หรือเขาแค่แกล้งทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น? “ทำไมคุณถึงไม่พูดหละ?” ฉินเย่บีบคางของเธอ เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกถึงความว้าวุ่นใจของเธอ จากนั้นก็หรี่ตาลงเล็กน้อย “เป็นอะไรไปหละ?” เสิ่นหยินอู้มองไปที่ใบหน้าอันหล่อเหลาที่คุ้นเคยตรงหน้า ริมฝีปากสีชมพูของเขาเปิดออก แต่เขากลับลังเลที่จะพูด เธออยากจะพูดและถามอะไรบางอย่างจริงๆ แต่เมื่อคำพูดนั้นกำลังจะออกมา เธอก็ตระหนักได้ว่าเธอนั้นไร้เรี่ยวแรง... เธอไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้สักคำ ถ้าหากเขาก้มหน้าลงและถามเธอว่า "ผมแค่อยากเหลือศักดิ์ศรีไว้ให้คุณ ก็เลยแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง เสิ่นหยินอู้ ทำไมคุณถึงไร้เดียงสาขนาดนี้?" ถ้าเขาพูดอย่างนั้น แล้วจะทำยังไงหละ? ตอนนี้ทุกคนก็รู้หมดแล้ว ถ้าเธอจัดการมันอย่างเงียบๆด้วยตัวเอง มันก็คงจะดีกว่า “ไม่มีอะไร” เสิ่นหยินอู้ส่ายหัว ดวงตาของฉินเย่หม่นลงเล็กน้อย มันเป็นแบบนี้อีกแล้ว เขารู้สึกว่าช่วงนี้เธออารมณ์แปรปรวนอยู่บ่อยๆ จู่ๆเธอก็ดูห่างเหินกับเขามาก ไม่ยอมพูดอะไรเลยแม้แต่น้อย เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ความรู้สึกเสน่หาที่พวยพุ่งออกมาก่อนหน้านี้ก็หายไปอย่างสิ้นเชิงใน ฉินเย่ป
คำพูดของเธอทำให้โจวชวงชวงสงบลงเล็กน้อย พวกเธอเป็นเพื่อนสนิทกันมาหลายปีแล้ว และชวงชวงก็รู้จักเสิ่นหยินอู้เป็นอย่างดี เธอรู้ดีว่าหยินอู้เป็นคนที่รู้ว่าอะไรควรและไม่ควรมาโดยตลอด ผลลัพธ์เช่นนี้เธอคงจะคาดการณ์ได้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วแต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังรู้สึกเจ็บใจแทนเพื่อนสนิทของเธอ เธอกัดริมฝีปากล่างแล้วถามว่า "แต่...เธอเต็มใจจริงๆเหรอ?" เสิ่นหยินอู้ตอบอย่างใจเย็น "ถึงไม่เต็มใจแล้วทำจะอะไรได้หละ?" เธอไม่เต็มใจจริงๆ และพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงดูแล้ว อย่างไรก็ตาม ความจริงกลับตบเธอและบอกเธอว่าคิดไปเอง “พรุ่งนี้เธอว่างรึเปล่า สนใจไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อนฉันไหม?” เสิ่นหยินอู้หยุดไปชั่วคราวและหัวเราะเบาๆว่า “ฉันไม่อยากไปคนเดียว” โจวชวงชวงพยักหน้า "โถ่ ฉันเป็นเพื่อนสนิทที่สุดเพียงคนเดียวของเธอนะ ต่อให้ไม่ว่าง ก็ต้องว่างให้ได้แหละถูกไหม? เธอไม่จำเป็นต้องถามฉันด้วยซ้ำ แค่บอกให้ฉันไปกับเธอก็พอแล้ว " เสิ่นหยินอู้ยิ้มและพูดว่า "กินข้าวเถอะ กินเสร็จจะได้กลับไปพักผ่อนไวๆ" การแสดงออกของเธอนั้นสงบมากและไม่มีท่าทีว่าจะไม่มีความสุขเลยสักนิด โจวชวงชวงมองเสิ่นหยินอู้
