“ฉันแค่จะไปแล้ว เลยอยากจะมาคุยกับนายสักหน่อย ได้ไหม?” เจียงฉูฉู่ก้าวไปข้างหน้าและคิดที่จะจับมือของเขา ฉินเย่ถอยหลังไปหนึ่งก้าวแบบเนียนๆ และในที่สุดก็พูดว่า "มีอะไรจะพูดก็พูดมาเลย" เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจียงฉูฉู่มองเข้าไปข้างในแล้วขอร้องเบาๆ: "ข้างนอกมันหนาวมาก ขอเข้าไปคุยข้างในได้ไหม?" ฉินเย่กวาดสายตาไปมองเธอแล้วเม้มริมฝีปากบางเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พูดว่า: "เข้าไปสิ วันนี้มีอะไรอยากจะพูดก็พูดให้จบ หลังจากวันนี้ ผมจะไม่ไปเจอเธออีก" เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจียงฉูฉู่ก็กัดริมฝีปากล่างของเธอ “ฉันเข้าใจแล้ว ไม่ต้องห่วง หลังจากวันนี้ ฉันจะหายไปเอง และจะไม่มาปรากฏตัวต่อหน้านายอีก” - ณ ภายในบ้าน เจียงฉูฉู่นั่งอยู่บนโซฟา โดยมีแก้วน้ำที่ต้มสุกแล้ววางอยู่ข้างหน้าเธอแก้วหนึ่ง หลังจากถูกลมหนาวพัดใส่เป็นเวลานาน ร่างกายซึ่งเย็นเฉียบจนแทบจะไม่รู้สึกอะไรก็ค่อยๆอุ่นขึ้นมา เจียงฉูฉู่จ้องไปที่แก้วน้ำแก้วนั้นเป็นเวลานาน จากนั้นหายใจเข้าลึกๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองฉินเย่: "มีไวน์ไหม?" เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินเย่ขมวดคิ้ว: "ในเวลานี้ เธอคิดว่าผมจะให้เธอดื่มเหล้าที่นี่หรอ?" เจียงฉูฉู
ต่อไป ขอแค่ฉินเย่ให้ความร่วมมือก็พอ เจียงฉูฉู่เตรียมใจไว้แล้ว เธอเพียงรอให้เขาปฏิเสธ “หุ้น 5% เหรอ? ได้สิ” “ไม่ได้เหรอ? งั้นฉัน...” เจียงฉูฉู่ยังไม่ทันจะพูด เธอก็พ่ายแพ้อย่างราบคาบในทันทีกับสองคำที่เขาได้พูดออกมา เธอตกตะลึงอยู่ที่เดิม ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เธอเพิ่งได้ยิน เมื่อกี้นี้...เธอได้ยินผิดไปหรือเปล่า? ดูเหมือนว่าฉินเย่จะตกลงงั้นเหรอ? 5% ของหุ้น? ก่อนหน้านี้เธอได้รู้เกี่ยวกับเรื่องผลกำไรของฉินกรุ๊ป และแม้ว่าเธอจะรู้เพียงผิวเผินเท่านั้น แต่จากที่เธอรู้มา ถ้าฉินเย่สามารถมอบหุ้น 5% ของฉินกรุ๊ปให้เธอได้จริงๆ ถ้างั้นสถานะทางสังคมของเธอก็อาจกล่าวได้ว่าจะขึ้นไปได้สูงขึ้นอย่างมาก แต่...เขาจะตกลงได้อย่างไรกัน? เจียงฉูฉู่มองเขาด้วยความไม่เชื่อ “เย่ นาย...” เขาเต็มใจที่จะมอบหุ้น 5% ของฉินกรุ๊ปให้เธอจริงๆหรอ? เพียงเพื่อจะตัดขาดทุกอย่างจากเธองั้นหรอ? เพื่อเสิ่นหยินอู้แล้ว เขาทำได้ถึงเพียงนี้เลยหรอ? เมื่อตระหนักได้ว่าเขาทำถึงขนาดนี้เพื่อเสิ่นหยินอู้ เจียงฉูฉู่ก็แทบจะกัดฟันของเธอจนแตกเป็นเสี่ยงๆ แต่เมื่อนึกถึงเป้าหมายของเธอ เธอก็ยังคงอดกลั้นไว้และพูดด้วยรอยยิ้มว่
