เมื่อมองดูเนื้อหาที่หนาแน่นเบียดเสียดกันบนกระดาษ เสิ่นหยินอู้ก็มีเพียงความรู้สึกใจหายเท่านั้น มันเป็นลายมือของเขา ไม่ผิดแน่ แต่เพียงแค่ชั่วข้ามคืน... เมื่อนึกถึงตอนที่สบตากับเขาเมื่อครู่นี้ รอยคล้ำที่ใต้ตาของฉินเย่ก็ดูจะแย่กว่าของเธอเสียอีก แม้ว่าภาพลักษณ์ของเขาจะยังคงเรียบร้อยไม่มีที่ติก็ตาม หลังจากกวาดสายตาไปมองอย่างเร่งรีบ เสิ่นหยินอู้ก็พับภาพวาดนั้นแล้วส่งคืนให้ฉินเย่ ฉินเย่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “คุณ...ดูเสร็จแล้วเหรอ?” เสิ่นหยินอู้พยักหน้าด้วยสีหน้าที่ไม่สนใจไยดี เมื่อได้ยิน สีหน้าของฉินเย่ก็เต็มไปด้วยความสงสัย เขาไม่ได้รับมันกลับมา "เร็วขนาดนี้ คุณดูครบหมดหรือยัง?" น้ำเสียงของเสิ่นหยินอู้ยังคงสงบ "ฉันดูแล้ว" ฉินเย่มองเธอ แม้ว่าปากเธอจะบอกว่าดูเสร็จแล้ว แต่ท่าทางแบบขอไปทีและน้ำเสียงที่ไม่แยแสอย่างชัดเจนของเธอบ่งบอกว่าเธอไม่ได้ใส่ใจกับร่างออกแบบนี้เลย เขาเม้มริมฝีปาก รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยอยู่ในใจ แต่เขาก็ยังพูดออกมาว่า "ร่างออกแบบนี้ ไม่ถูกใจคุณใช่ไหม?" เสิ่นหยินอู้ไม่ได้ตอบคำถามนี้ตรงๆ แต่ยิ้มให้เขาเล็กน้อยแล้วพูดว่า "ลำบากคุณหาคนมาออกแบบข้ามคืนซะแล้วสิ
มีของขาย แล้วก็มีของให้ซื้อ คนส่วนใหญ่ไปตลาดในเวลานี้ หากขับรถเข้าไปก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ตอนออกจะเสียเวลาค่อนข้างนาน ถ้าวันนี้พวกเขามาที่นี่เพื่อทานอาหารเช้าอย่างเดียวและไม่ต้องรีบไปเรียน พวกเขาก็สามารถขับรถเข้าไปได้ แต่ว่า…… ขณะที่เสิ่นหยินอู้กำลังจะพูด เธอก็ได้ยินฉินเย่ที่อยู่ข้างหน้าพูดว่า: "ลงจากรถแล้วเดินเข้าไปกันเถอะ" เขาแย่งเธอพูด เธอมองที่แผ่นหลังของเขาด้วยความไม่พอใจ "ไปกันเถอะ" ฉินเย่เก็บกระเป๋านักเรียนของเด็กๆทั้งสองคนแล้วพาพวกเขาลงจากรถ คนขับพูดขึ้นมาในทันที: "ประธานฉิน เดี๋ยวผมรอพวกคุณอยู่ในรถนะครับ" ฉินเย่พยักหน้าตอบรับ เมื่อเห็นเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ทำได้เพียงต้องลงจากรถด้วย หลังจากลงจากรถ เธอก็มองเสื้อผ้าของฉินเย่แล้วพูดว่า "คุณแน่ใจหรอว่าจะสวมชุดสูทราคาแพงหูฉี่นี้ไปกินปาท่องโก๋ด้วยกันกับเราที่ร้าน?" ฉินเย่มองไปที่เธอ “มีปัญหาเหรอ? คุณก็แต่งตัวได้สะดุดตามากเหมือนกัน” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็ก้มลงไปมองเสื้อผ้าของเธอโดยไม่รู้ตัว ที่จริงแล้วเธอแต่งตัวเรียบง่ายมาก กางเกงขายาวสีดำกับเสื้อสเวตเตอร์สีฟ้าโดยมีเสื้อคลุมยาวสีเบจอยู่ด้านนอก มันไม่มี
