ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเสิ่นเหมิงเหมิงเป็นจอมสร้างปัญหาหรือไม่ หลังจากฟังสิ่งที่เสิ่นหยินอู้พูดแล้ว เธอก็พูดว่า: "แต่หม่ามี๊คะ ตอนไลฟ์สด เราได้เงินจากลุงเย่มู่มาเยอะมากเลยนะคะ แล้วถ้าลุงเย่มู่ยอมเป็นพ่อของเหมิงเหมิงในอนาคต เขาก็จะไม่ใช่คนแปลกหน้าแล้วนะคะ” เสิ่นหยินอู้: "..." ฉินเย่ซึ่งแต่เดิมขมวดคิ้วอยู่ดีใจกับคำพูดของเสิ่นเหมิงเหมิง มุมปากที่เป็นเส้นตรงของเขาโค้งงอขึ้นมา เขายกนิ้วโป้งขึ้นให้เหมิงเหมิง “เหมิงเหมิงพูดถูก” คิ้วของเสิ่นหยินอู้กระตุกเมื่อเธอได้ยินเช่นนั้น เธอไม่สามารถทำอะไรต่อหน้าลูกๆของเธอได้ เธอไม่อยากให้ลูกๆรู้เรื่องในอดีตบางเรื่องของเธอ นี่เป็นความผิดของเธอ ไม่จำเป็นต้องให้เด็กๆเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ทำได้เพียงพูดกับฉินเย่ว่า "คุณเย่มู่ งั้นเราไปคุยกันที่อื่นดีกว่าไหม?" ฉินเย่เลิกคิ้ว: "ได้ครับ" “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน” หลังจากเรียกชื่อเด็กทั้งสองแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็เห็นเฉาเย่าจู่ที่นั่งอยู่ข้างๆ เมื่อดูจากหน้าตาและนามสกุลของเขาแล้ว เขาคงไม่ใช่ญาติของฉินเย่ อย่างไรเสีย เขาก็เป็นเพียงแค่เด็ก เสิ่นหยินอู้ไม่ต้อง
“รูปลักษณ์กับหน้าตางั้นเหรอ?” ประโยคนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ยิ้มเยาะ "รูปร่างหน้าตาของพวกเขามันทำไมหรอ? จะไปเป็นลูกของคุณได้ยังไง? คุณคิดไปเองหรือเปล่า?" ฉินเย่ไม่ถือสาในความโกรธของเธอในขณะนี้ ท้ายที่สุดแล้ว เธอก็เป็นคนเลี้ยงลูกมาคนเดียวตลอดห้าปีที่ผ่านมา ไม่ว่ายังไง เธอก็มีสิทธิ์ที่จะโกรธเคืองเขา ดังนั้นน้ำเสียงของเขาจึงสงบและอ่อนโยนมาก “ผมคิดไปเองงั้นเหรอ? ก็ได้ งั้นคุณบอกผมหน่อยสิ ถ้าผมไม่ใช่พ่อของพวกเขา แล้วใครเป็นพ่อของพวกเขาล่ะ?” “มันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ” “มันไม่เกี่ยวอะไรกับผมหรือคุณพูดออกมาไม่ได้ล่ะ หรือว่าคุณแค่ไม่อยากยอมรับต่อหน้าผมว่าเด็กๆเป็นลูกของผม” เสิ่นหยินอู้โกรธ: "เด็กๆไม่ใช่ลูกของคุณสักหน่อย" “ก็ได้ ถ้าคุณไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร แค่ไปตรวจดีเอ็นเอก็พอ” หลังจากที่เห็นว่าเด็กน้อยทั้งสองคนเป็นลูกของเสิ่นหยินอู้แล้ว ฉินเย่ก็แทบจะมั่นใจได้ในทันทีว่าเด็กสองคนนี้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่เคยคิดที่จะไปตรวจดีเอ็นเอเลย เพราะมันไม่จำเป็นเลยสักนิด ทันทีที่เขาเข้าใกล้เด็กสองคนนี้ เขาก็รู้สึกแตกต่างออกไป มันเป็นความรู้สึกใกล้ชิดและอบอุ่นหัวใจมาก ไม
