เจียงฉูฉู่ยกแก้วที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาดื่มจนหมดแก้ว จากนั้นก็เติมให้ตัวเองจนเต็มแก้วต่อหน้าฉินเย่ จากนั้นเธอก็หยิบมันมาไว้ในมือ แล้วเขย่ามันเบาๆ “ถือซะว่าฉันเคยช่วยชีวิตนายไว้ ให้เกียรติฉันเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เจอกันและแยกย้ายกันด้วยดี โอเคไหม?” ริมฝีปากบางของฉินเย่แทบจะเม้มเป็นเส้นตรง สายตาของเขาเย็นชามาก และในที่สุดเขาก็นั่งลงตรงหน้าเธอ “ดื่มเป็นเพื่อนเธอ ก็นับว่าเป็นการเจอกันและแยกย้ายกันด้วยดีเหรอ? ผมแบ่งหุ้นให้เธอถึงสองเท่า ยังเป็นการเจอกันด้วยดีและแยกย้ายกันด้วยดีไม่ได้อีกเหรอ?” รอยยิ้มที่เศร้าโศกปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจียงฉูฉู่ “ฉันรู้ว่านายจะคิดแบบนี้ แต่ว่านะฉินเย่ ความรักที่ฉันมีต่อนายน่ะเป็นของจริง ต่อให้วันนี้นายจะไม่ใช่ประธานฉิน เป็นเพียงแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ฉันก็ยังชอบนาย นายคิดว่าทำไมฉันถึงอยากได้หุ้น5%นี้ล่ะ? ทั้งหมดก็เพราะนายเป็นคนที่จะไม่สบายใจถ้าต้องเป็นหนี้คนอื่น ถ้าฉันไม่ขออะไรนายเลย นายก็จะไม่คิดว่าฉันจะตัดขาดกับนายได้จริงๆ ตอนนี้ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็คงจะดี ถ้าฉันได้หุ้นในบริษัทของนายมา ต่อไปนายก็จะไม่รู้สึกว่าเป็นหนี้ฉันไง” หลังจากพูดจบ เจียงฉูฉู่ก็ยกแ
เธอตกใจแทบตาย เมื่อเธอออกมา เธอก็พบว่าฉินเย่ได้หายไปแล้ว เธอหาเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพบเขา เธอนึกว่าเขาไปหาคนอื่นเสียแล้ว แน่นอนว่าสิ่งที่เธอกังวลมากที่สุดก็คือการที่เขาไปหาเสิ่นหยินอู้ถ้าเขาไปหาเสิ่นหยินอู้ งั้นเธอคงไม่ต้องทำชุดแต่งงานให้หยินอู้เลยเหรอ? เธอจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นเด็ดขาด เจียงฉูฉู่ก้าวไปข้างหน้าและพูดด้วยเสียงแผ่วเบา: "ข้างนอกหนาว แล้วนายก็ไม่ได้ใส่อะไรเยอะ เข้าไปข้างในดีกว่านะ" เมื่อเห็นเจียงฉูฉู่เข้ามาใกล้เขา ฉินเย่ก็ถอยหลังไปสองก้าวโดยอัตโนมัติเพื่ออยู่ให้ห่างจากเธอ คิ้วหนาของเขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเจียงฉูฉู่เอาแต่รบกวนเขา หรือเพราะมันผ่านไปนานมากแล้ว แต่หลี่มู่ถิงก็ยังไม่มาสักที เขารู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก และแม้แต่ร่างกายของเขาก็ยังมีความร้อนแผ่ออกมา เมื่อสายลมยามค่ำคืนพัดมา นอกจากจะหนาวแล้ว เขาก็รู้สึกสบายขึ้นมานิดหน่อย ความรู้สึกแปลกประหลาดนี้ทำให้ฉินเย่ระมัดระวังตัวขึ้นมา เขามองไปที่เจียงฉูฉู่ซึ่งมีสายตาที่ลุกลี้ลุกลนเล็กน้อยตรงหน้าเขา จากนั้นก็คิดถึงแก้วไวน์ที่เขาเพิ่งดื่มไปเมื่อครู่ ถ้าเป็นไปได้ เขาไม่อยากสงสัยคนตรงหน้าจริ
เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงวางปากกาในมือลง ยืนขึ้นและไปที่ทางเข้า เนื่องจากเธออาศัยอยู่คนเดียว เสิ่นหยินอู้จึงระวังตัวอยู่เสมอ และที่ประตูก็มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดและตาแมว หลังจากเดินไปที่ทางเข้า เธอก็กดเปิดหน้าจอเฝ้าระวังก่อนเพื่อตรวจสอบว่าใครมา หลังจากที่เห็นภาพใบหน้าคนที่ปรากฏบนหน้าจอแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักไป ฉินเย่หรอ? ทำไมถึงเป็นเขาล่ะ? เขามาทำอะไรที่นี่ในตอนกลางดึก? แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนแปลกหน้า และเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ได้กังวลว่าเขาจะทำอะไรกับเธอ แต่ความเพราะสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง เธอจึงไม่ต้องการเปิดประตูให้เขา หากมีเรื่องสำคัญที่จะคุยกับเธอ ก็แค่โทรหาเธอก็ได้นี่ แต่…… เมื่อนึกถึงสัญญาที่เธอกำลังจะเซ็น เขาจะมีโอกาสมากขึ้นที่จะได้ใกล้ชิดกับเด็กๆสองคนในอนาคต ในเมื่อเธอได้ตัดสินใจแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่จำเป็นต้อง... เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ถอนหายใจแล้วเดินไปเปิดประตู ฉินเย่ยืนรออยู่หน้าประตูห้องของเสิ่นหยินอู้เป็นเวลานาน แต่ก่อนที่เธอจะมาเปิดประตู เขาก็ลดสายตาลงแล้วมองที่ปลายเท้าของเขา นี่ก็ดึกแล้ว ตอนที่เขามา เขาไม่ได้หวังว่าเธอจะมาเปิดประตูให้เขา ดังนั้
เขาไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป อาจเกิดเรื่องขึ้นได้หากเขาอยู่ที่นี่ต่อ เขาอาจจะยังควบคุมตัวเองได้เมื่อเผชิญหน้ากับผู้อื่น แต่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคือผู้หญิงที่เขารัก ซึ่งมีแต่จะเป็นการเติมเชื้อไฟให้กับกองไฟเท่านั้น "เดี๋ยวก่อน" คาดไม่ถึงว่าทันทีที่เขาหันกลับไป เสิ่นหยินอู้ที่อยู่ข้างหลังเขาก็เรียกเขาไว้ ดังนั้น ฉินเย่จึงหยุดเคลื่อนไหว ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากขยับ แต่ร่างกายเขาไม่ฟังคำสั่งจากสมองเลยต่างหาก การต่อสู้ระหว่างร่างกายและสมองของเขาทำให้ฉินเย่ยืนอยู่ที่เดิม ไม่ก้าวไปข้างหน้าหรือหันหลังกลับไป แต่เสิ่นหยินอู้เดินเข้ามาและอ้อมไปที่ด้านหน้าเขาแทน เสิ่นหยินอู้วางมือลงบนหน้าผากของฉินเย่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทันทีที่มือของเธอแตะหน้าผากของเขา เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกร้อนมากจนต้องชักมือกลับไปในทันที “คุณ...ทำไมคุณถึงตัวร้อนขนาดนี้?” ก่อนหน้านี้ตอนที่เปิดประตู เธอเห็นเขาหน้าแดง เธอคิดว่าเขาดื่มจนเมา เขาจึงมากดกริ่งประตูที่นี่ในตอนกลางดึก แต่เมื่อทั้งสองคุยกันหลังจากนั้น เธอกลับไม่ได้กลิ่นแอลกอฮอล์จากตัวเขาเลย แต่หน้าเขาแดงมาก ตอนพูดก็หายใจแรงมาก แล้วยังมาบอกว่ามาผิดท
หลังจากที่รู้ว่าเหตุใดฉินเย่จึงตัวร้อนไปทั้งตัวทั้งที่ไม่ได้ดื่มเหล้าและไม่มีไข้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายลงไป อาจเป็นเพราะตกใจ ริมฝีปากของเธอจึงเปิดออกเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่งเธอก็กัดริมฝีปากล่างของเธอเบา ๆ “แล้วไงล่ะ? คุณก็รู้ว่าคุณกำลังตกอยู่ในสภาพนี้ คุณมาหาฉันทำไม?” คนที่กอดเธออยู่เงียบไปนาน จากนั้นจึงตอบเธอ "ผม.....ไม่รู้" เสียงของเขาดูเหมือนจะสับสนเล็กน้อย “นอกจากคุณ...ผมไม่รู้จะไปหาใคร” หลังจากพูดจบ เขาก็กอดเธอแน่นขึ้นอีก หลับตาแล้วซุกหัวไว้ที่คอของเธอ เขาแทบจะทนไม่ไหว การกอดเช่นนี้และกลิ่นอายของเธอทำให้เขารู้สึกสบายใจมากขึ้น อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าคนข้างๆเขาคือเธอ ไม่ใช่คนอื่น “คุณไม่รู้ว่าจะไปหาใคร ก็เลยมาหาฉันงั้นหรอ?” "ไม่ใช่……" เสียงของเขาฟังดูเหมือนเขาได้เสียความมีเหตุผลไปแล้ว และคำพูดของเขาก็ติดๆขัดๆ: "ผม... ผมแค่อยากจะ... มาหาคุณ" เสิ่นหยินอู้โกรธเล็กน้อยและทำอะไรไม่ถูก “คุณมาหาฉันจะไปมีประโยชน์อะไร? ด้วยความสัมพันธ์ของเรา คุณคิดว่าฉันจะช่วยคุณได้หรอ?” หลังจากพูดจบ เธอก็วางมือลงบนหน้าอกของฉินเย่แล้วผลักเขาออกไปอย่างแรง ฉิน
