หลี่เยี่ยนเฉินค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา ก่อนจะพบว่าฟางเมี่ยวกำลังนั่งมองเขาอยู่“เจ้าตื่นนานแล้วหรือ?”“อืม เห็นท่านหลับอยู่ข้าจึงไม่ได้ปลุก”“อืม”ฟางเมี่ยวยิ้มให้หลี่เยี่ยนเฉินคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"ข้าต้องไปดูร้านที่เปิดเอาไว้ ว่าจะหาซื้อของไปฝากท่านพ่อที่จวนด้วย พี่เยี่ยนไปกับข้าเถิด""ได้"หลี่เยี่ยนเฉินรับคำ ก่อนจะรีบลุกไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า หลังจากรับสำรับยามเช้าแล้ว เขาจึงเดินตามฟางเมี่ยวไปที่รถม้า เมื่อมาถึงยังร้านค้าที่ฟางเมี่ยวเช่าซื้อเอาไว้ หลี่เยี่ยนเฉินก็มองดูนางจัดการสั่งงานผู้ดูแลร้านอย่างเข้มงวด อีกทั้งยังตั้งใจมากอีกด้วย สินค้าทุกชิ้นนางดูแล้วดูอีก และเรื่องที่น่าแปลกใจก็คือนางดูใจเย็นไม่อารมณ์ร้อนพาลลงกับบ่าวไพร่เช่นแต่ก่อนอีกเขารู้จักนิสัยฟางเมี่ยวดี ชาติก่อนนางไร้ความปรานี ชอบกดขี่ข่มเหงผู้ที่ต่ำกว่าตน อีกทั้งยังชอบขโมยเงินและของในร้านของท่านแม่ตนเองจนติดเป็นนิสัยแต่ทว่าชาตินี้นางกลับตั้งใจขยายกิจการ ทุกอย่างนางทำอย่างละเอียดและตั้งใจอย่างไม่น่าเชื่อ เขามองนางก็อดยิ้มไม่ได้ ฉับพลันประโยคที่นางพูดที่หน้าผาในวันนั้นก็วนกลับมาในห้วงความคิดของเขาอีกครา"หลี่เยี่ยนเฉิน ท
หลี่เยี่ยนเฉินพาฟางเมี่ยวเข้ามานั่งพักในรถม้า เมื่อนางได้ฟื้นคืนมาก็ตั้งสติได้แล้ว ฟางเมี่ยวหันมาจ้องมองหลี่เยี่ยนเฉินคราหนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดด้วยความสงสัยเขาจำได้อย่างนั้นหรือ!!! หรือว่าเขาก็ย้อนเวลามาเกิดใหม่เช่นเดียวกับนางจริงๆสวรรค์ เหตุใดจึงมีเรื่องนี้เช่นนี้เกิดขึ้นได้ฟางเมี่ยวอ่อนล้าไม่น้อย นางเอนกายพิงหน้าต่าง หลิวจือที่เห็นเช่นนั้นจึงนำผ้ามาซับเหงื่อให้นางอย่างอ่อนโยนด้านหลี่เยี่ยนเฉินเมื่อเห็นว่าฟางเมี่ยวดีขึ้นมากแล้วจึงเดินลงมาสำรวจโดยรอบ ก็พบกับฟางเจี๋ยที่กำลังเดินมาหาเขา"อาเยี่ยน ข้าไปสำรวจดูโดยรอบแล้ว ที่นี่ไม่น่าจะมีรังโจรเลย แล้วพวกนักฆ่ามันมาจากที่ใดกัน?""นั่นสิ"หลี่เยี่ยนเฉินมองไปโดยรอบคราหนึ่ง ก็พบกับเสิ่นจื่อหลางที่กำลังเดินเข้ามาหาพวกเขา ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าเรื่องนี้คงต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่เสียแล้ว เพราะเสิ่นจื่อหลางเป็นหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพร ทำงานขึ้นตรงกับฝ่าบาท หากเขาทราบฝ่าบาทย่อมต้องทรงทราบหลี่เยี่ยนเฉินละสายตาจากเสิ่นจื่อหลางก่อนจะทิ้งกายนั่งลงข้างศพของนักฆ่าผู้หนึ่ง พลางคลำรอบๆ ตัวมัน ฟางเจี๋ยที่เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย"อาเยี่ยน เจ้าคิด
ยามนี้จวนตระกูลฟางกำลังวุ่นวายกับการเตรียมงานมงคล ไม่ต่างจากจวนตระกูลหลี่ เพราะนอกจากจะเป็นวันที่ฟางเมี่ยวต้องแต่งออกเข้าจวนตระกูลหลี่แล้ว ยังคงเป็นวันที่หลิวจือต้องแต่งเข้าตระกูลฟางด้วยเช่นกันฟางเมี่ยวให้อิงหยวนไปแจ้งหลิวจือที่จวนตระกูลหลิว ว่าให้หลิวจือเข้ามาพบนางที่จวน วันนี้ฟางเจี๋ยอยู่ที่จวนพอดี เนื่องจากต้องเตรียมพร้อมสำหรับงานแต่ง ฟางเมี่ยวให้คนทั้งสองมาพบที่เรือนของตน หลิวจือส่งยิ้มให้ฟางเมี่ยวคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถาม"มีอันใดหรือเมี่ยวเมี่ยว เจ้าจึงตามข้ามาพบเช่นนี้?""ทำไม อยากสนทนากับพี่สะใภ้ไม่ได้หรือ"ฟางเมี่ยวเอ่ยพลางยิ้มเล็กน้อย หลิวจือยิ้มตาหยี ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมาฟางเมี่ยวพยักหน้าให้อิงหยวนนำหีบใบหนึ่งเข้ามา ฟางเจี๋ยจ้องมองหีบใบนั้นคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถาม"เมี่ยวเอ๋อร์ นี่คือสิ่งใดหรือ?"ฟางเมี่ยวที่ได้ยินเช่นนั้นจึงไขกุญแจเปิดหีบใบนั้นออก ก่อนจะเอ่ย"นี่คือบัญชีร้านผ้าไหมของท่านแม่ และโรงน้ำชา อีกทั้งกิจการย่อยๆ อีกสิบกว่าแห่ง ข้ามอบให้ท่านพี่กับจือจือเป็นของขวัญวันแต่งงาน""เมี่ยวเอ๋อร์ เดิมทีนี่เป็นสินเดิมที่เจ้าจะต้องนำติดตัวไปมิใช่หรือ?"ฟางเจี๋ยเอ่ยถามด้วยความสง
