คำพูดต่อไป คุณพ่อเสิ่นลังเลเล็กน้อยที่จะพูดออกมา เมื่อสัมผัสได้ถึงความลังเล เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกว่ามันผิดปกติจริงๆ ดังนั้นเธอจึงถามด้วยตนเอง: "เกิดอะไรขึ้นหรอคะ?" ท้ายที่สุดแล้ว เขาไม่เคยถามถึงเรื่องความสัมพันธ์ของเธอมาก่อนเลย เป็นไปได้ไหมว่าเรื่องที่เธอกับโม่ไป๋เพิ่งแยกย้ายกันไป คุณพ่อก็รู้เรื่องนี้เข้าแล้ว? “นั่วนั่ว” คุณพ่อเสิ่นเรียกเธอด้วยชื่อเล่น “มันไม่ใช่เรื่องที่พ่ออยากจะเข้าไปยุ่ง แต่... พ่อคิดว่าเรื่องนี้จำเป็นต้องบอกให้ลูกรู้” “ว่าไงคะ” เสิ่นหยินอู้รู้สึกว่าเธอเตรียมตัวเตรียมใจพร้อมแล้ว “คือว่า ช่วงนี้พ่อได้ยินมาว่าคุณปู่ของเขากำลังมองหาคู่ครองให้เขา” กำลังมองหาคู่ครองให้งั้นหรอ? เสิ่นหยินอู้รู้สึกโล่งใจ "พ่อคะ ที่แท้นี่ก็เป็นเรื่องที่พ่อจะพูดนี่เอง หนูนึกว่า..." “ทำไมหรอ?” คุณพ่อเสิ่นก็เป็นคนอ่อนไหวเช่นกัน “เรื่องนี้ไม่สำคัญสำหรับลูกหรอ? ลูกกับโม่ไป๋…” เสิ่นหยินอู้ไม่ตอบ เมื่อเห็นเธอเงียบไป คุณพ่อเสิ่นก็รู้สึกถึงบางอย่างได้ลางๆ หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ถอนหายใจ “ทีแรกพ่อก็เป็นห่วงว่าลูกจะน้อยใจ แต่พ่อคิดไม่ถึงเลยว่าลูกกับเขาจะแยกกันแล้ว” “พ่อคะ เขากั
เสิ่นหยินอู้ยิ้มเบา ๆ “ใช่ เราเจอกันแล้วค่ะ” เธอสรุปสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ให้กับคุณพ่อเสิ่น เมื่อคุณพ่อเสิ่นได้ยิน เขาก็ตกอกตกใจขึ้นมาทันที “อะไรนะ? เขารู้เรื่องลูกด้วยหรอ? ถึงขั้นอยากดูแลลูกๆด้วยกันกับลูกหรอ?” “แค่ดูแลด้วยกัน ไม่ใช่ให้สิทธิ์เลี้ยงดูด้วยกันค่ะ” เสิ่นหยินอู้แก้ไขให้ถูกต้อง “แต่ถ้าเป็นแบบนี้ หลังจากผ่านไปนานแล้ว ลูกแน่ใจหรอว่าเขาจะไม่พรากเด็กๆไป” “หลังจากเซ็นสัญญาแล้ว เขาจะพรากลูกไปจากหนูได้ยังไงคะ?” “เขาจะเซ็นหรอ?” “ถ้าไม่เซ็นหนูก็จะไม่ให้เขาดูแลลูกๆ มองหน้าก็จะไม่มองด้วยซ้ำ มีอะไรยากคะ?” เสิ่นหยินอู้พูดอย่างสบายใจ: "ถึงตอนนั้น หนูจะส่งเด็กๆไปอยู่กับพ่อที่นั่น" คุณพ่อเสิ่นรับปากในทันที “ลูกพูดถูก ถ้าเขากล้าแย่งเด็กๆไป ลูกก็ส่งเด็กๆมาอยู่กับพ่อ” "อืม" "แต่..." น้ำเสียงของคุณพ่อเสิ่นยังคงลังเลมาก: "ลูกไม่คิดที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างลูกกับเขาจริงๆเหรอ? ที่ลูกแยกย้ายกับโม่ไป๋มันไม่ใช่เพราะเขาจริงๆหรอ?" “เป็นเพราะเขาได้ยังไงล่ะคะ? พ่อคะ พ่อคิดมากไปหรือเปล่า ถึงไม่มีเขา โม่ไป๋กับหนูก็ไปด้วยกันไม่ได้อยู่ดีนี่คะ พ่อน่าจะรู้เรื่องนี้ดี” คุณพ
ในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็ตัดสายของฉินเย่ไปด้วยความสับสน เธอเอนตัวลงบนเก้าอี้ในออฟฟิศ อารมณ์ของเธอซับซ้อนอย่างถึงขีดสุด เงื่อนไขในสัญญาที่เธอกำหนดขึ้นมา ที่จริงแล้วมันไม่ยุติธรรมกับฉินเย่เป็นอย่างยิ่ง เพราะเธอให้เขาใช้เงินและแรงเพื่อลูก แต่เขาไม่มีสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูก และลูกๆก็จะไม่เรียกเขาว่าพ่อ ถ้าจะให้พูดอีกนัยหนึ่งก็คือเท่ากับว่าเขากำลังเลี้ยงดูลูกของคนอื่น แม้ว่าเด็กสองคนนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับเขาทางสายเลือด แต่นามสกุลของพวกเขาคือ เสิ่น และพวกเขาก็ไม่ได้เรียกเขาว่าพ่อ ด้วยสถานะเช่นนี้ของเขา เขาสามารถที่จะปฏิเสธ หรือแม้แต่ใช้ไม้แข็งกับเธอได้ แต่เขากลับเห็นด้วยกับเธอทุกอย่าง แม้กระทั่ง... เสิ่นหยินอู้เอื้อมมือไปบีบระหว่างคิ้วของตัวเองเพื่อสงบสติอารมณ์และเตือนตัวเอง “นี่ก็แค่แผนการหนึ่งของเขา ไม่ควรไปเชื่อเขาง่ายๆ แล้วก็อย่าได้ลืมความเจ็บปวดเพียงเพราะว่าแผลหายดีแล้ว เรื่องในอดีตมันผ่านไปแล้ว เขาไม่ใช่ฉินเย่ในสมัยเด็กอีกต่อไป” เสิ่นหยินอู้บอกกับตัวเองหลายครั้ง จากนั้นก็ดึงหัวใจที่สั่นไหวของเธอกลับมา หลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เสิ่นหยินอู้ก็เริ่มทำงานอย่างจริงจัง
เขาตอบด้วยน้ำเสียงอู้อี้: "เข้าใจแล้ว" เสิ่นหยินอู้ไม่ได้โล่งใจแต่อย่างใด เธอรู้สึกอยู่เสมอว่าคำพูดของเขาแปลกพิลึกเล็กน้อย ปากบอกว่าตกลง และเข้าใจ แต่ในความเป็นจริงเขาก็ยังคงทำตามใจตัวเอง ตามที่คาดไว้ ก่อนที่เธอจะได้พูดประโยคถัดไป เธอก็ได้ยินฉินเย่พูดว่า: "แต่ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้มีผลอะไรต่อชีวิตของคุณเลย" เสิ่นหยินอู้: "?" “นี่มันยังไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของฉันอีกเหรอ?” อีกฝ่ายเงียบไปสักพักก่อนจะพูดว่า: "ไม่ว่าผมจะมารับคุณหรือไม่ คุณก็ต้องไปส่งลูกๆที่โรงเรียนและกลับบ้านหลังเลิกงาน ถ้าผมมารับ คุณจะได้ประหยัดเงินค่าน้ำมันกับค่าอาหารเช้า” ฉินเย่เป็นคนจ่ายค่าอาหารเช้าเมื่อเช้า เสิ่นหยินอู้: "ถ้างั้นฉันคงต้องขอบคุณสินะ?" “ไม่จำเป็น” เขาพูดอย่างจริงจัง: “การทำอะไรสักอย่างเพื่อแม่ของลูกของผม มันเป็นสิ่งที่ควรทำอยู่แล้ว” เสิ่นหยินอู้: "..." ไม่อยากคุยกับเขาเลยจริงๆ “ออกมาเถอะ ผมรอคุณอยู่ข้างนอก” อาจเป็นเพราะเขากลัวว่าเธอจะปฏิเสธ ฉินเย่จึงพูดอีกครั้ง: "อย่าปล่อยให้เด็กๆรอสิ" “……” เขาจับจุดอ่อนของเธอได้อย่างแม่นยำ แต่เสิ่นหยินอู้ดูเหมือนจะไม่ต้องการขึ้นรถของเขาต่อหน้า
ไม่ว่าจะเป็นเพราะเขาแอบเปลี่ยนข้อกำหนดในสัญญาจนไม่กล้าให้เธออ่าน หรือเพราะเป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆ แต่ว่ามันก็เสียสายตาจริงๆถ้าจะอ่านบนรถ อย่างไรเสีย เขาก็เก็บสัญญาลงไปแล้ว และเธอก็ไม่มีทางที่จะอ่านต่อ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สนใจที่จะพูดคุยกับเขาอีก ฉินเย่เข้าใจในสิ่งที่เธอคิดอยู่ในหัว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทั้งสองเงียบแบบนี้ไปตลอดทางจนกระทั่งไปถึงโรงเรียน ฉินเย่เป็นคนส่งเด็กๆเข้าไปในโรงเรียนในตอนเช้า และตอนนี้ก็เป็นฉินเย่ที่ลงจากรถไปรับพวกเขา เสิ่นหยินอู้นั่งนิ่งไม่ขยับ และหลังจากนั้นไม่นานเธอก็เห็นฉินเย่พาพวกเขากลับมา ทันทีที่เด็กน้อยทั้งสองขึ้นรถ พวกเขาก็รีบพุ่งเข้าไปหาเธอแล้วทักทายเธอ ก่อนที่ฉินเย่จะขึ้นรถ เหมิงเหมิงถึงกับเงยหน้าขึ้นมาถามเสิ่นหยินอู้เบาๆ: "หม่ามี๊ตกลงที่จะให้ลุงเย่มู่มาเป็นพ่อของเราแล้วใช่ไหมคะ?" คำถามนี้... ริมฝีปากของเสิ่นหยินอู้เปิดออกเล็กน้อย เมื่อเธอกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เธอก็เห็นฉินเย่กำลังจะขึ้นมาบนรถ ดังนั้นคำพูดที่มาถึงริมฝีปากของเธอจึงหยุดลงและถูกแทนที่ด้วยประโยคอื่น “ลูกรัก คำถามนี้ เดี๋ยวไว้เรากลับถึงบ้านค่อยคุย
