาไกลถึงขนาดนี้แล้วเหรอ? ไฟแห่งความริษยาแผดเผาอยู่ในอกของฉินเย่ “คุณมัวอืดอาดยืดยาดอะไรอยู่ในนั้น?” เสียงของเสิ่นหยินอู้ดังมาจากที่ประตู และฉินเย่ก็ได้สติ จากนั้นก็เปิดประตูแล้วเดินออกไป หลังจากที่เขาออกมา เสิ่นหยินอู้ก็มองเขาด้วยความเข้าใจ เสื้อผ้าที่เขาสวมนั้นใหญ่เกินไปสำหรับเขา เธอพยักหน้า: "ถึงเสื้อจะใหญ่ไปหน่อย แต่ในตอนนี้ก็ได้แค่แบบนี้ไปก่อน" หลังจากพูดจบ เธอก็ยื่นเสื้อคลุมตัวหนึ่งให้เ
เมื่อกลับมาที่ห้องของตัวเอง ทุกอย่างถึงสงบลงก่อนหน้านี้ตอนที่เธอรอเขา เธอยังงีบหลับได้ แต่ตอนนี้เขาไม่เป็นอะไรแล้ว กลับเป็นเธอที่ใจไม่สงบเลยเสิ่นหยินอู้นอนอยู่บนเตียง ทั้งๆ ที่ตอนนี้ควรจะนอนหลับ แต่เธอกลับอดไม่ได้ที่จะนึกทบทวนเรื่องราวของวันนี้ เขาถูกเจียงฉู่ฉู่วางยา แล้วก็วิ่งมาที่นี่ แสดงว่าเขาไม่ต้องการมีอะไรกับเจียงฉู่ฉู่ เรื่องนี้ถ้าเป็นเมื่อก่อน เธอคงไม่เชื่อ เพราะก่อนหน้านี้เขาเคยขอหย่ากับเธอเพื่อเจียงฉู่ฉู่ ถึงแม้จะเป็นการแต่งงานหลอกๆ แต่ตอนนั้นเขาก็แสดงออกชัดเจนว่าหัวใจเขาอยู่กับเจียงฉู่ฉู่ แต่ทำไมระหว่างเขากับเจียงฉู่ฉู่ถึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย? เหตุผลที่เสิ่นหยินอู้คิดแบบนี้ ก็เพราะว่าถ้าหากเขากับเจียงฉู่ฉู่มีอะไรกันจริงๆ เจียงฉู่ฉู่ก็คงไม่ถูกบีบให้ทำร้ายเขาตอนแรกเธอคิดจะทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาให้ชัดเจน แต่ยิ่งคิดกลับยิ่งไม่เข้าใจฉินเย่ ตามเหตุผล เขาควรจะชอบเจียงฉู่ฉู่ แถมเธอยังเป็นคนช่วยชีวิตเขา แต่ทำไมเขากับเธอถึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เรื่องนี้แปลกมากแต่กลับกลายเป็นว่า...... ทั้งๆ ที่พวกเขาบอกว่าแต่งงานกันแบบหลอกๆ แต่ทั้งคู่กลับ......เสิ่นหยินอู้พล
เสิ่นหยินอู้ "ฉัน......""เธออยากจะเถียงฉันใช่ไหม เพราะว่าเขาเป็นพ่อของลูกๆ เธอถึงได้ยอมให้เขาเข้ามา?" เสิ่นหยินอู้ถึงกับพูดไม่ออก ไม่คิดว่าเธอจะเดาคำพูดที่ตัวเองจะพูดต่อไปได้ เธอเม้มปาก ไม่ได้พูดอะไรต่อ"ไม่พูด ก็แปลว่าตามนั้นใช่ไหม? ถ้าเป็นเพียงแค่เขาเป็นพ่อของลูกๆ เธอก็ไม่ควรจะช่วยเขาแล้วไม่ใช่เหรอ? ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้กลัวหรอว่าเขาจะมาแย่งลูกไป? ถ้าเขาถูกแผนของเจียงฉูฉู่หลอก เขากับเจียงฉูฉู่ก็จะเป็นคู่กัน และถ้าเจียงฉูฉู่คลอดลูกออกมา งั้นฉินเย่กับเจียงฉูฉู่ก็จะมีลูกเป็นของตัวเอง แล้วตอนนั้นเขาจะยังมาแย่งลูกกับเธออีกเหรอ?"เสิ่นหยินอู้ยังคงไม่พูดอะไร เพราะเธอรู้ว่าโจวชวงชวงพูดถูกถ้าฉินเย่ติดกับดักในคืนนี้ งั้นเขากับเจียงฉู่ฉู่ก็...... เมื่อพวกเขามีลูกของตัวเองแล้ว ก็คงไม่คิดถึงเหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนอีกต่อไปแต่......ทำไมตอนนั้นเธอถึงช่วยเขา?ทั้งๆ ที่เธอได้ปฏิเสธไม่ให้เขาเข้าบ้าน แต่ทำไมเธอกลับมาเสียใจ แล้วใจอ่อนเปิดประตูให้เขาเข้ามาได้ หลังจากนั้น...... คิดมาถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ยกมือขึ้นจับหน้าผาก ครั้งแรกที่เปิดประตู เธอไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ครั้งที่สอง....
