ทางด้านอู๋เหริ่นชวน อู๋หมิ่นเยี่ยน เดินกลับมายังศาลาหลังน้อย แต่กลับไม่พบแม้เงาของทั้งหลัวเซียนและหูซื่อเยว่“สองคนนั่นไปที่ใดกัน” อู๋เหริ่นชวนนิ่วหน้า มองไปรอบๆ ก็ไม่พบแม้เงาของสองบุรุษ “จริงสิ ตำหนักฉางชุน จิ้งเทียนเคยอยู่ที่นั่นนี่นา บางทีพวกเขาอาจไปรอเราสองคนที่นั่นก็ได้ ศิษย์พี่ ไปกัน” ว่าแล้วประมุขน้อยหนุ่มก็พาศิษย์พี่ของเขามายังตำหนักฉางชุน ซึ่งอยู่ห่างจากตำหนักหวงหลันราวร้อยลี้ นึกไม่ถึงเลยว่า ระหว่างเดินผ่านสวนรุกขชาติ จะพบมือสังหารกลุ่มหนึ่ง เคลื่อนตะกายอากาศเข้ามา พร้อมกระบี่ครบมือเช่นนี้ “เสี่ยวชวน หนีไปก่อน ข้าจะต้านไว้เอง” อู๋หมิ่นเยี่ยนเรียกกระบี่หยกโลหิต อาวุธคู่กายของนางมาไว้ในมือ เหินกายเข้าต่อกรกับกลุ่มมือสังหารชุดดำ อำพรางใบหน้าอย่างไม่กลัวเกรง การต้องทำหน้าที่ปกป้องศิษย์น้องผู้ไร้พลังวิญญาณ ไร้วิชาเวทย์ยุทธใดมาตั้งแต่ยังเยาว์ ทำให้นางมีวิชากระบี่ล้ำเลิศไม่แพ้บุรุษ คมกระบี่รุกรับโรมรัน ร่างระหงเคลื่อนไหวรวดเร็ว เพียงปลายกระบี่ตวัดไปที่ผู้ใด มีหรือคนผู้นั้นจะรอดไปได้ เพียงไม่ถึงเค่อ มือสังหารกลุ่มนั้นก็ต่างลงไปนอนกองกับพื้นขณะที่อู๋เหริ่นชวนวิ่งหลบเลี่ยงการต่อ
สิ่งที่เขาทำ ผิดต่อเผ่าเซียนมากมายอย่างนั้นหรือ ตั้งแต่เมื่อร้อยปีก่อน ปรมาจารย์หรงอ้ายเสียนใช้พลังปราณทั้งหมด ทุ่มเทสร้างทุกสิ่งขึ้นแทนที่สิ่งที่เสียหายไปจากไฟสงคราม มิอาจลบความเกลียดชังฝังแน่นจากรุ่นสู่รุ่นได้เลยอย่างนั้นหรือ เหตุใดคนเผ่าเซียนจึงได้มีจิตใจคับแคบนัก ทั้งที่หลัวเฟิงเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อไฟสงคราม จนทุกอย่างลงเอยด้วยความหายนะ ทว่ากลับกล่าวโทษให้เป็นความผิดของเผ่ามารแต่ฝ่ายเดียว ช่างไม่ยุติธรรมเสียเลย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งเป็นเครื่องตอกย้ำว่า เขาไม่ควรอยู่ที่นี่อีกต่อไป น่าประหลาดที่หัวใจวิหคโลหิตคลุ้มคลั่งเมื่อแรก กลับสัมผัสความรวดร้าวในนัยน์ตาคู่นั้นได้ จากที่ต้องการจะฆ่าทุกชีวิตตรงหน้าให้สิ้น แผดเผาให้เป็นจุน นัยน์ตาแดงเจิดจ้าจึงอ่อนแสงลง ก่อนจะโฉบเอาร่างของหลัวเซียนบินลับหายไปฝ่ายอู๋หมิ่นเยี่ยนเหินกายตามมายังสวนรุกขชาติ เห็นศิษย์น้องกลายเป็นวิหคเพลิง ก็ยืนตะลึงจังงัง ความสับสนฉายชัดในแววตา ในที่สุดสิ่งที่ประมุขอู๋ลี่หมิง ความพยายามผนึกพลังวิญญาณบุตรชายด้วยชีวิตของฮูหยินอู๋ซินเยว่ ก็มิอาจหยุดยั้งพลังของจอมมารอู๋เซียงอี๋ในกายศิษย์น้องได้อีกต่อไป“แม่นางอู๋ เรารีบไ