ข้อมูลมากเกินไป เจ้าของร้านไม่สามารถแยกแยะมันได้อย่างชัดเจน เขาเพียงรู้สึกตกใจอยู่ในใจ และเมื่อมองไปยังสายตาของฉินเย่ เขาก็รู้สึกว่ามันแปลกและมีความหมายลึกซึ้งเกินกว่าจะเข้าใจ ฉินเย่: "..." เขามองเธออย่างช่วยไม่ได้ เธอชอบเล่นเกมแบบนี้หรือเธอแค่อยากจะจัดการกับเขา? หลังจากซื้ออาหารเสร็จแล้ว ทางร้านก็ได้จัดเตรียมเก้าอี้เล็กๆไว้ให้ แต่เนื่องจากมันตั้งอยู่ริมถนน มีผู้คนสัญจรไปมา ไม่เพียงแต่ฝุ่นจะเยอะเท่านั้น แต่ที่ข้างๆเก้าอี้ยังมีกระดาษทิชชู่ที่ลูกค้าคนก่อนๆทิ้งไว้เต็มไปหมด ไม่มีตรงไหนเลยที่จะเดินไปได้ ไม่ต้องพูดถึงฉินเย่ แม้แต่เด็กทั้งสองก็ยังตกตะลึง พวกเขาไม่คาดคิดว่าสภาพสุขอนามัยของที่นี่จะแย่ขนาดนี้ โดยเฉพาะเสิ่นเหมิงเหมิงที่อยากมาที่นี่ เมื่อเห็นภาพตรงหน้านี้ เธอก็ไม่กล้าที่จะเดินเข้าไป แต่กลับเงยหน้าขึ้นมองเสิ่นหยินอู้และรู้สึกทำอะไรไม่ถูก: "หม่ามี๊" เมื่อเห็นเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้คิดว่านี่เป็นโอกาส เธอจึงยิ้มเล็กน้อยและคุกเข่าลงต่อหน้าเธอ “เหมิงเหมิงบอกว่าอยากมากินปาท่องโก๋ไม่ใช่หรอ? ตรงนั้นมีที่นั่ง เราไปนั่งตรงนั้นกันเถอะ” “แต่ว่าหม่ามี๊คะ...” เสิ่นเหมิงเหมิงเม้มร
อาจเป็นเพราะเธอขาดความรักของแม่มาตั้งแต่เด็ก เสิ่นหยินอู้จึงต้องการให้เด็กคนหนึ่งมีชีวิตวัยเด็กที่สมบูรณ์แบบ แต่เธอคาดไม่ถึงว่าลูกของเธอจะไม่เพียงแต่เดินตามรอยเธอที่เป็นลูกของแม่เลี้ยงเดี่ยวเท่านั้น แต่เธอมีลูกเพิ่มมาอีกหนึ่งคนด้วยซ้ำ แม้ว่าเธอมักจะพยายามทำตัวให้ยุติธรรมกับเด็กน้อยทั้งสองคนให้มากที่สุด แต่จริงๆแล้วเธอรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเธอไม่สามารถให้ความเท่าเทียมกับเด็กทั้งสองได้เลยจริงๆ เหนียนเหนียนเป็นคนเก็บตัวและเข้าอกเข้าใจผู้อื่น ไม่เพียงแต่เขาจะไม่สร้างปัญหาเท่านั้น เขายังคิดแทนเธอเกือบตลอดเวลาอีกด้วย แต่เหมิงเหมิงนั้นไม่เหมือนกัน เธอซุกซน ชอบเล่นชอบกิน และยังอ่อนแอขี้แยมากอีกด้วย เธอมักจะขอให้เสิ่นหยินอู้กอดเธออยู่เสมอ อีกทั้งยังชอบเรียกร้องความสนใจจากเธอเป็นพิเศษ วันนี้เธอให้ความสนใจกับเหมิงเหมิงมาก และสนใจซือเหนียนน้อยกว่า วันแล้ววันเล่า เวลาที่ยาวนานขึ้นมันก็สะสมไปเรื่อยๆ เธอให้ความสนใจเหนียนเหนียนน้อยลงเรื่อยๆ และเหนียนเหนียนก็เข้าใจโลกมากขึ้นเรื่อยๆ เสิ่นหยินอู้รู้สึกผิดมาโดยตลอด แต่ตอนนี้เมื่อเธอเห็นว่าฉินเย่สามารถดูแลเด็กน้อยทั้งสองคนสลับไปมาด้วยตัวคนเดียวไ