เสิ่นหยินอู้คิดว่าตัวเองฟังผิดไปคำพูดก่อนหน้านั้นพอเข้าใจได้ แต่คำพูดหลังจากนั้น เขามีความคิดแบบไหนถึงได้พูดออกมา?"เข้ามานอนในห้องฉัน? คุณรู้ตัวเองว่ากำลังพูดอะไรอยู่หรือเปล่า?"เสิ่นหยินอู้มองเขาอย่างหมดคำพูด "คุณคิดหรอว่าฉันเซ็นสัญญานั้นแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเราจะกลับไปเหมือนเดิม?""ไม่ใช่" ฉินเย่ก้มหน้าลง พูดด้วยเสียงเบาๆ "ก็แค่โดนน้ำเย็นมานาน อากาศข้างนอกมันหนาว" "ถ้าหนาวก็ห่มผ้าห่มสิ?" พูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็หันไปเปิดตู้ ตั้งใจจะหยิบผ้าห่มอีกผืนให้เขา แต่เมื่อเปิดตู้ก็พบว่ามันว่างเปล่าเพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดคิด เธอจึงเตรียมผ้าห่มไว้เพียงแค่ผืนเดียว ซึ่งผ้าห่มผืนนั้นเธอได้ให้ฉินเย่ไปแล้ว ถ้าผ้าห่มนั้นยังไม่พออีกล่ะก็...... เสิ่นหยินอู้จึงหันกลับมาอย่างไม่พอใจ แล้วส่งผ้าห่มของตัวเองให้เขา"นี่ เอาไป ผ้าห่มสองผืนน่าจะพอแล้วนะ? ตอนนี้จะตีสามแล้ว ถ้าคุณยังมารบกวนฉันอีก ฉันจะไล่คุณออกไป" ฉินเย่มองดูเธอที่อุ้มผ้าห่มออกมาจากเตียงของเธอเอง จึงไม่ได้รับไว้ "ไม่ต้องแล้ว แค่นี้ก็พอ" พูดจบ เขาก็หันหลังเดินออกไป เสิ่นหยินอู้"......"ไม่เอาก็ไม่ต้องเอา! เธอไม่อยากยุ่
แม้ว่าในที่สุดเขาก็พบเธอ แต่ใครจะกล้ารับประกันกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้? "พอได้แล้ว" เมื่อเห็นเธอกัดริมฝีปากล่างและคิดจะพูดอะไรอื่นอีก ฉินเย่ก็เอามือใหญ่โอบไปที่เอวบางของเธอ "ไม่ต้องคิดแล้ว ในเมื่อผมเลือกที่จะอยู่ นั่นก็หมายความว่าผมมั่นใจ" “แต่... เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรทำตั้งแต่แรกนะ” “นั่วนั่ว” ฉินเย่เรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วเบา “การจะทำอะไรสักอย่างน่ะ ไม่มีคำว่าควรหรือไม่ควร มีแต่เต็มหรือไม่เต็มใจเท่านั้นแหละ” “ถ้าคุณรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผมจะอยู่ที่นี่จริงๆ งั้นหลังจากที่ผมกลับไปที่จีนแล้วก็ลองคิดเรื่องที่จะเปลี่ยนสถานะให้ผมดูดีกว่าไหม?” เสิ่นหยินอู้เข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องการเรียกชื่อ เขาต้องการให้เด็กทั้งสองหยุดเรียกเขาว่าลุงเย่มู่และเรียกเขาว่าพ่อแทน หรือจะบอกว่า ที่เขาทำมามากขนาดนั้นก็เพียงเพื่อความปรารถนาเล็กๆน้อยๆเช่นนี้งั้นหรอ? เมื่อเธอคิดได้เช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป แล้วพูดว่า "คุณจะไม่บอกพวกเขางั้นหรอ?" ริมฝีปากของฉินเย่โค้งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเธอ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดเบาๆว่า: "ครั้งนี้ ผมจะไม่ไปเจอพวกเข
คำพูดทางจิตวิทยาเช่นนี้... ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบลุงโม่ไป๋มากกว่า ถึงตอนนั้น... เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็พูดว่า: "ลุงโม่ไป๋อยู่กับพวกเรามานานกว่า" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็กลั้นหายใจ "ถ้างั้น……" “แต่ลุงเย่มู่มาดูไลฟ์สดของเราบ่อยๆแล้วก็ให้รางวัลเราตลอดเลยด้วย” คำพูดประโยคหลังทำให้หัวใจที่กำลังจมดิ่งลงไปของฉินเย่ลอยกลับขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขาคิดว่าตามความคิดของซือเหนียน เขาคงจะหมดโอกาสแล้ว แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าคำพูดของซือเหนียนจะเปลี่ยนไป ซึ่งมันไม่ต่างกับเป็นการทำให้หัวใจของฉินเย่ลุกเป็นไฟ "แล้วไงต่อ?" ฉินเย่ยังคงรู้สึกประหม่ามากในขณะที่เขาถามคำถามนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะสนใจความคิดของเด็กคนหนึ่งมากขนาดนี้ เพราะกลัวว่าเด็กคนนี้จะไม่เลือกเขาแต่ไปเลือกคนอื่นแทน "ก็……"เสิ่นซือเหนียนจงใจพูดเสียงยาว เมื่อเห็นว่าการหายใจของฉินเย่ดูเหมือนจะติดๆขัดๆขึ้นมา เขาก็คิดว่ามันค่อนข้างน่าขันเล็กน้อย เขาจงใจเอียงศีรษะแล้วพูดว่า: "ลุงเย่มู่กับลุงโม่ไป๋เสมอกันครับ" เสมอกัน? ฉินเย่ตกตะลึง “เสมอกันงั้นเหรอ?” “ลุงเย่มู่ หรือว่าลุงคิดว่าลุงจะแพ้ลุงโม่ไป๋เหรอครั
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ
ฉินเย่สัญญาว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เธอ รวมถึงอาการบาดเจ็บของผู้ช่วยเฉินด้วย คนของเขาสามารถจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก ในวันถัดมา เสิ่นหยินอู้ก็ได้รับข่าวคราวล่าสุดของพวกโม่ไป๋ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยของผู้ช่วยเฉินเลย “ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินเช่นนั้น เธอก็มีลางสังหรณ์แย่ๆขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวัน จากนั้นเมื่อเธอถามถึงเขา เขาจึงปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญคืออาการบาดเจ็บของเขาหนักแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถรับรู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถอดเสื้อของเขาออกมาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บแค่ไหน ต่อมาเขาปล่อยเธอและพาเธอออกมา หลังจากที่เขากลับไป โม่ไป๋ก็คงจะยิ่งไม่เกรงใจเขามากขึ้น ตอนนี้... ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ โม่ไป๋ยังได้รับบาดเจ็บ เขาคงจะโกรธมากและระบายความโกรธทั้งหมดที่มีใส่ผู้ช่วยเฉินหรือไม่? และที่นี่คือที่ต่างประเทศ ถ้าหากว่า... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายจะมีด้านนี้เหมือนกัน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเขา “ฉันไม่ได้อึดอัด แต่ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่ คุณไม่ได้ต้องพักผ่อนเหรอ?” "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ: "เมื่อคืนนี้ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เขาคงจะไม่ได้คิดที่จะให้เธออยู่กับเขาไปตลอดใช่ไหม? เธอยังต้องไปดูแลลูกๆ “นั่วนั่ว” เขาดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ผมเป็นคนป่วย ต้องการคนอยู่ด้วยในระยะยาว" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขัดขืน ฉินเย่ก็ดึงเธอขึ้นไปนั่งบนตักเขาแล้วเอามือพยุงไว้ที่เอวของเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ เธอก็ตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้ว ฉินเย่ก้มศีรษะลงและโน้มตัวเอาหน้าลงไปซุกไว้ที่ซอกคอของเธอ เขาสูดดมกลิ่นของเธอด้วยความละโมบ ลมหายใจอันร้อนรุ่มที่ออกมาทั้งหมดถูกปล่อยออกมาที่ซอกคอของเสิ่นหยินอู้ เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็วและกระตุกหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาประทับริมฝีปากบางที่นุ่มนิ่มของเขาลงไปบนซอกคอของเธอ เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ในที่สุดเสิ่นหยินอ
