เขาตอบด้วยน้ำเสียงอู้อี้: "เข้าใจแล้ว" เสิ่นหยินอู้ไม่ได้โล่งใจแต่อย่างใด เธอรู้สึกอยู่เสมอว่าคำพูดของเขาแปลกพิลึกเล็กน้อย ปากบอกว่าตกลง และเข้าใจ แต่ในความเป็นจริงเขาก็ยังคงทำตามใจตัวเอง ตามที่คาดไว้ ก่อนที่เธอจะได้พูดประโยคถัดไป เธอก็ได้ยินฉินเย่พูดว่า: "แต่ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้มีผลอะไรต่อชีวิตของคุณเลย" เสิ่นหยินอู้: "?" “นี่มันยังไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของฉันอีกเหรอ?” อีกฝ่ายเงียบไปสักพักก่อนจะพูดว่า: "ไม่ว่าผมจะมารับคุณหรือไม่ คุณก็ต้องไปส่งลูกๆที่โรงเรียนและกลับบ้านหลังเลิกงาน ถ้าผมมารับ คุณจะได้ประหยัดเงินค่าน้ำมันกับค่าอาหารเช้า” ฉินเย่เป็นคนจ่ายค่าอาหารเช้าเมื่อเช้า เสิ่นหยินอู้: "ถ้างั้นฉันคงต้องขอบคุณสินะ?" “ไม่จำเป็น” เขาพูดอย่างจริงจัง: “การทำอะไรสักอย่างเพื่อแม่ของลูกของผม มันเป็นสิ่งที่ควรทำอยู่แล้ว” เสิ่นหยินอู้: "..." ไม่อยากคุยกับเขาเลยจริงๆ “ออกมาเถอะ ผมรอคุณอยู่ข้างนอก” อาจเป็นเพราะเขากลัวว่าเธอจะปฏิเสธ ฉินเย่จึงพูดอีกครั้ง: "อย่าปล่อยให้เด็กๆรอสิ" “……” เขาจับจุดอ่อนของเธอได้อย่างแม่นยำ แต่เสิ่นหยินอู้ดูเหมือนจะไม่ต้องการขึ้นรถของเขาต่อหน้า
ไม่ว่าจะเป็นเพราะเขาแอบเปลี่ยนข้อกำหนดในสัญญาจนไม่กล้าให้เธออ่าน หรือเพราะเป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆ แต่ว่ามันก็เสียสายตาจริงๆถ้าจะอ่านบนรถ อย่างไรเสีย เขาก็เก็บสัญญาลงไปแล้ว และเธอก็ไม่มีทางที่จะอ่านต่อ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สนใจที่จะพูดคุยกับเขาอีก ฉินเย่เข้าใจในสิ่งที่เธอคิดอยู่ในหัว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทั้งสองเงียบแบบนี้ไปตลอดทางจนกระทั่งไปถึงโรงเรียน ฉินเย่เป็นคนส่งเด็กๆเข้าไปในโรงเรียนในตอนเช้า และตอนนี้ก็เป็นฉินเย่ที่ลงจากรถไปรับพวกเขา เสิ่นหยินอู้นั่งนิ่งไม่ขยับ และหลังจากนั้นไม่นานเธอก็เห็นฉินเย่พาพวกเขากลับมา ทันทีที่เด็กน้อยทั้งสองขึ้นรถ พวกเขาก็รีบพุ่งเข้าไปหาเธอแล้วทักทายเธอ ก่อนที่ฉินเย่จะขึ้นรถ เหมิงเหมิงถึงกับเงยหน้าขึ้นมาถามเสิ่นหยินอู้เบาๆ: "หม่ามี๊ตกลงที่จะให้ลุงเย่มู่มาเป็นพ่อของเราแล้วใช่ไหมคะ?" คำถามนี้... ริมฝีปากของเสิ่นหยินอู้เปิดออกเล็กน้อย เมื่อเธอกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เธอก็เห็นฉินเย่กำลังจะขึ้นมาบนรถ ดังนั้นคำพูดที่มาถึงริมฝีปากของเธอจึงหยุดลงและถูกแทนที่ด้วยประโยคอื่น “ลูกรัก คำถามนี้ เดี๋ยวไว้เรากลับถึงบ้านค่อยคุย
