ไม่กี่นาทีต่อมาเมิ่งอิ่งจือเข้าไปในที่นั่งผู้โดยสารด้านหน้า หลังจากเข้าไปแล้วเธอก็ปิดประตูทันที คาดเข็มขัดนิรภัยให้แน่น แล้วทำหน้าตาเหมือนกับว่าตรงนี้เป็นของฉันแล้ว พวกคุณคนอื่นจะทำอะไรก็ทำไป ฉันจะไม่เปลี่ยนที่นั่งอีกแล้วหลังจากที่เสิ่นหยินอู้ลงจากรถ เธอก็ยืนอยู่ที่เดิมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดกับฟู่ถิงสือว่า:"คุณเข้าไปก่อนเถอะ""อืม"ฟู่ถิงสือก็ไม่มีข้อโต้แย้งอะไร สุดท้ายแล้วทุกคนก็ต้องลงเขา งั้นก็ไปนั่งด้วยกันเถอะเขาฟังที่เสิ่นหยินอู้บอก ก้มตัวลงไปข้างในทันที และได้ยินเสียงฉินเย่: "ไสหัวไป "ฟู่ถิงสือ:"……"เขารักษาท่าทีไว้สักครู่ แล้วก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้กับเสิ่นหยินอู้และพูดว่า:"คุณหนูเสิ่น ถ้าอย่างนั้นคุณเข้าไปก่อนเถอะ"เสิ่นหยินอู้มองดูท่าทางเขา แล้วนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ถอนหายใจอย่างหมดหนทางในใจ แล้วนั่งลงในรถอย่างยอมรับชะตากรรมฟู่ถิงสือตามหลังเธอไปเพราะต้องการรักษาระยะห่างจากฉินเย่ เสิ่นหยินอู้จึงนั่งใกล้ฟู่ถิงสือมากกว่าหลังจากรถออกไปแล้ว คิ้วของฉินเย่ก็ขมวดขึ้น"ฟู่ถิงสือ มึงขยับไปนิดนึง"ฟู่ถิงสือไม่ได้คิดอะไรมากเมื่อได้ยินคำพูดนั้น เขาเพียงแค่
ตามที่คิดยังคงหลับไปอย่างเชื่อฟังเวลาตื่น เธอจะหยิ่งและเย็นชาเกินไปเมื่อนึกถึงสายตาเย็นชาของเธอ หัวใจของฉินเย่ก็ยังคงเจ็บปวดอยู่ทั้งสองคนตั้งแต่เจอกันมาจนถึงตอนนี้ ช่วงเวลาที่อบอุ่นนี้หายากน่าเสียดาย ช่วงเวลาอันอบอุ่นนี้ไม่ได้ยาวนานนัก โทรศัพท์ในกระเป๋าของเสิ่นหยินอู้ดังขึ้นเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ที่ไพเราะดังขึ้นในรถที่เงียบสงบ เสิ่นหยินอู้ตื่นขึ้นมาอย่างรวดเร็วร่างกายของฉินเย่ตึงขึ้นมาทันทีไม่นึกเลยว่าเสิ่นหยินอู้ไม่แม้แต่จะลืมตา ยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าของตัวเองโดยอยู่ท่าเดิมอยู่ใกล้ๆกัน ฉินเย่เห็นว่าบนหน้าจอโทรศัพท์ของเธอมีสายเรียกเข้าจากโม่ไป๋สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นคล้ำลงทันที"ฮัลโหล"เสิ่นหยินอู้เอาโทรศัพท์แนบหูของตัวเองอาจเป็นเพราะเสียงของเธอฟังดูงัวเงียเกินไป ทำให้โม่ไป๋ที่อยู่ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง "เพิ่งตื่นเหรอ? อยู่ที่ไหน?""หืม" เสิ่นหยินอู้หลับไปอย่างงงๆ ดังนั้นเสียงและอารมณ์ของเธอจึงดูอ่อนลง เธอจำได้เล็กน้อยว่า: "บนรถ"พูดจบ เสิ่นหยินอู้รู้สึกว่า ท่านี้ไม่สบาย จึงปรับท่าทางเล็กน้อย และขยับหัวไปทางด้านข้างเมื่อแน่ใจว่าสบายแล้ว เธอจึ