“คุณฝันไปเถอะ” เสิ่นหยินอู้กัดริมฝีปากล่าง การแสดงออกของเธอดุเดือดมาก "จะไม่มีใครมาแตะต้องลูกของฉันได้ รวมทั้งคุณด้วย" หลังจากพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็หันหลังกลับและเดินจากไป ปล่อยให้ฉินเย่ยืนอยู่ที่เดิมคนเดียว เมื่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเห็นเสิ่นหยินอู้กลับมาอีกครั้ง และเธอเหมือนจะกำลังโกรธมาก เขาจึงไม่กล้าทักทายเธอ และเมื่อครู่นี้ที่เขาแอบดูเธอพูดคุยกับชายคนนั้นจากระยะไกล แม้ว่าจะไม่ได้ยินเสียง เมื่อดูจากกริยาท่าทางของพวกเขา มันเหมือนว่าพวกเขากำลังทะเลาะกัน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยังสงสัยว่าเขาดูผิดหรือเปล่า แต่เมื่อเห็นเสิ่นหยินอู้เดินเข้ามาโดยไม่พูดอะไรสักคำ เขาก็มั่นใจ จากนั้นไม่นาน ชายคนนั้นก็เดินเข้ามา เมื่อเทียบกับความโกรธของผู้หญิงแล้ว ความเย็นยะเยือกจากร่างกายของชายคนนั้นก็แทบจะปกคลุมไปทั่วบริเวณโดยรอบ หลังจากที่เขาเดินผ่านไป เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น แล้วจึงอุทานออกมาว่าเขาใส่เสื้อผ้ามาน้อยชิ้นเกินไปจริงๆ เสิ่นหยินอู้ที่ยังโกรธอยู่ในตอนแรก เมื่อเธอเข้าไปในประตูโรงเรียน สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปทันที เมื่อเธอเดินไปหาเด็กทั้งสาม เธอก็ก
เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าฉินเย่จะหน้าด้านได้ถึงขนาดนี้ ถึงกับบอกว่าเขาตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกเห็นต่อหน้าลูกๆของเธอ เขาเป็นถึงซีอีโอที่สง่างามแห่งตระกูลฉิน เขายังมีศักดิ์ศรีอยู่ไหม? เธอหายใจเข้าลึกๆ แม้จะอยู่ต่อหน้าลูกๆ เสิ่นหยินอู้ก็ไม่ต้องการที่จะตอบคำถามของเขา “หม่ามี๊คะ ตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็นคืออะไรหรอคะ?” เสิ่นเหมิงเหมิงเริ่มกลายเป็นเด็กขี้สงสัยอีกครั้ง เสิ่นหยินอู้: "..." “เหมิงเหมิง ตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็นก็คือ ลุงเย่มู่ชอบแม่ของหนูมาก” ทันทีที่เขาพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองฉินเย่ด้วยความไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ฉินเย่สบตาเธอ ริมฝีปากเผยให้เห็นรอยยิ้มจางๆ ทันทีที่เธอสบตาสีดำเข้มของเขา เสิ่นหยินอู้ก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเธออยู่ภายใต้การควบคุมของเขา เขาดูออกว่าเธอไม่อยากแสดงอารมณ์โกรธต่อหน้าลูกๆ เขาจึงตั้งใจทำเช่นนี้ เขาถึงขั้นไม่ถือสาอะไรเลยถ้าเธอจะรู้ และแม้ว่าเสิ่นหยินอู้จะรู้ แต่เธอก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลยจริงๆ "ว้าว" เสิ่นเหมิงเหมิงเอามือเล็กๆขึ้นมาปิดใบหน้าเล็กๆของเธอด้วยความประหลาดใจ “ลุงเย่มูชอบหม่ามี๊ของหนูมากเลยเหรอคะ?” "อืม" ทันใดนั้น เหมิงเหมิงก็ม