แม้ว่าจะไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆเธอถึงถามคำถามนี้ แต่สำหรับฉินเย่ นี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีอย่างแน่นอน "ใช่" เสิ่นหยินอู้คิดอยู่พักหนึ่งแล้วจึงพูดว่า: "ฉันให้คุณดูแลพวกเขาได้ แต่ฉันมีเงื่อนไข" แน่นอนว่าความพยายามของเขาไม่ได้สูญเปล่า ตั้งแต่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก เขารู้ว่าเสิ่นหยินอู้มีจิตใจที่อ่อนโยน ฉินเย่ถามอย่างสงบโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ "เงื่อนไขอะไร บอกผมหน่อย" “ก่อนอื่น ฉันจะยอมให้คุณดูแลพวกเขา ทั้งหมดก็เพราะฉันนึกถึงพวกเขาสองคน ที่ให้คุณดูแลพวกเขาก็แค่เพราะความสัมพันธ์ทางสายเลือดเท่านั้น” “ตกลง” ฉินเย่เห็นด้วยโดยไม่ได้คิดเลยสักนิด เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อนึกอะไรขึ้นได้ เธอก็มองไปที่เขา: "คุณดูแลพวกเขาได้ในนามของคุณลุงเท่านั้น และคุณห้ามพูดต่อหน้าพวกเขาว่าคุณเป็นพ่อของพวกเขา เงื่อนไขนี้ คุณยังจะตกลงอยู่ไหม? ถ้าสัญญาไม่ได้ งั้นต่อจากนี้ก็...” "ผมสัญญา" ประโยคสุดท้ายของเสิ่นหยินอู้ถูกพูดแทรกขึ้นมา บางทีเธอคงคิดไม่ถึงว่าเขาจะทำเพื่อลูกๆได้เช่นนี้ “ผมแค่อยากทำหน้าที่ของผมให้ดีที่สุด” ส่วนเรื่องชื่อ... ตั้งแต่เขารู้ว่าเด็กๆสองคนน
"ได้" หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ลงจากรถ เธอก็ขึ้นไปชั้นบนโดยไม่หันกลับมามองอีก ขณะที่เธอเข้าไปในลิฟต์ เธอก็คิด จู่ๆเธอก็ใจเย็นกับเขาขนาดนั้นได้อย่างไรกัน? เป็นเพราะเรื่องลูก หรือเพราะเธอไม่สนใจแล้ว หรือ... เป็นเพราะเธอรู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่บอกให้เธอไปทำแท้งในตอนนั้น? ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลไหน เสิ่นหยินอู้ไม่ต้องการจะคิดถึงมันอีกต่อไป ขอแค่ลูกๆทั้งสองของเธอได้รับความรักที่สมบูรณ์ก็เพียงพอแล้ว เธอกังวลมากว่าเด็กน้อยทั้งสองคนจะเดินตามรอยเธอ ขณะที่คิด เสิ่นหยินอู้ก็มาถึงห้องทำงานของเธอและเริ่มจัดการเรื่องสัญญาระหว่างทั้งสอง ในช่วงเวลานี้อู๋อี้ไห่ก็เข้ามาและรายงานให้เธอทราบว่ามีคนหน้าใหม่ๆหลายคนเข้ามาในบริษัท และขอให้เธอไปสัมภาษณ์พนักงานด้วยกัน เมื่อนึกถึงการเติบโตในอนาคตของบริษัท เสิ่นหยินอู้จึงไปกับเขา หลังจากที่เธอจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้ว เธอก็กลับไปที่ห้องทำงานและทำเรื่องสัญญาต่อ ระหว่างเธอกับเขาไม่มีความสัมพันธ์อะไรกันอย่างแน่นอน หากจะมีความสัมพันธ์เกิดขึ้น มันก็จะเกิดขึ้นกับลูกๆ นอกเหนือจากนั้น พวกเขาก็เป็นเพียงพ่อแม่ที่หย่าร้างกันไปแล้ว เสิ่นหยินอู้ทำเงื่อนไขในสัญญาทุกข้อ
