หลังจากที่รู้ว่าเหตุใดฉินเย่จึงตัวร้อนไปทั้งตัวทั้งที่ไม่ได้ดื่มเหล้าและไม่มีไข้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายลงไป อาจเป็นเพราะตกใจ ริมฝีปากของเธอจึงเปิดออกเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่งเธอก็กัดริมฝีปากล่างของเธอเบา ๆ “แล้วไงล่ะ? คุณก็รู้ว่าคุณกำลังตกอยู่ในสภาพนี้ คุณมาหาฉันทำไม?” คนที่กอดเธออยู่เงียบไปนาน จากนั้นจึงตอบเธอ "ผม.....ไม่รู้" เสียงของเขาดูเหมือนจะสับสนเล็กน้อย “นอกจากคุณ...ผมไม่รู้จะไปหาใคร” หลังจากพูดจบ เขาก็กอดเธอแน่นขึ้นอีก หลับตาแล้วซุกหัวไว้ที่คอของเธอ เขาแทบจะทนไม่ไหว การกอดเช่นนี้และกลิ่นอายของเธอทำให้เขารู้สึกสบายใจมากขึ้น อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าคนข้างๆเขาคือเธอ ไม่ใช่คนอื่น “คุณไม่รู้ว่าจะไปหาใคร ก็เลยมาหาฉันงั้นหรอ?” "ไม่ใช่……" เสียงของเขาฟังดูเหมือนเขาได้เสียความมีเหตุผลไปแล้ว และคำพูดของเขาก็ติดๆขัดๆ: "ผม... ผมแค่อยากจะ... มาหาคุณ" เสิ่นหยินอู้โกรธเล็กน้อยและทำอะไรไม่ถูก “คุณมาหาฉันจะไปมีประโยชน์อะไร? ด้วยความสัมพันธ์ของเรา คุณคิดว่าฉันจะช่วยคุณได้หรอ?” หลังจากพูดจบ เธอก็วางมือลงบนหน้าอกของฉินเย่แล้วผลักเขาออกไปอย่างแรง ฉิน
เธอพูดอย่างละเอียดมาก แต่ฉินเย่กลับยังรักษาสีหน้าและท่าทางเช่นเดิมของเขาไว้ ไม่รู้ว่าเขาได้ฟังสิ่งที่เธอพูดหรือไม่ “คุณได้ยินไหม?” ฉินเย่เงยหน้าขึ้นมอง "อืม" เสิ่นหยินอู้: "..." ช่างมันเถอะ ท่าทางของเขาดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ยินที่เธอพูดเลย เขาคงแทบจะไม่มีสติหลงเหลืออยู่แล้ว เธอจะพูดอะไรกับเขาได้อีกล่ะ? "เข้ามา" เธอทำได้เพียงถอยหลังไปสองก้าวแล้วหลีกทางให้ฉินเย่เข้าไป ฉินเย่มองไปที่ในห้องของเธอ แต่ไม่ได้ก้าวเข้าไป “ทำไมล่ะ? ไม่อยากเข้ามาเหรอ? งั้นฉันไป...” ก่อนที่เธอจะพูดจบ ฉินเย่ก็ก้าวเข้าไปในบ้าน ปัง หลังจากที่เขาเข้าไปในห้องแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็ลากเขาไปที่โซฟาในห้องนั่งเล่น ให้เขานั่งตรงนั้นนิ่งๆ จากนั้นก็ไปรินน้ำให้เขา “อยากได้เย็นๆ” จู่ๆเขาก็พูดขึ้น "อะไรนะ?" เสิ่นหยินอู้คิดว่าเธอได้ยินผิด: "คุณอยากดื่มน้ำเย็นๆหรอ?" "น้ำแข็ง ขอ...น้ำแข็ง ไม่มีน้ำแข็ง น้ำเย็นก็ได้" "นี่มันฤดูหนาว..." เมื่อพูดไปได้ครึ่งประโยค จู่ๆเสิ่นหยินอู้ก็นึกอะไรขึ้นได้และไม่ได้ปฏิเสธเขา หลังจากเข้าไปในครัว เธอก็เปิดตู้เย็นโดยอัตโนมัติ เนื่องจากตอนนี้เป็นฤดูหนาว ในตู้เย็นจึงไม่มี
