สองวันต่อมาเย่จิ้นหยางก็พาจางเสวี่ยฮุ่ยไปที่จวนราชครูทันที โดยอ้างเหตุผลว่านางคิดถึงมารดาตน เขาสงสารเกรงว่านางจะล้มป่วยหนัก จึงพามาเยี่ยมมารดาตน ครั้งนี้มีจางลี่อิงติดตามมาด้วยถัดมาอีกสองวัน เย่จิ้นหยางก็ส่งจดหมายแจ้งให้หลี่เยี่ยนเฉิน เสิ่นจื่อหลาง และฟางเจี๋ยมาพบกันที่โรงน้ำชาทันทีสถานที่นัดพบนี้เป็นโรงน้ำชาของฟางเจี๋ย ฟางเจี๋ยบอกว่าโรงน้ำชาของเขามีห้องลับสำหรับเก็บชาชั้นดีอยู่ อีกทั้งยังปลอดภัยไร้สายตาผู้คนยามนี้เป็นต้นยามจื่อผู้คนกำลังนอนหลับกันอย่างสบาย ภายในเมืองหลวงเงียบสงบ มีเพียงทหารยามเดินวนเวียนตรวจตราความเรียบร้อยเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น"อาเยี่ยน""ขออภัยที่มาช้าไปหน่อย"หลี่เยี่ยนเฉินหันไปเอ่ยกับเย่จิ้นหยางคราหนึ่ง เย่จิ้นหยางเพียงพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองฟางเจี๋ยและเสิ่นจื่อหลางที่กำลังนั่งดื่มชาอยู่"อาเจี๋ย ไม่คิดมาก่อนว่าโรงน้ำชาของเจ้าจะมีห้องลับเช่นนี้อยู่ด้วย"ฟางเจี๋ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มตาหยี"ย่อมต้องมีอยู่แล้ว ห้องนี้น่ะเอาไว้เก็บเอกสารสำคัญและใบชาชั้นดีเพื่อกันคนมาขโมย เมี่ยวเอ๋อร์เป็นคนสั่งให้ทำมันขึ้นมา""น้องสาวเจ้านี่รอบคอบใช้ได้ทีเดียว"เย่จิ้น
หลี่เยี่ยนเฉินที่กลับมาถึงจวน ยามนี้ก็พบว่าฟางเมี่ยวกำลังนอนเอนกายอ่านบทละครงิ้วอยู่บนเตียง"ฟางเมี่ยว""ท่านพี่ ท่านกลับมาแล้วหรือ โอ๊ะ"ฟางเมี่ยวไม่ทันระหวัง นางเซถลาจะล้มลง หลี่เยี่ยนเฉินจึงรีบก้าวเข้ามาคว้าจับตัวนางไว้ ยามนี้เสื้อผ้าของนางบางยิ่งนัก แทบจะมองเห็นเนื้อกายขาวผ่องอย่างชัดเจนอยู่แล้ว ฟางเมี่ยวหรี่ตามองหลี่เยี่ยนเฉินคราหนึ่ง"ท่านพี่ ท่านกลับมาช้านะเจ้าคะ"หลี่เยี่ยนเฉินมองดูภรรยาตนคราหนึ่ง ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ให้ตายเถิด!!! นางจะไม่ให้เขาพักเอวสักวันเลยหรือ?ช่างเถิด ภรรยาเสนอ เขาที่เป็นสามีที่ดีย่อมต้องสนอง เมื่อคิดได้เช่นนั้นหลี่เยี่ยนเฉินจึงถอดเสื้อผ้าของตนโยนลงไปกองที่พื้นทันที ฟางเมี่ยวยิ้มตาหยี แต่ทว่ายังไม่ทันที่นางจะได้โอบกอดเขา สามีตัวดีก็วางนางลงบนเตียงนอน ก่อนจะใช้มือรูดชักลำแท่งเอ็นร้อนของตน ก่อนจะปล่อยน้ำรักสีขาวขุ่นพุ่งกระฉูดมาถูกเส้นผมของนางจนเปียกชุ่มฟางเมี่ยวมองหลี่เยี่ยนเฉินตาขวาง ก่อนจะเอ่ย"ท่านพี่!!!""ขออภัยด้วยฮูหยิน แค่ข้าเห็นเจ้านอนอ่านตำราข้าก็แข็งสู้แล้ว พอเจ้าถอดเสื้อผ้าข้าก็ใกล้จะเสร็จพอดี จึงขอชักก่อน"ฟางเมี่ยวรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร
หนึ่งเดือนก่อนเขาส่งจดหมายไปที่แคว้นเหลียงไท่ เพื่อบอกจุดสำคัญที่สามารถบุกเข้าชายแดนได้ เรื่องนี้ท่านพ่อมาบอกเขาด้วยตนเอง เนื่องจากกำยานพิษออกฤทธิ์กล่อมประสาท หลอกถามอันใดเย่หมิงหล่างก็ตอบหมดความไว้ใจนี่มันเป็นเครื่องมือชั้นดีจริงๆด้านเสิ่นจื่อหลางนั้นก็ครุ่นคิดไม่ตก หลายวันก่อนฝ่าบาทเรียกเขาเข้าเฝ้า และบอกว่าหนึ่งเดือนก่อนที่ราชครูจางมาขอพบ ฮ่องเต้เย่หมิงหล่างจำไม่ได้ว่าตนเองเอ่ยสิ่งใดกับราชครูจางไปบ้าง คล้ายว่าเขาจะมีอาการมึนงง จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ต่อให้พยายามตั้งสติแต่ก็ไม่เป็นผล อาการเช่นนี้นานวันเข้าเริ่มจะทวีความรุนแรงจนเกินจะเยียวยาเสิ่นจื่อหลางยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย เขาคิดว่าฝ่าบาทอาจจะถูกวางยากล่อมประสาท แต่ทว่ากลับสืบหาต้นตอของพระอาการไม่พบ นั่นเป็นเรื่องที่น่าแปลกจวนราชครูนับว่ากระทำการแยบยลได้ดีทีเดียว!!!เย่จิ้นหยางร้อนใจไม่น้อย เขานัดหลี่เยี่ยนเฉิน เสิ่นจื่อหลาง และฟางเจี๋ยมาพบเพื่อหารือกับการรับมือในครั้งนี้ ยามนี้คนทั้งสามอยู่ในห้องลับของโรงน้ำชาของฟางเจี๋ย เย่จิ้นหยางเป็นคนเอ่ยขึ้นมาก่อน"อาเยี่ยน ศึกครานี้ใหญ่หลวงนัก ชายแดนของเราถูกยึดแล้ว แคว้นใหญ่น้อยต่างไม่
ผ่านมาร่วมหลายวัน หลังจากเตรียมการเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลี่เยี่ยนเฉินและบิดาของเขาก็นำกองทัพมุ่งหน้าออกไปสู้ศึกกับเหล่ากบฏ ฟางเมี่ยวมองตามกองทัพทหารนั้นไปจนลับสายตา นางถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะมุ่งหน้าไปที่ภัตตาคารโหยวเย่ว์ทันทีนางมาที่นี่เพื่อต้องการให้พ่อครัวที่ร้านทำอาหารมาแจกจ่ายชาวบ้านและผู้ลี้ภัยวันละสองมื้อ ส่วนที่มีคนมาซื้อก็ขายเช่นเดิม สงครามกำลังปะทุ เหล่าพ่อค้าต่างฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าสูงเป็นหลายเท่าตัว ราษฎรต่างอดอยาก บางคนล้มตายเพราะความหิวก็มีภัตตาคารโหยวเย่ว์เปิดโรงทานแจกข้าวต้มและอาหารวันละสองมื้อ คือมื้อเช้าและมื้อเย็น ฟางเมี่ยวส่งคนมาตรวจตราดูความเรียบร้อยทุกครั้ง เย่จิ้นหยางที่รู้เรื่องก็ส่งทหารมาดูแลความปลอดภัยเช่นเดียวกันฟางเมี่ยวปิดร้านค้าหลายสิบแห่งลง ด้วยเหตุผลว่ายามนี้สถานการณ์ย่ำแย่ การค้าขายไม่ดีเท่าแต่ก่อนแล้ว จำต้องปิดตัวลงชั่วคราวจนกว่าสงครามจะสงบ นางระแวดระวังตนเสมอ เพราะก่อนที่หลี่เยี่ยนเฉินจะจากไป ได้บอกกับนางว่าให้ระวังคนในเอาไว้ นางเองก็ไม่รู้ว่าคนในที่เขาว่านั้นคือผู้ใด แต่นางก็ระวังตามที่เขาบอกฟางเมี่ยวมองดูเหล่าชาวบ้านที่มารอรับอาหารแจกอยู่ท
