“หากข้าตอบว่าไม่ ท่านจะปล่อยข้าไปหรือไม่เจ้าคะ” ชิงหนี่ว์เอ่ยถามเสียงอ่อน ท่าทางก้มหน้าเล็กน้อยแล้วช้อนตาขึ้นมองพี่ชายช่างน่าเอ็นดู หากไม่ติดว่าสั่งสมความผิดไว้มาก พี่ใหญ่อย่างเขาคงจะยอมปล่อยผ่าน
“ไม่!”
“เช่นนั้นก็ถามมาเถิดเจ้าค่ะ” นางจะพยายามตอบให้ตรงกับที่พี่ใหญ่อยากฟัง
“ชายที่มาส่งเจ้าเมื่อคืนเป็นใคร”
“เขาเป็นหลานชายของเถ้าแก่เนี้ยหยุนซือ ที่ร้านขายภาพวาดซือซือ ที่ข้ามักจะนำภาพวาดทิวทัศน์ไปขายให้เจ้าค่ะ” เรื่องวาดภาพบุรุษขายจะให้พี่ใหญ่ทราบไม่ได้ มิเช่นนั้นโทษคงเพิ่มขึ้น
“แล้วเหตุใดเจ้าถึงได้ดื่มสุราเมามายจนเขาต้องมาส่ง”
&nb
“เห็นตอนนั้นเจ้ากล่าวว่าอยากฝึกเขียนคำว่าแต่งชินอ๋อง พี่คิดว่าเจ้ายังเด็กไม่ได้เข้าใจลึกซึ้งอันใดกับคำนี้ แต่มาตอนนี้ เฮอะ...” ที่แท้เจ้าหมูน่าตายจ้องขโมยหัวผักกาดที่เขาเฝ้าฟูมฟัก ไม่รู้ว่าแท้จริงลอบเกี้ยวพาน้องเล็กลับหลังเขามานานเท่าใดแล้ว นางถึงได้คิดเข้าข้างเช่นนี้ “เรื่องในตอนนั้นข้ากล่าวไปเพราะความเป็นเด็กจริงๆ เจ้าค่ะ” เรื่องผ่านมานานถึงสิบปีแล้วท่านก็ควรลืมไปเสียบ้าง “เหอะ พี่ก็แค่เป็นห่วงเจ้าไม่อยากให้เจ้ามีชะตากรรมเดียวกับท่านแม่” จางชิงเทียนเค้นเสียงลอดไรฟัน ก่อนจะเบือนหน้าหนีไม่ยอมสบตาน้องสาวให้ใจอ่อนไหวละลายง่ายดายดั่งขี้ผึ้งลนไฟ “พี่ใหญ่ท่านอย่าได้กังวลเรื่องของชินอ๋องซื่อจื่อเกินไปเจ้าค่ะ หากสุดท้ายแล้วเขาทำร้ายจิตใจข้า ข้ายินดีท
“เจ้าค่ะ” ท่าทางออดอ้อนราวกับเด็กกลัวความผิดเมื่อครู่เลือนหายเหลือเพียงรอยยิ้มสดใสก่อนที่น้องสาวของเขาจะกึ่งวิ่งกึ่งเดินออกจากห้อง แม้จะกล่าววาจาไปกับน้องสาวเช่นนั้นแต่คุณชายจางที่บอกว่าจะออกไปหาสหาย แท้จริงแล้วเขากำลังมุ่งหน้าตรงไปยังจวนของท่านราชครูจาง “ชิงเทียน เป็นอย่างไรบ้าง เห็นลุงเจ้าบอกว่าเจ้าขอหยุดงานกับฮ่องเต้” “ข้ามิเป็นอันใดขอรับ ท่านปู่ท่านยังจำได้หรือไม่ขอรับที่เราเคยสนทนากันว่าจะหาซื้อทาสมาเลี้ยงดูและฝึกฝนให้แต่งเข้าเป็นเขยตระกูลจาง” คำกล่าวของหลานชายทำให้แววตาของท่านปู่วูบไหว “จำได้ มีอันใดหรือ”&