ใครจะรู้ว่าทันทีที่นิ้วที่วาววับของเสิ่นหยินอู้แตะกระดุมเม็ดแรกของเสื้อเชิ้ต อยู่ดีๆเธอก็ถูกเขาจับข้อมือเอาไว้ แรงนั้นเยอะมากและดุร้ายมาก เสิ่นหยินอู้เงยหน้าขึ้นไปสบตากับสายตาที่มืดมนและลึกล้ำของเขา ในห้องนั่งเล่นที่ไม่สว่างมากนัก ฉินเย่จ้องมองเธอเขม็งด้วยสายตาที่ดุร้ายเหมือนหมาป่า ราวกับว่า เขากำลังจะกระโจนเข้ามาหาเธอ เสิ่นหยินอู้ตกใจ ไม่รู้ว่าเขาตื่นตั้งแต่เมื่อไร ตื่นขึ้นมาก็ดีแล้ว จะได้ให้เขาเช็ดตัวเอง แต่... เขาดูผิดปกติมาก เขาคงไม่ได้สูญเสียความรู้สึกผิดชอบชั่วดีไปใช่ไหม? แม้ว่าเธอจะไม่เคยลอง แต่เธอก็เคยได้ยินมาว่าของบางอย่างถ้าโดนเข้าไปก็อาจจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ถ้าหาก... เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถคิดอะไรได้มาก เพราะเธอรู้สึกว่าแรงที่ข้อมือของเธอแรงขึ้น และลมหายใจของฉินเย่ก็หนักหน่วงขึ้น สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอพยายามดึงมือกลับพร้อมพูดว่า: "ผ้าเช็ดตัวอยู่ข้างๆ ในเมื่อตื่นแล้ว งั้นคุณก็เช็ดเอง...อ๊ะ..." เสิ่นหยินอู้ยังไม่ทันจะพูดจบประโยค เธออุทานด้วยความตกใจ เธอถูกฉินเย่ดึงไปตรงหน้าเขา จากนั้นฉินเย่ก็กดลงบนโซฟาในเสี้ยววินาที ลมหายใจที่ชัดเจนของชายคน
"อย่าเข้ามา"ดูเหมือนเขาจะพยายามควบคุมตัวเองอย่างหนัก แต่เขากลับหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง และ... เขาโดนยานั้น ดังนั้นในตอนนี้เขาคงจะกำลังทำสิ่งที่อธิบายออกมาไม่ได้อยู่ เสิ่นหยินอู้กัดริมฝีปากล่าง อยากจะเข้าไปดึงเขาออกมาจริงๆ หลังจากอดทนครู่พักหนึ่ง เธอก็ยังอดใจไม่ได้และพูดกับเขาผ่านประตู: "คุณ... แค่อาบน้ำเย็นๆก็พอ อย่าทำอะไรแปลกๆในนั้นนะ" สิ่งที่ตอบกลับ คือเสียงหอบหายใจเบาๆพร้อมกับเสียงน้ำ เสิ่นหยินอู้: "!" “ฉินเย่ คุณได้ยินที่ฉันบอกคุณหรือเปล่า?” “ฉินเย่!” อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเธอจะเรียกเขาอย่างไร เขาก็ไม่สนใจเธอ ราวกับว่าเขาได้ตัดสินใจที่จะเมินเธอแล้ว หรือบางทีตอนนี้เขาอาจจะกำลังยุ่งอยู่และไม่มีเวลามาสนใจเธอ เสิ่นหยินอู้โกรธเขามาก เธอรู้ดีว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะตะโกนต่อไป ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงยอมแพ้ เธอหันหลังเดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่น หยิบแก้วที่เขาดื่มไปล้างที่ห้องครัว ต่อจากนั้นก็หันหลังกลับไปดูเด็กๆทั้งสอง เมื่อพบว่าเด็กทั้งสองยังคงนอนหลับสนิทและไม่ได้ถูกปลุก เสิ่นหยินอู้ก็โล่งใจ หลังจากนั้นประมาณห้านาที เธอก็กลับไปที่ประตูห้องน้ำและเคาะประตู เธอยังคงได