ด้านหลี่เยี่ยนเฉินนั้น ยามนี้เขาเดินทางมาที่ชายแดนร่วมหกเดือนแล้ว ในสองเดือนแรกนั้นสามารถช่วยเหล่าราษฎรให้รอดพ้นจากไฟสงครามได้ไม่น้อยแต่ทว่ากองกำลังทหารของแคว้นเหลียงไท่แข็งแกร่งไม่ใช่น้อย อีกทั้งเหล่าทหารที่ชายแดนก็เหนื่อยล้าเต็มที จึงทำให้การต่อสู้ค่อนข้างลำบากไม่น้อย แต่ทว่าหลี่เยี่ยนเฉินและแม่ทัพใหญ่หลี่ผู้เป็นบิดาก็สามารถต่อสู้และยึดชายแดนกลับคืนมาได้อย่างอาจหาญ กองกำลังเหลียงไท่ยังคงทำทุกทางเพื่อบุกประชิดชายแดนอีกครา แต่ทว่าสิ่งที่สำคัญตอนนี้ก็คือต้องรักษาเหล่าทหารที่บาดเจ็บ และสร้างขวัญกำลังให้ราษฎรเสียก่อน“ท่านพ่อ พวกมันมากันอีกแล้ว”หลี่เยี่ยนเฉินเอ่ยกับบิดาของตนในขณะที่ยืนมองดูสถานการณ์อยู่ที่กำแพงเมืองชายแดน แม่ทัพใหญ่หลี่จ้องมองสถานการณ์เบื้องหน้าก่อนจะเอ่ย“ใช้แผนการเดิม”“ขอรับ”หลี่เยี่ยนเฉินพยักหน้ารับ ก่อนจะเตรียมการตามที่ผู้เป็นบิดาบอกเอาไว้ ตกดึกคืนนั้นเหล่าทหารของเหลียงไท่ก็บุกประชิดชายแดนอีกครา แต่ทว่ากลับแพ้ราบคาบ ตกตายกลางสนามรบที่ยามนี้กลายเป็นทะเลเพลิง เนื่องจากหลี่เยี่ยนเฉินโยนถังน้ำมันลงไปเบื้องล่างและยิงธนูไฟลงไป พื้นหญ้าที่เคยเขียวขจีบัดนี้กลายเป็นทะเลเพ
ด้านเย่จิ้นหยางนั้นเขากำลังวุ่นวายเป็นอย่างมาก เนื่องจากยามนี้กบฏเหลียงไท่กำลังจะนำกองทัพบุกเข้ามาถึงเมืองหลวงแล้ว พวกมันล้อมเมืองหลวงเอาไว้ เหล่าทหารต้าอู๋ที่เหลืออยู่เริ่มขาดขวัญกำลังใจ บ้านเมืองระส่ำระสาย ราษฎรต่างแย่งชิงอาหารกัน เหล่าชาวบ้านที่หนีตายจากนอกเมืองต้องการความช่วยเหลือ เขาจำเป็นต้องเปิดประตูเมืองรับผู้ยากไร้เข้าเมืองหลวง ทำให้เงินทองและเสบียงในท้องพระคลังขาดแคลนไปมิใช่น้อยเสิ่นจื่อหลางมีสีหน้าที่ไม่สู้ดีเท่าใดนัก เขาเอ่ยกับฮ่องเต้เย่หมิงหล่างด้วยน้ำเสียงที่ร้อนรน“ฝ่าบาท พวกมันบุกประชิดเมืองหลวงแล้วพ่ะย่ะค่ะ นี่ก็ร่วมหลายเดือนแล้วที่กองทัพของแม่ทัพใหญ่หลี่ไปที่ชายแดน อีกทั้งยังไม่อาจเดินทางกลับมาถึงเร็วๆ นี้เป็นแน่”ฮ่องเต้เย่หมิงหล่างพยักหน้าคราหนึ่ง ยามนี้ร่างกายของเขาอ่อนแรงไม่ใช่น้อย คาดว่าคงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน“รับไป ประตูเมืองเปิดเมื่อใดโจมตีได้ทันที”“ฝ่าบาทจะทรงใช้พวกเขาจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ”“อืม ยามนี้ข้าไม่รู้ว่าจะเก็บพวกเขาเอาไว้มอบเป็นของขวัญให้ใครแล้ว เย่หลงของข้าตายไปแล้ว เจ้ารับไปเถิด”“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”เสิ่นจื่อหลางรับตราพยัคฆ์มาถือเอาไว้ ฮ่องเต้เ
ตกดึกคืนนั้นในขณะที่ฟางเมี่ยวกำลังนอนหลับสนิทอยู่ ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากนอกเรือน นางเงี่ยหูฟังก่อนจะต้องขมวดคิ้วมุ่นคล้ายว่าจะเป็นเสียงผู้คนโห่ร้อง?ฟางเมี่ยวดีดกายลุกขึ้นจากเตียง นางไอออกมาคราหนึ่ง รู้สึกหายใจติดขัด เมื่อหันไปมองโดยรอบก็พบว่ายามนี้นอกจวนคล้ายเกิดเพลิงไหม้ เสียงผู้คนตะโกนก้องจนดังลั่น ฟางเมี่ยวตื่นตระหนกไม่น้อย นางรีบลุกขึ้นหวังจะไปเปิดประตู แต่กลับพบว่ายามนี้ประตูนั้นร้อนจนลวกมือของนาง"เมี่ยวเอ๋อร์ เมี่ยวเอ๋อร์!!!""