คนขับเคยเห็นความสามารถของเจียงฉูฉู่ หลังจากได้ยินสิ่งที่เขาพูด เขาก็ไม่ได้ลงจากรถทันที แต่ถามว่า: "ถ้าคุณเจียงไม่ยอมออกไป จะทำยังไงครับ?" “ถ้างั้นก็โทรไปหาผู้ช่วยหลี่ ให้เขาส่งใครสักคนมา” ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา คนขับก็เข้าใจดี เขาจึงพยักหน้าในทันที “เข้าใจแล้วครับประธานฉิน” หลังจากพูดจบ เขาก็ปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วลงจากรถ ท่ามกลางสายลมที่หนาวเหน็บ เจียงฉูฉู่กระชับสายกระเป๋าของเธอให้แน่นขึ้น ข้างในกระเป๋าคือของที่แม่ของเธอให้เธอมา โดยบอกว่ามันจะช่วยให้เธอสำเร็จ มันเพิ่งผ่านไปวันเดียวเท่านั้น และเธอก็มาหาฉินเย่ในเวลานี้ ซึ่งมันไม่มีโอกาสสำเร็จเลยจริงๆ ดังนั้นเดิมทีเธออยากจะเลื่อนออกไปอีกหลายๆวัน แต่แม่ของเธอแนะนำเธอว่าน้ำขึ้นให้รีบตัก ด้วยคำพูดของแม่ของเธอ เจียงฉูฉู่จึงมาที่นี่ เจียงฉูฉู่หายใจเข้าลึกๆ จะสำเร็จหรือจะล้มเหลวมันอยู่ที่การกระทำในครั้งนี้ เธอจะต้องไม่ถอยอย่างเด็ดขาด เธอคาดไม่ถึงเลยว่าคนที่ลงจากรถจะไม่ใช่ฉินเย่ แต่เป็นคนขับของเขา คนขับเดินมาหาเธอ เจียงฉูฉู่มองเข้าไปในรถ แต่มันมีแต่ความมืดมิด เธอไม่เห็นอะไรเลย ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงหันไปหาคนขับเท่านั้น “
ฉินเย่สงสัยเล็กน้อยกับสิ่งที่เขาได้ยิน เจียงฉูฉู่มาบอกลาเขาเหรอ? นี่มันอะไรกัน? ฉินเย่หรี่ตาที่เฉี่ยวคมของเขาลงเล็กน้อยแล้วมองไปที่เจียงฉูฉู่ซึ่งยืนอย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางสายลมยามค่ำคืน อากาศดูเหมือนจะหนาวมาก ไม่รู้ว่าเธอสวมชุดอะไรอยู่ด้านใน เธอตัวสั่นระริกจากความหนาวเย็น และแม้แต่แก้มขาวๆของเธอก็กลายเป็นสีแดงเพราะความหนาวเย็น ดูเผินๆแล้ว เธอช่างน่าสงสารและน่าเห็นใจจริงๆ แต่ผู้หญิงแบบนี้เพียงคนเดียว เธอลบข้อความเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ของเสิ่นหยินอู้ไปอย่างเงียบๆ ถึงขั้นยังให้เงินเธอห้าล้านเป็นการส่วนตัวลับหลังเขาอีกด้วย เธอคิดจะทำอะไร มันชัดเจนอยู่แล้ว ถ้าเสิ่นหยินอู้ไม่ได้ให้กำเนิดเด็กๆสองคนนั้นออกมาลืมตาดูโลก เขาคงจะสูญเสียลูกของตัวเองถึงสองคนไปแล้วจริงๆเมื่อเขาคิดถึงเด็กน่ารักๆสองคนนั้นที่อาจหายไป หัวใจของฉินเย่รู้สึกเหมือนโดนมีดกรีด เขาไม่สามารถเห็นใจเธอได้ หากพูดถึงบุญคุณ ที่ผ่านมาเขาได้ทำมามากพอแล้วอำนาจของตระกูลฉินถูกตระกูลเจียงของเธอยืมใช้มาโดยตลอด ตราบใดที่บุญคุณนี้ยังคงอยู่ ฉินเย่ก็สามารถให้ตระกูลเจียงของเธอยืมไปได้ตลอดชีวิต ตราบใดที่เธออยู่อย่างสงบสุข
