หลังจากพูดจบ กู้เหยียนซีก็ไม่ลืมที่จะพูดอะไรดีๆเพื่อเทพธิดาของเขา “มึงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าช่วงนี้ฉูฉู่คิดถึงมึงมากแค่ไหน มึงนี่จริงๆเลย ต่อให้งานจะยุ่งแค่ไหนมึงก็ไม่ควรไม่รับสายของฉูฉู่นะ” หลังจากได้ยิน จี้ชิงเป่ยก็มองไปที่กู้เหยียนซีด้วย เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่กล้าพูดตรงๆกับฉินเย่ เหตุผลแรกก็เพราะทั้งสามคนเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก และเหตุผลที่สองก็เพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่ในครอบครัวของพวกเขาก็ค่อนข้างดีเช่นกัน ดังนั้น ฉินเย่จึงมีความอดทนต่อเพื่อนในวัยเด็กของเขามาก บางคนรู้ว่าอะไรเหมาะสม อะไรไม่เหมาะ เขาก็ไม่กล้าพูดอะไร แต่คนอย่างกู้เหยียนซีที่ไม่รู้จักไม่รู้กาลเทศะ บางครั้งเขาก็ชอบพูดอะไรที่ไม่สมควรออกมา เขามีนิสัยแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก พูดทุกอย่างตามที่ใจนึก แม้ว่าฉินเย่จะเตือนเขาไปหลายครั้ง แต่เขาก็เปลี่ยนไม่ได้ บางครั้งฉินเย่ก็เหนื่อยที่จะไปสนใจว่าคำพูดที่หลุดออกมาจากปากของเขาจะเป็นอย่างไร เช่นเดียวกับตอนนี้ หลังจากที่กู้เหยียนซีพูดเช่นนั้น ฉินเย่ก็ทำเหมือนว่าไม่ได้ยิน และพูดอย่างใจเย็น: "ไม่จำเป็นต้องมาเยี่ยมกูเป็นพิเศษหรอก ถ้าไม่มีเรื่องอะไร พวกมึงรีบกลับไ
โอ้ใช่แล้ว เธอยังเรียกฉินเย่ว่าลุงเย่มู่ด้วยงั้นเหรอ? ลุงเย่มู่?นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?นอกจากชื่อของเขาแล้ว ฉินเย่ยังมีชื่อเล่นอื่นที่เธอไม่รู้อีกหรอ? เมื่อคิดเช่นนั้น การแสดงออกทางสีหน้าของเจียงฉูฉู่ก็แทบจะระเบิดออกมา เธอมองดูใบหน้าอันหล่อเหลาที่เย็นชาของฉินเย่และพูดออกมาอย่างยากลำบาก: "เย่ เด็กคนนี้คือใคร?" จี้ชิงเป่ยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วมองฉินเย่อย่างเงียบๆเพื่อรอคำตอบของเขา หลังจากกู้เหยียนซีได้ยินคำพูดของเจียงฉูฉู่ จู่ๆเขาก็มองไปที่เด็กสาวตัวเล็กๆที่ยืนอยู่ที่บันไดด้วยความประหลาดใจและถามว่า: "เย่ เด็กน้อยคนนี้หน้าเหมือนมึงมาก คงไม่ใช่ลูกมึงหรอกใช่ไหม?" ทันทีที่เขาถามคำถามนี้ สีหน้าของเจียงฉูฉู่ซึ่งไม่ค่อยจะดีอยู่แล้วก็แย่ลงไปอีก มือที่ห้อยอยู่ข้างๆลำตัวกำแน่นจนเล็บที่เรียวยาวเกือบจะแทงเข้าไปในเนื้อ “เป็นไปไม่ได้หรอกใช่ไหม?” เธอยิ้มเจื่อนๆออกมา: "เมื่อก่อนก็มีเด็กหลายคนที่หน้าเหมือนฉินเย่ถูกพามาหาเขา แต่ก็ตรวจสอบไปหมดแล้วไม่ใช่เหรอ? ไอพวกบ้าๆจิตวิปริตที่ไปทำศัลยกรรมให้เด็กตัวน้อยๆแล้วคิดจะใช้โอกาสนี้มาเกาะฉินเย่ เด็กคนนี้คงจะเป็นเหมือนกับคนพวกนั้นหรือเปล