ท่านแม่"ฟางเมี่ยวคล้ายได้ยินเสียงหลี่ฮูหยินร้องเรียก นางจึงรีบยกเท้าถีบไปที่ประตูทันที ก่อนจะพบกับหลี่ฮูหยินที่ยามนี้มีหน้าตาตื่นตระหนก เหงื่อไหลโซมกายอย่างน่าเวทนา เมื่อมองไปที่พื้นก็พบกับเหล่าสาวใช้ที่นอนตายเพราะถูกสังหารอยู่หลายสิบคน บาดแผลคล้ายถูกของมีคมฟันเข้าที่กลางแผ่นหลัง ฟางเมี่ยวยกมือขึ้นปิดปากตน ก่อนจะเอ่ย"ท่านแม่ เกิดสิ่งใดขึ้นเจ้าคะ?""มีโจรมาปล้นจวนเรา ไม่สิ ยามนี้เมืองหลวงกลายเป็นทะเลเพลิงไปแล้ว!!!"ฟางเมี่ยวหน้าถอดสี นางมองไปโดยรอบก็เห็นว่ามีคนล้มตายไปไม่น้อย ในใจพลันนึกห่วงจวนตระกูลฟางขึ้นมาทันที"เมี่ยวเอ๋อร์ พวกมันขนสมบัติ
ด้านเสิ่นจื่อหลางนั้น หลังจากที่ส่งกองกำลังทหารออกรบเรียบร้อยแล้ว เขาจึงหันมาเอ่ยกับทุกคนทันที“ข้าจะต้องไปจัดการกับขุนนางชั่ว พวกเจ้าหาที่หลบภัยก่อนเถิด”เขาเอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะนำทหารองครักษ์เสื้อแพรมุ่งหน้าไปที่วังหลวงวังหลวงยามนี้ฮ่องเต้เย่หมิงหล่างกำลังนั่งอยู่ที่บัลลังก์มังกรภายในท้องพระโรง โดยมีอวี้ฮองเฮานั่งอยู่เคียงข้าง เขาจับมืออวี้ฮองเฮาเอาไว้แน่น ดวงตาคมจ้องมองจางหยวนและบิดาของเขาที่ยืนอยู่พร้อมกับเหล่านักฆ่าชุดดำหลายร้อยนายด้วยแววตาที่เย็นชาจางหยวนยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะเอ่ยกับฮ่องเต้เย่หมิงหล่างอย่างดูแคลน“เย่หมิงหล่าง วันนี้คือวันตายของเจ้า ยามนี้กองกำลังทหารของเหลียงไท่บุกเข้ามาในเมืองหลวงแล้ว ทุกที่ในเมืองหลวงล้วนเป็นทะเลเพลิง หลานชายเจ้ายามนี้คงกำลังถูกศัตรูไล่ฆ่า แม่ทัพใหญ่ผู้มากฝีมือของเจ้าก็คงตกตายอยู่ในสนามรบที่ชายแดนหมดแล้ว ฮ่าๆ”ฮ่องเต้เย่หมิงหล่างแค่นเสียงเหอะในลำคอคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย“เจ้ามันช่างชั่วช้ายิ่งนัก!!!”“ว่าข้าหรือ เหอะ แล้วตัวเจ้าดีนักหรือไร? แย่งคนรักของข้า ไร้สัจจะไม่รักษาสัญญา ข้ากับท่านพ่อช่วยเจ้ามาตั้งเท่าใด แต่เจ้ากลับไม่เคยเห็นหัวพวกเราพ
หลายเดือนต่อมา เจียงซูซูมาส่งใบลาให้เสิ่นจื่อหลาง บอกเพียงว่านางต้องติดตามท่านพ่อท่านแม่ไปจัดการธุระที่บ้านเดิมซึ่งอยู่นอกเมืองหลวงเสิ่นจื่อหลางให้นางลาสามวัน และบอกให้นางรีบกลับระหว่างทางที่มุ่งหน้ากลับบ้านเดิมนั้นไม่มีปัญหา จนกระทั่งยามที่นางและครอบครัวกำลังจะเดินทางกลับ กลับมีโจรบุกเข้ามาปล้นชิงครอบครัวของนาง พวกมันจับตัวพวกนางเอาไว้ เจียงซูซูหวาดกลัวไม่น้อย แต่ก็พยายามคิดในแง่ดีเอาไว้นางไม่รู้ว่าพวกมันจับตัวนางมาไว้ที่ใด ได้ยินเพียงพวกมันบอกว่าจะสังหารท่านพ่อท่านแม่ของนางและส่งนางไปขายที่หอนางโลมเจียงซูซูพลันนึกถึงเสิ่นจื่อหลางขึ้นมา จู่ๆ ขอบตาของนางก็ร้อนผ่าว เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่านางกับเขาชาตินี้อาจะไม่ได้เจอนางอีก นางสัญญากับเขาเอาไว้แล้วว่าจะกลับไปอยู่เคียงข้างเขาเขาเป็นถึงฮ่องเต้ผู้สูงส่งแต่นางเป็นเพียงขุนนางหญิงต่ำต้อย กลับอาจหาญที่จะไปหลงรักเขาภายใต้ใบหน้าที่แสนเย็นชาของเขามันซ่อนความอบอุ่นเอาไว้ เขาไม่เคยตำหนินาง ไม่เคยลงโทษนาง อีกทั้งยังไม่ถือตัวกับนาง นางชอบทุกอย่างที่เป็นเขา รักทุกอย่างของเขาจู่ๆ เจียงซูซูที่เข้มแข็ง น้อยครั้งนักที่นางจะร้องไห้ แต่ทว่ายามนี้นางกลับ
วันเวลาเช่นนี้ผ่านไปวันแล้ววันเล่าเดือนแล้วเดือนเล่าจนล่วงมาเป็นปี เขาไม่ทันรู้ตัวว่าเปิดรับนางเข้ามาในใจตั้งแต่ยามใด รู้ตัวอีกคราสายตาของเขาก็เอาแต่มองหานางเสียแล้ว“ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ”เสิ่นจื่อหลางที่กำลังนั่งอ่านตำราพลันเงยหน้าขึ้นไปมองโจวกุ้ยเฟยที่กำลังเดินเข้ามาโจวกุ้ยเฟย นามเดิม โจวเย่หลัน นางเป็นหลานสาวของนายท่านโจว เป็นทายาทที่เกิดจากบุตรชายเพียงคนเดียวของโจวชิงเหยา บุตรชายของนายท่านโจวเขารับนางเข้ามาเป็นสนมได้ร่วมสองปีแล้ว นิสัยของนางค่อนข้างอ่อนหวาน เอาอกเอาใจ และมีเมตตาแต่ทว่าเขารู้ดีว่านี่คือเปลือกนอกที่นางแสดงให้เขาดูเพียงเท่านั้นสตรีวังหลังมีผู้ใดบ้างไม่ฝักใฝ่ในอำนาจ หากไม่สนอำนาจเช่นนั้นจะเข้าวังหลวงมาทำไมกัน ไปบวชชีคงเหมาะเสียกว่า!!“โจวกุ้ยเฟย เจ้ามาหาข้ามีเรื่องใดหรือ?”โจวกุ้ยเฟยฉีกยิ้มอ่อนหวาน ก่อนจะเอ่ย“ทูลฝ่าบาท วันนี้หม่อมฉันคิดค้นสูตรอาหารขึ้นมาใหม่ จึงอยากมาชวนพระองค์ไปลองชิมที่ตำหนักเพคะ”“อืม ไว้มีเวลาข้าจะไป”“ฝ่าบาทเพคะ”เสิ่นจื่อหลางที่ได้ยินว่าโจวกุ้ยเฟยเอาแต่เรียกเขา ก็เงยหน้าไปมองนางด้วยแววตาที่เย็นชาจนนางลนลานหวาดกลัวไม่น้อย“เอ่อ หม่อมฉันขอทูล
วังหลวงท้องพระโรงยามนี้เจียงซูซูอยากจะมุดแผ่นดินหนีหรือไม่ก็แทรกตัวเข้าไปหลบในเสาต้นใดต้นหนึ่งยิ่งนักบุรุษที่นางยืนด่าฉอดๆ เมื่อไม่นานมานี้ แท้จริงเขาคือฮ่องเต้ของต้าอู๋พระนามเสิ่นจื่อหลางเจียงซูซูเบะปากทำท่าคล้ายคนจะร้องไห้ เห็นทีตำแหน่งขุนนางหญิงที่นางใฝ่ฝันคงจะจบเห่แล้ว!!!เสิ่นจื่อหลางปรายตามองเจียงซูซูคราหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองสตรีอีกสองนางที่สอบได้ลำดับรองลงไป สตรีที่ได้อันดับสองมาจากจวนตระกูลหาน ได้ยินว่านางเก่งกาจด้านการใช้อาวุธ เขาจึงมอบตำแหน่งองค์รักษ์หญิงให้แก่นาง ส่วนสตรีอีกนางมาจากจวนตระกูลสวี ได้ยินว่านางรอบรู้ อีกทั้งยังช่างสังเกต เขาจึงให้นางไปเรียนรู้การทำงานที่ศาลต้าหลี่ ดูว่านางมีความสามารถเหมาะกับตำแหน่งใดในศาลต้าหลี่แล้วค่อยมอบตำแหน่งนั้นให้นางส่วนผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่ง เขาตั้งใจที่จะให้นางทำงานอยู่ข้างกายเขา เขาไปที่ใดนางต้องไปตามคอยเป็นหูเป็นตาแทนเขา สามารถเป็นตัวแทนเขาในการทำงานต่างๆ ได้ สตรีมักจะทำงานรอบคอบและละเอียดมากกว่าบุรุษสตรีน้อยสองนางออกไปแล้ว ยามนี้เหลือเพียงเจียงซูซู เสิ่นจื่อหลางโบกมือให้คนอื่นๆ ออกไป ก่อนจะเดินตรงเข้ามาหานาง เจียงซูซูที่เห็นเช
