เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าฉินเย่จะหน้าด้านได้ถึงขนาดนี้ ถึงกับบอกว่าเขาตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกเห็นต่อหน้าลูกๆของเธอ เขาเป็นถึงซีอีโอที่สง่างามแห่งตระกูลฉิน เขายังมีศักดิ์ศรีอยู่ไหม? เธอหายใจเข้าลึกๆ แม้จะอยู่ต่อหน้าลูกๆ เสิ่นหยินอู้ก็ไม่ต้องการที่จะตอบคำถามของเขา “หม่ามี๊คะ ตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็นคืออะไรหรอคะ?” เสิ่นเหมิงเหมิงเริ่มกลายเป็นเด็กขี้สงสัยอีกครั้ง เสิ่นหยินอู้: "..." “เหมิงเหมิง ตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็นก็คือ ลุงเย่มู่ชอบแม่ของหนูมาก” ทันทีที่เขาพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองฉินเย่ด้วยความไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ฉินเย่สบตาเธอ ริมฝีปากเผยให้เห็นรอยยิ้มจางๆ ทันทีที่เธอสบตาสีดำเข้มของเขา เสิ่นหยินอู้ก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเธออยู่ภายใต้การควบคุมของเขา เขาดูออกว่าเธอไม่อยากแสดงอารมณ์โกรธต่อหน้าลูกๆ เขาจึงตั้งใจทำเช่นนี้ เขาถึงขั้นไม่ถือสาอะไรเลยถ้าเธอจะรู้ และแม้ว่าเสิ่นหยินอู้จะรู้ แต่เธอก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลยจริงๆ "ว้าว" เสิ่นเหมิงเหมิงเอามือเล็กๆขึ้นมาปิดใบหน้าเล็กๆของเธอด้วยความประหลาดใจ “ลุงเย่มูชอบหม่ามี๊ของหนูมากเลยเหรอคะ?” "อืม" ทันใดนั้น เหมิงเหมิงก็ม
“หยินอู้ ผมแค่อยากชดเชย” “ห้าปีแล้วที่ครอบครัวเราสามคนใช้ชีวิตกันอย่างสบายดี ไม่ต้องการการชดเชยหรอก สิ่งเดียวที่เราต้องการคือชีวิตที่สงบสุข ถ้าคุณต้องการที่จะทำอะไรเพื่อชดเชย ก็เชิญคุณออกไปจากชีวิตเรา อย่ามาปรากฏตัวต่อหน้าเราอีก นี่เป็นการชดเชยที่ดีที่สุด” หลังจากที่เธอพูดจบ ฉินเย่ก็ไม่พูดอะไร เขามองเธออย่างเงียบๆ สายตาของเขายังคงมืดมน มุมปากของเขาก็ยังคงเม้มเป็นเส้นตรงอยู่ แม้ว่าท่าทางของเขาจะดูสงบ แต่เขาก็ไม่มีท่าทีที่จะยอมแพ้ แน่นอนว่าเสิ่นหยินอู้รู้ดีว่าเขาจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆเพราะเขาได้ทำอะไรไปตั้งมากมายขนาดนั้น เธอไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะทำให้เขายอมแพ้ได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ หลังจากนั้นไม่นาน ฉินเย่ก็เริ่มเก็บกวาดของบนโต๊ะ เมื่อเห็นการกระทำของเขา เสิ่นหยินอู้ก็นึกถึงสิ่งที่เด็กสองคนบอกเธอ ลุงเย่มู่ยอมกินแป้งแฮมเบอร์เกอร์ที่เหลือจากพวกเขา ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาจะทำอะไรเช่นนี้ได้อย่างไร? แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น มันก็ไม่ได้หมายความว่าเสิ่นหยินอู้จะให้อภัยและยอมรับเขาได้ง่ายๆ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ลุกขึ้นยืนและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา: "หวังว่าคุณจะไม่มารบกวนพวกเราอีก