“ฉันแค่จะไปแล้ว เลยอยากจะมาคุยกับนายสักหน่อย ได้ไหม?” เจียงฉูฉู่ก้าวไปข้างหน้าและคิดที่จะจับมือของเขา ฉินเย่ถอยหลังไปหนึ่งก้าวแบบเนียนๆ และในที่สุดก็พูดว่า "มีอะไรจะพูดก็พูดมาเลย" เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจียงฉูฉู่มองเข้าไปข้างในแล้วขอร้องเบาๆ: "ข้างนอกมันหนาวมาก ขอเข้าไปคุยข้างในได้ไหม?" ฉินเย่กวาดสายตาไปมองเธอแล้วเม้มริมฝีปากบางเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พูดว่า: "เข้าไปสิ วันนี้มีอะไรอยากจะพูดก็พูดให้จบ หลังจากวันนี้ ผมจะไม่ไปเจอเธออีก" เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจียงฉูฉู่ก็กัดริมฝีปากล่างของเธอ “ฉันเข้าใจแล้ว ไม่ต้องห่วง หลังจากวันนี้ ฉันจะหายไปเอง และจะไม่มาปรากฏตัวต่อหน้านายอีก” - ณ ภายในบ้าน เจียงฉูฉู่นั่งอยู่บนโซฟา โดยมีแก้วน้ำที่ต้มสุกแล้ววางอยู่ข้างหน้าเธอแก้วหนึ่ง หลังจากถูกลมหนาวพัดใส่เป็นเวลานาน ร่างกายซึ่งเย็นเฉียบจนแทบจะไม่รู้สึกอะไรก็ค่อยๆอุ่นขึ้นมา เจียงฉูฉู่จ้องไปที่แก้วน้ำแก้วนั้นเป็นเวลานาน จากนั้นหายใจเข้าลึกๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองฉินเย่: "มีไวน์ไหม?" เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินเย่ขมวดคิ้ว: "ในเวลานี้ เธอคิดว่าผมจะให้เธอดื่มเหล้าที่นี่หรอ?" เจียงฉูฉู
ต่อไป ขอแค่ฉินเย่ให้ความร่วมมือก็พอ เจียงฉูฉู่เตรียมใจไว้แล้ว เธอเพียงรอให้เขาปฏิเสธ “หุ้น 5% เหรอ? ได้สิ” “ไม่ได้เหรอ? งั้นฉัน...” เจียงฉูฉู่ยังไม่ทันจะพูด เธอก็พ่ายแพ้อย่างราบคาบในทันทีกับสองคำที่เขาได้พูดออกมา เธอตกตะลึงอยู่ที่เดิม ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เธอเพิ่งได้ยิน เมื่อกี้นี้...เธอได้ยินผิดไปหรือเปล่า? ดูเหมือนว่าฉินเย่จะตกลงงั้นเหรอ? 5% ของหุ้น? ก่อนหน้านี้เธอได้รู้เกี่ยวกับเรื่องผลกำไรของฉินกรุ๊ป และแม้ว่าเธอจะรู้เพียงผิวเผินเท่านั้น แต่จากที่เธอรู้มา ถ้าฉินเย่สามารถมอบหุ้น 5% ของฉินกรุ๊ปให้เธอได้จริงๆ ถ้างั้นสถานะทางสังคมของเธอก็อาจกล่าวได้ว่าจะขึ้นไปได้สูงขึ้นอย่างมาก แต่...เขาจะตกลงได้อย่างไรกัน? เจียงฉูฉู่มองเขาด้วยความไม่เชื่อ “เย่ นาย...” เขาเต็มใจที่จะมอบหุ้น 5% ของฉินกรุ๊ปให้เธอจริงๆหรอ? เพียงเพื่อจะตัดขาดทุกอย่างจากเธองั้นหรอ? เพื่อเสิ่นหยินอู้แล้ว เขาทำได้ถึงเพียงนี้เลยหรอ? เมื่อตระหนักได้ว่าเขาทำถึงขนาดนี้เพื่อเสิ่นหยินอู้ เจียงฉูฉู่ก็แทบจะกัดฟันของเธอจนแตกเป็นเสี่ยงๆ แต่เมื่อนึกถึงเป้าหมายของเธอ เธอก็ยังคงอดกลั้นไว้และพูดด้วยรอยยิ้มว่