เธอพูดอย่างละเอียดมาก แต่ฉินเย่กลับยังรักษาสีหน้าและท่าทางเช่นเดิมของเขาไว้ ไม่รู้ว่าเขาได้ฟังสิ่งที่เธอพูดหรือไม่ “คุณได้ยินไหม?” ฉินเย่เงยหน้าขึ้นมอง "อืม" เสิ่นหยินอู้: "..." ช่างมันเถอะ ท่าทางของเขาดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ยินที่เธอพูดเลย เขาคงแทบจะไม่มีสติหลงเหลืออยู่แล้ว เธอจะพูดอะไรกับเขาได้อีกล่ะ? "เข้ามา" เธอทำได้เพียงถอยหลังไปสองก้าวแล้วหลีกทางให้ฉินเย่เข้าไป ฉินเย่มองไปที่ในห้องของเธอ แต่ไม่ได้ก้าวเข้าไป “ทำไมล่ะ? ไม่อยากเข้ามาเหรอ? งั้นฉันไป...” ก่อนที่เธอจะพูดจบ ฉินเย่ก็ก้าวเข้าไปในบ้าน ปัง หลังจากที่เขาเข้าไปในห้องแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็ลากเขาไปที่โซฟาในห้องนั่งเล่น ให้เขานั่งตรงนั้นนิ่งๆ จากนั้นก็ไปรินน้ำให้เขา “อยากได้เย็นๆ” จู่ๆเขาก็พูดขึ้น "อะไรนะ?" เสิ่นหยินอู้คิดว่าเธอได้ยินผิด: "คุณอยากดื่มน้ำเย็นๆหรอ?" "น้ำแข็ง ขอ...น้ำแข็ง ไม่มีน้ำแข็ง น้ำเย็นก็ได้" "นี่มันฤดูหนาว..." เมื่อพูดไปได้ครึ่งประโยค จู่ๆเสิ่นหยินอู้ก็นึกอะไรขึ้นได้และไม่ได้ปฏิเสธเขา หลังจากเข้าไปในครัว เธอก็เปิดตู้เย็นโดยอัตโนมัติ เนื่องจากตอนนี้เป็นฤดูหนาว ในตู้เย็นจึงไม่มี
ใครจะรู้ว่าทันทีที่นิ้วที่วาววับของเสิ่นหยินอู้แตะกระดุมเม็ดแรกของเสื้อเชิ้ต อยู่ดีๆเธอก็ถูกเขาจับข้อมือเอาไว้ แรงนั้นเยอะมากและดุร้ายมาก เสิ่นหยินอู้เงยหน้าขึ้นไปสบตากับสายตาที่มืดมนและลึกล้ำของเขา ในห้องนั่งเล่นที่ไม่สว่างมากนัก ฉินเย่จ้องมองเธอเขม็งด้วยสายตาที่ดุร้ายเหมือนหมาป่า ราวกับว่า เขากำลังจะกระโจนเข้ามาหาเธอ เสิ่นหยินอู้ตกใจ ไม่รู้ว่าเขาตื่นตั้งแต่เมื่อไร ตื่นขึ้นมาก็ดีแล้ว จะได้ให้เขาเช็ดตัวเอง แต่... เขาดูผิดปกติมาก เขาคงไม่ได้สูญเสียความรู้สึกผิดชอบชั่วดีไปใช่ไหม? แม้ว่าเธอจะไม่เคยลอง แต่เธอก็เคยได้ยินมาว่าของบางอย่างถ้าโดนเข้าไปก็อาจจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ถ้าหาก... เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถคิดอะไรได้มาก เพราะเธอรู้สึกว่าแรงที่ข้อมือของเธอแรงขึ้น และลมหายใจของฉินเย่ก็หนักหน่วงขึ้น สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอพยายามดึงมือกลับพร้อมพูดว่า: "ผ้าเช็ดตัวอยู่ข้างๆ ในเมื่อตื่นแล้ว งั้นคุณก็เช็ดเอง...อ๊ะ..." เสิ่นหยินอู้ยังไม่ทันจะพูดจบประโยค เธออุทานด้วยความตกใจ เธอถูกฉินเย่ดึงไปตรงหน้าเขา จากนั้นฉินเย่ก็กดลงบนโซฟาในเสี้ยววินาที ลมหายใจที่ชัดเจนของชายคน