คนขับเคยเห็นความสามารถของเจียงฉูฉู่ หลังจากได้ยินสิ่งที่เขาพูด เขาก็ไม่ได้ลงจากรถทันที แต่ถามว่า: "ถ้าคุณเจียงไม่ยอมออกไป จะทำยังไงครับ?" “ถ้างั้นก็โทรไปหาผู้ช่วยหลี่ ให้เขาส่งใครสักคนมา” ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา คนขับก็เข้าใจดี เขาจึงพยักหน้าในทันที “เข้าใจแล้วครับประธานฉิน” หลังจากพูดจบ เขาก็ปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วลงจากรถ ท่ามกลางสายลมที่หนาวเหน็บ เจียงฉูฉู่กระชับสายกระเป๋าของเธอให้แน่นขึ้น ข้างในกระเป๋าคือของที่แม่ของเธอให้เธอมา โดยบอกว่ามันจะช่วยให้เธอสำเร็จ มันเพิ่งผ่านไปวันเดียวเท่านั้น และเธอก็มาหาฉินเย่ในเวลานี้ ซึ่งมันไม่มีโอกาสสำเร็จเลยจริงๆ ดังนั้นเดิมทีเธออยากจะเลื่อนออกไปอีกหลายๆวัน แต่แม่ของเธอแนะนำเธอว่าน้ำขึ้นให้รีบตัก ด้วยคำพูดของแม่ของเธอ เจียงฉูฉู่จึงมาที่นี่ เจียงฉูฉู่หายใจเข้าลึกๆ จะสำเร็จหรือจะล้มเหลวมันอยู่ที่การกระทำในครั้งนี้ เธอจะต้องไม่ถอยอย่างเด็ดขาด เธอคาดไม่ถึงเลยว่าคนที่ลงจากรถจะไม่ใช่ฉินเย่ แต่เป็นคนขับของเขา คนขับเดินมาหาเธอ เจียงฉูฉู่มองเข้าไปในรถ แต่มันมีแต่ความมืดมิด เธอไม่เห็นอะไรเลย ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงหันไปหาคนขับเท่านั้น “
ฉินเย่สงสัยเล็กน้อยกับสิ่งที่เขาได้ยิน เจียงฉูฉู่มาบอกลาเขาเหรอ? นี่มันอะไรกัน? ฉินเย่หรี่ตาที่เฉี่ยวคมของเขาลงเล็กน้อยแล้วมองไปที่เจียงฉูฉู่ซึ่งยืนอย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางสายลมยามค่ำคืน อากาศดูเหมือนจะหนาวมาก ไม่รู้ว่าเธอสวมชุดอะไรอยู่ด้านใน เธอตัวสั่นระริกจากความหนาวเย็น และแม้แต่แก้มขาวๆของเธอก็กลายเป็นสีแดงเพราะความหนาวเย็น ดูเผินๆแล้ว เธอช่างน่าสงสารและน่าเห็นใจจริงๆ แต่ผู้หญิงแบบนี้เพียงคนเดียว เธอลบข้อความเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ของเสิ่นหยินอู้ไปอย่างเงียบๆ ถึงขั้นยังให้เงินเธอห้าล้านเป็นการส่วนตัวลับหลังเขาอีกด้วย เธอคิดจะทำอะไร มันชัดเจนอยู่แล้ว ถ้าเสิ่นหยินอู้ไม่ได้ให้กำเนิดเด็กๆสองคนนั้นออกมาลืมตาดูโลก เขาคงจะสูญเสียลูกของตัวเองถึงสองคนไปแล้วจริงๆเมื่อเขาคิดถึงเด็กน่ารักๆสองคนนั้นที่อาจหายไป หัวใจของฉินเย่รู้สึกเหมือนโดนมีดกรีด เขาไม่สามารถเห็นใจเธอได้ หากพูดถึงบุญคุณ ที่ผ่านมาเขาได้ทำมามากพอแล้วอำนาจของตระกูลฉินถูกตระกูลเจียงของเธอยืมใช้มาโดยตลอด ตราบใดที่บุญคุณนี้ยังคงอยู่ ฉินเย่ก็สามารถให้ตระกูลเจียงของเธอยืมไปได้ตลอดชีวิต ตราบใดที่เธออยู่อย่างสงบสุข