"อะไรนะ?" เสียงน้ำไหลดังไปทั่วห้อง และเสียงของฉินเย่ก็เบามาก ดังนั้นในขณะนั้นเสิ่นหยินอู้จึงได้ยินสิ่งที่เขาพูดไม่ชัดเจนนัก เธอทำได้เพียงนั่งลงไปแล้วถามเขาอีกครั้ง “เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ?” ฉินเย่มองเธอดวงตาสีดำเข้มของเขา “เอาเสื้อผ้ามาจากไหน?” เธอไม่มีผู้ชายในครอบครัว แล้วเธอจะไปเอาเสื้อผ้าผู้ชายมาจากที่ไหน? ครั้งนี้ เสิ่นหยินอู้ได้ยินชัดเจน เธอชะงักไป แต่ยังไม่ทันที่เธอจะตอบ เธอก็ได้ยินฉินเย่พูดด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราด: "ถ้าเป็นของคนอื่น ผมไม่ใส่" เสิ่นหยินอู้: "..." เมื่อดูจากสีหน้าและน้ำเสียงของเขา หรือว่าเขาจะคิดว่าชุดนั้นเป็นของคนอื่น? ก็เลยจะไม่ใส่งั้นเหรอ? หลังจากได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็หัวเราะเยาะต่อหน้าเขา "ได้ ถ้าคุณจะไม่ใส่ งั้นคุณก็นั่งอยู่ตรงนี้แหละ ฉันไม่มานั่งเอาใจคุณหรอกนะ ฉันจะออกไปโทรหาผู้ช่วยของคุณ ให้เขามาพาคุณกลับไป” เขามาที่นี่ในกลางดึกและมารบกวนเธอตั้งนาน เธอไม่ได้นอนด้วยซ้ำ และตอนนี้เขายังทำเช่นนี้ต่อหน้าเธองั้นเหรอ? เธอไม่ยอมหรอก! หลังจากพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็หันหลังและกำลังเดินออกไป หลังจากก้าวออกไปหนึ่งก้าว เธอก็รู้สึกถึงแรงดึงที่ชา
มีเพียงคำถามเดียวที่หลงเหลืออยู่ในหัวของเขา ชุดของผู้ชายชุดนี้เป็นของใครกัน? เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะคาดเดาได้ว่าเขาจะมาแล้วก็เตรียมไว้ให้เขา ฉินเย่สวมเสื้อผ้าด้วยเศษเสี้ยวความหวังสุดท้าย จากนั้นสีหน้าของเขาก็มืดมนอย่างสมบูรณ์ ทั้งเสื้อและกางเกงใหญ่กว่าตัวเขามากกว่าหนึ่งไซส์ มันดูหลวมโครกครากเมื่ออยู่บนตัวของเขา โชคดีที่เสื้อผ้าไม่มีกลิ่น คงไม่มีใครเคยใส่มาก่อน เพียงแค่ผ่านการซักมาเท่านั้น แต่ใบหน้าของฉินเย่กลับบูดบึ้งเมื่อเขาคิดว่าเธอได้เตรียมเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนไว้ให้กับผู้ชายคนอื่น โม่ไป๋.... หรือว่าเสื้อผ้าชุดนี้จะเตรียมไว้ให้เขางั้นเหรอ? ความสัมพันธ์ของเธอกับเขามาไกลถึงขนาดนี้แล้วเหรอ? ไฟแห่งความริษยาแผดเผาอยู่ในอกของฉินเย่ “คุณมัวอืดอาดยืดยาดอะไรอยู่ในนั้น?” เสียงของเสิ่นหยินอู้ดังมาจากที่ประตู และฉินเย่ก็ได้สติ จากนั้นก็เปิดประตูแล้วเดินออกไป หลังจากที่เขาออกมา เสิ่นหยินอู้ก็มองเขาด้วยความเข้าใจ เสื้อผ้าที่เขาสวมนั้นใหญ่เกินไปสำหรับเขา เธอพยักหน้า: "ถึงเสื้อจะใหญ่ไปหน่อย แต่ในตอนนี้ก็ได้แค่แบบนี้ไปก่อน" หลังจากพูดจบ เธอก็ยื่นเสื้อคลุมตัวหนึ่งให้เ