จากที่ไกลๆ เสิ่นหยินอู้เห็นร่างที่คุ้นเคยหลายคนอยู่ที่ประตูคฤหาสน์ หลังจากเข้าใกล้ไปๆ เสิ่นหยินอู้ก็รู้ได้ทันทีว่าคนเหล่านี้เป็นใคร กู้เหยียนซี, จี้ชิงเป่ย, เจียง...ฉูฉู่ เมื่อเห็นรูปร่างที่เพรียวบางนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นึกถึงครั้งก่อนที่เธอเห็นฉูฉู่ในงานประมูล นับแต่นั้นก็ไม่ได้เห็นเธออยู่ข้างๆฉินเย่เลย และในที่สุดเธอก็ปรากฏตัวขึ้นในตอนนี้ เมื่อนึกได้ว่าลูกของเธอยังอยู่ที่บ้านของฉินเย่ แต่เจียงฉูฉู่กลับมาในเวลานี้... เมื่อคิดเช่นนั้น สีหน้าของเสิ่นหยินอู้ก็เปลี่ยนไป เธอเดินไปอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใด ทันทีที่เธอเดินเข้าไปใกล้ เธอก็เห็นกู้เหยียนซีที่จู่ๆก็พยายามแทรกตัวเองเข้าไปในบ้าน แต่ก็ถูกฉินเย่คว้าคอเสื้อไว้แล้วโยนเขาออกไป หลังจากนั้น กู้เหยียนซีก็ล้มลงต่อหน้าเธอในที่ไม่ไกล เจียงฉูฉู่และจี้ชิงเป่ยซึ่งยืนอึ้งอยู่ที่เดิมมาเป็นเวลานานก็รู้ตัวว่าพวกเขาต้องเข้าไปช่วยพยุงกู้เหยียนซี ในไม่ช้าก็เดินไปตามเงาของโคมไฟและเห็นเธอ สายตาของทุกคนต่างก็สบกัน ทุกสายตาต่างก็จับจ้องไปที่เสิ่นหยินอู้ เมื่อเห็นเสิ่นหยินอู้ ร่างกายของเจียงฉูฉู่รู้สึกเหมือนถูกไฟดูด
เธอไม่ได้ตั้งใจจะไปเกี่ยวข้องกับคนอื่น เธอแค่ต้องการมารับลูกของเธอ เธอไม่ต้องการที่จะสนใจคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับลูกๆของเธอ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่หันกลับมามอง และกำลังจะเข้าไปข้างในเพื่อรับเด็กๆ แต่จู่ๆกู้เหยียนซีก็ชี้มาที่เธอและตะโกนว่า “ฉินเย่ ทำไมผู้หญิงคนนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงอยู่ที่นี่? มึงไม่ได้หย่ากับเธอมาตั้งนานแล้วเหรอ? เด็กๆข้างในเกี่ยวข้องอะไรกับมึง?” เขาคำรามออกมาด้วยความโกรธเหมือนสิงโตที่บ้าคลั่ง กุมหน้าอกของเขาไว้และพูดด้วยความโศกเศร้า "มึงทำแบบนี้ มันสมควรกับฉูฉู่หรอ?" เมื่อพูดถึงชื่อของเจียงฉูฉู่ ดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงในทันที และเขาก็กัดริมฝีปากล่างของตัวเองแน่น อย่าไปคิด ฉินเย่มองไปที่กู้เหยียนซีอย่างเย็นชาราวกับกำลังมองคนวิกลจริต สายตาเช่นนี้ของเขาทำให้กู้เหยียนซีหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น เมื่อเขามองไปที่เจียงฉูฉู่ ดวงตาของเธอแดงก่ำ ท่าทางเช่นนั้นทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บใจ เมื่อคิดว่าเขารักเธอมาหลายปีขนาดนี้ และถึงขั้นอยากจะครอบครองเธอไว้ในฝ่ามือของตัวเองแต่กลับถูกฉินเย่ดูถูกเช่นนี้ กู้เหยียนซีก็โกรธมากจนพร้อมที่เสี่ยงชีวิตเพื่อคน