“พระองค์คงยืนฟังได้พักใหญ่แล้ว” “ขออภัยขอรับท่านปู่ ที่ข้าเสียมารยาท” หลังจากที่ฝากตัวเป็นหลานเขยแล้วชินอ๋องซื่อจื่อผู้นี้ก็เรียกขานและสนทนากับคนตระกูลจางราวกับคนในครอบครัวเดียวกัน “พระองค์ได้ยินก็ดีแล้ว จะได้ทราบว่าชิงเทียนรักและหวงแหนน้องสาวมากเช่นไร และเพราะเหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น” “ข้าทราบแล้วขอรับ ข้ายังยืนยันกับท่านปู่เช่นเดิมว่าข้ารักและหวงแหนชิงหนี่ว์ไม่ต่างจากพวกท่าน” แม้จะทราบว่าจางชิงเทียนหวงแหนน้องสาว แต่เขาก็ไม่คิดเลยว่าจะมีเบื้องหลังเช่นนี้ เพราะมีรอยแผลในจิตใจ บุรุษผู้นี้จึงห่วงใยน้องสาวมากถึงเพียงนี้ แต่จางชิงเทียนคงไม่ทราบเช่นกันว่าแท้จริงเขาก็มีความหลังคล้ายคลึงกัน นั่นคือแรงริษยาจากสตรีของบิดาทำให้มารดาต้องตายเช่นกัน&n
19 สตรีในดวงใจของท่านลุง พรึ่บ ชายชุดดำคุกเข่าลงตรงหน้าผู้เป็นนาย ก่อนจะยกมือปาดเหงื่อที่ชื้นเล็กน้อยบริเวณไรผม “ว่ามา” “ท่านราชเลขาฯ ซื้อตัวทาสไปเรียบร้อยแล้วขอรับ” 
“ตอนข้าเมา ท่านไปกล่าวใส่ไคล้อันใดข้าให้พี่ชายข้าฟังหรือไม่” “ข้ามิได้กล่าวอันใด แค่บอกกล่าวท่านราชเลขาฯ จางว่ายามเมามายเจ้าน่าเอ็นดูไม่น้อย” ‘โกหก หึหึ’ นางไม่ได้เมาเหตุใดจะไม่ได้ยินสิ่งที่เขากล่าวเตือนพี่ใหญ่ นำไปสู่ความระแวงที่ไม่รู้จบของจางชิงเทียน “ทำสีหน้าเช่นนั้นมิเชื่อหรือ” “ข้าเชื่อท่านก็ได้เจ้าค่ะพี่ชาย” คำกล่าวของนางทำให้องค์รัชทายาทแคว้นสือเจ้าชะงักไปเล็กน้อย มุมปากหยักยกยิ้ม ที่แท้สตรีผู้นี้มากเล่ห์ไม่น้อย “เหมาะสมแล้วๆ” นางเหมาะสมยิ่งกับบุรุษหน้าตายเช่นชินอ๋องซื่อจื่อ “เหมาะสมอ
“ว่านซือ ข้ามิได้ตาฝาดไปใช่หรือไม่” คำกล่าวของผู้เป็นลุงทำให้คุณหนูจางมองเถ้าแก่เนี้ยด้วยความประหลาดใจ “ท่านลุงรู้จักพี่หยุนซือหรือเจ้าคะ” “นางอยู่ที่นี่ นางมีนามว่าหยุนซือหรือ” พอได้ข่าวว่านางได้รับอนุญาตให้หย่าขาดจากสามี องค์หญิงหยุนว่านซือก็หายไปจากตำหนักที่ประทับ มิคาดคิดว่าจะอยู่ใกล้เขาเพียงนี้ “เจ้าค่ะ พี่หยุนซือเป็นเถ้าแก่เนี้ยของร้านซือซือ สตรีที่ข้าเคยกล่าวว่าอยากให้ท่านลุงได้ทำความรู้จัก” “ขออภัยทุกท่านนะเจ้าคะ แต่วันนี้ข้าไม่ใคร่สบายตัว อย่างไรเชิญทุกท่านกลับไปก่อนนะเจ้าคะ เสี่ยวเฉียงปิดร้าน” “เสี่ยวเฉียง ท่านคือองค์รัชทายาทแห่งแคว้นสือเจ้าหรือ” ท่านราช