“หยินอู้ ผมแค่อยากชดเชย” “ห้าปีแล้วที่ครอบครัวเราสามคนใช้ชีวิตกันอย่างสบายดี ไม่ต้องการการชดเชยหรอก สิ่งเดียวที่เราต้องการคือชีวิตที่สงบสุข ถ้าคุณต้องการที่จะทำอะไรเพื่อชดเชย ก็เชิญคุณออกไปจากชีวิตเรา อย่ามาปรากฏตัวต่อหน้าเราอีก นี่เป็นการชดเชยที่ดีที่สุด” หลังจากที่เธอพูดจบ ฉินเย่ก็ไม่พูดอะไร เขามองเธออย่างเงียบๆ สายตาของเขายังคงมืดมน มุมปากของเขาก็ยังคงเม้มเป็นเส้นตรงอยู่ แม้ว่าท่าทางของเขาจะดูสงบ แต่เขาก็ไม่มีท่าทีที่จะยอมแพ้ แน่นอนว่าเสิ่นหยินอู้รู้ดีว่าเขาจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆเพราะเขาได้ทำอะไรไปตั้งมากมายขนาดนั้น เธอไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะทำให้เขายอมแพ้ได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ หลังจากนั้นไม่นาน ฉินเย่ก็เริ่มเก็บกวาดของบนโต๊ะ เมื่อเห็นการกระทำของเขา เสิ่นหยินอู้ก็นึกถึงสิ่งที่เด็กสองคนบอกเธอ ลุงเย่มู่ยอมกินแป้งแฮมเบอร์เกอร์ที่เหลือจากพวกเขา ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาจะทำอะไรเช่นนี้ได้อย่างไร? แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น มันก็ไม่ได้หมายความว่าเสิ่นหยินอู้จะให้อภัยและยอมรับเขาได้ง่ายๆ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ลุกขึ้นยืนและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา: "หวังว่าคุณจะไม่มารบกวนพวกเราอีก
เมื่อเธอมาถึงฉินกรุ๊ป มันก็เป็นเวลาที่ฉินกรุ๊ปเลิกงานแล้ว และคนส่วนใหญ่ออกไปจนเกือบจะหมดแล้ว คนที่เหลืออยู่ในอาคารของฉินกรุ๊ปมีไม่มากนัก แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยังไม่กลับไป พวกเขาต้องผลัดเวรกันเพื่อเฝ้าดูแลที่นี่ เสิ่นหยินอู้เดินเข้าไปและพบพนักงานต้อนรับ พนักงานต้อนรับคนนี้เคยต้อนรับเธอมาก่อนและยังไม่ได้กลับไป เมื่อเห็นเธอ พนักงานต้อนรับก็ดูประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก่อนที่เธอจะได้พูด เสิ่นหยินอู้ก็เป็นฝ่ายถามขึ้นมาก่อนว่า "สวัสดีค่ะ ฉันมาพบผู้ช่วยหลี่" พนักงานต้อนรับดูสับสนอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า: "แต่คุณหญิงคะ ผู้ช่วยหลี่เลิกงานไปแล้ว" “เขาเลิกงานแล้ว แล้วประธานฉินล่ะ? เขาก็ไปแล้วเหมือนกันเหรอคะ?” พนักงานต้อนรับค่อยๆนึก: "บ่ายวันนี้ประธานฉินไม่ได้มาที่บริษัท ผู้ช่วยหลี่ออกไปเมื่อสิบนาทีที่แล้วค่ะ" ฉินเย่ไม่ได้มาที่บริษัทในตอนบ่ายเหรอ? แล้วเขาไปทำอะไรล่ะ? ไม่มีใครอยู่เลย เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วโทรหาผู้ช่วยหลี่ ผู้ช่วยหลี่รู้สึกประหลาดใจมากเมื่อได้รับสายจากเสิ่นหยินอู้ "คุณหนูเสิ่น?" น้ำเสียงของเขาน่าประหลาดใจราวกับว่าเขาคิดไม่ถึงเลยว่าเสิ่
เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงระงับอารมณ์ของเธอไว้และรออยู่ที่เดิม ประมาณยี่สิบนาทีต่อมา หลี่มู่ถิงก็มาถึงด้วยความเร่งรีบ หลังจากที่เขายืนยันตัวตนกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ปล่อยพวกเขาเข้าไปด้านใน “คุณหนูเสิ่น ให้ผมพาคุณไปไหมครับ?” ในเมื่อมาถึงแล้ว หลี่มู่ถิงก็คิดที่จะช่วยประหยัดแรงของเสิ่นหยินอู้ จากนั้นก็พาเธอไปที่นั่น เมื่อเขาพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็พยักหน้าให้เขา “ได้ค่ะ งั้นก็รบกวนด้วยค่ะ” เมื่อพิจารณาจากท่าทางในปัจจุบันของหลี่มู่ถิง เขาคงไม่รู้เรื่องที่ฉินเย่พาลูกๆสองคนของเธอไป เขาถึงขั้นช่วยเหลือเธอด้วยซ้ำ ดังนั้น เสิ่นหยินอู้จึงสุภาพและเกรงใจเขา ภายใต้การนำทางของหลี่มู่ถิง พวกเขามาถึงที่ที่ฉินเย่อยู่อย่างรวดเร็ว “คุณหนูเสิ่น ถึงแล้วครับ” เมื่อมองไปที่บ้านหลังใหญ่ตรงหน้าเธอ เสิ่นหยินอู้กำลังจะกดกริ่งประตู แต่จู่ๆหลี่มู่ถิงก็พูดว่า: "คุณหนูเสิ่น ผมจะบอกรหัสให้คุณ คุณเข้าไปได้เลยครับ" หลังจากได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักไปชั่วคราว เธอคิดสักพักแล้วจึงพยักหน้า: "ก็ได้ค่ะ" หลี่มู่ถิงบอกรหัสผ่านเข้าบ้านให้เธอแล้วจึงออกไป เสิ่นหยินอู้ป้อนรหัสผ่าน
ประโยคนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ขมวดคิ้วไม่พอใจ “หยุดทำไขสือได้แล้ว ถ้าเด็กๆไม่อยู่ที่นี่ แล้วพวกเขาจะไปอยู่ที่ไหน?” ก่อนหน้านี้เธอกลัวว่าเขาจะพาลูกๆไป ฉินเย่ก็เดาได้ และในเวลานี้เธอควรจะพาเด็กๆกลับบ้านไปแล้ว ไม่ใช่มาหาเขาแล้วพูดว่าให้เขาเอาลูกๆคืนให้เธอ เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้บางอย่างขึ้นมาได้ ฉินเย่ก็คว้าไหล่ของเสิ่นหยินอู้ เขาหรี่ตาลงแล้วพูดว่า "เด็กๆหายไปเหรอ?" เสิ่นหยินอู้ชะงักไปชั่วคราว "ฉินเย่ คุณหมายความว่าไง คุณไม่ใช่คนที่ควรจะรู้ดีที่สุดว่าทำไมเด็กๆถึงหายไปเหรอ?" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็ขมวดคิ้ว: "แล้วเด็กๆหายไปจริงๆเหรอ?" เสิ่นหยินอู้: "..." เขาไม่ได้ตอบคำถามของเธอ และไม่ได้พูดอะไรกับเธอต่อ แต่เขากลับถามซ้ำในสิ่งที่เธอพูดเพื่อยืนยันว่าเรื่องที่เด็กๆหายไปนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ หรือว่า... “คุณไม่ได้พาเด็กๆไปเหรอ?” ทันทีที่เธอพูดจบ ฉินเย่ก็เดินผ่านเธอไปและเดินออกไปข้างนอก เสิ่นหยินอู้รีบหันหลังและเดินตามเขาไป “ฉินเย่” "รอแปปนึง" ฉินเย่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและส่งสัญญาณให้เธออย่าเพิ่งพูดอะไร แต่หลังจากที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เขาพบว่าโทรศัพท์ของเขาแบตหมดและมันก็ปิดเ
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