กู้เหยียนซีที่เดิมทียังอยู่ในอารมณ์โกรธเห็นเสิ่นหยินอู้ที่จู่ๆก็เดินผ่านหน้าเขาไป บวกกับที่ก่อนหน้านี้ต้องการหาเรื่องฉินเย่ และฉินเย่ทำให้เขาตกใจ ทำให้เขาไม่สามารถเชิดหน้าชูตาขึ้นต่อหน้าผู้หญิงที่เขาชอบได้ ดังนั้นเมื่อเขาเห็นเสิ่นหยินอู้เดินเข้ามา กู้เหยียนซีก็โกรธเธอ แต่เขาคาดไม่ถึงว่าการกระทำของเขาจะทำให้ฉินเย่บ้าคลั่งจนถึงจุดนี้ได้ เมื่อเห็นฉินเย่ก้าวยาวๆเข้ามาหาเขาอย่างบ้าคลั่ง เขาก็กลัวขึ้นมาเล็กน้อยและคิดที่จะปล่อยเสิ่นหยินอู้ไป พลั่ก! กำปั้นเสยเข้าไปที่คางของกู้เหยียนซี ทำให้เขาล้มลงไปกับพื้น ก่อนที่เสิ่นหยินอู้จะสามารถตอบสนองได้ ฉินเย่ก็คว้าเอวของเธอและดึงเธอเข้าไปในอ้อมแขนของเขาในทันที กลิ่นอายที่คุ้นเคยกระจายเต็มอยู่ในอากาศ เสิ่นหยินอู้มองไปที่ฉินเย่ด้วยความตกใจ เธอไม่คิดว่าเขาจะโกรธเกรี้ยวขนาดนี้ เป็นเพราะกู้เหยียนซีจับไหล่ของเธองั้นเหรอ? หลังจากที่กู้เหยียนซีถูกต่อยจนล้มลงกับพื้น ความโกรธของเขาก็เพิ่มขึ้น เขาก็พุ่งขึ้นจากพื้นแล้วเข้าไปต่อยฉินเย่ “เพราะผู้หญิงคนหนึ่ง มึงถึงกับต่อยกู งั้นมึงก็มาต่อยกับกู” ฉินเย่ดึงเสิ่นหยินอู้มาไว้ข้างหลังเขาด้ว
แต่เมื่อเขาก้าวไปข้างหน้าเพื่อสลัดมือของเขา กู้เหยียนซีก็ยังคงไม่ยอมปล่อยมือ เขาไม่อยากปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ จี้ชิงเป่ยทำได้เพียงกดดันเจียงฉูฉู่ เมื่อได้รับสายตาจากจี้ชิงเป่ย ในตอนแรก เจียงฉูฉู่ต้องการที่จะหลบสายตา แต่ต่อมาเธอก็ผลักแขนของกู้เหยียนซี “เหยียนซี ปล่อยมือของนายก่อน ถ้ามีอะไรจะพูดก็คุยกันดีๆ” ด้วยคำแนะนำของเทพธิดา กู้เหยียนซีจึงไม่หุนหันพลันแล่นมากเหมือนก่อนหน้าและค่อยๆปล่อยมือ แต่สายตาของฉินเย่เย็นชา ดูเหมือนเขาจะไม่ได้คิดที่จะปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ มือของเขายังคงจับกำปั้นของกู้เหยียนซีไว้แน่น ริมฝีปากบางที่เหมือนมีดของเขาก็เม้มแน่น มุมปากของเขาตรงเป็นแนวนอน "เย่..." เมื่อเห็นว่าเขาไม่ปล่อย เจียงฉูฉู่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเกลี้ยกล่อมเขา: "นายปล่อยมือก่อน เรามานั่งคุยกันดีกว่า โอเคไหม?" แต่เหมือนว่าฉินเย่จะไม่ได้ยินคำพูดของเธอ สายตาที่เย็นชาและเฉียบคมของเขายังคงจับจ้องไปที่กู้เหยียนซี “ฉินเย่” จี้ชิงเป่ยเรียกเขา “วันนี้เราไม่ได้มาหามึงที่นี่เพื่อจะมาสร้างปัญหาให้มึง เราแค่เป็นห่วงมึงจริงๆ” เมื่อได้ยิน ริมฝีปากของฉินเย่ก็โค้งงอเป็นเชิงเย้ยหยัน “