(เรื่องราวเกิดขึ้นหลังขึ้นครองราชย์6ปี)“ฝ่าบาท จะออกไปจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีคนสนิทเอ่ยถามเสิ่นจื่อหลางอย่างร้อนรน ได้ยินว่าวันนี้ฝ่าบาทจะออกไปชิมอาหารที่ภัตตาคารโหยวเย่ว์อีกแล้ว“ไม่ต้องตามข้า ข้าเพียงไปพบสหายเท่านั้น”เขาเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะปลอมตัวเป็นองค์รักษ์เสื้อแพรออกไปที่นอกวังหลวงยามนี้อาอวี้รั้งตำแหน่งผู้บัญชาการองค์รักษ์เสื้อแพร อีกทั้งยังตงฉิน ทำงานอุทิศตนเพื่อบ้านเมือง มันทำให้เขามองเห็นตนเองเมื่อสมัยก่อนปีนี้เขามีอายุยี่สิบเจ็ดปีแล้ว ครองราชย์มาก็หลายปี แต่ทว่ายังคงไม่มีทายาทสืบทอดวันนี้เขามีนัดกับฟางเมี่ยวที่ภัตตาคารโหยวเย่ว์ นางบอกมีสูตรอาหารแปลกใหม่อยากให้เขาได้ลิ้มลองเมื่อมาถึงเขาก็พบกับหลี่เยี่ยนเฉิน น่าแปลกที่ยามนี้เขากับหลี่เยี่ยนเฉินกลายเป้นสหายสนิทกันไปเสียแล้ว“อาจื่อ เจ้าว่างมากหรือ จึงนัดพวกข้ามาพบ”“แน่นอนสิ ข้าไม่มีสิ่งใดทำ”“เหอะ”“เหอะอันใด รีบสั่งอาหารมาสิ แล้วนี่เมี่ยวเมี่ยวเล่า นางไปที่ใด?”“มาถึงก็เรียกหาภรรยาผู้อื่นเช่นนี้ใช้ได้หรือ กลับไปหาสนมเจ้าสิ!!!”“เจ้าหึงหวงหรือ ช่วยไม่ได้ เมี่ยวเมี่ยวสนิทกับข้านี่เจ้าก็รู้”“อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าทุบ
เขาจำได้ดีว่าในปีนั้นเป็นช่วงฤดูร้อน ฮ่องเต้เย่หมิงหล่างมีรับสั่งให้เหล่าขุนนางตามออกไปล่าสัตว์อีกครา หลังจากที่เกิดเหตุการณ์น่ากลัวที่เหล่านักฆ่าลอบสังหาร ก็มีการเพิ่มกำลังการคุ้มกันแน่นหนาขึ้น“วันนี้พี่เยี่ยนช่างรูปงามยิ่งนัก”หลี่เยี่ยนเฉินปรายตามองฟางเมี่ยวคราหนึ่ง ก่อนจะเบือนหน้าหนี นางตามมาเกี้ยวพาเขาอีกแล้วฟางเมี่ยวจ้องมองหลี่เยี่ยนเฉินด้วยท่าทีหยอกเย้า ไม่ได้ใส่ใจท่าทีที่เอือมระอาของเขาเลยแม้แต่น้อย“พี่เยี่ยน”“หยุดเรียกข้าสักที”เขารีบควบม้าหนีนางไปทันที ฟางเมี่ยวไม่ยอมลดละรีบควบม้าตามเขาไปอย่างรวดเร็วแต่ทว่าม้าของนางกลับพยศ มันวิ่งเข้าป่าไม่หยุดจนเกือบจะชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ หลี่เยี่ยนเฉินตื่นตระหนกยิ่ง รีบกระโดดเข้ามาคว้าตัวนางลงจากหลังม้า ก่อนที่คนทั้งสองจะกลิ้งตกลงเขาไปด้วยกันฮ่องเต้เย่หมิงหล่างสั่งให้คนออกตามหาพวกเขาทั้งสองคนแต่กลับไม่พบฟางเมี่ยวขยับกายเล็กน้อย นางรู้สึกปวดไปทั้งตัว แต่ว่าเมื่อได้มองเห็นหลี่เยี่ยนเฉินที่นอนสลบอยู่ ก็ตกใจไม่น้อย บนหน้าผากของเขามีเลือดไหลซึมออกมา คาดว่าอาจจะถูกกิ่งไม้แหลมขูดหน้าผาก ฟางเมี่ยวรีบใช้ผ้าสะอาดที่นางนำติดมาด้วยซับเลือดให้เขา