"อย่าเข้ามา"ดูเหมือนเขาจะพยายามควบคุมตัวเองอย่างหนัก แต่เขากลับหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง และ... เขาโดนยานั้น ดังนั้นในตอนนี้เขาคงจะกำลังทำสิ่งที่อธิบายออกมาไม่ได้อยู่ เสิ่นหยินอู้กัดริมฝีปากล่าง อยากจะเข้าไปดึงเขาออกมาจริงๆ หลังจากอดทนครู่พักหนึ่ง เธอก็ยังอดใจไม่ได้และพูดกับเขาผ่านประตู: "คุณ... แค่อาบน้ำเย็นๆก็พอ อย่าทำอะไรแปลกๆในนั้นนะ" สิ่งที่ตอบกลับ คือเสียงหอบหายใจเบาๆพร้อมกับเสียงน้ำ เสิ่นหยินอู้: "!" “ฉินเย่ คุณได้ยินที่ฉันบอกคุณหรือเปล่า?” “ฉินเย่!” อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเธอจะเรียกเขาอย่างไร เขาก็ไม่สนใจเธอ ราวกับว่าเขาได้ตัดสินใจที่จะเมินเธอแล้ว หรือบางทีตอนนี้เขาอาจจะกำลังยุ่งอยู่และไม่มีเวลามาสนใจเธอ เสิ่นหยินอู้โกรธเขามาก เธอรู้ดีว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะตะโกนต่อไป ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงยอมแพ้ เธอหันหลังเดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่น หยิบแก้วที่เขาดื่มไปล้างที่ห้องครัว ต่อจากนั้นก็หันหลังกลับไปดูเด็กๆทั้งสอง เมื่อพบว่าเด็กทั้งสองยังคงนอนหลับสนิทและไม่ได้ถูกปลุก เสิ่นหยินอู้ก็โล่งใจ หลังจากนั้นประมาณห้านาที เธอก็กลับไปที่ประตูห้องน้ำและเคาะประตู เธอยังคงได
แม้ว่าในที่สุดเขาก็พบเธอ แต่ใครจะกล้ารับประกันกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้? "พอได้แล้ว" เมื่อเห็นเธอกัดริมฝีปากล่างและคิดจะพูดอะไรอื่นอีก ฉินเย่ก็เอามือใหญ่โอบไปที่เอวบางของเธอ "ไม่ต้องคิดแล้ว ในเมื่อผมเลือกที่จะอยู่ นั่นก็หมายความว่าผมมั่นใจ" “แต่... เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรทำตั้งแต่แรกนะ” “นั่วนั่ว” ฉินเย่เรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วเบา “การจะทำอะไรสักอย่างน่ะ ไม่มีคำว่าควรหรือไม่ควร มีแต่เต็มหรือไม่เต็มใจเท่านั้นแหละ” “ถ้าคุณรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผมจะอยู่ที่นี่จริงๆ งั้นหลังจากที่ผมกลับไปที่จีนแล้วก็ลองคิดเรื่องที่จะเปลี่ยนสถานะให้ผมดูดีกว่าไหม?” เสิ่นหยินอู้เข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องการเรียกชื่อ เขาต้องการให้เด็กทั้งสองหยุดเรียกเขาว่าลุงเย่มู่และเรียกเขาว่าพ่อแทน หรือจะบอกว่า ที่เขาทำมามากขนาดนั้นก็เพียงเพื่อความปรารถนาเล็กๆน้อยๆเช่นนี้งั้นหรอ? เมื่อเธอคิดได้เช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป แล้วพูดว่า "คุณจะไม่บอกพวกเขางั้นหรอ?" ริมฝีปากของฉินเย่โค้งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเธอ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดเบาๆว่า: "ครั้งนี้ ผมจะไม่ไปเจอพวกเข
คำพูดทางจิตวิทยาเช่นนี้... ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบลุงโม่ไป๋มากกว่า ถึงตอนนั้น... เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็พูดว่า: "ลุงโม่ไป๋อยู่กับพวกเรามานานกว่า" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็กลั้นหายใจ "ถ้างั้น……" “แต่ลุงเย่มู่มาดูไลฟ์สดของเราบ่อยๆแล้วก็ให้รางวัลเราตลอดเลยด้วย” คำพูดประโยคหลังทำให้หัวใจที่กำลังจมดิ่งลงไปของฉินเย่ลอยกลับขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขาคิดว่าตามความคิดของซือเหนียน เขาคงจะหมดโอกาสแล้ว แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าคำพูดของซือเหนียนจะเปลี่ยนไป ซึ่งมันไม่ต่างกับเป็นการทำให้หัวใจของฉินเย่ลุกเป็นไฟ "แล้วไงต่อ?" ฉินเย่ยังคงรู้สึกประหม่ามากในขณะที่เขาถามคำถามนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะสนใจความคิดของเด็กคนหนึ่งมากขนาดนี้ เพราะกลัวว่าเด็กคนนี้จะไม่เลือกเขาแต่ไปเลือกคนอื่นแทน "ก็……"เสิ่นซือเหนียนจงใจพูดเสียงยาว เมื่อเห็นว่าการหายใจของฉินเย่ดูเหมือนจะติดๆขัดๆขึ้นมา เขาก็คิดว่ามันค่อนข้างน่าขันเล็กน้อย เขาจงใจเอียงศีรษะแล้วพูดว่า: "ลุงเย่มู่กับลุงโม่ไป๋เสมอกันครับ" เสมอกัน? ฉินเย่ตกตะลึง “เสมอกันงั้นเหรอ?” “ลุงเย่มู่ หรือว่าลุงคิดว่าลุงจะแพ้ลุงโม่ไป๋เหรอครั
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ
ฉินเย่สัญญาว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เธอ รวมถึงอาการบาดเจ็บของผู้ช่วยเฉินด้วย คนของเขาสามารถจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก ในวันถัดมา เสิ่นหยินอู้ก็ได้รับข่าวคราวล่าสุดของพวกโม่ไป๋ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยของผู้ช่วยเฉินเลย “ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินเช่นนั้น เธอก็มีลางสังหรณ์แย่ๆขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวัน จากนั้นเมื่อเธอถามถึงเขา เขาจึงปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญคืออาการบาดเจ็บของเขาหนักแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถรับรู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถอดเสื้อของเขาออกมาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บแค่ไหน ต่อมาเขาปล่อยเธอและพาเธอออกมา หลังจากที่เขากลับไป โม่ไป๋ก็คงจะยิ่งไม่เกรงใจเขามากขึ้น ตอนนี้... ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ โม่ไป๋ยังได้รับบาดเจ็บ เขาคงจะโกรธมากและระบายความโกรธทั้งหมดที่มีใส่ผู้ช่วยเฉินหรือไม่? และที่นี่คือที่ต่างประเทศ ถ้าหากว่า... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายจะมีด้านนี้เหมือนกัน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเขา “ฉันไม่ได้อึดอัด แต่ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่ คุณไม่ได้ต้องพักผ่อนเหรอ?” "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ: "เมื่อคืนนี้ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เขาคงจะไม่ได้คิดที่จะให้เธออยู่กับเขาไปตลอดใช่ไหม? เธอยังต้องไปดูแลลูกๆ “นั่วนั่ว” เขาดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ผมเป็นคนป่วย ต้องการคนอยู่ด้วยในระยะยาว" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขัดขืน ฉินเย่ก็ดึงเธอขึ้นไปนั่งบนตักเขาแล้วเอามือพยุงไว้ที่เอวของเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ เธอก็ตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้ว ฉินเย่ก้มศีรษะลงและโน้มตัวเอาหน้าลงไปซุกไว้ที่ซอกคอของเธอ เขาสูดดมกลิ่นของเธอด้วยความละโมบ ลมหายใจอันร้อนรุ่มที่ออกมาทั้งหมดถูกปล่อยออกมาที่ซอกคอของเสิ่นหยินอู้ เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็วและกระตุกหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาประทับริมฝีปากบางที่นุ่มนิ่มของเขาลงไปบนซอกคอของเธอ เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ในที่สุดเสิ่นหยินอ