“อย่าโทษตนเองเลย เจ้าก็เห็นว่าทุกสิ่งเกิดจากสถานการณ์บีบบังคับทั้งนั้น ทุกครั้งที่เจ้ากลายร่าง ล้วนเกิดจากความไม่ตั้งใจทั้งสิ้น” “แต่ข้าก็ฆ่าคนอีกแล้ว ข้าไม่อยากทำเช่นนั้นเลย” “หากเจ้าไม่ฆ่า หลัวฟั่นก็ต้องฆ่าเจ้า เจ้าไม่ผิดหรอกที่ปกป้องตนเอง” “หากวันหนึ่งข้าควบคุมตนเองไม่ได้ แล้วข้าทำร้ายคนที่ข้ารัก ทำร้ายท่านพ่อ ศิษย์พี่ ศิษย์น้อง ทำร้ายเจ้าขึ้นมาล่ะ ข้ามิต้องเสียใจไปตลอดชีวิตหรือ” “เช่นนั้น เราก็ต้องรีบกลับเคหาสน์พันดาวด้วยกัน จะต้องมีวิธีควบคุมจิตและพลังปราณของเจ้าได้แน่” “อึม เจ้าเองก็คงลำบากใจไม่น้อย ที่ต้องถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศต่อเผ่าของตนเองเช่นนี้” “ศิษย์น้องของข้าคงต้องการให้เป็นเช่นนี้มานานแล้วล่ะ ช่างเถอะ ใครจะคิดอย่างไรก็ช่าง” แม้ปากจะบอกว่าช่างเถอะ ทว่าปลายเสียงทุ้มกลับสั่นสะท้าน จนคนฟังสัมผัสได้ อดไม่ได้ต้องดึงหลัวเซียนเข้ามากอดไว้แนบกาย “เจ้าอย่าเสียใจไปเลย ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าเอง เชื่อใจข้า” “ได้ ข้าเชื่อใจเจ้า” หลัวเซียนหลับตาลงเบาๆ ซับเอาความอบอ
“ชอบหรือ” หลัวเซียนถาม เมื่อเห็นว่าอุ๋เหริ่นชวนดูจะสนใจกล้ามเนื้อเต็มแน่นบนเรือนกายทุกส่วนสัดของเขาเสียจริง “ข้าอยากมีแบบเจ้าบ้าง” “งั้นหรือ หากเจ้าได้ฝึกยุทธ ก็จะมีกล้ามเนื้อเช่นข้าแล้ว แต่ตอนนี้ ฝึกอย่างอื่นไปก่อนก็แล้วกันนะ” “อึม” ว่าแล้วคนอยู่ด้านล่างก็เป็นฝ่ายอ้าขาออก ให้อีกฝ่ายได้บดร่างแกร่งร้อนรุ่มเบาๆ เพียงร่างแกร่งสัมผัสกัน ก็กระสันจนยากจะเอื้อนเอ่ยแล้ว ไม่รู้ว่าฝนฟ้า หรือพายุรัก อะไรจะโหมกระหน่ำรุนแรงกว่ากัน เพราะหลังจากทั้งฝนฟ้าและพายุรักซาลง สองบุรุษก็ถึงกับหลับใหลไม่ได้สติ ทั้งยังโอบกอดร่างกันและกันอยู่เช่นนั้น... อู๋เหริ่นชวนลืมตาโพลง ดึงมือกลับอย่างรวดเร็ว ไม่เข้าใจตัวเองเลยว่า เหตุใดเพียงแค่ถ่ายเทพลังปราณให้คนตรงหน้า ห้วงคำนึงของเขาจึงโลดแล่นไปไกลถึงขั้นนั้นได้ เขาจะต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ ที่นึกอยากมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับหลัวเซียนกลางป่าเขาเช่นนี้ แม้หลัวเซียนจะตกยาก ไร้ที่พึ่งพา แต่เขาเองก็เป็นเซียนชั้นสูง คงไม่นึกอยากทำอะไรแบบนั้นหรอก
สตรีงามมีเพียงผ้านุ่งสีขาวเนื้อบางเบา วักน้ำล้างหน้า ลูบไล้เนื้อตัว หลังจากหลบลี้หนีความวุ่นวายมาตลอดทั้งวัน ได้อาบน้ำเย็นสดชื่นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน หากความสดชื่นก็อยู่กับนางได้ไม่นาน เมื่อจู่ๆ ผืนน้ำรอบกายก็พลันกระเพื่อมไหวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่น้ำใสไหลเย็นเมื่อแรกจะแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาดฉานดุจโลหิต ครู่ต่อมา สตรีงามก็รู้สึกคล้ายมีมือที่มองไม่เห็นเอื้อมมาดึงขานางให้จมดิ่งลงไปใต้ผืนน้ำ “คุณชายหู หูซื่อเยว่ ช่วยข้าด้วย!” นางตะเกียกตะกายเอาตัวรอด ความตกใจพาให้ลืมคาถาทุกบทไปเสียสนิท กระบี่คู่กายรึก็วางอยู่บนฝั่ง จะใช้กระบี่จัดการกับมือประหลาดใต้น้ำนั้น แล้วขี่กระบี่ขึ้นจากน้ำก็ไม่ได้เสียแล้ว “ช่วยข้าด้วย!” นางตะโกนสุดเสียงอีกครั้ง ก่อนจะถูกดึงร่างให้จมดิ่งลงมา สัมผัสได้ถึงน้ำมากมายทะลักเข้าปากและจมูก หายใจติดขัด ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตนเองจะต้องจมน้ำตายเพียงลำพังเช่นนี้ ขณะที่อีกด้านหนึ่ง หูซื่อเยว่เพิ่งจะวางหัวมันเผาลงข้างตัว ครั้นได้ยินเสียงร้องของอู๋หมิ่นเยี่ยนดังมา ก็คว้ากระบี่มาไว้ในมือ แล้วเหินกายตามไปอย่างรวดเร็ว
เห็นคนบอกว่าจะรับผิดชอบเงียบไปเฉยๆ แล้ว อู๋หมิ่นเยี่ยนก็ได้แต่จ้องหน้าอีกฝ่ายงงๆ ว่า เกิดอะไรขึ้นกันแน่ นางไปพูดอะไรผิดหูคนฟังเข้าหรือเปล่านะ “ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ” “เปล่า ไม่มีอะไร” “ต้องมีสิ ทุกทีข้าเห็นท่านพูดมาก เอ่อ... ร่าเริงออกจะตายไป อย่าบอกนะว่า ท่านโกรธที่ข้าไม่ให้ท่านรับผิดชอบน่ะ” “ข้าถือสิทธิ์อะไรไปโกรธเจ้ากัน” ยิ่งพูด ก็ยิ่งฟ้องว่า เขาคงโกรธนางจริงๆ เสียด้วย แต่จะไม่ง้อ ก็เกรงว่าคนแก่ขี้ใจน้อยจะน้อยใจไปกันใหญ่สิน่า “ใช่ๆ ท่านไม่มีสิทธิ์อะไรให้ถือหรอก ที่จริง ที่ข้าไม่อยากให้ท่านรับผิดชอบอะไร ไม่ใช่เพราะเรื่องอายุของท่านหรอกนะ เพียงแต่ข้าไม่อยากผูกมัดท่านเอาไว้เท่านั้น ท่านเป็นถึงเซียนกระบี่เชียวนะ ส่วนข้าเป็นแค่เด็กกำพร้าคนหนึ่ง หากไม่ได้ประมุขอู๋รับอุปการะ ไม่มีเสี่ยวชวน ข้าก็ไม่มีญาติที่ไหนอีกแล้ว” “เช่นนั้น หากเจ้ามองข้ามเรื่องอายุของข้าไปแล้ว หากเจ้าไม่รังเกียจ ข้าก็พร้อมจะดูแลเจ้า เป็นครอบครัวของเจ้า ให้ข้าได้รับผิดชอบเจ้าเถอะนะ” ไม
หลังจากอู๋เหริ่นชวนพาอาจารย์ของพวกเขาออกไปเดินเล่นในตลาดแล้ว ซานไป๋จึงเอ่ยกับสหายทั้งสองเบาพอให้ได้ยินทั่วกันว่า “พวกเจ้าว่า ระหว่างประมุขน้อยกับอาจารย์ มันยังไงกันแน่” “นั่นสิ มู่เฉิน เจ้าว่าอย่างไร” จิวยี่หันมาถามความเห็นจากสหายบ้าง “พวกเจ้าก็เห็นแล้วนี่ว่า อาจารย์ของพวกเรา พบสหายรู้ใจเพียงหนึ่งเข้าแล้ว ตอนพวกเราต้องคำสาป ถูกขังอยู่ในคุกนั่น คงพลาดอะไรไปมากมายทีเดียว” “อึม” ซานไป๋กับจิวยี่พยักหน้าเห็นด้วย “เอาล่ะ อย่ามัวสงสัยเรื่องของอาจารย์อยู่เลย บะหมี่มาแล้ว” เมื่อเห็นว่าเสี่ยวเอ้อร์ยกบะหมี่มาวางบนโต๊ะแล้ว