เป็นไปได้อย่างไรกัน? เสิ่นหยินอู้ให้มีลูกถึงสองคนในครั้งเดียวเหรอ? ทั้งลูกชายและลูกสาวเลยหรอ? แต่ถึงแม้ว่าเธอจะมีลูกสองคน แต่ห้าปีผ่านไปแล้ว เธอคงไม่สามารถเลี้ยงลูกสองคนได้ด้วยตัวเองไปตลอดหรอกใช่ไหม? ท้ายที่สุดแล้ว การเลี้ยงลูกถึงสองคนด้วยตัวคนเดียวนั้นก็เป็นไปไม่ได้เลย แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว บางทีเธออาจจะแต่งงานใหม่ไปตั้งนานแล้ว หลังจากที่เธอคาดเดาเช่นนี้ เจียงฉูฉู่ก็สงบลงเล็กน้อย ไม่ได้ตื่นตูมไปเองอีก ทันทีที่เหมิงเหมิงออกมาถามเขา ฉินเย่ก็รีบชักมือของเขาออกแล้วถอยกลับไปสองก้าว จี้ชิงเป่ยสังเกตเห็นการกระทำของเขา ดูเผินๆแล้วการถอยไปสองก้าวก็ดูเหมือนว่าเขาไม่ต้องการที่จะมีปัญหากับกู้เหยียนซีอีก แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขากำลังปกต้องเสิ่นหยินอู้กับเด็กๆอยู่โดยไม่รู้ตัว เมื่อเสิ่นซือเหนียนออกมา เขาก็มองไปที่ทุกคน จากนั้นก็เดินตามเหมิงเหมิงไปยืนอยู่ด้านหลังเสิ่นหยินอู้ เสิ่นหยินอู้กำลังคิดที่จะพาพวกเขาออกไปจากสถานที่ที่มีแต่ความวุ่นวายนี้ กู้เหยียนซีที่ยังไม่ได้สงบสติอารมณ์ได้โดยสมบูรณ์ก็เริ่มกำเริบเสิบสานขึ้นอีกครั้ง “ฉินเย่ นี่มันหมายความว่าไง? เด็กๆสองคนนี้เป็นลูกมึงหรอ
ฉินเย่เม้มริมฝีปากบางของเขาและยังคงไม่ตอบเธอ “เย่ พูดอะไรหน่อยสิ ได้ไหม? ถึงจะเป็นนักโทษประหาร แต่ก่อนตายก็ต้องรู้นี่ว่าได้ก่ออาชญากรรมอะไรไว้?” “หรือว่า นายจะมองที่ตัวตนของฉันที่เคยช่วยนายไว้ไม่ได้เลย บอกฉันทีว่าทำไมกันแน่?” การเอ่ยถึงบุญคุณขึ้นมาก็ยิ่งทำให้ชายเย็นชาที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดานรู้สึกถูกกระตุ้นอีกครั้ง เขาหันกลับมามองเธอด้วยสายตาที่ลึกล้ำ “ในตอนแรกก็เพราะบุญคุณ ก็เลยอยากเอาตำแหน่งที่ดีที่สุดไว้ให้กับเธอ แต่พออายุมากขึ้น ผมก็รู้ว่าถ้าผมเอาตำ แหน่งนี้ให้กับเธอจริงๆ มันจะไม่ยุติธรรมสำหรับทั้งเธอและผม” “ไม่ยุติธรรมหรอ?” เจียงฉูฉู่มองเขาอย่างสับสน: “ทำไมถึงไม่ยุติธรรมสำหรับฉัน?” ฉินเย่มองเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขาแทบไม่ต้องพูดอะไรเลย สีหน้าของเขาแสดงออกมาอย่างชัดเจน แต่เจียงฉูฉู่ไม่อยากจะเชื่อเลย... อาจเพราะเห็นว่าเธอไม่ยอมแพ้ ฉินเย่จึงพูดอย่างใจเย็น: "เธอคิดว่าคู่สามีภรรยาที่ไม่มีความรู้สึกต่อกันจะมีความสุขไหม? ฉูฉู่ เธอคู่ควรกับผู้ชายที่ดีกว่านี้" ไม่มีความรู้สึกต่อกัน? เจียงฉูฉู่ชอบเขา แต่เขาบอกว่าเขาไม่มีความรู้สึก เขาหมายถึงตัวเขาเอง