เธอต้องใช้แรงอย่างมากในการช่วยพยุงเขากลับห้อง แต่สุดท้ายก็ล้มลงโดยไม่ระมัดระวังและตกไปอยู่ในอ้อมแขนของเขา ไม่รู้ว่าอะไรกันที่ปลุกอารมณ์ในตัวของฉินเย่ขึ้นมา จู่ๆฝ่ามือใหญ่ๆของเขาก็ย้ายไปจับที่เอวเรียวเล็กของเธอและพลิกตัวเธอเพื่อกดเธอไว้ เขามีรูปร่างที่ผอมเพรียวแต่กลับแข็งแรงกำยำ น้ำหนักทั้งหมดของเขาอยู่บนตัวเธอ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์หรือเปล่า แต่จู่ๆเสิ่นหยินอู้รู้สึกราวกับว่าใบหน้าของเธอกำลังเดือดพล่านขึ้นมาในทันที เธอต้องการผลักเขาออกไป อย่างไรก็ตาม วินาทีที่เธอจะผลักเขาออกไป ริมฝีปากบางอุ่นๆของชายคนนั้นก็ประกบไปที่ริมฝีปากของเธอ เสิ่นหยินอู้ตกตะลึง เมื่อเธอต้องการผลักเขาออกไป เธอก็กลับรู้สึกว่ามีอะไรอุ่นๆเข้ามาในปากของเธอ ทันใดนั้น สมองของเธอก็ดูเหมือนจะตกใจกับอะไรบางอย่าง และเธอก็ขยับตัวไม่ได้ เมื่อเธอตอบสนอง เธอก็ได้จูบเขากลับไปเสียแล้ว แต่ฉินเย่ที่ถูกเธอจูบตอบก็กอดเธอไว้แน่นราวกับปลาที่ขาดน้ำมาเป็นเวลานาน ในคืนนั้นเธอได้ปล่อยตัวปล่อยใจของตัวเองไป เมื่อเธอตื่นขึ้นมาในอ้อมแขนของฉินเย่ เธอก็เห็นคิ้วที่ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นของฉินเย่ เมื่อ
หลังจากมาถึงโรงพยาบาล โจวชวงชวงมองไปรอบๆด้วยสีหน้าแปลกๆ จากนั้นก็ถามเธอด้วยเสียงเบาๆ "ทำไมเราไม่ไปโรงพยาบาลใหญ่หละ? โรงพยาบาลเล็กๆจะไม่ทำให้ร่างกายเธอแย่ลงเหรอ?" เสิ่นหยินอู้พูดอย่างใจเย็นว่า "มันไม่สะดวก" ที่โรงพยาบาลใหญ่มีคนที่รู้จักคุณย่าฉินทำงานอยู่ เธอไม่คิดว่าวันนั้นเธอจะท้อง เธอจึงไปตรวจที่นั่น ตอนนี้เธอต้องจัดการกับมัน ดังนั้นจึงไม่สามารถไปโรงพยาบาลแห่งนั้นได้อีก หากถูกจับได้... แล้วมีคนไปบอกคุณย่าฉินหละก็ ดังนั้นเพื่อความแน่นอน เสิ่นหยินอู้จึงตัดสินใจที่จะมาจัดการที่โรงพยาบาลเล็กๆแห่งนี้ โจวชวงชวงไปทะเบียนและจ่ายเงินให้เธอ และเธอต้องได้รับการตรวจก่อน ระหว่างรอตรวจ ทั้งสองก็นั่งรอบนเก้าอี้ โจวชวงชวงหันไปมองเสิ่นหยินอู้อยู่หลายครั้ง ผ่านไปไม่นานก็มองเธออีกครั้ง ภายในไม่กี่นาที เธอก็มองหยินอู้ไปมากกว่าสิบครั้ง เสิ่นหยินอู้ทนไม่ไหวอีกต่อไป “เธอมองฉันทำไมนักหนาเนี่ย?” ชวงชวงตาแดงเล็กน้อย “ฉันสงสัยว่าเธอกลายเป็นคนเย็นชาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็ตกใจไปชั่วขณะ เธอกลายเป็นคนเย็นชาไปแล้วงั้นเหรอ? “เด็ก