รัชศกจื่อหลางปีที่ 1ยามนี้เสิ่นจื่อหลางขึ้นเป็นฮ่องเต้ได้หนึ่งปีแล้ว นับแต่ที่เขาขึ้นครองราชย์นั้นนับว่าเป็นช่วงที่รุ่งเรืองไม่น้อย แคว้นต่างๆ ยอมศิโรราบ แคว้นใดคิดเป็นกบฏจะถูกสังหารอย่างไม่ละเว้น ผู้ทำผิดถูกลงโทษไม่เว้นว่าจะเกิดในตระกูลใด เด็กๆ ที่ยากจนได้มีสถานที่เรียน ซึ่งทางราชสำนักเป็นคนต่อตั้งขึ้นสำหรับครอบครัวที่ยากจนสามปีต่อมาอาอวี้ที่มีอายุจะครบสิบห้าปีแล้วสามารถสอบเป็นจอหงวนได้สำเร็จ หลังจากนั้นอีกหลายปี เพราะความสามารถของเขาที่เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ จึงได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร ทำงานรับใช้ฝ่าบาทอย่างใกล้ชิดฟางเจี๋ยพี่ชายของนางได้รับตำแหน่งเสนาบดีกรมกลาโหม ส่วนท่านพ่อนั้นก็ออกมาพักผ่อนและเลี้ยงลูกๆ ของฟางเจี๋ยและหลิวจืออยู่ที่จวนส่วนหลี่เยี่ยนเฉินนั้นยามนี้สงครามสงบ ไม่มีสิ่งใดให้ต้องทำ เขาจึงติดตามภรรยาไปค้าขายต่างแคว้นอย่างมีความสุข ทั้งคู่ยังไม่มีบุตรจนหลี่ฮูหยินร้อนใจ สั่งให้ฟางเมี่ยวห้ามออกจากจวนไปทำงาน อยู่ทำลูกกับหลี่เยี่ยนเฉินทุกวันยามที่มีเวลาว่าง ฟางเมี่ยวมักจะไปที่หลุมศพของจางเสวี่ยฮุ่ย บอกเรื่องราวความเป็นไปในแต่ละช่วงเวลาให้นางฟังฟางเมี่ยวเชื
ฟางเมี่ยวเมื่อกลับมาถึงจวนก็พบกับหลี่เยี่ยนเฉินที่กำลังยืนรดน้ำดอกกุหลาบอยู่ ฟางเมี่ยวที่เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยถามเขาทันที“ท่านพี่ เหตุใดจึงทำเอง บ่าวไพร่ไปที่ใดหมดเจ้าคะ?”หลี่เยี่ยนเฉินที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันมาส่งยิ้มให้ฟางเมี่ยว ก่อนจะเช็ดมือให้สะอาดแล้วเดินเข้ามาหาฟางเมี่ยว แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้นางอย่างใส่ใจ“ดอกไม้เหล่านี้เมี่ยวเอ๋อร์ของข้าชอบมากที่สุด ข้าย่อมต้องดูแลเองไม่อาจวางใจให้ผู้อื่นดูแลได้ ไหนมาให้ข้าซับเหงื่อให้ เจ้าเหนื่อยหรือไม่?”“ไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ ท่านพี่ข้าพบสวีเซียวเหยา นางสารภาพมาเองว่าเคยส่งคนมาฉุดข้า”ฟางเมี่ยวคล้ายจะลืมตัวว่าตนเอ่ยสิ่งใดออกไป นางไม่คิดจะบอกเรื่องนี้กับหลี่เยี่ยนเฉินเพราะเกรงว่าเขาจะเป็นห่วงและคิดมาก อีกอย่างนางก็ปลอดภัยดีจึงไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญอันใด หลี่เยี่ยนเฉินที่ได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยถามทันที“นี่เจ้าถูกนางส่งคนมาฉุดเช่นนั้นหรือ?”“เอ่อ...”“ตอบมา!!!”“ท่านพี่ เรื่องมันนานมากแล้วเจ้าค่ะ ข้าเองไม่อยากให้ท่านกังวล นับว่าโชคยังดีที่ข้าปลอดภัย สหายเสิ่นไปช่วยข้าเอาไว้ได้ทันเวลา”สหายเสิ่นอีกแล้ว?หลี่เยี่ยนเฉินหรี่ตามองฟางเมี่ยว ก่อนจะมี