คำพูดต่อไป คุณพ่อเสิ่นลังเลเล็กน้อยที่จะพูดออกมา เมื่อสัมผัสได้ถึงความลังเล เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกว่ามันผิดปกติจริงๆ ดังนั้นเธอจึงถามด้วยตนเอง: "เกิดอะไรขึ้นหรอคะ?" ท้ายที่สุดแล้ว เขาไม่เคยถามถึงเรื่องความสัมพันธ์ของเธอมาก่อนเลย เป็นไปได้ไหมว่าเรื่องที่เธอกับโม่ไป๋เพิ่งแยกย้ายกันไป คุณพ่อก็รู้เรื่องนี้เข้าแล้ว? “นั่วนั่ว” คุณพ่อเสิ่นเรียกเธอด้วยชื่อเล่น “มันไม่ใช่เรื่องที่พ่ออยากจะเข้าไปยุ่ง แต่... พ่อคิดว่าเรื่องนี้จำเป็นต้องบอกให้ลูกรู้” “ว่าไงคะ” เสิ่นหยินอู้รู้สึกว่าเธอเตรียมตัวเตรียมใจพร้อมแล้ว “คือว่า ช่วงนี้พ่อได้ยินมาว่าคุณปู่ของเขากำลังมองหาคู่ครองให้เขา” กำลังมองหาคู่ครองให้งั้นหรอ? เสิ่นหยินอู้รู้สึกโล่งใจ "พ่อคะ ที่แท้นี่ก็เป็นเรื่องที่พ่อจะพูดนี่เอง หนูนึกว่า..." “ทำไมหรอ?” คุณพ่อเสิ่นก็เป็นคนอ่อนไหวเช่นกัน “เรื่องนี้ไม่สำคัญสำหรับลูกหรอ? ลูกกับโม่ไป๋…” เสิ่นหยินอู้ไม่ตอบ เมื่อเห็นเธอเงียบไป คุณพ่อเสิ่นก็รู้สึกถึงบางอย่างได้ลางๆ หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ถอนหายใจ “ทีแรกพ่อก็เป็นห่วงว่าลูกจะน้อยใจ แต่พ่อคิดไม่ถึงเลยว่าลูกกับเขาจะแยกกันแล้ว” “พ่อคะ เขากั
เสิ่นหยินอู้ยิ้มเบา ๆ “ใช่ เราเจอกันแล้วค่ะ” เธอสรุปสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ให้กับคุณพ่อเสิ่น เมื่อคุณพ่อเสิ่นได้ยิน เขาก็ตกอกตกใจขึ้นมาทันที “อะไรนะ? เขารู้เรื่องลูกด้วยหรอ? ถึงขั้นอยากดูแลลูกๆด้วยกันกับลูกหรอ?” “แค่ดูแลด้วยกัน ไม่ใช่ให้สิทธิ์เลี้ยงดูด้วยกันค่ะ” เสิ่นหยินอู้แก้ไขให้ถูกต้อง “แต่ถ้าเป็นแบบนี้ หลังจากผ่านไปนานแล้ว ลูกแน่ใจหรอว่าเขาจะไม่พรากเด็กๆไป” “หลังจากเซ็นสัญญาแล้ว เขาจะพรากลูกไปจากหนูได้ยังไงคะ?” “เขาจะเซ็นหรอ?” “ถ้าไม่เซ็นหนูก็จะไม่ให้เขาดูแลลูกๆ มองหน้าก็จะไม่มองด้วยซ้ำ มีอะไรยากคะ?” เสิ่นหยินอู้พูดอย่างสบายใจ: "ถึงตอนนั้น หนูจะส่งเด็กๆไปอยู่กับพ่อที่นั่น" คุณพ่อเสิ่นรับปากในทันที “ลูกพูดถูก ถ้าเขากล้าแย่งเด็กๆไป ลูกก็ส่งเด็กๆมาอยู่กับพ่อ” "อืม" "แต่..." น้ำเสียงของคุณพ่อเสิ่นยังคงลังเลมาก: "ลูกไม่คิดที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างลูกกับเขาจริงๆเหรอ? ที่ลูกแยกย้ายกับโม่ไป๋มันไม่ใช่เพราะเขาจริงๆหรอ?" “เป็นเพราะเขาได้ยังไงล่ะคะ? พ่อคะ พ่อคิดมากไปหรือเปล่า ถึงไม่มีเขา โม่ไป๋กับหนูก็ไปด้วยกันไม่ได้อยู่ดีนี่คะ พ่อน่าจะรู้เรื่องนี้ดี” คุณพ