“ฉันแค่จะไปแล้ว เลยอยากจะมาคุยกับนายสักหน่อย ได้ไหม?” เจียงฉูฉู่ก้าวไปข้างหน้าและคิดที่จะจับมือของเขา ฉินเย่ถอยหลังไปหนึ่งก้าวแบบเนียนๆ และในที่สุดก็พูดว่า "มีอะไรจะพูดก็พูดมาเลย" เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจียงฉูฉู่มองเข้าไปข้างในแล้วขอร้องเบาๆ: "ข้างนอกมันหนาวมาก ขอเข้าไปคุยข้างในได้ไหม?" ฉินเย่กวาดสายตาไปมองเธอแล้วเม้มริมฝีปากบางเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พูดว่า: "เข้าไปสิ วันนี้มีอะไรอยากจะพูดก็พูดให้จบ หลังจากวันนี้ ผมจะไม่ไปเจอเธออีก" เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจียงฉูฉู่ก็กัดริมฝีปากล่างของเธอ “ฉันเข้าใจแล้ว ไม่ต้องห่วง หลังจากวันนี้ ฉันจะหายไปเอง และจะไม่มาปรากฏตัวต่อหน้านายอีก” - ณ ภายในบ้าน เจียงฉูฉู่นั่งอยู่บนโซฟา โดยมีแก้วน้ำที่ต้มสุกแล้ววางอยู่ข้างหน้าเธอแก้วหนึ่ง หลังจากถูกลมหนาวพัดใส่เป็นเวลานาน ร่างกายซึ่งเย็นเฉียบจนแทบจะไม่รู้สึกอะไรก็ค่อยๆอุ่นขึ้นมา เจียงฉูฉู่จ้องไปที่แก้วน้ำแก้วนั้นเป็นเวลานาน จากนั้นหายใจเข้าลึกๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองฉินเย่: "มีไวน์ไหม?" เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินเย่ขมวดคิ้ว: "ในเวลานี้ เธอคิดว่าผมจะให้เธอดื่มเหล้าที่นี่หรอ?" เจียงฉูฉู
แม้ว่าในที่สุดเขาก็พบเธอ แต่ใครจะกล้ารับประกันกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้? "พอได้แล้ว" เมื่อเห็นเธอกัดริมฝีปากล่างและคิดจะพูดอะไรอื่นอีก ฉินเย่ก็เอามือใหญ่โอบไปที่เอวบางของเธอ "ไม่ต้องคิดแล้ว ในเมื่อผมเลือกที่จะอยู่ นั่นก็หมายความว่าผมมั่นใจ" “แต่... เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรทำตั้งแต่แรกนะ” “นั่วนั่ว” ฉินเย่เรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วเบา “การจะทำอะไรสักอย่างน่ะ ไม่มีคำว่าควรหรือไม่ควร มีแต่เต็มหรือไม่เต็มใจเท่านั้นแหละ” “ถ้าคุณรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผมจะอยู่ที่นี่จริงๆ งั้นหลังจากที่ผมกลับไปที่จีนแล้วก็ลองคิดเรื่องที่จะเปลี่ยนสถานะให้ผมดูดีกว่าไหม?” เสิ่นหยินอู้เข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องการเรียกชื่อ เขาต้องการให้เด็กทั้งสองหยุดเรียกเขาว่าลุงเย่มู่และเรียกเขาว่าพ่อแทน หรือจะบอกว่า ที่เขาทำมามากขนาดนั้นก็เพียงเพื่อความปรารถนาเล็กๆน้อยๆเช่นนี้งั้นหรอ? เมื่อเธอคิดได้เช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป แล้วพูดว่า "คุณจะไม่บอกพวกเขางั้นหรอ?" ริมฝีปากของฉินเย่โค้งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเธอ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดเบาๆว่า: "ครั้งนี้ ผมจะไม่ไปเจอพวกเข
คำพูดทางจิตวิทยาเช่นนี้... ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบลุงโม่ไป๋มากกว่า ถึงตอนนั้น... เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็พูดว่า: "ลุงโม่ไป๋อยู่กับพวกเรามานานกว่า" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็กลั้นหายใจ "ถ้างั้น……" “แต่ลุงเย่มู่มาดูไลฟ์สดของเราบ่อยๆแล้วก็ให้รางวัลเราตลอดเลยด้วย” คำพูดประโยคหลังทำให้หัวใจที่กำลังจมดิ่งลงไปของฉินเย่ลอยกลับขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขาคิดว่าตามความคิดของซือเหนียน เขาคงจะหมดโอกาสแล้ว แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าคำพูดของซือเหนียนจะเปลี่ยนไป