“สุดท้ายราชบุตรเขยผู้นั้นก็ผิดคำสัญญาที่ให้ไว้ด้วยการพาสตรีอื่นเข้าจวน ฟางเส้นสุดท้ายขาดสะบั้นเมื่อฮูหยินรองชาวบ้านผู้นั้นใส่ไคล้ว่าองค์หญิงทำให้ตนต้องแท้งบุตร องค์หญิงหยุนว่านซือที่แม้จะไม่ได้รัก แต่ก็ให้เกียรติมาโดยตลอดไม่คิดจะอดทนอีกต่อไป นางเข้าวังขอฮ่องเต้ให้พระราชทานการหย่าขาดจากบุรุษผู้นั้น” “แล้วเช่นนี้ขุนนางจะยอมหรือเจ้าคะ” ราชบุตรเขยเป็นแม่ทัพ ย่อมส่งผลต่อความมั่นคงของบ้านเมือง “เพราะไม่ยอมจึงมีการยื่นฎีกาคัดค้านมากมาย” เขากล่าวพลางใช้นิ้วหยิบขนมที่ติดอยู่มุมปากนางมากิน ส่งผลให้ดวงหน้าหวานแดงก่ำด้วยความเขินอาย “แล้วพี่สาวหยุนซือ เอ่อ...องค์หญิงหยุนว่านซือทำอย่างไรเจ้าคะ” “นางไม่ได้ทำอันใด แต่เป็นฮ่องเต้เองที่ห่วงใยพระขนิษฐามาก
“ตอนนั้นท่านยังเอากระบี่พาดคอข้า...” ตายแล้ว นางลืมตัวกล่าวเรื่องราวในกาลก่อน “เมื่อครู่เจ้ากล่าวว่าอันใด” “ไม่มีอันใดเจ้าค่ะ” “จะว่าไปในคืนที่เจ้าเมาหลังจากที่เจ้าหลี่เฉียงส่งเจ้ากลับจวน เจ้าได้ทำอันใดหรือพบเจอใครอีก” “จื่อรั่วเล่าว่า พี่ชายใหญ่อุ้มข้าจากประตูจวนไปส่งที่เรือน” “จำอันใดได้อีก” นัยน์ตาดำหรี่มองอย่างจับผิด “พี่ชายใหญ่บ่นข้าเล็กน้อยก่อนกลับเรือนของตน หลังจากนั้นข้าก็หลับเจ้าค่ะ เรื่องอื่นข้าจำไม่ได้แล้ว ท่านถามเช่นนี้มีอันใดหรือเจ้าคะ” 
การแต่งฮูหยินที่เร่งรีบของท่านราชครู มีคนมากมายที่อาจจะสงสัยว่าเหตุใดท่านราชครูจางเหว่ยถึงได้เร่งรีบตบแต่งเถ้าแก่เนี้ยร้านขายภาพวาดซือซือเข้าจวนจาง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีข่าวลือว่าคบหากัน หรืออาจจะเป็นเพราะได้เห็นบทเรียนจากการเล่าลือเรื่องของคุณหนูสวี่ ที่จู่ๆ คนเหล่านั้นบังเอิญลิ้นขาดกลายเป็นคนพูดไม่ได้ แต่โชคดีหนึ่งในนั้นมีคนเขียนอักษรได้ จึงได้เขียนเตือนคนรอบตัวไม่ให้เล่าลือเรื่องราวเกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์หรือตระกูลที่ใกล้ชิดราชวงศ์ สุดท้ายจึงไม่มีใครกล้าเล่าลือหรือสงสัยถึงความเร่งรีบของท่านราชครู “พี่เหว่ย ท่านจะไม่เสียใจทีหลังห
ฮองเฮาพบปะสหาย ภายในจวนท่านราชเลขาฯจาง วุ่นวายไม่น้อยเมื่อมีผู้สูงศักดิ์มาเยือนโดยได้นัดหมายกันล่วงหน้า “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ” ชินอ๋องที่เพิ่งลงจากรถม้าแสดงความเคารพโอรสสวรรค์และฮองเฮา “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” พระชายาสกุลจางที่ลงรถม้ามาภายหลังทำความเคารพอีกฝ่ายเช่นกัน “ตามสบายเถิด พวกเจ้าเป็นสหายของเราใช้คำธรรมดาสามัญเถิด”