เมื่อเธอมาถึงฉินกรุ๊ป มันก็เป็นเวลาที่ฉินกรุ๊ปเลิกงานแล้ว และคนส่วนใหญ่ออกไปจนเกือบจะหมดแล้ว คนที่เหลืออยู่ในอาคารของฉินกรุ๊ปมีไม่มากนัก แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยังไม่กลับไป พวกเขาต้องผลัดเวรกันเพื่อเฝ้าดูแลที่นี่ เสิ่นหยินอู้เดินเข้าไปและพบพนักงานต้อนรับ พนักงานต้อนรับคนนี้เคยต้อนรับเธอมาก่อนและยังไม่ได้กลับไป เมื่อเห็นเธอ พนักงานต้อนรับก็ดูประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก่อนที่เธอจะได้พูด เสิ่นหยินอู้ก็เป็นฝ่ายถามขึ้นมาก่อนว่า "สวัสดีค่ะ ฉันมาพบผู้ช่วยหลี่" พนักงานต้อนรับดูสับสนอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า: "แต่คุณหญิงคะ ผู้ช่วยหลี่เลิกงานไปแล้ว" “เขาเลิกงานแล้ว แล้วประธานฉินล่ะ? เขาก็ไปแล้วเหมือนกันเหรอคะ?” พนักงานต้อนรับค่อยๆนึก: "บ่ายวันนี้ประธานฉินไม่ได้มาที่บริษัท ผู้ช่วยหลี่ออกไปเมื่อสิบนาทีที่แล้วค่ะ" ฉินเย่ไม่ได้มาที่บริษัทในตอนบ่ายเหรอ? แล้วเขาไปทำอะไรล่ะ? ไม่มีใครอยู่เลย เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วโทรหาผู้ช่วยหลี่ ผู้ช่วยหลี่รู้สึกประหลาดใจมากเมื่อได้รับสายจากเสิ่นหยินอู้ "คุณหนูเสิ่น?" น้ำเสียงของเขาน่าประหลาดใจราวกับว่าเขาคิดไม่ถึงเลยว่าเสิ่
เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงระงับอารมณ์ของเธอไว้และรออยู่ที่เดิม ประมาณยี่สิบนาทีต่อมา หลี่มู่ถิงก็มาถึงด้วยความเร่งรีบ หลังจากที่เขายืนยันตัวตนกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ปล่อยพวกเขาเข้าไปด้านใน “คุณหนูเสิ่น ให้ผมพาคุณไปไหมครับ?” ในเมื่อมาถึงแล้ว หลี่มู่ถิงก็คิดที่จะช่วยประหยัดแรงของเสิ่นหยินอู้ จากนั้นก็พาเธอไปที่นั่น เมื่อเขาพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็พยักหน้าให้เขา “ได้ค่ะ งั้นก็รบกวนด้วยค่ะ” เมื่อพิจารณาจากท่าทางในปัจจุบันของหลี่มู่ถิง เขาคงไม่รู้เรื่องที่ฉินเย่พาลูกๆสองคนของเธอไป เขาถึงขั้นช่วยเหลือเธอด้วยซ้ำ ดังนั้น เสิ่นหยินอู้จึงสุภาพและเกรงใจเขา ภายใต้การนำทางของหลี่มู่ถิง พวกเขามาถึงที่ที่ฉินเย่อยู่อย่างรวดเร็ว “คุณหนูเสิ่น ถึงแล้วครับ” เมื่อมองไปที่บ้านหลังใหญ่ตรงหน้าเธอ เสิ่นหยินอู้กำลังจะกดกริ่งประตู แต่จู่ๆหลี่มู่ถิงก็พูดว่า: "คุณหนูเสิ่น ผมจะบอกรหัสให้คุณ คุณเข้าไปได้เลยครับ" หลังจากได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักไปชั่วคราว เธอคิดสักพักแล้วจึงพยักหน้า: "ก็ได้ค่ะ" หลี่มู่ถิงบอกรหัสผ่านเข้าบ้านให้เธอแล้วจึงออกไป เสิ่นหยินอู้ป้อนรหัสผ่าน
ประโยคนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ขมวดคิ้วไม่พอใจ “หยุดทำไขสือได้แล้ว ถ้าเด็กๆไม่อยู่ที่นี่ แล้วพวกเขาจะไปอยู่ที่ไหน?” ก่อนหน้านี้เธอกลัวว่าเขาจะพาลูกๆไป ฉินเย่ก็เดาได้ และในเวลานี้เธอควรจะพาเด็กๆกลับบ้านไปแล้ว ไม่ใช่มาหาเขาแล้วพูดว่าให้เขาเอาลูกๆคืนให้เธอ เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้บางอย่างขึ้นมาได้ ฉินเย่ก็คว้าไหล่ของเสิ่นหยินอู้ เขาหรี่ตาลงแล้วพูดว่า "เด็กๆหายไปเหรอ?" เสิ่นหยินอู้ชะงักไปชั่วคราว "ฉินเย่ คุณหมายความว่าไง คุณไม่ใช่คนที่ควรจะรู้ดีที่สุดว่าทำไมเด็กๆถึงหายไปเหรอ?" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็ขมวดคิ้ว: "แล้วเด็กๆหายไปจริงๆเหรอ?" เสิ่นหยินอู้: "..." เขาไม่ได้ตอบคำถามของเธอ และไม่ได้พูดอะไรกับเธอต่อ แต่เขากลับถามซ้ำในสิ่งที่เธอพูดเพื่อยืนยันว่าเรื่องที่เด็กๆหายไปนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ หรือว่า... “คุณไม่ได้พาเด็กๆไปเหรอ?” ทันทีที่เธอพูดจบ ฉินเย่ก็เดินผ่านเธอไปและเดินออกไปข้างนอก เสิ่นหยินอู้รีบหันหลังและเดินตามเขาไป “ฉินเย่” "รอแปปนึง" ฉินเย่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและส่งสัญญาณให้เธออย่าเพิ่งพูดอะไร แต่หลังจากที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เขาพบว่าโทรศัพท์ของเขาแบตหมดและมันก็ปิดเ
“ถ้าคุณคิดให้ดีๆ นอกจากผมแล้ว ไม่มีใครที่จะพาเด็กๆไปได้เลยเหรอ? เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนไม่ใช่เด็กธรรมดาๆ พวกเขาฉลาดมาก คงจะไม่ไปไหนกับคนแปลกหน้าอย่างแน่นอน” เมื่อเขาพูดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เงียบไป ใช่ เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนไม่ใช่เด็กธรรมดา พวกเขาฉลาดมาก แม้ว่าเหมิงเหมิงจะใสซื่อกว่านิดหน่อย แต่เหนียนเหนียนก็ไม่มีวันไปกับคนแปลกหน้าง่ายๆอย่างแน่นอน ดังนั้น...ก็มีเพียงคนรู้จักที่มาไปรับพวกเขาเท่านั้น แต่คนรู้จักคนไหนกันที่ทำให้พวกเขายอมขึ้นรถไปด้วยความเต็มใจ แล้วยังเรียกตัวเองว่าพ่อ ถึงขั้นมีแรงจูงใจที่จะพาเด็กๆไป เสิ่นหยินอู้คิดอย่างจริงจังอยู่พักหนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง "นอกจากคุณที่มีแรงจูงใจนี้ ฉันไม่สามารถคิดถึงใครได้อีก" ฉินเย่: "..." เขาเกือบจะถูกเสิ่นหยินอู้ทำให้โกรธจนหัวเราะออกมา “เสิ่นหยินอู้ ถ้าผมมีแรงจูงใจนี้จริงๆ คุณคิดว่าผมจะบอกอะไรพวกนี้กับคุณไหม? ถึงผมจะบอกคุณตรงๆว่าเด็กๆอยู่กับผม คุณจะทำอะไรผมได้ล่ะ?” เสิ่นหยินอู้เม้มริมฝีปาก สีหน้าของเธอดูดื้อดึงเล็กน้อย “จะเป็นใครได้อีกนอกจากคุณล่ะ?” ฉินเย่: "คุณคิดว่าไงล่ะ?" “คุณหมายความว่าไง? คุณเดาได