แต่ดูเหมือนว่าคนๆนั้นจะสัมผัสได้ถึงเจตนาของเธอ และก่อนที่เธอจะกรีดร้องออกมา เขาก็เอื้อมมือออกไปปิดปากของเธอไว้ "อื้อ" ดังนั้นเสียงร้องของเสิ่นหยินอู้จึงกลายเป็นเสียงที่อุดอู้ขึ้นมาทันที ภายในห้องไม่ได้เปิดไฟ มีแต่ความมืดมิด บวกกับหลังจากที่เธอเข้ามา ประตูก็ถูกปิดลง เธอมองเห็นเพียงร่างสูงร่างหนึ่งตรงหน้าเธอผ่านแสงสลัวๆที่ส่องมาจากด้านนอกหน้าต่าง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่มือและเท้าของเธอถูกพันธนาการเอาไว้ และเธอไม่สามารถขยับได้ จนกระทั่งบุคคลนั้นปล่อยมือของเขาที่ปิดปากของเธอไว้เสิ่นหยินอู้คิดจะใช้โอกาสนี้ในการร้องออกมา แต่คนตรงหน้าเธอก็รวดเร็วกว่า เขาโน้มตัวลงมาและจูบเธอ ลมหายใจอุ่นๆที่หนักหน่วงกระทบเข้ากับใบหน้าของเสิ่นหยินอู้ และในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็รับรู้ได้ถึงออร่าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนในขณะนี้ นี่มัน…… ความประหลาดใจแวบขึ้นมาในหัวใจของเธอ และก่อนที่เธอจะทันได้ตอบสนองอะไรอื่น เธอก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายดันฟันของเธอให้แยกจากกัน ทำให้จูบนั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น ขณะที่พวกเขานัวเนียกัน ลมหายใจของพวกเขาล้วนมีแต่กลิ่นของทั้งคู่ เสิ่นหยินอู้ยังได้กลิ่นบุหรี่ที
ดังนั้นการทานอาหารมื้อนี้ก็เป็นไปตามที่เสิ่นหยินอู้คาดไว้ เมื่อพวกเขากินเกือบเสร็จแล้ว แล้วก็จนอาหารเย็นชืดหมดแล้ว ฉินเย่ก็ยังไม่มาปรากฏให้เห็น ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนที่พวกเขาจะต้องเดินทางไปสนามบิน เสิ่นหยินอู้พาเด็กน้อยทั้งสองคนขึ้นไปชั้นบน หลังจากเข้าไปในห้องแล้ว เหมิงเหมิงก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า: "หม่ามี๊คะ ลุงเย่มู่อยู่ไหนล่ะคะ? เขาจะกลับมาเมื่อไร?" เสิ่นหยินอู้ตอบคำถามของเธอแบบเดียวกันกับที่หลี่มู่ถิงตอบเธอ “หม่ามี๊ก็เหมือนลุงหลี่มู่ถิงจ๊ะ ยังไม่รู้เลย เขาไม่ได้บอกหม่ามี๊ว่าเขาจะไปทำอะไร แน่นอนว่าหม่ามี๊ไม่รู้หรอกว่าเขาจะกลับมาเมื่อไร” หลังจากได้ยิน เหมิงเหมิงก็ร้อง อ่า ออกมาเบาๆ เธอขมวดคิ้วราวกับรู้สึกเป็นไม่สบายใจเพราะเรื่องนี้ “ถ้างั้นหม่ามี๊คะ ลุงเย่มู่คงจะไม่ได้จะไม่กลับมาแม้แต่ตอนเราไปสนามบินใช่ไหมคะ? แปลว่าวันนี้เราก็จะไม่ได้เจอลุงเย่มู่แล้วหรอคะ?” เนื่องจากเธอไม่ต้องการให้เด็กๆทั้งสองคนมีความหวังมากเกินไป เสิ่นหยินอู้จึงพูดว่า: "อืม ก็อาจจะเป็นแบบนี้ ลุงเย่มู่มีเรื่องหลายอย่างที่ต้องทำ เดี๋ยวเขาจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเขาจะกลับไปหาเราที่จีน” หากพู