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังคุยกัน พวกเขาก็เดินไปที่ประตู ดังนั้นเสียงของพวกเขาจึงดังลอดผ่านประตูเข้าไปถึงหูของเสิ่นหยินอู้ได้อย่างชัดเจน เสิ่นหยินอู้ชะงักไปชั่วคราว เธอเงยหน้าขึ้นมองฉินเย่ กดเสียงลงแล้วพูดว่า "ฉันต้องออกไปแล้ว ไม่งั้น..." คำพูดของเธอถูกขัดจากการที่ฉินเย่โน้มตัวเข้าไปหาเธออย่างกะทันหันลมหายใจที่ร้อนรุ่มของฉินเย่กระทบเข้ากับใบหน้าของเธอ ออร่าของเขาปกคลุมเธอเธอไว้ และริมฝีปากบางแนบกดลงไปบนมุมปากของเธอ เสียงของเขาแหบห้าว: "ขอจูบอีกที" ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็จูบเธออีกครั้งในทันทีโดยไม่รอให้ได้ทันเธอโต้ตอบอะไรทั้งนั้น "อื้อ" เสิ่นหยินอู้ยังไม่ทันได้ผลักเขาออกไปก็ถูกเขาจูบอีกครั้ง เธอส่งเสียงออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่เธอก็ตระหนักได้ว่าเสียงที่เธอเปล่งออกมาอาจทำให้คนที่อยู่นอกประตูได้ยินเข้า ดังนั้นเธอจึงรีบกลั้นเสียงนั้นไว้ในลำคอ เธอยื่นมือออกไปขวางไว้ระหว่างหน้าอกของฉินเย่ด้วยท่าทางที่ตื่นตระหนกเล็กน้อย เขาที่ช่างกล้าจริงๆ เขายังทำอะไรเช่นนี้ได้ในขณะที่เด็กๆกับหลี่มู่ถิงมาตามหาเธอ... เนื่องจากเด็กๆอยู่ข้างนอก เสิ่นหยินอู้จึงไม่กล้าแม้แต่จะดิ้นขัดขืนเพราะกลัวว่าพวกเขาจะไ
“ก่อนออกเดินทาง เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนถามฉันว่าพวกเขาจะได้เจอคุณเมื่อไร”เสิ่นหยินอู้พิงอยู่ในอ้อมแขนของเขาและพูดเบาๆ "อืม" ฉินเย่ตอบแล้วพูดว่า: "พวกเขาน่ะ ผมว่าจะไม่ไปเจอ" เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นจากอ้อมแขนของเขาด้วยท่าทางสับสน: "ทำไมล่ะ? คุณมาหาฉันแล้ว แล้วทำไมไม่ไปเจอพวกเขาด้วยเลยล่ะ?" ฉินเย่ก้มหน้าลง มองเธอด้วยสายตาที่จริงจัง แล้วสัมผัสริมฝีปากสีแดงของเธอเบาๆ "ไว้รอผมกลับไปค่อยเจอ แต่ผมหวังว่าเมื่อถึงเวลานั้น... ในตอนที่เจอกันอีกครั้ง พวกเขาจะเปลี่ยนคำเรียกผม โอเคไหม?” เสิ่นหยินอู้กัดริมฝีปากล่างและไม่ตอบอะไร “ยังไม่ยอมอีกเหรอ?” เขาสัมผัสหน้าผากของเธออย่างอ่อนโยนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าวและต่ำ “คุณให้ผมจูบมานานขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงยังไม่ยอมอีกล่ะ?” เดิมทีเขารู้สึกหึงหวงเล็กน้อยที่รู้สึกว่าเขายังต้องแข่งกับโม่ไป๋อยู่ แต่หลังจากการจูบครั้งนี้ ความหึงหวงภายในใจของฉินเย่ก็หายไปในทันที เพราะเขาสัมผัสได้ถึงการตอบสนองและความไว้วางใจของเธอ ตอนนี้เพียงแค่ต้องรอให้เขาจัดการเรื่องทางนี้ให้เสร็จ และหลังจากที่กลับไป พวกเขาสี่คนก็สามารถอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อ