ในที่สุด เสิ่นหยินอู้ก็ขึ้นไปบนรถ ไม่นานรถก็ออกจากคฤหาสน์ ก่อนเข้าสู่ถนนสายหลัก ฉินเย่พูดกับเธอว่า: "บอกที่อยู่ของโม่ไป๋มาให้ผมหน่อย" ห้าปีกว่าแล้ว ชื่อของโม่ไป๋ออกมาจากปากของฉินเย่อีกครั้ง แต่มันกลับทำให้เขากัดฟัน “โม่ไป๋เหรอ?” เมื่อได้ยินชื่อนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ประหลาดใจเช่นกัน แต่เธอก็รีบคิดถึงเรื่องอื่น หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เธอก็บอกที่อยู่ของโม่ไป๋ให้กับฉินเย่ ใช้เวลาประมาณสิบวินาที หลังจากได้รู้ที่อยู่แล้ว ฉินเย่ก็ค่อนข้างประหลาดใจ เขาคิดว่าเธอจะเถียงอะไรกับเขา แต่เขาคาดไม่ถึงว่าเธอจะนึกมันออกในทันที เมื่อมีจุดหมายปลายทางแล้ว รถก็รีบขับเข้าสู่ถนนสายหลัก ระหว่างทางไปหาโม่ไป๋ ภายในรถก็เงียบมาก เสิ่นหยินอู้จมอยู่ในความคิดของเธอ ก่อนที่เธอจะมา เธอไม่เคยคิดเลยว่าโม่ไป๋จะเป็นคนพาเด็กๆไป เธอแค่คิดเพียงอย่างเดียวว่าฉินเย่ต้องการแย่งลูกๆไปจากเธอ แต่เนื่องจากเธอไม่เห็นด้วย เขาจึงต้องพาเด็กๆไปในตอนที่เธอไม่อยู่ แต่ตอนนี้เมื่อเขาพูดเช่นนั้น และนึกถึงสิ่งที่คุณครูพูดให้ดีๆอีกครั้ง เธอก็คิดได้ โม่ไป๋เคยถูกครูคิดว่าเป็นพ่อของเด็กๆทั้งสองคนมาก่อน ดังนั้นจะเข้าใจผิดเป็
ภายในรถเงียบมาก เสิ่นหยินอู้เอนตัวลงบนเบาะและไม่พูดอะไรเลย เมื่อไปถึงสี่แยกไฟจราจรข้างหน้า รถก็จอด ฉินเย่วางมือของเขาบนพวงมาลัย ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ หลังจากนั้นครู่หนึ่งเธอก็ได้ยินเขาพูดว่า: "ในสายตาของคุณ เรื่องแย่ๆทั้งหมดล้วนเป็นผมที่เป็นคนทำเหรอ?" เสิ่นหยินอู้: "..." “ลูกคุณหายไป แว๊บแรกคุณก็คิดทันทีเลยว่าผมพาพวกเขาไป” “ไม่งั้นล่ะ?” เสิ่นหยินอู้ถามกลับ: “คุณถ่อไปโรงเรียนทุกวันเพื่อดูแลเด็กๆ ไม่ใช่เพราะคุณอยากจะพาเด็กๆไปสักวันหรือไง? คุณกล้าบอกว่าคุณไม่มีความคิดที่จะพาเด็กๆไปเลยแม้แต่นิดเดียวเหรอ?” “ที่ผมทำ ก็เพื่อชดใช้ ไม่ได้...” “ฉันไม่อยากจะคุยเรื่องนี้กับคุณเลย ใกล้จะไฟเขียวแล้ว ขับรถเถอะ” เมื่อเธอรู้ว่าฉินเย่ไม่ได้พาเด็กๆไป เสิ่นหยินอู้ก็เป็นกังวลมาก งั้นใครเป็นคนพาเด็กๆไปล่ะ? ต่อมาก็พบว่าโม่ไป๋เป็นคนพาไป แต่เขาไม่ได้บอกเธอ แม้ว่าเธอจะรู้สึกโล่งใจไม่น้อย แต่เธอก็ยังสงสัยอยู่ ทำไมโม่ไป๋ถึงพาเด็กๆไปโดยไม่บอกเธอกันล่ะ? เมื่อนึกถึงก่อนหน้านี้ที่เธอปฏิเสธเขา แล้วก็ปฏิเสธได้แบบโหดร้ายมาก เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกกลัวเล็กน้อย เธอกลัวว่าโม่ไป๋จะโกรธและทำอะไรบางอย่าง