คำว่า 'นอนร่วมเตียง' ทำให้ฟู่ถิงสือและเมิ่งอิ่งจือที่แอบฟังเรื่องซุบซิบอยู่ตาโตขึ้นพร้อมกัน จากนั้นทั้งสองก็หันหัวไปมองพวกเขาพร้อมกัน และอุทานออกมาพร้อมกัน"นอนร่วมเตียง??""หมายความว่าอย่างไร? พวกคุณเคยนอนด้วยกันมาก่อน??"แม้แต่คนขับรถก็ยังตกใจจนเหยียบเบรกทันที ส่งเสียงแสบแก้วหูทุกคนมองไปที่เขาคนขับรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าเช็ดเหงื่อที่มุมหน้าผากและยิ้มแหย ๆ: "ถึงแล้ว ถึงแล้ว"ได้ยินคำพูดเขาแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็เพิ่งสังเกตเห็นว่ารถมาถึงสนามม้าแล้ว สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปทันที และเธอก็ผลักฟู่ถิงสือออกไปทันทีฟู่ถิงสือก็ลงจากรถทันทีเมื่อเห็นเสิ่นหยินอู้เตรียมที่จะลงไป เสียงเย็นชาของฉินเย่ก็ดังมาจากด้านหลัง"พิงผมแล้ว คุณก็จะเดินจากไปแบบนี้เหรอ?"เสิ่นหยินอู้:"……"ห้าปีแล้วที่ไม่ได้เจอ เขากลายเป็นคนหน้าด้านมากกว่าเดิมจริงๆเธอมองเขาแวบหนึ่งแล้วเยาะเย้ยว่า: "ถ้าฉันจะไปแล้วคุณจะทำอะไรได้?"เมื่อพูดจบ เธอก็กระโดดลงจากรถแล้วปิดประตู เดินกลับไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าของตัวเอง แล้วจากไปฟู่ถิงสือมาหาเธอ ตอนที่เธอกำลังจะไปและพูดด้วยความรู้สึกอึดอัดว่า: "ขอโท
ได้ยินประโยคสุดท้าย อู๋อี้ไห่ก็โล่งใจขึ้น"ดีแล้ว พรุ่งนี้ก็คุยกันดีๆแน่นอนว่าจะดึงดูดมาลงทุนได้แน่ คุณฉลาดและมีไหวพริบขนาดนี้"ฉลาดและมีไหวพริบ?ดึงดูดมาลงทุน?เสิ่นหยินอู้รู้สึกว่ามันอยากนิดนึงนึกถึงอะไรบางอย่าง เสิ่นหยินอู้เงยหน้ามองอู๋อี้ไห่"นายคิดว่า ฟู่ถิงสือกับฉินเย่ ใครเก่งกว่ากัน?"ประโยคนี้ทำให้อู๋อี้ไห่แสดงออกถึงความสับสนในทันที"หมายความว่าไงครับเถ้าแก่ ทำไมจู่ๆคุณถึงถามแบบนี้?""นายพูดตรงๆเลยก็ได้"อู๋อี้ไห่รู้เรื่องในอดีตของเสิ่นหยินอู้และฉินเย่ จึงรู้สึกลำบากใจว่าจะตอบยังไงดี ถ้าเขาพูดแต่เรื่องดีของฉินเย่ จะทำให้เสิ่นหยินอู้โกรธไหมนะ?ถึงจะให้พูดอะไร ยังไงซะเธอก็เถ้าแก่ของเขาอยู่ดี"นายกำลังคิดอะไรอยู่?"เสิ่นหยินอู้เห็นเขาไม่พูดมานานแล้วจึงถามขึ้นหนึ่งประโยคอู๋อี้ไห่รวบรวมความกล้าแล้วพูดว่า:"ผมกำลังคิดว่าจะพูดความจริง หรือพูดให้คุณมีความสุขดี"คำตอบนี้น่าสนใจเสิ่นหยินอู้ยิ้มและพูดว่า:"งั้นนายควรพูดอะไรที่ทำให้ฉันมีความสุขและเป็นความจริงด้วย""อู๋อี้ไห่:"เถ้าแก่ นี่ทำผมลำบากใจมากนะ"ได้ยินแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ก็เลิกคิ้ว:"ถือว่าเป็นการประเมินหน้าที่ผู้จัดก