สิ่งที่เธอพูดนั้นดูจริงใจอย่างมาก สายตาและท่าทางของเธอก็สงบราวกับว่าเธอได้ปล่อยวางแล้วจริงๆ หลังจากได้ยินคำอวยพรของเธอว่าขอให้เขากับเสิ่นหยินอู้ได้อยู่ด้วยกันตลอดไป ความโกรธของฉินเย่ก็หายไป และมุมปากของเขาก็ยกขึ้น "ขอบคุณนะ" เจียงฉูฉู่จุกอยู่ในอก สิ่งที่เขาพูดทำร้ายหัวใจของเธอจริงๆ “งั้นเราเซ็นสัญญากันตอนนี้เลยได้ไหม?” ฉินเย่มองไปที่เธอ: "เดี๋ยวผมให้คนไปร่าง แล้วค่อยส่งไปให้เธอพรุ่งนี้" "ไม่" เจียงฉูฉู่ส่ายหัว: "คืนนี้เท่านั้น 10% ของหุ้น ฉันกลัวนายจะเสียใจ" เหตุผลหลักคือหลังจากคืนนี้เธออาจจะไม่มีโอกาสได้อยู่กับเขาสองต่อสองและดื่มแอลกอฮอล์แบบนี้อีกแล้ว เธอต้องคว้ามันไว้ ได้หุ้นมา ได้นอนกับเขา และตั้งท้องกับเขาได้ราบรื่น และบางทีพระเจ้าอาจจะกำลังสงสารเธอและคิดว่าเธอน่าสงสารจริงๆ พระองค์จึงตัดสินใจช่วยเหลือเธอ และตอนนี้เธอก็อยู่ในช่วงที่ตั้งท้องได้ง่ายพอดี ตราบใดที่เธอสามารถตั้งท้องได้ในคราวเดียว บวกกับที่เธอมีบุญคุณที่ช่วยชีวิตเขาไว้ เธอยังต้องกลัวอีกหรอว่าเธอจะไม่สามารถเอาชนะเสิ่นหยินอู้ได้? เจียงฉูฉู่กำลังคิดคำนวณอยู่ในใจ ฉินเย่มองเธออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงล
เจียงฉูฉู่ยกแก้วที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาดื่มจนหมดแก้ว จากนั้นก็เติมให้ตัวเองจนเต็มแก้วต่อหน้าฉินเย่ จากนั้นเธอก็หยิบมันมาไว้ในมือ แล้วเขย่ามันเบาๆ “ถือซะว่าฉันเคยช่วยชีวิตนายไว้ ให้เกียรติฉันเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เจอกันและแยกย้ายกันด้วยดี โอเคไหม?” ริมฝีปากบางของฉินเย่แทบจะเม้มเป็นเส้นตรง สายตาของเขาเย็นชามาก และในที่สุดเขาก็นั่งลงตรงหน้าเธอ “ดื่มเป็นเพื่อนเธอ ก็นับว่าเป็นการเจอกันและแยกย้ายกันด้วยดีเหรอ? ผมแบ่งหุ้นให้เธอถึงสองเท่า ยังเป็นการเจอกันด้วยดีและแยกย้ายกันด้วยดีไม่ได้อีกเหรอ?” รอยยิ้มที่เศร้าโศกปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจียงฉูฉู่ “ฉันรู้ว่านายจะคิดแบบนี้ แต่ว่านะฉินเย่ ความรักที่ฉันมีต่อนายน่ะเป็นของจริง ต่อให้วันนี้นายจะไม่ใช่ประธานฉิน เป็นเพียงแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ฉันก็ยังชอบนาย นายคิดว่าทำไมฉันถึงอยากได้หุ้น5%นี้ล่ะ? ทั้งหมดก็เพราะนายเป็นคนที่จะไม่สบายใจถ้าต้องเป็นหนี้คนอื่น ถ้าฉันไม่ขออะไรนายเลย นายก็จะไม่คิดว่าฉันจะตัดขาดกับนายได้จริงๆ ตอนนี้ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็คงจะดี ถ้าฉันได้หุ้นในบริษัทของนายมา ต่อไปนายก็จะไม่รู้สึกว่าเป็นหนี้ฉันไง” หลังจากพูดจบ เจียงฉูฉู่ก็ยกแ