ศิษย์ทั้งสามจึงหันมาสนใจกับอาหารตรงหน้าแทน ระหว่างจูงมือบุรุษเซียนเดินมาตามท้องถนน ผู้คนขวักไขว่เดินสวนกันไปมา มองพ่อค้าแม่ค้าร้องเร่ขายของกิน เสื้อผ้า อยู่นั้น พลันสายตาของประมุขน้อยหนุ่มก็ไปปะทะเข้ากับคนคุ้นตาผู้หนึ่ง “ดูเหมือนข้าจะพบคนรู้จัก จิ้งเทียน ไปกัน” หากแต่คราวนี้ อู๋เหริ่นชวนมิได้รีบร้อนลากเขาเข้าไปหาคนคุ้นตานั้น เมื่อเดินเข้าไปใกล้ จึงรู้ว่า คนคุ้นตาผู้นั้นคือ “
“เพราะอย่างนั้นน่ะสิ ลูกข้าจึงไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่เช่นนี้ เอาเถอะในเมื่อท่านเห็นเสี่ยวชวนเป็นสหาย ข้าก็จะเห็นท่านเป็นลูกชายอีกคนเช่นกัน ข้ามีเรื่องจะคุยกับเสี่ยวชวนสักหน่อย เว่ยหนิง เจ้ามาพอดี ช่วยพาจิ้งเทียนไปพักที่ห้องพักแขกทีนะ” “ขอรับ” อู๋เว่ยหนิง ผู้ติดตามใกล้ชิดของประมุขพรรคมาร วัยไล่เลี่ยกับอู๋อี่เจ๋อ รูปร่างสูงใหญ่ ผิวเนื้อสองสี ดวงหน้าเหี้ยม ทว่าริมฝีปากและดวงตากลับแตะแต้มด้วยรอยยิ้มอยู่เป็นนิจประสานมือรับคำ ความที่อุ๋เหริ่นชวนทำหน้าที่ผู้นำทางของหลัวเซียนมาตลอด จึงไม่ไว้ใจอู๋เว่ยหนิงมากนัก จึงรีบกำชับออกไปว่า “ท่านพี่เว่ยหนิง อย่าเดินเร็วนักล่ะ เขายิ่งมองไม่เห็นอยู่ด้วย” “อย่าห่วงไปเลยน่า เจ้าอย่าลืมสิว่า เว่ยหนิงเป็นหลานท่านอาวุโสเว่ยฉุนเชียวนะ” ประมุขพรรคมารโลหิตหมายถึง “อู๋เว่ยฉุน” อดีตหมอยายอดฝีมือคนก่อน แม้ผู้อาวุโสท่านนั้นจะดวงตาพิการแต่กำเนิด แต่ก็มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในการรักษาโรคด้วยวิธีการฝังเข็ม จัดกระดูก “ข้าลืมไป เช่นนั้นข้าก็วางใจ ท่านพี่รีบพาเขาไปพักเถอะ”
เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ค่ายกลในเจดีย์ก็พลันหยุดทำงาน พร้อมๆ กับคนจากเผ่ามนุษย์คนสุดท้าย จบชีวิตลง ภายใต้คมกระบี่กรีดฟ้าเช่นกัน“เอาล่ะ ไม่มีผู้ใดรบกวนท่านแล้ว ซ้ำค่ายกลก็หยุดทำงานแล้ว เรามาคัดคัมภีร์กันเถอะ”หลัวจุ้นซินเสกกระดาษ พู่กัน และหมึกออกมาจากทั้งสองมือ ทั้งยังเสกโต๊ะเขียนหนังสือพร้อมเก้าอี้ขึ้นมาด้วยอู๋เหริ่นชวนยิ้มน้อยๆ หัวเราะเบาๆ ยามหย่อนกายลงบนเก้าอี้ ถือพู่กันไว้ในมือ จรดลงกับกระดาษนิ่งนึกอยู่ครู่ก็เขียนตัวอักษรลงไปเพียงอักษรตัวแรกปรากฏบนกระดาษ ปลายกระบี่กรีดฟ้าก็พุ่งมาพาดบนคอของประมุขน้อยหนุ่ม“ท่านจะทำอะไร”“ข้าต้องแน่ใจสิว่า เจ้าจะไม่แพร่งพรายเนื้อหาในคัมภีร์แก่ผู้อื่นอีก”“ท่านไม่ต้องห่วงหรอก หากข้าให้คัมภีร์แก่ท่านแล้ว ข้าจะฆ่าตัวตายเอง เก็บกระบี่ของท่านเสียก่อนเถิด หากข้าตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ เขียนข้อความผิดขึ้นมาจะทำอย่างไร”นั่นละ หลัวจุ้นซินจึงต้องสอดกระบี่เก็็บ็บเข้าฝักประมุขน้อยหนุ่มจึงจรดพู่กันเขียนข้อความต่อไป บทแล้วบทเล่า ยื้อเวลาให้ถึงยามห้าย การคัดคัมภีร์จึงเสร็จสิ้นลง“เอาล่ะ ข้าคัดเสร็จแล้ว เชิญท่านฝึกวิชาในคัมภีร์บทนี้ได้เลย”หลัวจุ้นซินรับกระดาษมากมายม