แม้ว่าในที่สุดเขาก็พบเธอ แต่ใครจะกล้ารับประกันกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้? "พอได้แล้ว" เมื่อเห็นเธอกัดริมฝีปากล่างและคิดจะพูดอะไรอื่นอีก ฉินเย่ก็เอามือใหญ่โอบไปที่เอวบางของเธอ "ไม่ต้องคิดแล้ว ในเมื่อผมเลือกที่จะอยู่ นั่นก็หมายความว่าผมมั่นใจ" “แต่... เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรทำตั้งแต่แรกนะ” “นั่วนั่ว” ฉินเย่เรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วเบา “การจะทำอะไรสักอย่างน่ะ ไม่มีคำว่าควรหรือไม่ควร มีแต่เต็มหรือไม่เต็มใจเท่านั้นแหละ” “ถ้าคุณรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผมจะอยู่ที่นี่จริงๆ งั้นหลังจากที่ผมกลับไปที่จีนแล้วก็ลองคิดเรื่องที่จะเปลี่ยนสถานะให้ผมดูดีกว่าไหม?” เสิ่นหยินอู้เข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องการเรียกชื่อ เขาต้องการให้เด็กทั้งสองหยุดเรียกเขาว่าลุงเย่มู่และเรียกเขาว่าพ่อแทน หรือจะบอกว่า ที่เขาทำมามากขนาดนั้นก็เพียงเพื่อความปรารถนาเล็กๆน้อยๆเช่นนี้งั้นหรอ? เมื่อเธอคิดได้เช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป แล้วพูดว่า "คุณจะไม่บอกพวกเขางั้นหรอ?" ริมฝีปากของฉินเย่โค้งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเธอ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดเบาๆว่า: "ครั้งนี้ ผมจะไม่ไปเจอพวกเข
คำพูดทางจิตวิทยาเช่นนี้... ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบลุงโม่ไป๋มากกว่า ถึงตอนนั้น... เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็พูดว่า: "ลุงโม่ไป๋อยู่กับพวกเรามานานกว่า" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็กลั้นหายใจ "ถ้างั้น……" “แต่ลุงเย่มู่มาดูไลฟ์สดของเราบ่อยๆแล้วก็ให้รางวัลเราตลอดเลยด้วย” คำพูดประโยคหลังทำให้หัวใจที่กำลังจมดิ่งลงไปของฉินเย่ลอยกลับขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขาคิดว่าตามความคิดของซือเหนียน เขาคงจะหมดโอกาสแล้ว แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าคำพูดของซือเหนียนจะเปลี่ยนไป ซึ่งมันไม่ต่างกับเป็นการทำให้หัวใจของฉินเย่ลุกเป็นไฟ "แล้วไงต่อ?" ฉินเย่ยังคงรู้สึกประหม่ามากในขณะที่เขาถามคำถามนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะสนใจความคิดของเด็กคนหนึ่งมากขนาดนี้ เพราะกลัวว่าเด็กคนนี้จะไม่เลือกเขาแต่ไปเลือกคนอื่นแทน "ก็……"เสิ่นซือเหนียนจงใจพูดเสียงยาว เมื่อเห็นว่าการหายใจของฉินเย่ดูเหมือนจะติดๆขัดๆขึ้นมา เขาก็คิดว่ามันค่อนข้างน่าขันเล็กน้อย เขาจงใจเอียงศีรษะแล้วพูดว่า: "ลุงเย่มู่กับลุงโม่ไป๋เสมอกันครับ" เสมอกัน? ฉินเย่ตกตะลึง “เสมอกันงั้นเหรอ?” “ลุงเย่มู่ หรือว่าลุงคิดว่าลุงจะแพ้ลุงโม่ไป๋เหรอครั
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ
ฉินเย่สัญญาว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เธอ รวมถึงอาการบาดเจ็บของผู้ช่วยเฉินด้วย คนของเขาสามารถจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก ในวันถัดมา เสิ่นหยินอู้ก็ได้รับข่าวคราวล่าสุดของพวกโม่ไป๋ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยของผู้ช่วยเฉินเลย “ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินเช่นนั้น เธอก็มีลางสังหรณ์แย่ๆขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวัน จากนั้นเมื่อเธอถามถึงเขา เขาจึงปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญคืออาการบาดเจ็บของเขาหนักแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถรับรู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถอดเสื้อของเขาออกมาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บแค่ไหน ต่อมาเขาปล่อยเธอและพาเธอออกมา หลังจากที่เขากลับไป โม่ไป๋ก็คงจะยิ่งไม่เกรงใจเขามากขึ้น ตอนนี้... ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ โม่ไป๋ยังได้รับบาดเจ็บ เขาคงจะโกรธมากและระบายความโกรธทั้งหมดที่มีใส่ผู้ช่วยเฉินหรือไม่? และที่นี่คือที่ต่างประเทศ ถ้าหากว่า... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายจะมีด้านนี้เหมือนกัน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเขา “ฉันไม่ได้อึดอัด แต่ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่ คุณไม่ได้ต้องพักผ่อนเหรอ?” "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ: "เมื่อคืนนี้ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เขาคงจะไม่ได้คิดที่จะให้เธออยู่กับเขาไปตลอดใช่ไหม? เธอยังต้องไปดูแลลูกๆ “นั่วนั่ว” เขาดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ผมเป็นคนป่วย ต้องการคนอยู่ด้วยในระยะยาว" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขัดขืน ฉินเย่ก็ดึงเธอขึ้นไปนั่งบนตักเขาแล้วเอามือพยุงไว้ที่เอวของเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ เธอก็ตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้ว ฉินเย่ก้มศีรษะลงและโน้มตัวเอาหน้าลงไปซุกไว้ที่ซอกคอของเธอ เขาสูดดมกลิ่นของเธอด้วยความละโมบ ลมหายใจอันร้อนรุ่มที่ออกมาทั้งหมดถูกปล่อยออกมาที่ซอกคอของเสิ่นหยินอู้ เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็วและกระตุกหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาประทับริมฝีปากบางที่นุ่มนิ่มของเขาลงไปบนซอกคอของเธอ เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ในที่สุดเสิ่นหยินอ