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังคุยกัน พวกเขาก็เดินไปที่ประตู ดังนั้นเสียงของพวกเขาจึงดังลอดผ่านประตูเข้าไปถึงหูของเสิ่นหยินอู้ได้อย่างชัดเจน เสิ่นหยินอู้ชะงักไปชั่วคราว เธอเงยหน้าขึ้นมองฉินเย่ กดเสียงลงแล้วพูดว่า "ฉันต้องออกไปแล้ว ไม่งั้น..." คำพูดของเธอถูกขัดจากการที่ฉินเย่โน้มตัวเข้าไปหาเธออย่างกะทันหันลมหายใจที่ร้อนรุ่มของฉินเย่กระทบเข้ากับใบหน้าของเธอ ออร่าของเขาปกคลุมเธอเธอไว้ และริมฝีปากบางแนบกดลงไปบนมุมปากของเธอ เสียงของเขาแหบห้าว: "ขอจูบอีกที" ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็จูบเธออีกครั้งในทันทีโดยไม่รอให้ได้ทันเธอโต้ตอบอะไรทั้งนั้น "อื้อ" เสิ่นหยินอู้ยังไม่ทันได้ผลักเขาออกไปก็ถูกเขาจูบอีกครั้ง เธอส่งเสียงออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่เธอก็ตระหนักได้ว่าเสียงที่เธอเปล่งออกมาอาจทำให้คนที่อยู่นอกประตูได้ยินเข้า ดังนั้นเธอจึงรีบกลั้นเสียงนั้นไว้ในลำคอ เธอยื่นมือออกไปขวางไว้ระหว่างหน้าอกของฉินเย่ด้วยท่าทางที่ตื่นตระหนกเล็กน้อย เขาที่ช่างกล้าจริงๆ เขายังทำอะไรเช่นนี้ได้ในขณะที่เด็กๆกับหลี่มู่ถิงมาตามหาเธอ... เนื่องจากเด็กๆอยู่ข้างนอก เสิ่นหยินอู้จึงไม่กล้าแม้แต่จะดิ้นขัดขืนเพราะกลัวว่าพวกเขาจะไ
“ก่อนออกเดินทาง เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนถามฉันว่าพวกเขาจะได้เจอคุณเมื่อไร”เสิ่นหยินอู้พิงอยู่ในอ้อมแขนของเขาและพูดเบาๆ "อืม" ฉินเย่ตอบแล้วพูดว่า: "พวกเขาน่ะ ผมว่าจะไม่ไปเจอ" เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นจากอ้อมแขนของเขาด้วยท่าทางสับสน: "ทำไมล่ะ? คุณมาหาฉันแล้ว แล้วทำไมไม่ไปเจอพวกเขาด้วยเลยล่ะ?" ฉินเย่ก้มหน้าลง มองเธอด้วยสายตาที่จริงจัง แล้วสัมผัสริมฝีปากสีแดงของเธอเบาๆ "ไว้รอผมกลับไปค่อยเจอ แต่ผมหวังว่าเมื่อถึงเวลานั้น... ในตอนที่เจอกันอีกครั้ง พวกเขาจะเปลี่ยนคำเรียกผม โอเคไหม?” เสิ่นหยินอู้กัดริมฝีปากล่างและไม่ตอบอะไร “ยังไม่ยอมอีกเหรอ?” เขาสัมผัสหน้าผากของเธออย่างอ่อนโยนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าวและต่ำ “คุณให้ผมจูบมานานขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงยังไม่ยอมอีกล่ะ?” เดิมทีเขารู้สึกหึงหวงเล็กน้อยที่รู้สึกว่าเขายังต้องแข่งกับโม่ไป๋อยู่ แต่หลังจากการจูบครั้งนี้ ความหึงหวงภายในใจของฉินเย่ก็หายไปในทันที เพราะเขาสัมผัสได้ถึงการตอบสนองและความไว้วางใจของเธอ ตอนนี้เพียงแค่ต้องรอให้เขาจัดการเรื่องทางนี้ให้เสร็จ และหลังจากที่กลับไป พวกเขาสี่คนก็สามารถอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อ