เสิ่นหยินอู้กล่าวว่า "น่าจะเป็นอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ" “งั้นฉันจะไปซื้อของกินมาให้เธอ เธอรอที่นี่นะ เดี๋ยวฉันกลับมา” โจวชวงชวงออกไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เธอจากไป เสิ่นหยินอู้ก็เอนกายบนเบาะเก้าอี้และหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า เสียงทั้งสองในหัวเริ่มขัดแย้งกันอีกครั้ง “เธอกำลังคิดอะไรอยู่หนะ? เห็นได้ชัดว่าเธอได้ตัดสินใจไปแล้วไม่ใช่หรอ? แล้วเธอก็ได้มาถึงโรงพยาบาลแล้ว ทำไมเธอยังลังเลอยู่? ถ้าไม่จัดการเรื่องนี้ซะ เธอจะต้องทนทุกข์ทรมานไปตลอดชีวิต อย่าลืมว่าเขาบอกเธอมาแล้วเรื่องที่จะหย่า” “ฟ้องหย่าแล้วมันทำไมหละ? เธอโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ หรือว่าเธอไม่มีความสามารถแม้แต่จะเลี้ยงดูลูกเพียงคนเดียวด้วยซ้ำ?” “เธอคิดว่าแค่มีความสามารถทางการเงินเพียงอย่างเดียวก็เลี้ยงลูกได้แล้วรึไง? แล้วด้านจิตใจหละ?” “ถ้าห่วงว่าลูกจะไม่มีพ่อ เธอก็หาใหม่สิ เธอยังเด็กขนาดนี้ หรือกลัวว่าจะหาสามีไม่ได้เหรอ?” อาการน้ำตาลในเลือดต่ำบวกกับเสียงทั้งสองนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ปวดหัวจนแทบจะทนไม่ไหว จนกระทั่งมีเสียงประหลาดใจดังขึ้น “หยินอู้?” “หยินอู้ นั่นเธอใช่ไหม?” ในตอนแรก เสียงนั้นด
ก่อนที่หลินเหม่ยหลินจะพูดจบ คนที่คุ้นเคยของเธอก็เดินออกมาจากห้องให้คำปรึกษาที่อยู่ด้านหลังเธอ "แม่" เมื่อเสียงที่นุ่มอ่อนเยาว์ของเด็กสาวดังขึ้น ใบหน้าที่เย่อหยิ่งและร้ายกาจของหลินเหม่ยหลานก็เปลี่ยนไปอย่างมาก เสิ่นหยินอู้มองไปยังที่มาของเสียง เธอจำได้ทันทีว่าเป็นจ้าวเป่าเอ๋อ ลูกสาวของหลินเหม่ยหลาน เธอถือใบรายการตรวจอยู่ในมือ สีหน้าและสีปากของเธอซีดมาก สภาพของเธอดูไม่ค่อยดีนัก ก่อนที่เธอจะได้ตอบอะไรกลับไป หลินเหม่ยหลานซึ่งยังคงเยาะเย้ยเสิ่นหยินอู้อยู่ก็หันกลับไปทันที จากนั้นก็เดินไปดึงจ้าวเป่าเอ๋อและเดินออกไป เสียงฝีเท้าอันเร่งรีบของเธอทำให้เสิ่นหยินอู้เดาผลลัพธ์ได้ อย่างไรก็ตาม เสิ่นหยินอู้ไม่เคยอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของคนอื่น เธอก็เลยไม่ได้สนใจอะไรนัก จากนั้นไม่นาน หลินเหม่ยหลานก็กลับมา และไม่ได้พาใครมากับเธอ คงจะพาลูกสาวของเธอไปไว้ที่อื่น เธอเดินกลับไปหาเสิ่นหยินอู้อีกครั้ง ท่าทางของเธอแสดงให้เห็นถึงความใจร้ายที่ไม่เหมาะกับใบหน้าที่ได้รับการดูแลอย่างดีของเธอ “เสิ่นหยินอู้ ฉันรู้ว่าถ้าเธอเป็นคนฉลาด เธอคงจะเข้าใจว่าเรื่องบางเรื่องก็ไม่ควรเอา