เพราะต้องไปรับลูก ดังนั้นเสิ่นหยินอู้จึงออกจากบริษัทก่อนเวลาแต่เมื่อเธอมาถึงโรงเรียนก็ยังสายไปห้านาที ครูที่โรงเรียนบอกเธอว่า เด็กสองคนถูกพ่อพวกเขารับไปแล้วเมื่อได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของเสิ่นหยินอู้เปลี่ยนไปอย่างรุนแรง และเสียงของเธอก็สูงขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้"คุณพูดอะไรนะ?? พ่อมารับไปแล้วเหรอ?"เหมิงเหมิงและเหนียนเหนียนมีพ่อที่ไหน?หรือว่า……คุณครูที่โรงเรียนดูเหมือนจะตกใจเสียงสูงของเธอเล็กน้อยและพูดเบา ๆ ว่า: "ก็...ก็คนที่มาสมัครกับคุณพร้อมเด็กๆในวันแรกนั่นไงคะ หรือว่าไม่ใช่พ่อของเหมิงเหมิงและเหนียนเหนียน?"วันแรกที่มาลงทะเบียนมาด้วยกัน?พวกเขากำลังพูดถึงโม่ไป๋ใช่ไหม?ฟังจบ เสิ่นหยินอู้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ที่แท้เขาพูดถึงโม่ไป๋ ทำให้เธอคิดว่าฉินเย่หาเจอแล้วเสียอีก"เป็นอะไรไปคะ? คุณหนูเสิ่น ดูเหมือนว่าสีหน้าของคุณไม่ค่อยดี……มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ?"ครูถามด้วยความลังเลเสิ่นหยินอู้ส่ายหัวหลังจากได้สติกลับมา:"ไม่มีปัญหาค่ะ เมื่อกี้คงทำให้คุณตกใจใช่ไหมคะ? ฉันนึกว่าถูกพวกค้ามนุษย์พาตัวไปแล้ว""ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรค่ะ คุณหนูเสิ่นไม่เป็นไรก็ดีแล้ว งั้นเดินกลับระวังตัวด้วยน
เสิ่นหยินอู้เห็นว่าดึกแล้ว จึงให้เด็กสองคนไปนอน จากนั้นจัดการนี่นั่นด้วยตัวเอง เมื่อจัดการเสร็จแล้วเงยหน้าขึ้น ก็พบว่าโม่ไป๋ยังนั่งอยู่บนโซฟา และดูเหมือนว่าเขาไม่มีท่าทีว่าจะจากไปตามที่คิด ก่อนที่เสิ่นหยินอู้จะได้พูดอะไร โม่ไป๋ก็ถอดแว่นตาขอบทองเขาออก แล้วยิ้มให้เธอ: "เหมือนจะดึกแล้วนะ"ได้ยินแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ก็พยักหน้าโดยไม่รู้ตัว"อืม ก็ดึกแล้ว""จากที่นี่ไปโรงแรมก็ไกลพอสมควร ดังนั้นคืนนี้ผมขอพักที่นี่ได้ไหม? แน่นอน ผมจะจ่ายค่าเช่า"ได้ยินเขาพูดว่าจะจ่ายค่าเช่า เสิ่นหยินอู้คิดว่ามันไร้สาระเกินไป"จะจ่ายค่าเช่าทำไม บ้านหลังนี้คุณเช่าให้เราอยู่แล้วนี่ แค่คืนเดียวเองพักผ่อนให้สบายเถอะ"พูดจบเสิ่นหยินอู้ก็ลุกขึ้นยืน "ฉันจะไปจัดห้องให้คุณ "โม่ไป๋ก็ลุกขึ้นยืนตาม"คุณไม่ต้องเก็บ ผมทำเองได้" เขาตามเสิ่นหยินอู้ไปที่ห้องรับรองแขก เพราะตอนนี้เป็นฤดูหนาว ดังนั้นเวลาเข้าพักจึงต้องการผ้าห่มหนาและหมอนเสิ่นหยินอู้ไม่เคยคิดว่าจะมีคนอื่นเข้ามาพัก ดังนั้นก่อนหน้านี้จึงเตรียมผ้าห่มไว้เพียงสามผืน ตอนนี้ไม่มีของโม่ไป๋ เธอคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็หันหลังไปเอาผ้าห่มของตัวเองให้เขา"หรือว่า