แต่ดูเหมือนว่าคนๆนั้นจะสัมผัสได้ถึงเจตนาของเธอ และก่อนที่เธอจะกรีดร้องออกมา เขาก็เอื้อมมือออกไปปิดปากของเธอไว้ "อื้อ" ดังนั้นเสียงร้องของเสิ่นหยินอู้จึงกลายเป็นเสียงที่อุดอู้ขึ้นมาทันที ภายในห้องไม่ได้เปิดไฟ มีแต่ความมืดมิด บวกกับหลังจากที่เธอเข้ามา ประตูก็ถูกปิดลง เธอมองเห็นเพียงร่างสูงร่างหนึ่งตรงหน้าเธอผ่านแสงสลัวๆที่ส่องมาจากด้านนอกหน้าต่าง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่มือและเท้าของเธอถูกพันธนาการเอาไว้ และเธอไม่สามารถขยับได้ จนกระทั่งบุคคลนั้นปล่อยมือของเขาที่ปิดปากของเธอไว้เสิ่นหยินอู้คิดจะใช้โอกาสนี้ในการร้องออกมา แต่คนตรงหน้าเธอก็รวดเร็วกว่า เขาโน้มตัวลงมาและจูบเธอ ลมหายใจอุ่นๆที่หนักหน่วงกระทบเข้ากับใบหน้าของเสิ่นหยินอู้ และในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็รับรู้ได้ถึงออร่าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนในขณะนี้ นี่มัน…… ความประหลาดใจแวบขึ้นมาในหัวใจของเธอ และก่อนที่เธอจะทันได้ตอบสนองอะไรอื่น เธอก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายดันฟันของเธอให้แยกจากกัน ทำให้จูบนั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น ขณะที่พวกเขานัวเนียกัน ลมหายใจของพวกเขาล้วนมีแต่กลิ่นของทั้งคู่ เสิ่นหยินอู้ยังได้กลิ่นบุหรี่ที
ดังนั้นการทานอาหารมื้อนี้ก็เป็นไปตามที่เสิ่นหยินอู้คาดไว้ เมื่อพวกเขากินเกือบเสร็จแล้ว แล้วก็จนอาหารเย็นชืดหมดแล้ว ฉินเย่ก็ยังไม่มาปรากฏให้เห็น ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนที่พวกเขาจะต้องเดินทางไปสนามบิน เสิ่นหยินอู้พาเด็กน้อยทั้งสองคนขึ้นไปชั้นบน หลังจากเข้าไปในห้องแล้ว เหมิงเหมิงก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า: "หม่ามี๊คะ ลุงเย่มู่อยู่ไหนล่ะคะ? เขาจะกลับมาเมื่อไร?" เสิ่นหยินอู้ตอบคำถามของเธอแบบเดียวกันกับที่หลี่มู่ถิงตอบเธอ “หม่ามี๊ก็เหมือนลุงหลี่มู่ถิงจ๊ะ ยังไม่รู้เลย เขาไม่ได้บอกหม่ามี๊ว่าเขาจะไปทำอะไร แน่นอนว่าหม่ามี๊ไม่รู้หรอกว่าเขาจะกลับมาเมื่อไร” หลังจากได้ยิน เหมิงเหมิงก็ร้อง อ่า ออกมาเบาๆ เธอขมวดคิ้วราวกับรู้สึกเป็นไม่สบายใจเพราะเรื่องนี้ “ถ้างั้นหม่ามี๊คะ ลุงเย่มู่คงจะไม่ได้จะไม่กลับมาแม้แต่ตอนเราไปสนามบินใช่ไหมคะ? แปลว่าวันนี้เราก็จะไม่ได้เจอลุงเย่มู่แล้วหรอคะ?” เนื่องจากเธอไม่ต้องการให้เด็กๆทั้งสองคนมีความหวังมากเกินไป เสิ่นหยินอู้จึงพูดว่า: "อืม ก็อาจจะเป็นแบบนี้ ลุงเย่มู่มีเรื่องหลายอย่างที่ต้องทำ เดี๋ยวเขาจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเขาจะกลับไปหาเราที่จีน” หากพู