สิ่งที่เธอพูดนั้นดูจริงใจอย่างมาก สายตาและท่าทางของเธอก็สงบราวกับว่าเธอได้ปล่อยวางแล้วจริงๆ หลังจากได้ยินคำอวยพรของเธอว่าขอให้เขากับเสิ่นหยินอู้ได้อยู่ด้วยกันตลอดไป ความโกรธของฉินเย่ก็หายไป และมุมปากของเขาก็ยกขึ้น "ขอบคุณนะ" เจียงฉูฉู่จุกอยู่ในอก สิ่งที่เขาพูดทำร้ายหัวใจของเธอจริงๆ “งั้นเราเซ็นสัญญากันตอนนี้เลยได้ไหม?” ฉินเย่มองไปที่เธอ: "เดี๋ยวผมให้คนไปร่าง แล้วค่อยส่งไปให้เธอพรุ่งนี้" "ไม่" เจียงฉูฉู่ส่ายหัว: "คืนนี้เท่านั้น 10% ของหุ้น ฉันกลัวนายจะเสียใจ" เหตุผลหลักคือหลังจากคืนนี้เธออาจจะไม่มีโอกาสได้อยู่กับเขาสองต่อสองและดื่มแอลกอฮอล์แบบนี้อีกแล้ว เธอต้องคว้ามันไว้ ได้หุ้นมา ได้นอนกับเขา และตั้งท้องกับเขาได้ราบรื่น และบางทีพระเจ้าอาจจะกำลังสงสารเธอและคิดว่าเธอน่าสงสารจริงๆ พระองค์จึงตัดสินใจช่วยเหลือเธอ และตอนนี้เธอก็อยู่ในช่วงที่ตั้งท้องได้ง่ายพอดี ตราบใดที่เธอสามารถตั้งท้องได้ในคราวเดียว บวกกับที่เธอมีบุญคุณที่ช่วยชีวิตเขาไว้ เธอยังต้องกลัวอีกหรอว่าเธอจะไม่สามารถเอาชนะเสิ่นหยินอู้ได้? เจียงฉูฉู่กำลังคิดคำนวณอยู่ในใจ ฉินเย่มองเธออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงล
เจียงฉูฉู่ยกแก้วที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาดื่มจนหมดแก้ว จากนั้นก็เติมให้ตัวเองจนเต็มแก้วต่อหน้าฉินเย่ จากนั้นเธอก็หยิบมันมาไว้ในมือ แล้วเขย่ามันเบาๆ “ถือซะว่าฉันเคยช่วยชีวิตนายไว้ ให้เกียรติฉันเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เจอกันและแยกย้ายกันด้วยดี โอเคไหม?” ริมฝีปากบางของฉินเย่แทบจะเม้มเป็นเส้นตรง สายตาของเขาเย็นชามาก และในที่สุดเขาก็นั่งลงตรงหน้าเธอ “ดื่มเป็นเพื่อนเธอ ก็นับว่าเป็นการเจอกันและแยกย้ายกันด้วยดีเหรอ? ผมแบ่งหุ้นให้เธอถึงสองเท่า ยังเป็นการเจอกันด้วยดีและแยกย้ายกันด้วยดีไม่ได้อีกเหรอ?” รอยยิ้มที่เศร้าโศกปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจียงฉูฉู่ “ฉันรู้ว่านายจะคิดแบบนี้ แต่ว่านะฉินเย่ ความรักที่ฉันมีต่อนายน่ะเป็นของจริง ต่อให้วันนี้นายจะไม่ใช่ประธานฉิน เป็นเพียงแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ฉันก็ยังชอบนาย นายคิดว่าทำไมฉันถึงอยากได้หุ้น5%นี้ล่ะ? ทั้งหมดก็เพราะนายเป็นคนที่จะไม่สบายใจถ้าต้องเป็นหนี้คนอื่น ถ้าฉันไม่ขออะไรนายเลย นายก็จะไม่คิดว่าฉันจะตัดขาดกับนายได้จริงๆ ตอนนี้ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็คงจะดี ถ้าฉันได้หุ้นในบริษัทของนายมา ต่อไปนายก็จะไม่รู้สึกว่าเป็นหนี้ฉันไง” หลังจากพูดจบ เจียงฉูฉู่ก็ยกแ
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