“เจ้าโอบอุ้มบุตรชายของเราให้แน่นๆ ส่วนเจ้าพี่จะจับให้แน่นๆ เอง” กล่าวจบเขาก็ใช้วิชาตัวเบาโอบอุ้มพานางและบุตรชายกลับตำหนัก ทันทีที่ถึงตำหนักโจวหลี่หมิงถูกส่งตัวให้ซานจี สาวใช้ประจำตัวคนใหม่ของนางที่ทางพระสวามีหามาให้ แน่นอนว่านางมิใช่สาวใช้ธรรมดา เพราะสตรีผู้นี้คือองครักษ์เงาที่ถูกฝึกมาอย่างหนักเพื่อดูแลดวงใจของท่านอ๋อง “นำไปซื่อจื่อไปมอบให้แม่นมแล้วเจ้าไปพัก ข้าจะดูแลพระชายาเอง” บุรุษที่ชื่นชอบการปรนนิบัติฮูหยินกล่าว “แงๆ” แม้จะดีดดิ้นเพียงใด แต่บุตรชายมีหรือจะต่อต้านบิดาได้ “ท่านพี่ หากลูกไม่อยากไป...” ไม่มีมาร
เรื่องเล่าหลังเป็นพระชายาของชิงหนี่ว์ ดวงตาเมล็ดซิ่งทอดมองผืนดินที่เขียวชอุ่มไปด้วยพืชผัก ที่ดินผืนนี้นางใช้เงินที่ได้จากการวาดภาพขายมาซื้อเก็บไว้ เพื่อสร้างรายได้ให้กับบ่าวรับใช้ผู้ภักดีทั้งสอง ก่อนหน้าที่นางจะแต่งเข้าตำหนักอ๋องไม่นาน นางก็จัดการให้จื่อรั่วและจื่อเป่าที่ความสัมพันธ์คืบหน้าไปอย่างรวดเร็วได้เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกันก่อนจะคืนสัญญาทาสแล้วให้ทั้งสองคนย้ายมาปลูกจวนอยู่บนที่ผืนนี้ “พระชายาท่านนั่งพักดื่มน้ำก่อนเถิดเพคะ รอแดดร่มลมตกค่อยออกไปเดินดูด้านนอก”&
“เช่นนั้นก่อนจะลงโทษน้อง ท่านพี่กินข้าวก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” “มิต้อง” กล่าวจบเขาก็รั้งนางเข้าไปแนบชิด มือใหญ่จับยึดคางเรียวเอาไว้ริมฝีปากร้อนกดลงบนกลีบปากบาง ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนางอย่างเอาแต่ใจ ในขณะที่มือช่วยปลดเปลื้องอาภรณ์ให้นางอย่างรวดเร็ว ช่างใจร้อนเสียจริง... ดวงหน้าหวานแดงก่ำด้วยความเขินอาย เมื่อพระสวามีของตนที่เพิ่งถอนจุมพิตเร่าร้อนเมื่อครู่ จับจ้องนางราวกับหมาป่าหิวกระหาย “น้องหญิงของพี่เลิศรสกว่าอาหารใดๆ” กล่าวจบเขาก็ช้อนเรือนร่างเปลือยเปล่าเข้าหลังฉากกั้น ว่ากันว่าฮองเฮาชื่นชอบการแช่น้ำร้อน ภายในตำหนักจึงมีบ่อน้ำร้อนขนาดใหญ่อยู่ติดห้องบรรทม 
ฮ่องเต้ผู้เด็ดขาดกับฮองเฮา (แค่บนเตียง) นัยน์ตาดำของบุรุษสูงศักดิ์จับจ้องใบหน้าของสตรีที่ตนรักอย่างไม่ละสายตา มือใหญ่ช่วยคีบอาหารใส่ชามให้นางอย่างเอาใจ “ท่านพี่กินบ้างเถิดเจ้าค่ะ อย่ามัวแต่คีบให้ข้าเลยเจ้าค่ะ” แม้ยามนี้ทั้งสอ