แม้ว่าในที่สุดเขาก็พบเธอ แต่ใครจะกล้ารับประกันกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้? "พอได้แล้ว" เมื่อเห็นเธอกัดริมฝีปากล่างและคิดจะพูดอะไรอื่นอีก ฉินเย่ก็เอามือใหญ่โอบไปที่เอวบางของเธอ "ไม่ต้องคิดแล้ว ในเมื่อผมเลือกที่จะอยู่ นั่นก็หมายความว่าผมมั่นใจ" “แต่... เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรทำตั้งแต่แรกนะ” “นั่วนั่ว” ฉินเย่เรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วเบา “การจะทำอะไรสักอย่างน่ะ ไม่มีคำว่าควรหรือไม่ควร มีแต่เต็มหรือไม่เต็มใจเท่านั้นแหละ” “ถ้าคุณรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผมจะอยู่ที่นี่จริงๆ งั้นหลังจากที่ผมกลับไปที่จีนแล้วก็ลองคิดเรื่องที่จะเปลี่ยนสถานะให้ผมดูดีกว่าไหม?” เสิ่นหยินอู้เข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องการเรียกชื่อ เขาต้องการให้เด็กทั้งสองหยุดเรียกเขาว่าลุงเย่มู่และเรียกเขาว่าพ่อแทน หรือจะบอกว่า ที่เขาทำมามากขนาดนั้นก็เพียงเพื่อความปรารถนาเล็กๆน้อยๆเช่นนี้งั้นหรอ? เมื่อเธอคิดได้เช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป แล้วพูดว่า "คุณจะไม่บอกพวกเขางั้นหรอ?" ริมฝีปากของฉินเย่โค้งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเธอ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดเบาๆว่า: "ครั้งนี้ ผมจะไม่ไปเจอพวกเข
คำพูดทางจิตวิทยาเช่นนี้... ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบลุงโม่ไป๋มากกว่า ถึงตอนนั้น... เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็พูดว่า: "ลุงโม่ไป๋อยู่กับพวกเรามานานกว่า" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็กลั้นหายใจ "ถ้างั้น……" “แต่ลุงเย่มู่มาดูไลฟ์สดของเราบ่อยๆแล้วก็ให้รางวัลเราตลอดเลยด้วย” คำพูดประโยคหลังทำให้หัวใจที่กำลังจมดิ่งลงไปของฉินเย่ลอยกลับขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขาคิดว่าตามความคิดของซือเหนียน เขาคงจะหมดโอกาสแล้ว แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าคำพูดของซือเหนียนจะเปลี่ยนไป ซึ่งมันไม่ต่างกับเป็นการทำให้หัวใจของฉินเย่ลุกเป็นไฟ "แล้วไงต่อ?" ฉินเย่ยังคงรู้สึกประหม่ามากในขณะที่เขาถามคำถามนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะสนใจความคิดของเด็กคนหนึ่งมากขนาดนี้ เพราะกลัวว่าเด็กคนนี้จะไม่เลือกเขาแต่ไปเลือกคนอื่นแทน "ก็……"เสิ่นซือเหนียนจงใจพูดเสียงยาว เมื่อเห็นว่าการหายใจของฉินเย่ดูเหมือนจะติดๆขัดๆขึ้นมา เขาก็คิดว่ามันค่อนข้างน่าขันเล็กน้อย เขาจงใจเอียงศีรษะแล้วพูดว่า: "ลุงเย่มู่กับลุงโม่ไป๋เสมอกันครับ" เสมอกัน? ฉินเย่ตกตะลึง “เสมอกันงั้นเหรอ?” “ลุงเย่มู่ หรือว่าลุงคิดว่าลุงจะแพ้ลุงโม่ไป๋เหรอครั
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