เขาคว้าโทรศัพท์ไปทั้งเครื่อง เสิ่นหยินอู้ไม่ได้จับโทรศัพท์เลย เธอไม่กล้าแย่งมันคืนมาเพราะกลัวว่าระหว่างการแย่งชิงโทรศัพท์กันจะทำให้บาดแผลของเขาฉีกกว้างขึ้น “บทลงโทษอะไรกัน? ต่อให้คุณจะพูดไม่เหมาะสม แต่ก็มันไม่เกี่ยวอะไรกับบาดแผลของคุณเลย” น่าเสียดายที่ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร ฉินเย่ก็เหมือนจะไม่ได้ยินเธอ ราวกับว่าเขายินยอมที่จะรับบทลงโทษของตัวเอง เมื่อเห็นท่าทางที่นิ่งเฉยของเขา เสิ่นหยินอู้ก็พูดได้เพียงว่า: "ต่อให้คุณจะลงโทษตัวเอง แต่ก็ใช้วิธีอื่นก็ได้" วิธีอื่นเหรอ? ในที่สุดฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองเธอ “แล้วคุณว่า ต้องลงโทษแบบไหนล่ะ?”เสิ่นหยินอู้คิดอย่างจริงจังอยู่สักพัก "วิธีลงโทษคุณน่ะมี แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รอหลังจากที่แผลคุณหายดีแล้วก่อนเถอะ" “งั้นหลังจากลงโทษแล้ว คุณจะยกโทษให้ผมได้ไหม?” “เรื่องนี้ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีนะ” คำพูดที่เขาพูดในวันนี้มันทำให้เธอโกรธมากจริงๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรอีก “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจะโทรตามคุณหมอมาทำแผลให้คุณใหม่” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฉินเย่ก็ยื่นโทรศัพท์ให้เธอหลังจ
รวมถึงโม่ไป๋ด้วย การที่เขาลักพาตัวเธอไปอย่างกะทันหันก็เป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงเช่นกัน แต่สิ่งที่ฉินเย่พูดในตอนนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตื่นตระหนกขึ้นมา แต่ในไม่ช้าเธอก็สงบลง “เรื่องนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยนะ มันไม่เหมาะสมที่คุณที่จะยกตัวอย่างแบบนี้ขึ้นมา” คำตอบของเธอทำให้สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย “เป็นเพราะผมยกตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือเพราะคุณไม่สามารถตอบคำถามของผมได้เลย หรือจะบอกว่าคำตอบของคุณก็เหมือนกับที่ผมคิดไว้” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก เธอพยายามจินตนาการถึงภาพนี้ในหัว หากฉินเย่ลักพาตัวเธอ และให้เธอกับลูกๆอยู่ด้วยกันกับเขาไปตลอดชีวิตเท่านั้น ไม่ได้ ต่อให้จะเป็นเขา แต่เธอก็รับไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าพวกเขาจะสนิทสนมเพียงใด เธอก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องที่พวกเขาทำผิดกฎหมายได้ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สนใจว่าคำพูดถัดไปจะทำร้ายจิตใจของฉินเย่หรือไม่ เธอพูดออกมาตรงๆ “ใช่ คุณพูดถูก ถ้าคุณลักพาตัวฉัน ฉันก็จะไม่อยู่กับคุณ” ดวงตาของฉินเย่มืดลง “แต่ในอีกความหมายหนึ่ง การที่ฉันไม่อยู่กับคุณมันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปอยู่กับเขา ถ้าฉันจะอยู่กับคุณมัน