แต่ดูเหมือนว่าคนๆนั้นจะสัมผัสได้ถึงเจตนาของเธอ และก่อนที่เธอจะกรีดร้องออกมา เขาก็เอื้อมมือออกไปปิดปากของเธอไว้ "อื้อ" ดังนั้นเสียงร้องของเสิ่นหยินอู้จึงกลายเป็นเสียงที่อุดอู้ขึ้นมาทันที ภายในห้องไม่ได้เปิดไฟ มีแต่ความมืดมิด บวกกับหลังจากที่เธอเข้ามา ประตูก็ถูกปิดลง เธอมองเห็นเพียงร่างสูงร่างหนึ่งตรงหน้าเธอผ่านแสงสลัวๆที่ส่องมาจากด้านนอกหน้าต่าง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่มือและเท้าของเธอถูกพันธนาการเอาไว้ และเธอไม่สามารถขยับได้ จนกระทั่งบุคคลนั้นปล่อยมือของเขาที่ปิดปากของเธอไว้เสิ่นหยินอู้คิดจะใช้โอกาสนี้ในการร้องออกมา แต่คนตรงหน้าเธอก็รวดเร็วกว่า เขาโน้มตัวลงมาและจูบเธอ ลมหายใจอุ่นๆที่หนักหน่วงกระทบเข้ากับใบหน้าของเสิ่นหยินอู้ และในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็รับรู้ได้ถึงออร่าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนในขณะนี้ นี่มัน…… ความประหลาดใจแวบขึ้นมาในหัวใจของเธอ และก่อนที่เธอจะทันได้ตอบสนองอะไรอื่น เธอก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายดันฟันของเธอให้แยกจากกัน ทำให้จูบนั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น ขณะที่พวกเขานัวเนียกัน ลมหายใจของพวกเขาล้วนมีแต่กลิ่นของทั้งคู่ เสิ่นหยินอู้ยังได้กลิ่นบุหรี่ที
ดังนั้นการทานอาหารมื้อนี้ก็เป็นไปตามที่เสิ่นหยินอู้คาดไว้ เมื่อพวกเขากินเกือบเสร็จแล้ว แล้วก็จนอาหารเย็นชืดหมดแล้ว ฉินเย่ก็ยังไม่มาปรากฏให้เห็น ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนที่พวกเขาจะต้องเดินทางไปสนามบิน เสิ่นหยินอู้พาเด็กน้อยทั้งสองคนขึ้นไปชั้นบน หลังจากเข้าไปในห้องแล้ว เหมิงเหมิงก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า: "หม่ามี๊คะ ลุงเย่มู่อยู่ไหนล่ะคะ? เขาจะกลับมาเมื่อไร?" เสิ่นหยินอู้ตอบคำถามของเธอแบบเดียวกันกับที่หลี่มู่ถิงตอบเธอ “หม่ามี๊ก็เหมือนลุงหลี่มู่ถิงจ๊ะ ยังไม่รู้เลย เขาไม่ได้บอกหม่ามี๊ว่าเขาจะไปทำอะไร แน่นอนว่าหม่ามี๊ไม่รู้หรอกว่าเขาจะกลับมาเมื่อไร” หลังจากได้ยิน เหมิงเหมิงก็ร้อง อ่า ออกมาเบาๆ เธอขมวดคิ้วราวกับรู้สึกเป็นไม่สบายใจเพราะเรื่องนี้ “ถ้างั้นหม่ามี๊คะ ลุงเย่มู่คงจะไม่ได้จะไม่กลับมาแม้แต่ตอนเราไปสนามบินใช่ไหมคะ? แปลว่าวันนี้เราก็จะไม่ได้เจอลุงเย่มู่แล้วหรอคะ?” เนื่องจากเธอไม่ต้องการให้เด็กๆทั้งสองคนมีความหวังมากเกินไป เสิ่นหยินอู้จึงพูดว่า: "อืม ก็อาจจะเป็นแบบนี้ ลุงเย่มู่มีเรื่องหลายอย่างที่ต้องทำ เดี๋ยวเขาจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเขาจะกลับไปหาเราที่จีน” หากพู