“ที่ทุกท่านมาถึงเขาเซียนกู่แห่งนี้ คงเพราะเห็นข้ากลายร่างเป็นวิหคโลหิตในวันรับตำแหน่งของท่านประมุขหลัว หลายท่านคงมาเพราะคัมภีร์มหาเวทย์ในหัวข้า ข้าคิดใคร่ครวญมาตลอดทั้งคืนแล้ว ว่าควรจะให้คัมภีร์แก่ใครดี แล้วข้าก็คิดขึ้นมาได้ว่า ในฐานะที่ประมุขหลัวจุ้นซิน เป็นประมุขเผ่าเซียน เขาสมควรได้รับคัมภีร์มหาเวทย์นี้”สิ้นคำประกาศก้องนั้น เซียนยุทธทั้งหลายดูจะไม่ประหลาดใจสักเท่าไหร่ตรงกันข้ามกับคนเผ่ามนุษย์ที่ต่างมองหน้ากัน สนทนากันเบาๆ สีหน้าและแววตาบ่งบอกถึงความไม่พอใจอย่างชัดแจ้ง“คัมภีร์มหาเวทย์เป็นของเผ่ามนุษย์ เจ้าจะให้คนเผ่าเซียนครอบครองได้อย่างไร” ชายวัยกลางคน หน้ากระดูกจากพรรคหวันซา ต่อว่าขึ้น“นั่นสิ เจ้าควรจะคืนคัมภีร์มหาเวทย์ให้เผ่ามนุษย์ แล้วฆ่าตัวตายไปซะ คัมภีร์จะได้ไม่ตกถึงมือผู้ใดอีก” ชายร่างกำยำ ดวงตาสามเหลี่ยมจากพรรคเหม่ยลี่ต่อว่าขึ้นบ้าง“ใช่ๆ” คนของแคว้นไป่ลี่เองก็เห็นด้วยกับคนเผ่าเดียวกันเช่นกัน“ข้าตัดสินใจแล้ว หากข้าไม่มอบคัมภีร์ให้ประมุขหลัว ท่านว่าจะเป็นเช่นไร ข้าเป็นคนเผ่ามาร ย่อมไม่อยากให้เกิดสงครามขึ้นระหว่างเผ่ามารกับเผ่าเซียนอีกเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน แต่คัมภีร์
“ยามนี้คงไม่มีเรื่องใดสำคัญไปกว่าคัมภีร์มหาเวทย์แล้ว ท่านเจียงเหวินขอรับ ก่อนนักพรตผู้นั้นจะให้ข้าท่องคัมภีร์มหาเวทย์ไว้ แล้วทำลายมันทิ้ง ท่านเคยบอกข้าว่า หากคัมภีร์นี้ตกอยู่ในมือของคนชั่วช้า ใจอัมหิต ยุทธภพ หรือแม้แต่เซียนภพย่อมลุกเป็นไฟ ข้าจึงกังวลว่า จะทำเช่นไรดี จึงจะไม่ทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น หากข้าให้ท่านประมุขจุ้นซินได้คัมภีร์ไปก่อนผู้อื่น เจ้าสำนักอื่นๆ ย่อมไม่พอใจเป็นแน่ ท่านว่า ข้าควรทำเช่นไรดีขอรับ แม้ข้าจะอ่อนอาวุโส ทั้งยังไร้ฝีมือ แต่ข้าก็ไม่ปรารถนาจะให้สงครามดังเมื่อร้อยปีก่อนเกิดขึ้นอีก”“ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล”“ขอรับ ข้าไม่เพียงอาศัยคำพูดลอยๆ หลังจากแยกย้ายกันที่เจียงอู่ ข้ามาอยู่ที่เซียนกู่ ตามสัญญาสันติภาพระหว่างสองเผ่า ท่านเจ้าสำนักคงไม่รู้ว่า หลัวเซียนถูกทำร้ายในงานวันประลองยุทธของสำนักเซียนเอง ข้าจึงต้องพาเขาหลบหนีไปยังเผ่ามนุษย์ นึกไม่ถึงเลยว่า จะพบนักพรตท่านนั้น และได้คัมภีร์มหาเวทย์มา นับจากนั้น พรรคหวันซา พรรคเหมยลี่ คนของแคว้นไป่ลี่ก็ล้วนแล้วแต่ตามล่าข้ากับหลัวเซียนเพื่อสิ่งนี้ ที่พวกเขามายังเซียนกู่ ก็คงเพื่อแย่งชิงคัมภีร์มหาเวทย์ ยามนี้ ดูท่าแล้ว ปร