เสิ่นหยินอู้คาดไม่ถึงว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นในตอนที่ไปเรียน ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าบรรยากาศของโรงเรียนนั้นค่อนข้างดี จึงให้ลูกทั้งสองไปโรงเรียนนั้น เมื่อก่อนในตอนที่ยังอยู่ต่างประเทศ ทั้งคู่ยังเด็กอยู่เธอจึงไม่ได้คิดอะไรมากนัก แต่ตอนนี้เด็กๆค่อยๆเติบโตขึ้นมามากแล้ว ข้อเสียของครอบครัวที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวก็ค่อยๆปรากฎออกมาในหมู่เพื่อนๆที่โรงเรียน เสิ่นหยินอู้จำได้ว่าในตอนที่ตนเองยังเป็นเด็ก เธอก็เคยประสบกับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน ความรักที่พ่อของเธอมอบให้กับเธอนั้นมากมาย และเธอเป็นลูกสาวคนโตของตระกูลเสิ่น ตระกูลเสิ่นเป็นตระกูลที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ คนกลุ่มนั้นจึงไม่กล้าที่จะรวมหัวกันรังแกเธอ และถึงกับพยายามทำให้เธอพอใจเพราะเธอเป็นลูกสาวของตระกูลเสิ่น ในตอนแรก เสิ่นหยินอู้รู้สึกดีใจเพราะทุกคนยินยอมที่จะเป็นเพื่อนกับเธอ เดิมทีเธอคิดว่าตัวเองเป็นตัวประหลาด เธอคิดว่าคนที่มาจากครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวแบบเธอจะต้องทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัดอย่างแน่นอน และพวกเขาคงไม่อยากที่จะรู้จักกับเธอ ดังนั้นการที่ทุกคนจึงยินดีที่จะเป็นเพื่อนกับเธอ เสิ่นหยินอู้จึงคิดมาตลอดว่าเพื่อนๆทุกคนเป็นคนดีมาก แต่
พูดจบ สายตาคมของเขาก็จ้องมองไปที่หลี่มู่ถิงหลี่มู่ถิงรู้สึกผิดจึงหลบสายตาของเขาเขารู้ว่า ฉินเย่ต้องโกรธที่เขาปล่อยให้เจียงฉูฉู่เข้ามาถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่น เขาคงไม่ยอมปล่อยให้เข้ามาแน่ๆแต่นี่คือเจียงฉูฉู่ ถึงฉินเย่กับเธอจะยังไม่ได้คบกันอย่างเป็นทางการ แต่ใครๆ ก็รู้ว่าเจียงฉูฉู่ได้รับการยอมรับจากแม่ของฉินเย่แล้วในสายตาของทุกคน เรื่องที่เธอจะได้แต่งงานเข้าไปในตระกูลฉิน เหลือแค่เรื่องของเวลาว่าจะช้าหรือเร็วแค่นั้นเจียงฉูฉู่รู้ดีว่าฉินเย่หมายความว่าอะไร ถึงจะรู้สึกอึดอัดแต่ก็ต้องยอมอธิบายว่า “คุณอย่าโทษผู้ช่วยหลี่เลยนะ ฉันขอให้เขาปล่อยฉันเข้ามาเอง ฉันบอกเขาว่าถ้าไม่ให้เข้าฉันจะทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ เขาเลยไม่มีทางเลือก”เมื่อได้ยินแบบนั้น ฉินเย่ก็ชะงักไปและมองไปที่หน้าของเจียงฉูฉู่"จริงเหรอ?"เจียงฉูฉู่พยักหน้ารับเบาๆ วินาทีถัดมาก็ได้ยินเสียงหัวเราะเย็นๆ ของฉินเย่ “ไม่ให้เข้าแล้วจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่เหรอ? ฉูฉู่ คุณกลายเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”สีหน้าของเจียงฉูฉู่เปลี่ยนไปเล็กน้อย“เย่ ฉันแค่......”ผู้ช่วยหลี่ไม่คาดคิดว่าฉินเย่จะไม่ไว้หน้าคุณหนูเจียงเลย เข้าใจดี