ซึ่งมันไม่ต่างกับเป็นการทำให้หัวใจของฉินเย่ลุกเป็นไฟ "แล้วไงต่อ?" ฉินเย่ยังคงรู้สึกประหม่ามากในขณะที่เขาถามคำถามนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะสนใจความคิดของเด็กคนหนึ่งมากขนาดนี้ เพราะกลัวว่าเด็กคนนี้จะไม่เลือกเขาแต่ไปเลือกคนอื่นแทน "ก็……"เสิ่นซือเหนียนจงใจพูดเสียงยาว เมื่อเห็นว่าการหายใจของฉินเย่ดูเหมือนจะติดๆขัดๆขึ้นมา เขาก็คิดว่ามันค่อนข้างน่าขันเล็กน้อย เขาจงใจเอียงศีรษะแล้วพูดว่า: "ลุงเย่มู่กับลุงโม่ไป๋เสมอกันครับ" เสมอกัน? ฉินเย่ตกตะลึง “เสมอกันงั้นเหรอ?” “ลุงเย่มู่ หรือว่าลุงคิดว่าลุงจะแพ้ลุงโม่ไป๋เหรอครั
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ
ฉินเย่สัญญาว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เธอ รวมถึงอาการบาดเจ็บของผู้ช่วยเฉินด้วย คนของเขาสามารถจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก ในวันถัดมา เสิ่นหยินอู้ก็ได้รับข่าวคราวล่าสุดของพวกโม่ไป๋ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยของผู้ช่วยเฉินเลย “ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินเช่นนั้น เธอก็มีลางสังหรณ์แย่ๆขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวัน จากนั้นเมื่อเธอถามถึงเขา เขาจึงปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญคืออาการบาดเจ็บของเขาหนักแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถรับรู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถอดเสื้อของเขาออกมาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บแค่ไหน ต่อมาเขาปล่อยเธอและพาเธอออกมา หลังจากที่เขากลับไป โม่ไป๋ก็คงจะยิ่งไม่เกรงใจเขามากขึ้น ตอนนี้... ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ โม่ไป๋ยังได้รับบาดเจ็บ เขาคงจะโกรธมากและระบายความโกรธทั้งหมดที่มีใส่ผู้ช่วยเฉินหรือไม่? และที่นี่คือที่ต่างประเทศ ถ้าหากว่า... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายจะมีด้านนี้เหมือนกัน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเขา “ฉันไม่ได้อึดอัด แต่ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่ คุณไม่ได้ต้องพักผ่อนเหรอ?” "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ: "เมื่อคืนนี้ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เขาคงจะไม่ได้คิดที่จะให้เธออยู่กับเขาไปตลอดใช่ไหม? เธอยังต้องไปดูแลลูกๆ “นั่วนั่ว” เขาดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ผมเป็นคนป่วย ต้องการคนอยู่ด้วยในระยะยาว" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขัดขืน ฉินเย่ก็ดึงเธอขึ้นไปนั่งบนตักเขาแล้วเอามือพยุงไว้ที่เอวของเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ เธอก็ตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้ว ฉินเย่ก้มศีรษะลงและโน้มตัวเอาหน้าลงไปซุกไว้ที่ซอกคอของเธอ เขาสูดดมกลิ่นของเธอด้วยความละโมบ ลมหายใจอันร้อนรุ่มที่ออกมาทั้งหมดถูกปล่อยออกมาที่ซอกคอของเสิ่นหยินอู้ เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็วและกระตุกหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาประทับริมฝีปากบางที่นุ่มนิ่มของเขาลงไปบนซอกคอของเธอ เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ในที่สุดเสิ่นหยินอ