เธอตกใจแทบตาย เมื่อเธอออกมา เธอก็พบว่าฉินเย่ได้หายไปแล้ว เธอหาเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพบเขา เธอนึกว่าเขาไปหาคนอื่นเสียแล้ว แน่นอนว่าสิ่งที่เธอกังวลมากที่สุดก็คือการที่เขาไปหาเสิ่นหยินอู้ถ้าเขาไปหาเสิ่นหยินอู้ งั้นเธอคงไม่ต้องทำชุดแต่งงานให้หยินอู้เลยเหรอ? เธอจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นเด็ดขาด เจียงฉูฉู่ก้าวไปข้างหน้าและพูดด้วยเสียงแผ่วเบา: "ข้างนอกหนาว แล้วนายก็ไม่ได้ใส่อะไรเยอะ เข้าไปข้างในดีกว่านะ" เมื่อเห็นเจียงฉูฉู่เข้ามาใกล้เขา ฉินเย่ก็ถอยหลังไปสองก้าวโดยอัตโนมัติเพื่ออยู่ให้ห่างจากเธอ คิ้วหนาของเขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเจียงฉูฉู่เอาแต่รบกวนเขา หรือเพราะมันผ่านไปนานมากแล้ว แต่หลี่มู่ถิงก็ยังไม่มาสักที เขารู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก และแม้แต่ร่างกายของเขาก็ยังมีความร้อนแผ่ออกมา เมื่อสายลมยามค่ำคืนพัดมา นอกจากจะหนาวแล้ว เขาก็รู้สึกสบายขึ้นมานิดหน่อย ความรู้สึกแปลกประหลาดนี้ทำให้ฉินเย่ระมัดระวังตัวขึ้นมา เขามองไปที่เจียงฉูฉู่ซึ่งมีสายตาที่ลุกลี้ลุกลนเล็กน้อยตรงหน้าเขา จากนั้นก็คิดถึงแก้วไวน์ที่เขาเพิ่งดื่มไปเมื่อครู่ ถ้าเป็นไปได้ เขาไม่อยากสงสัยคนตรงหน้าจริ
เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงวางปากกาในมือลง ยืนขึ้นและไปที่ทางเข้า เนื่องจากเธออาศัยอยู่คนเดียว เสิ่นหยินอู้จึงระวังตัวอยู่เสมอ และที่ประตูก็มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดและตาแมว หลังจากเดินไปที่ทางเข้า เธอก็กดเปิดหน้าจอเฝ้าระวังก่อนเพื่อตรวจสอบว่าใครมา หลังจากที่เห็นภาพใบหน้าคนที่ปรากฏบนหน้าจอแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักไป ฉินเย่หรอ? ทำไมถึงเป็นเขาล่ะ? เขามาทำอะไรที่นี่ในตอนกลางดึก? แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนแปลกหน้า และเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ได้กังวลว่าเขาจะทำอะไรกับเธอ แต่ความเพราะสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง เธอจึงไม่ต้องการเปิดประตูให้เขา หากมีเรื่องสำคัญที่จะคุยกับเธอ ก็แค่โทรหาเธอก็ได้นี่ แต่…… เมื่อนึกถึงสัญญาที่เธอกำลังจะเซ็น เขาจะมีโอกาสมากขึ้นที่จะได้ใกล้ชิดกับเด็กๆสองคนในอนาคต ในเมื่อเธอได้ตัดสินใจแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่จำเป็นต้อง... เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ถอนหายใจแล้วเดินไปเปิดประตู ฉินเย่ยืนรออยู่หน้าประตูห้องของเสิ่นหยินอู้เป็นเวลานาน แต่ก่อนที่เธอจะมาเปิดประตู เขาก็ลดสายตาลงแล้วมองที่ปลายเท้าของเขา นี่ก็ดึกแล้ว ตอนที่เขามา เขาไม่ได้หวังว่าเธอจะมาเปิดประตูให้เขา ดังนั้
เขาไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป อาจเกิดเรื่องขึ้นได้หากเขาอยู่ที่นี่ต่อ เขาอาจจะยังควบคุมตัวเองได้เมื่อเผชิญหน้ากับผู้อื่น แต่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคือผู้หญิงที่เขารัก ซึ่งมีแต่จะเป็นการเติมเชื้อไฟให้กับกองไฟเท่านั้น "เดี๋ยวก่อน" คาดไม่ถึงว่าทันทีที่เขาหันกลับไป เสิ่นหยินอู้ที่อยู่ข้างหลังเขาก็เรียกเขาไว้ ดังนั้น ฉินเย่จึงหยุดเคลื่อนไหว ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากขยับ แต่ร่างกายเขาไม่ฟังคำสั่งจากสมองเลยต่างหาก การต่อสู้ระหว่างร่างกายและสมองของเขาทำให้ฉินเย่ยืนอยู่ที่เดิม ไม่ก้าวไปข้างหน้าหรือหันหลังกลับไป แต่เสิ่นหยินอู้เดินเข้ามาและอ้อมไปที่ด้านหน้าเขาแทน เสิ่นหยินอู้วางมือลงบนหน้าผากของฉินเย่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทันทีที่มือของเธอแตะหน้าผากของเขา เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกร้อนมากจนต้องชักมือกลับไปในทันที “คุณ...ทำไมคุณถึงตัวร้อนขนาดนี้?” ก่อนหน้านี้ตอนที่เปิดประตู เธอเห็นเขาหน้าแดง เธอคิดว่าเขาดื่มจนเมา เขาจึงมากดกริ่งประตูที่นี่ในตอนกลางดึก แต่เมื่อทั้งสองคุยกันหลังจากนั้น เธอกลับไม่ได้กลิ่นแอลกอฮอล์จากตัวเขาเลย แต่หน้าเขาแดงมาก ตอนพูดก็หายใจแรงมาก แล้วยังมาบอกว่ามาผิดท
หลังจากที่รู้ว่าเหตุใดฉินเย่จึงตัวร้อนไปทั้งตัวทั้งที่ไม่ได้ดื่มเหล้าและไม่มีไข้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายลงไป อาจเป็นเพราะตกใจ ริมฝีปากของเธอจึงเปิดออกเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่งเธอก็กัดริมฝีปากล่างของเธอเบา ๆ “แล้วไงล่ะ? คุณก็รู้ว่าคุณกำลังตกอยู่ในสภาพนี้ คุณมาหาฉันทำไม?” คนที่กอดเธออยู่เงียบไปนาน จากนั้นจึงตอบเธอ "ผม.....ไม่รู้" เสียงของเขาดูเหมือนจะสับสนเล็กน้อย “นอกจากคุณ...ผมไม่รู้จะไปหาใคร” หลังจากพูดจบ เขาก็กอดเธอแน่นขึ้นอีก หลับตาแล้วซุกหัวไว้ที่คอของเธอ เขาแทบจะทนไม่ไหว การกอดเช่นนี้และกลิ่นอายของเธอทำให้เขารู้สึกสบายใจมากขึ้น อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าคนข้างๆเขาคือเธอ ไม่ใช่คนอื่น “คุณไม่รู้ว่าจะไปหาใคร ก็เลยมาหาฉันงั้นหรอ?” "ไม่ใช่……" เสียงของเขาฟังดูเหมือนเขาได้เสียความมีเหตุผลไปแล้ว และคำพูดของเขาก็ติดๆขัดๆ: "ผม... ผมแค่อยากจะ... มาหาคุณ" เสิ่นหยินอู้โกรธเล็กน้อยและทำอะไรไม่ถูก “คุณมาหาฉันจะไปมีประโยชน์อะไร? ด้วยความสัมพันธ์ของเรา คุณคิดว่าฉันจะช่วยคุณได้หรอ?” หลังจากพูดจบ เธอก็วางมือลงบนหน้าอกของฉินเย่แล้วผลักเขาออกไปอย่างแรง ฉิน
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