รัชศกจิ้นหยางปีที่ 1เย่จิ้นหยางขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของแคว้นต้าอู๋ นับตั้งแต่เขาได้สติกลับคืนมาก็ตั้งใจทำเพื่อบ้านเมืองอย่างสุดกำลัง เขากวาดล้างเหล่าขุนนางโลภออกไปจากราชสำนักได้ไม่น้อย อีกทั้งยังลดภาษีให้กับราษฎรอีกด้วย ไม่กี่ปีต่อมาแคว้นต้าอู๋ก็กลับมางดงามและยิ่งใหญ่เช่นเดิมเขานึกถึงคำเตือนของเสิ่นจื่อหลางได้ไม่ลืม อีกทั้งยังชื่นชมเสิ่นจื่อหลางอีกด้วย เขาไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดเสด็จลุงจึงไว้วางใจเสิ่นจื่อหลางถึงเพียงนี้นับตั้งแต่เริ่มแผนการที่ท่านลุงวางไว้ แผนการนั้นจะไม่สำเร็จและแยบยลเลย หากไม่มีขุนนางที่ตงฉินและไว้ใจได้ และยอมทำงานถวายชีวิตเช่นเสิ่นจื่อหลางที่ผ่านมาเสด็จลุงส่งเสิ่นจื่อหลางมาคอยจับตาดูเขาและขุนนางทุกคน สุดท้ายเสด็จลุงไว้วางใจที่จะมอบแผ่นดินนี้ให้กับเขา เขาเองก็จะไม่ทำให้ความไว้วางใจนั้นของเสด็จลุงต้องสูญเปล่ายามนี้ต้าอู๋นับว่าคึกคักไม่น้อยเลย ฟางเมี่ยวกลับมาเปิดกิจการใหม่อีกครา อีกทั้งรายได้ครึ่งหนึ่งของการค้าขาย นางก็จะบริจาคเข้าคลังหลวงเพื่อช่วยราชสำนักทุกเดือน ระยะหลังมานี้กิจการของนางได้ส่งออกไปขายต่างแคว้น นับว่าได้กำไรงามไม่น้อยตั้งแต่แคว้นเห
ฟางเมี่ยวเดินออกจากจวนอ๋องมาพร้อมกับหลิวจือ ยามนี้เย่จิ้นหยางเสียใจอย่างหนัก ไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าใกล้ร่างของจางเสวี่ยฮุ่ย เขาเอาแต่กอดร่างไร้ลมหายใจของนางเอาไว้เช่นนั้นไม่ยอมปล่อย ปากก็พร่ำเพ้อว่ายามนี้นางกำลังนอนพักผ่อน ห้ามผู้ใดรบกวนนางฟางเมี่ยวทนมองภาพที่น่าสลดใจเช่นนี้ไม่ไหว นางจึงรีบขอตัวกลับจวนตนทันทีหลิวจือนั้นขอตัวกลับจวนของตนเช่นเดียวกัน เนื่องจากมีเรื่องที่ต้องจัดการ ส่วนฟางเมี่ยวนั้นยามนี้ก็กำลังนั่งรถม้ามุ่งหน้ากลับจวนตระกูลหลี่เช่นเดียวกันเมื่อกลับมาถึงจวน นางก็พบกับหลี่เยี่ยนเฉินที่กำลังนั่งรอนางอยู่ในเรือน เขาได้ยินข่าวที่จางเสวี่ยฮุ่ยจากแล้ว ในใจก็นึกเวทนาไม่น้อย ข่าวการตายของจางเสวี่ยฮุ่ยแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักข่าวนี้ก็แพร่สะพัดไปถึงในวังหลวงเมื่อเห็นว่าฟางเมี่ยวกลับมาแล้ว เขาจึงลุกขึ้นเดินเข้าไปหานางทันที ก่อนจะพบว่ายามนี้ใบหน้าของฟางเมี่ยวเปรอะเปื้อนไปด้วยหยดน้ำตา เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าคือหลี่เยี่ยนเฉิน ฟางเมี่ยวก็โผเข้ากอดเขาทันที ก่อนจะปล่อยโฮออกมาอีกครา“ฮืออ หลี่เยี่ยนเฉิน จางเสวี่ยฮุ่ยตายแล้ว ข้าช่วยนางไม่ได้ ฮือ ข้าช่วยนางไม่ได้ ข้าไม่อยากให้นางตาย