ขณะเดียวกัน หลัวจุ้นซินเองก็กำลังจับจ้องเจดีย์ขังมารในอุ้งมือด้วยแววตาเหี้ยมเกรียม อยากรู้นักว่าป่านนี้ ศิษย์พี่ของเขาจะมีสภาพเป็นเช่นไรแล้ว บอกตนเองเช่นนั้นแล้ว ประมุขเผ่าเซียนก็ร่ายคาถาตามที่ได้รับสืบทอดมาจากท่านอาจารย์ “...เทียน ชื่อเต้า ตี้ชื่อเต้า หยิน ชื่อเต้า หยาง ชื่อเต้า เก๋ย หว่อ ซื่อ โหยว…” ไม่ว่าจะท่องอีกสักกี่หน ประตูเจดีย์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเปิดออก หรือเขาจะจำผิด… ไม่สิ เขาเข้าไปในหอคัมภีร์ คัดลอกคาถาบทนั้นด้วยลายมือตนเอง จะผิดพลาดได้อย่างไร เช่นนี้แล้ว หากหลัวเซียนตายไปแล้ว เขาจะเข้าไปดูดซับเอาปราณเซียนได้อย่างไร เหตุใดสวรรค์จึงกลั่นแกล้งเขา ด้วยเรื่องบัดซบเช่นนี้ได้ ขณะเดียวกัน หลัวเซียนปรือตาขึ้นช้าๆ พบว่า รอบกายของเขายังคงว่างเปล่า แสงจากตะเกียงจุดสว่างจากทุกมุมภายในเจดีย์ บอกให้รู้ว่า บัดนี้กลไกต่างๆ ได้หยุดทำงานแล้ว เมื่อหยัดกายลุกขึ้น จึงไม่มีพลังเวทย์วารีพุ่งเข้ามาทำร้ายเขาอีก พลันบุรุษเซียนก็ต้องเบิกตากว้างขึ้น ริมฝีปากหยักได้รูปเผยอขึ้นน้อยๆ เมื่อพบเงาร่างของบุรุษผู้หนึ่งปรากฎขึ้นตรงหน้าจากเลือนราง ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ที่น่าประหลาดก็คือ หางเป
“มีสิ อันที่จริง ข้าก็มิได้ห่วงใยเขาเท่าไหร่หรอก เพียงเวทนาที่เขาดวงตาพิการเท่านั้น เรื่องคัมภีร์มหาเวทย์ ข้าให้ท่านได้อยู่แล้ว จะว่าไปข้าก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร สู้ให้คนที่คู่ควรยังดีซะกว่า ส่วนศิษย์พี่ของท่าน ท่านอยากทำอะไรก็ตามใจเถอะ ข้าจะไม่ยุ่ง” “ไม่คิดว่า ประมุขน้อยจะเฉลียวฉลาด รู้จักรักษาตัวรอดเช่นนี้”“แน่อยู่แล้ว ชีวิตน้อยๆ ของข้าเพิ่งจะลืมตาดูโลกได้เพียงสิบกว่าปีเท่านั้น ใครเล่าจะอยากตายก่อนวัยอันสมควร ขอเพียงท่านดูแลข้าเป็นอย่างดี ระหว่างที่ข้าอยู่บนเขาเซียนกู่ คัมภีร์มหาเวทย์ก็จะตกเป็นของท่านทันที”แม้จะระแวงอู๋เหริ่นชวนอยู่ แต่ความอยากได้คัมภีร์มหาเวทย์นั้นมีมากกว่า เมื่อเดินทางมาถึงเขาเซียนกู่ เขาจึงจัดให้ประมุขน้อยหนุ่มพักที่เรือนรับรอง มีการเฝ้ายามแน่นหนา ป้องกันมิให้เซียนยุทธ ชาวยุทธทั่วหล้าเข้ามาช่วงชิงคัมภีร์มหาเวทย์ได้ทว่าสำหรับหลัวเซียนกลับตรงกันข้าม เพียงเดินทางมาถึงก็ถูกจำขังในเจดีย์ขังมารเจดีย์ขังมารเป็นเจดีย์เจ็ดชั้น หลังคาทรงเก๋งจีน ลดหลั่นกันลงมา สามารถเพิ่มลดขนาดได้ตามใจผู้ใช้ ถือเป็นของวิเศษประจำเผ่าเซียนเลยก็ว่าได้ ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องกว้าง ชั้นล่า