แม้ว่าในที่สุดเขาก็พบเธอ แต่ใครจะกล้ารับประกันกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้? "พอได้แล้ว" เมื่อเห็นเธอกัดริมฝีปากล่างและคิดจะพูดอะไรอื่นอีก ฉินเย่ก็เอามือใหญ่โอบไปที่เอวบางของเธอ "ไม่ต้องคิดแล้ว ในเมื่อผมเลือกที่จะอยู่ นั่นก็หมายความว่าผมมั่นใจ" “แต่... เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรทำตั้งแต่แรกนะ” “นั่วนั่ว” ฉินเย่เรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วเบา “การจะทำอะไรสักอย่างน่ะ ไม่มีคำว่าควรหรือไม่ควร มีแต่เต็มหรือไม่เต็มใจเท่านั้นแหละ” “ถ้าคุณรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผมจะอยู่ที่นี่จริงๆ งั้นหลังจากที่ผมกลับไปที่จีนแล้วก็ลองคิดเรื่องที่จะเปลี่ยนสถานะให้ผมดูดีกว่าไหม?” เสิ่นหยินอู้เข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องการเรียกชื่อ เขาต้องการให้เด็กทั้งสองหยุดเรียกเขาว่าลุงเย่มู่และเรียกเขาว่าพ่อแทน หรือจะบอกว่า ที่เขาทำมามากขนาดนั้นก็เพียงเพื่อความปรารถนาเล็กๆน้อยๆเช่นนี้งั้นหรอ? เมื่อเธอคิดได้เช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป แล้วพูดว่า "คุณจะไม่บอกพวกเขางั้นหรอ?" ริมฝีปากของฉินเย่โค้งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเธอ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดเบาๆว่า: "ครั้งนี้ ผมจะไม่ไปเจอพวกเข
คำพูดทางจิตวิทยาเช่นนี้... ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบลุงโม่ไป๋มากกว่า ถึงตอนนั้น... เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็พูดว่า: "ลุงโม่ไป๋อยู่กับพวกเรามานานกว่า" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็กลั้นหายใจ "ถ้างั้น……" “แต่ลุงเย่มู่มาดูไลฟ์สดของเราบ่อยๆแล้วก็ให้รางวัลเราตลอดเลยด้วย” คำพูดประโยคหลังทำให้หัวใจที่กำลังจมดิ่งลงไปของฉินเย่ลอยกลับขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขาคิดว่าตามความคิดของซือเหนียน เขาคงจะหมดโอกาสแล้ว แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าคำพูดของซือเหนียนจะเปลี่ยนไป ซึ่งมันไม่ต่างกับเป็นการทำให้หัวใจของฉินเย่ลุกเป็นไฟ "แล้วไงต่อ?" ฉินเย่ยังคงรู้สึกประหม่ามากในขณะที่เขาถามคำถามนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะสนใจความคิดของเด็กคนหนึ่งมากขนาดนี้ เพราะกลัวว่าเด็กคนนี้จะไม่เลือกเขาแต่ไปเลือกคนอื่นแทน "ก็……"เสิ่นซือเหนียนจงใจพูดเสียงยาว เมื่อเห็นว่าการหายใจของฉินเย่ดูเหมือนจะติดๆขัดๆขึ้นมา เขาก็คิดว่ามันค่อนข้างน่าขันเล็กน้อย เขาจงใจเอียงศีรษะแล้วพูดว่า: "ลุงเย่มู่กับลุงโม่ไป๋เสมอกันครับ" เสมอกัน? ฉินเย่ตกตะลึง “เสมอกันงั้นเหรอ?” “ลุงเย่มู่ หรือว่าลุงคิดว่าลุงจะแพ้ลุงโม่ไป๋เหรอครั
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