เขาคว้าโทรศัพท์ไปทั้งเครื่อง เสิ่นหยินอู้ไม่ได้จับโทรศัพท์เลย เธอไม่กล้าแย่งมันคืนมาเพราะกลัวว่าระหว่างการแย่งชิงโทรศัพท์กันจะทำให้บาดแผลของเขาฉีกกว้างขึ้น “บทลงโทษอะไรกัน? ต่อให้คุณจะพูดไม่เหมาะสม แต่ก็มันไม่เกี่ยวอะไรกับบาดแผลของคุณเลย” น่าเสียดายที่ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร ฉินเย่ก็เหมือนจะไม่ได้ยินเธอ ราวกับว่าเขายินยอมที่จะรับบทลงโทษของตัวเอง เมื่อเห็นท่าทางที่นิ่งเฉยของเขา เสิ่นหยินอู้ก็พูดได้เพียงว่า: "ต่อให้คุณจะลงโทษตัวเอง แต่ก็ใช้วิธีอื่นก็ได้" วิธีอื่นเหรอ? ในที่สุดฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองเธอ “แล้วคุณว่า ต้องลงโทษแบบไหนล่ะ?”เสิ่นหยินอู้คิดอย่างจริงจังอยู่สักพัก "วิธีลงโทษคุณน่ะมี แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รอหลังจากที่แผลคุณหายดีแล้วก่อนเถอะ" “งั้นหลังจากลงโทษแล้ว คุณจะยกโทษให้ผมได้ไหม?” “เรื่องนี้ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีนะ” คำพูดที่เขาพูดในวันนี้มันทำให้เธอโกรธมากจริงๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรอีก “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจะโทรตามคุณหมอมาทำแผลให้คุณใหม่” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฉินเย่ก็ยื่นโทรศัพท์ให้เธอหลังจ
รวมถึงโม่ไป๋ด้วย การที่เขาลักพาตัวเธอไปอย่างกะทันหันก็เป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงเช่นกัน แต่สิ่งที่ฉินเย่พูดในตอนนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตื่นตระหนกขึ้นมา แต่ในไม่ช้าเธอก็สงบลง “เรื่องนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยนะ มันไม่เหมาะสมที่คุณที่จะยกตัวอย่างแบบนี้ขึ้นมา” คำตอบของเธอทำให้สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย “เป็นเพราะผมยกตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือเพราะคุณไม่สามารถตอบคำถามของผมได้เลย หรือจะบอกว่าคำตอบของคุณก็เหมือนกับที่ผมคิดไว้” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก เธอพยายามจินตนาการถึงภาพนี้ในหัว หากฉินเย่ลักพาตัวเธอ และให้เธอกับลูกๆอยู่ด้วยกันกับเขาไปตลอดชีวิตเท่านั้น ไม่ได้ ต่อให้จะเป็นเขา แต่เธอก็รับไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าพวกเขาจะสนิทสนมเพียงใด เธอก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องที่พวกเขาทำผิดกฎหมายได้ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สนใจว่าคำพูดถัดไปจะทำร้ายจิตใจของฉินเย่หรือไม่ เธอพูดออกมาตรงๆ “ใช่ คุณพูดถูก ถ้าคุณลักพาตัวฉัน ฉันก็จะไม่อยู่กับคุณ” ดวงตาของฉินเย่มืดลง “แต่ในอีกความหมายหนึ่ง การที่ฉันไม่อยู่กับคุณมันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปอยู่กับเขา ถ้าฉันจะอยู่กับคุณมัน