พวกเธอได้รับความทุกข์ทรมานมามากพอแล้ว ดังนั้นเสิ่นหยินอู้จะไม่ทำร้ายพวกเธอเป็นครั้งที่สอง สองนาทีต่อมา โจวชวงชวงก็กลับมา “ฉันซื้อแซนด์วิช นมข้าวโอ๊ต แล้วก็ลูกอมมา ในร้านมีของน้อยมาก เธอกินของพวกนี้รองท้องไปก่อนนะ” ขณะที่โจวชวงชวงพูด เธอก็แกะห่อขนมให้ จากนั้นก็ยื่นให้เธอ “กินซะสิ เดี๋ยวก็หิวแย่” เสิ่นหยินอู้มองดูโจวชวงชวงด้วยรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นในดวงตาของเธอ "ขอบคุณ" โจวชวงชวงเป็นห่วงเธอมากกว่าแม่ของเธอเสียอีก "มาขอบคุณอะไรกันเล่า!" โจวชวงชวงจ้องเธอ "ระหว่างเราสองคน ยังต้องมาของคงขอบคุณอะไรกันอีกหรอ? ถ้าจะขอบคุณ น่าจะเป็นฉันที่ต้องขอบคุณเธอมากกว่าไหม ตั้งแต่แรก ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ ฉันอาจจะไม่ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเลยด้วยซ้ำ” เสิ่นหยินอู้ยิ้มและไม่ได้พูดอะไร เธอและโจวชวงชวงรู้จักกันตอนเรียนมัธยมปลาย และทั้งคู่ก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันตั้งแต่แรก สิ่งที่เหมือนจะเป็นพรหมลิขิตก็คือการที่ทั้งคู่สอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกันได้ แต่ในช่วงปิดเทอมนั้น พ่อของโจวชวงชวงเป็นบ้าไปด้วยเหตุผลบางอย่างและติดการพนัน ส่งผลให้เขาเป็นหนี้มากมายจนเจ้าหนี้มาตามถึงท
เสิ่นหยินอู้ไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น แต่ด้วยการคะยั้นคะยอของโจวชวงชวง เธอจึงต้องจำใจดื่มนมจนหมดและกินแซนด์วิชไปสองสามคำ โจวชวงชวงเห็นว่าเธอกินไม่ลงแล้วจริงๆ เธอจึงไม่บังคับหยินอู้อีก หลังจากที่เธอเอาขยะไปทิ้งแล้วเธอก็กลับมานั่งลง “เป็นยังไงบ้าง? ดีขึ้นมากแล้วสินะ?” "อืม" โจวชวงชวงกระแอมออกมาเบาๆ แล้วถามว่า “ถ้างั้น วันนี้เรากลับก่อนดีไหม?” เสิ่นหยินอู้ไม่ได้พูดอะไร โจวชวงชวงกุมมือของเธอแล้วพูดอย่างหนักแน่นว่า "ไปกันเถอะ" "ก็ได้……" ตอนนี้เสิ่นหยินอู้ดูราวกับว่ากำลังหลงอยู่ในหมอก และต้องการใครสักคนที่จะมาช่วยและสนับสนุนเธอ ไม่ว่าเธอจะตัดสินใจอย่างไรก็ตาม เธอลุกขึ้นและเดินออกไปพร้อมกับโจวชวงชวง เมื่อผ่านมุมมุมหนึ่ง เสิ่นหยินอู้ก็ได้ยินเสียงคนกำลังเถียงกัน “แต่แม่ หนูชอบเขา” น้ำเสียงของเด็กสาวคนหนึ่งฟังดูเศร้ามาก “หุบปาก!” หญิงสาวคนนั้นตอบด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวและใจร้าย “แกพูดไร้สาระอะไร? แเม่บอกแกไปแล้วไม่ใช่หรอ? แกกำลังถูกมันหลอก เข้าจำไหม?” "แม่……" “หลังจากเรื่องวันนี้ แกไม่ได้รับอนุญาตให้ไปมาหาสู่กับมันอีก คนจนๆอย่างมันไม่คู่ควร
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