“เอ่อ...ท่านช่วยพาข้าลงจากหลังม้าได้หรือไม่เจ้าคะ” สิ้นเสียงนาง รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าไร้ที่ติแม้จะหล่อเหลาน้อยกว่าชินอ๋องซื่อจื่อ แต่ทว่าก็มีสตรีไม่น้อยที่ชื่นชอบบุรุษผู้นี้ หลังจากที่นางได้ขี่ม้าตัวเดียวกับบุรุษที่สตรีหลายคนหมายปอง นางก็มักจะเจอเขาที่เหลาอาหารหรือโรงเตี๊ยมอยู่บ่อยครั้ง เพราะไม่สบายใจกับสายตาจาบจ้วงของบุรุษในวันนั้นนางจึงไม่กล้าไปที่ร้านบะหมี่เนื้อของท่านป้าผู้นั้นอีก แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องแปลกหรือไม่ นางมักจะเจอท่านราชเลขาฯจางผู้นั้นอยู่บ่อยครั้ง วันนี้ก็เช่นกัน “ดูเหมือนเจ้าจะชื่นชอบการออกมากินข้าวนอกจวน มิทราบว่าพ่อครัวจวนหวังทำอาหารไม่อร่อยหรือ” เขามานั่งร่วมโต๊ะโดยที่นางไม่ต้องเชิญทุกครา จนกลายเป็นความเคยชิ
“ข้าอิ่มแล้วเจ้าค่ะ ได้โปรดยกเท้าที่เหยียบชายอาภรณ์ข้าด้วยเจ้าค่ะ” “เจ้ารู้หรือไม่ มีขอทานและคนยากจนที่ไม่มีแม้แต่ข้าวจะกิน หากคนพวกนั้นมาเห็นเจ้ากินเหลือเช่นนั้น พวกเขาคงตัดพ้อ พวกเขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้กินบะหมี่น้ำธรรมดา แต่เจ้าที่เป็นคุณหนูกลับกินทิ้งกินขว้าง กินเพียงคำสองคนไม่ถูกใจก็ทิ้ง จะว่าไปก็น่าสงสารชาวบ้านที่เขาทำปลูกพืชผักและเลี้ยงสัตว์นะ พวกเขาลำบากเพียงใดกว่าจะปลูกพืชผักและเลี้ยงสัตว์มาเพื่อเป็นอาหารให้พวกเราได้กิน...” “พอแล้วเจ้าค่ะ ข้ากินให้หมดก็ได้” คุณหนูหวังกล่าวก่อนจะนั่งลงตามเดิม มือเรียวหยิบตะเกียบมาคีบกินบะหมี่เนื้อที่ตนกินค้างไว้ พร้อมกับบะหมี่เนื้อที่เขาสั่งถูกนำมาให้พอดี มุมปากของเขาหยักยิ้มเมื่อเห็นท่าทางของนาง จางชิงเทียนกินบะหมี่เนื้อไปลอบมองสหายของน้องสาวไป เขาเพิ่งสังเกตว่าคุณหน
“ข้าเห็นเจ้าเดินออกจากโรงเตี๊ยมจึงเดินตามเพียงเท่านั้น” กล่าวจบสายตาของท่านราชเลขาฯ ก็จับจ้องดวงหน้าหวานที่มักจะส่งยิ้มให้เขาอยู่เสมอ แต่ทว่าวันนี้กลับบึ้งตึง “ท่านป้าเจ้าขา วันนี้ข้าต้องไปแล้ว ท่านมาเก็บโต๊ะเถิดเจ้าค่ะ คุณชายพวกนี้จะได้มีโต๊ะนั่งไม่ต้องมายืนจ้องผู้อื่นให้เสียมารยาทเช่นนี้” กล่าวจบนางก็วางเหรียญอีแปะลงบนโต๊ะก่อนจะเดินออกจากร้านไป ตั้งแต่ต้นจนจบนางไม่ทักทายเขาเช่นที่เคยทำ ต้องเป็นเพราะที่เขากล่าววาจาไม่ดีใส่นางในวันนั้นเป็นแน่ “ชิงเทียนเจ้ารู้จักคุณหนูผู้นั้นหรือ” “เจ้าชอบนางหรือ” “ใช่ ข้าอยากเกี้ยวพานาง ในเมืองหลวงนี้จะมีคุณหนูส