เมื่อกลับมาที่ห้องของตัวเอง ทุกอย่างถึงสงบลงก่อนหน้านี้ตอนที่เธอรอเขา เธอยังงีบหลับได้ แต่ตอนนี้เขาไม่เป็นอะไรแล้ว กลับเป็นเธอที่ใจไม่สงบเลยเสิ่นหยินอู้นอนอยู่บนเตียง ทั้งๆ ที่ตอนนี้ควรจะนอนหลับ แต่เธอกลับอดไม่ได้ที่จะนึกทบทวนเรื่องราวของวันนี้ เขาถูกเจียงฉู่ฉู่วางยา แล้วก็วิ่งมาที่นี่ แสดงว่าเขาไม่ต้องการมีอะไรกับเจียงฉู่ฉู่ เรื่องนี้ถ้าเป็นเมื่อก่อน เธอคงไม่เชื่อ เพราะก่อนหน้านี้เขาเคยขอหย่ากับเธอเพื่อเจียงฉู่ฉู่ ถึงแม้จะเป็นการแต่งงานหลอกๆ แต่ตอนนั้นเขาก็แสดงออกชัดเจนว่าหัวใจเขาอยู่กับเจียงฉู่ฉู่ แต่ทำไมระหว่างเขากับเจียงฉู่ฉู่ถึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย? เหตุผลที่เสิ่นหยินอู้คิดแบบนี้ ก็เพราะว่าถ้าหากเขากับเจียงฉู่ฉู่มีอะไรกันจริงๆ เจียงฉู่ฉู่ก็คงไม่ถูกบีบให้ทำร้ายเขาตอนแรกเธอคิดจะทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาให้ชัดเจน แต่ยิ่งคิดกลับยิ่งไม่เข้าใจฉินเย่ ตามเหตุผล เขาควรจะชอบเจียงฉู่ฉู่ แถมเธอยังเป็นคนช่วยชีวิตเขา แต่ทำไมเขากับเธอถึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เรื่องนี้แปลกมากแต่กลับกลายเป็นว่า...... ทั้งๆ ที่พวกเขาบอกว่าแต่งงานกันแบบหลอกๆ แต่ทั้งคู่กลับ......เสิ่นหยินอู้พล
เสิ่นหยินอู้ "ฉัน......""เธออยากจะเถียงฉันใช่ไหม เพราะว่าเขาเป็นพ่อของลูกๆ เธอถึงได้ยอมให้เขาเข้ามา?" เสิ่นหยินอู้ถึงกับพูดไม่ออก ไม่คิดว่าเธอจะเดาคำพูดที่ตัวเองจะพูดต่อไปได้ เธอเม้มปาก ไม่ได้พูดอะไรต่อ"ไม่พูด ก็แปลว่าตามนั้นใช่ไหม? ถ้าเป็นเพียงแค่เขาเป็นพ่อของลูกๆ เธอก็ไม่ควรจะช่วยเขาแล้วไม่ใช่เหรอ? ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้กลัวหรอว่าเขาจะมาแย่งลูกไป? ถ้าเขาถูกแผนของเจียงฉูฉู่หลอก เขากับเจียงฉูฉู่ก็จะเป็นคู่กัน และถ้าเจียงฉูฉู่คลอดลูกออกมา งั้นฉินเย่กับเจียงฉูฉู่ก็จะมีลูกเป็นของตัวเอง แล้วตอนนั้นเขาจะยังมาแย่งลูกกับเธออีกเหรอ?"เสิ่นหยินอู้ยังคงไม่พูดอะไร เพราะเธอรู้ว่าโจวชวงชวงพูดถูกถ้าฉินเย่ติดกับดักในคืนนี้ งั้นเขากับเจียงฉู่ฉู่ก็...... เมื่อพวกเขามีลูกของตัวเองแล้ว ก็คงไม่คิดถึงเหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนอีกต่อไปแต่......ทำไมตอนนั้นเธอถึงช่วยเขา?ทั้งๆ ที่เธอได้ปฏิเสธไม่ให้เขาเข้าบ้าน แต่ทำไมเธอกลับมาเสียใจ แล้วใจอ่อนเปิดประตูให้เขาเข้ามาได้ หลังจากนั้น...... คิดมาถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ยกมือขึ้นจับหน้าผาก ครั้งแรกที่เปิดประตู เธอไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ครั้งที่สอง....
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