พร้อมกับคำพูดนั้นของหลัวเซียน หูซื่อเยว่ อู๋หมิ่นเยี่ยนก็เดินเข้ามาสมทบ “ศิษย์พี่ สหายหู ท่านได้ยินหมดแล้วใช่หรือไม่”อู๋หมิ่นเยี่ยนพยักหน้าแทนคำตอบ “ท่านประมุขโปรดวางใจเถอะ ข้าจะไม่ปล่อยให้สหายอู๋กับจิ้งเทียนได้รับอันตรายอย่างแน่นอน” หูซื่อเยว่ให้คำมั่น เห็นเซียนกระบี่อาวุโสยื่นมือเข้าช่วยอีกแรงแล้ว อู๋ลี่หมิงก็ค่อยวางใจ เมื่อเตรียมการรับมือไว้แล้ว ประมุขอู๋ลี่หมิงจึงมิได้ประหลาดใจกับการมาของหลัวจุ้นซินเลยแม้แต่น้อย แม้จะต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้มาก่อนก็ตามขณะที่หลัวเซียนเอง ยังคงแสร้งตาบอดต่อไป เพื่อลอบดูท่าทีของศิษย์น้องเช่นกันดูเหมือนยามนี้ ท่าทีของหลัวจุ้นซินจะเต็มไปด้วยการเสแสร้งเสียมากกว่าจริงใจ “ข้านึกอยู่แล้วว่า ท่านประมุขจะต้องยึดถือคุณธรรมเป็นที่ตั้ง ยอมมอบตัวศิษย์พี่กับประมุขน้อยให้ชาวยุทธทั้งสามเผ่าแต่โดยดี ท่านโปรดวางใจเถอะ อย่างไร ข้าจะต้องสืบสวนเรื่องนี้ คืนความเป็นธรรมให้ประมุขน้อยอย่างแน่นอน” ดูเหมือนหลัวจุ้นซินผู้นี้ จะมิได้พูดถึงความเป็นธรรมของศิษย์พี่ตนเลยแม้แต่การเสแสร้งก็ไม่อาจละเว้นหลัวเซียนได้เลยจริงๆ สายตายามลอบมองมาทางหลัวเซียนรึก็เต็มไปด้วยความสาสมใจ
ขณะที่การประชุมกำลังดำเนินไปนั่นเอง ชาวยุทธกลุ่มหนึ่งจากเผ่ามนุษย์ก็ถูกเชื้อเชิญเข้ามา“คารวะท่านประมุข” บุรุษวัยประมาณห้าสิบต้นๆ ผู้หนึ่ง แต่งกายคล้ายนักพรต เรือนผมแซมหงอก หนวดเครายาว ดวงตาสามเหลี่ยม ประสานมือคารวะนอบน้อม เบื้องหลังของเขา มีชาวยุทธแต่งกายแตกต่าง บ่งบอกว่ามาจากต่างสำนักยืนแถวตอนเรียงสี่เป็นระเบียบ ทำการคารวะ ค้อมกายเล็กน้อย ในลักษณะเดียวกันเมื่อมีผู้มาเยือนมากมายเช่นนี้ โถงรับรองของตำหนักหวงหลัน จึงดูแคบไปถนัดตา“ทุกท่านคงมาจากต่างสำนักกันใช่หรือไม่” หลัวจุ้นซินแย้มริมฝีปากน้อยๆ เลื่อนสายตาจ้องหน้าผู้มาเยือนด้วยไมตรี“ขอรับ ข้าได้รับประกาศจากท่านประมุขแล้ว จึงเห็นว่า ควรนำผู้ได้รับความเดือดร้อนจากหลัวเซียน และอู๋เหริ่นชวนมาที่นี่”“เดือดร้อนหรือ… ไม่ทราบว่าทุกท่านได้รับความเดือดร้อนเรื่องใดกัน”“หลายเดือนก่อน หลัวเซียนและประมุขน้อยพรรคมารได้หลบหนีเข้าไปในเผ่ามนุษย์ แย่งชิงคัมภีร์มหาเวทย์ คัมภีร์สำคัญของเผ่ามนุษย์ไป”“มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นด้วยหรือ” หลัวจุ้นซินถึงกับผุดลุกจากเก้าอี้ นึกไม่ถึงเลยว่าอะไรๆ จะมาบรรจบกันอย่างประจวบเหมาะเช่นนี้ อย่างน้อยก็มีศัตรูของหลัวเซ