เขาคว้าโทรศัพท์ไปทั้งเครื่อง เสิ่นหยินอู้ไม่ได้จับโทรศัพท์เลย เธอไม่กล้าแย่งมันคืนมาเพราะกลัวว่าระหว่างการแย่งชิงโทรศัพท์กันจะทำให้บาดแผลของเขาฉีกกว้างขึ้น “บทลงโทษอะไรกัน? ต่อให้คุณจะพูดไม่เหมาะสม แต่ก็มันไม่เกี่ยวอะไรกับบาดแผลของคุณเลย” น่าเสียดายที่ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร ฉินเย่ก็เหมือนจะไม่ได้ยินเธอ ราวกับว่าเขายินยอมที่จะรับบทลงโทษของตัวเอง เมื่อเห็นท่าทางที่นิ่งเฉยของเขา เสิ่นหยินอู้ก็พูดได้เพียงว่า: "ต่อให้คุณจะลงโทษตัวเอง แต่ก็ใช้วิธีอื่นก็ได้" วิธีอื่นเหรอ? ในที่สุดฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองเธอ “แล้วคุณว่า ต้องลงโทษแบบไหนล่ะ?”เสิ่นหยินอู้คิดอย่างจริงจังอยู่สักพัก "วิธีลงโทษคุณน่ะมี แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รอหลังจากที่แผลคุณหายดีแล้วก่อนเถอะ" “งั้นหลังจากลงโทษแล้ว คุณจะยกโทษให้ผมได้ไหม?” “เรื่องนี้ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีนะ” คำพูดที่เขาพูดในวันนี้มันทำให้เธอโกรธมากจริงๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรอีก “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจะโทรตามคุณหมอมาทำแผลให้คุณใหม่” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฉินเย่ก็ยื่นโทรศัพท์ให้เธอหลังจ
รวมถึงโม่ไป๋ด้วย การที่เขาลักพาตัวเธอไปอย่างกะทันหันก็เป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงเช่นกัน แต่สิ่งที่ฉินเย่พูดในตอนนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตื่นตระหนกขึ้นมา แต่ในไม่ช้าเธอก็สงบลง “เรื่องนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยนะ มันไม่เหมาะสมที่คุณที่จะยกตัวอย่างแบบนี้ขึ้นมา” คำตอบของเธอทำให้สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย “เป็นเพราะผมยกตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือเพราะคุณไม่สามารถตอบคำถามของผมได้เลย หรือจะบอกว่าคำตอบของคุณก็เหมือนกับที่ผมคิดไว้” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก เธอพยายามจินตนาการถึงภาพนี้ในหัว หากฉินเย่ลักพาตัวเธอ และให้เธอกับลูกๆอยู่ด้วยกันกับเขาไปตลอดชีวิตเท่านั้น ไม่ได้ ต่อให้จะเป็นเขา แต่เธอก็รับไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าพวกเขาจะสนิทสนมเพียงใด เธอก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องที่พวกเขาทำผิดกฎหมายได้ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สนใจว่าคำพูดถัดไปจะทำร้ายจิตใจของฉินเย่หรือไม่ เธอพูดออกมาตรงๆ “ใช่ คุณพูดถูก ถ้าคุณลักพาตัวฉัน ฉันก็จะไม่อยู่กับคุณ” ดวงตาของฉินเย่มืดลง “แต่ในอีกความหมายหนึ่ง การที่ฉันไม่อยู่กับคุณมันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปอยู่กับเขา ถ้าฉันจะอยู่กับคุณมัน