เพิ่งรู้ว่า บุรุษเซียนคนเดิมผู้มิใช่หนุ่มน้อยอ่อนแอในโอวาทของเขาคืนกลับมาแล้วก็ในยามนี้เอง ความตระหนกพาให้ประมุขน้อยหนุ่มเบิกตากว้าง ริมฝีปากอ้าค้าง เป็นโอกาสให้คนตรงหน้าสอดปลายสัมผัสเข้าไปลิ้มรสความหอมหวานจากโพรงปากเล็กกว่าเสียอีก คนถูกรุกแบบไม่ทันตั้งตัวจึงเผลอครางแผ่วอย่างพออกพอใจ รอให้อีกฝ่ายถอนริมฝีปากออกไปแล้ว จึงเอาคืนด้วยการยื่นหน้าเข้าไปขบเม้มตรงติ่งหูของอีกฝ่ายเบาๆ “พอเถอะ” หลัวเซียนร้องห้ามเสียงสั่น แทนที่จะห้ามอีกฝ่ายไม่ให้รุกคืบหนักข้อเข้า กลับเป็นการเชิญชวนเสียนี่ “เสี่ยวชวน”“อะไร” ประมุขน้อยหนุ่มงึมงำ ลากเลื่อนเรียวลิ้นลงมาวนเวียนตรงลำคอของเขาอย่างเอาใจ “เดี๋ยวผู้อื่นมาเห็นเข้า” แทนที่จะหยุด ประมุขน้อยหนุ่มเพียงกะพริบตา ประตูห้องยาก็ปิด ซ้ำยังลงกลอนเอง ไม่เพียงเท่านั้น เขายังพลิกฝ่ามือร่ายอาคมกำกับไว้อีกต่างหาก “เท่านี้ก็ไม่มีผู้ใดเห็นแล้ว ต่อให้เจ้าร้องดังแค่ไหน ก็ไม่มีใครได้ยินด้วย” อู๋เหริ่นชวนยิ้มยั่วเย้า คิดจะแกล้งอีกฝ่ายเล่นเท่านั้น นึกไม่ถึงเลยว่า เพียงหลัวเซียนพลิกวาดฝ่ามือในอากาศไม่กี่ครั้ง เสื้อผ้าของประมุขน้อยเช่นเขา จะรูดลงไปกองที่พื้น โดยเจ้าตัวไม่
เงียบ ไร้เสียงตอบกลับมา สังหรณ์ใจแล้วว่า ตนเองคงถูกประมุขน้อยหนุ่มแกล้งเข้าให้แล้ว จึงเดินออกมาจากห้องน้ำ ทั้งที่มีเพียงผ้าเช็ดตัวพันกายท่อนล่าง นึกไม่ถึงเลยว่า คนที่เขาเรียกหาเมื่อครู่ จะเดินมาหยุดยืนอยู่ทางด้านหลัง พร้อมกับสวมเสื้อตัวใหม่ให้ ผูกสายรัดเอวให้เรียบร้อย แล้วจัดการดึงผ้าเช็ดตัวพันกายออกให้เสียด้วย “เจ้าเอาเสื้อผ้าข้าไปหรือ”“ใช่แล้วจะทำไม ข้าหายไปตั้งหลายวัน ลืมแล้วหรือว่า ใครต้องดูแลเจ้าน่ะ”“เจ้าไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ เมื่อก่อนเจ้าก็สอนให้ข้าทำโน่นทำนี่เองไม่ใช่หรือ แม้แต่หาอาหาร เจ้าก็ยังให้ข้าเป็นคนไปหามาให้เจ้ากินเลย” นึกถึงการใช้ชีวิตระหกระเหิน ไม่รู้เหนือใต้กลางป่าเขาแล้ว หลัวเซียนก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ตนเองผ่านมันมาได้อย่างไร วันใดสมาธิไม่มั่นคง ดวงตาที่สามปรากฎภาพไม่ชัดเจน เมื่อต้องออกหาอาหารเพียงลำพัง บ่อยครั้งมีสะดุดรากไม้ล้มหน้าคะมำบ้าง ยามหาผลไม้ ถูกมดแดงรุมกัดตามเนื้อตัวบ้าง แต่เขาก็ผ่านมันมาได้ โดยไม่เคยปริปากบอกแก่อู๋เหริ่นชวนเลยแม้แต่คำเดียว เพราะรู้ว่ายามนั้น ประมุขน้อยหนุ่มเองก็ไม่ต่างจากเขา คนหนึ่งพลังวิญญาณน้อยนิดจนแทบสูญสิ้น ซ้ำยังตาบอดสนิทอี