"เจ้าตายเพราะถูกเย่จิ้นหยางสั่งฆ่าจริงๆ หรือ?"ฟางเมี่ยวไม่คิดว่าหลี่เยี่ยนเฉินจะเอ่ยถามเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน นางกำมือแน่น ใบหน้าดูไม่สู้ดีเท่าใดนัก หลี่เยี่ยนเฉินสังเกตว่าบนใบหน้านางมีทั้งความเศร้าใจ เสียใจ รู้สึกผิด และโกรธแค้นในคราเดียวกัน อีกทั้งยังปะปนไปกับความสับสนและว้าวุ่นใจในคราเดียวกัน"หากเจ้าไม่อยากตอบข้าก็จะไม่บังคับ แต่อีกไม่นานเราก็จะต้องแต่งงานกันแล้ว เจ้ากำลังจะเป็นภรรยาของข้า หากยังค้างคาใจกันเพราะเรื่องนี้ ข้าคงไม่อาจอยู่ร่วมกับเจ้าได้อย่างสงบสุข"ฟางเมี่ยวที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะจ้องมองหลี่เยี่ยนเฉินและยิ้มออกมาเล็กน้อย"ใช่ เขาส่งคนมาสังหารข้า ยามนั้นข้าไม่รู้ตัวเลย อาวุธที่จะใช้ป้องกันตัวก็ไม่มีสักอย่าง ข้ายังจำความเจ็บปวดยามที่ธนูดอกนั้นแทงทะลุเข้าที่กลางอกของข้าได้เป็นอย่างดี เขาเอ่ยปากออกมาเองว่า ให้สังหารข้าซะ"หลี่เยี่ยนเฉินนั่งฟังนางเงียบๆ ฟางเมี่ยวยิ้มขมขื่น ดวงตาของนางแดงก่ำ ก่อนน้ำตาหยดใสจะไหลลงมาจากดวงตาคู่งามของนาง หลี่เยี่ยนเฉินถอนหายใจออกมา ก่อนจะยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้นางอย่างอ่อนโยนฟางเมี่ยวเงยหน้ามองไปบนท้องฟ้า พยายามข่มกลั้นน้
ยามนี้หลี่เยี่ยนเฉินกำลังนั่งอยู่บนหลังม้า เขาสวมชุดเจ้าบ่าวสีแดงดูหล่อเหลาสง่างาม ชวนให้ผู้ที่ได้พบเห็นหลงใหลไม่น้อย เขาขี่ม้ามาจนถึงจวนตระกูลฟาง ก่อนจะกระโดดลงจากหลังม้า มุ่งหน้าเข้าไปรับฟางเมี่ยวที่เป็นเจ้าสาวของเขาในทันทีฟางเมี่ยวในยามนี้กำลังเดินออกมาจากประตูห้องนอน โดยมีแม่นมหลิ่วและอิงหยวนคอยประคอง ด้านหน้าของนางมีเสนาบดีฟางเหลียนที่ขอบตาแดงก่ำ ราวกับเพิ่งผ่านการร้องไห้มา เสนาบดีฟางเหลียนจ้องมองหลี่เยี่ยนเฉินที่เดินเข้ามาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"อาเยี่ยน ฝากเมี่ยวเอ๋อร์ด้วย หากเจ้าทำให้นางเจ็บช้ำใจหรือไม่รักนางแล้ว โปรดส่งนางกลับจวนตระกูลฟาง ข้าย่อมเลี้ยงดูนางได้ตลอดชีวิต"หลี่เยี่ยนเฉินคำนับพ่อตาตนอย่างนอบน้อม ก่อนจะเอ่ย"ท่านลุงโปรดวางใจ ข้าจะดูแลนางเป็นอย่างดีขอรับ""อืม"เสนาบดีฟางเหลียนหันไปมองฟางเมี่ยวอีกครา ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ"คล้ายว่าเมื่อวานเจ้ายังหาเรื่องปวดหัวมาให้พ่ออยู่เลย วันนี้กลับจะแต่งงานหนีพ่อไปเสียแล้ว"ฟางเมี่ยวที่ได้ยินเช่นนั้นก็อดกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหว นางเองก็เอ่ยตอบบิดาด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้นเช่นเดียวกัน"ท่านพ่อ หนีไปที่ใดกันเจ้าคะ ลูกจะมาเยี่ย
ยังไม่ทันที่นางจะได้ลุกเดินไปที่ใด หลี่เยี่ยนเฉินก็ยื่นมือออกมาเกี่ยวเอวบางของนางเอาไว้ ฟางเมี่ยวไม่ทันระวังจึงเซถลาเข้าไปซบที่แผงอกของหลี่เยี่ยนเฉินอย่างไม่ทันตั้งตัว นางเงยหน้าขึ้นไปมองเขา ก่อนจะพบว่ายามนี้ใบหน้าของเขาและนางใกล้กันจนแทบได้กลิ่นลมหายใจของกันละกันหลี่เยี่ยนเฉินจ้องมองฟางเมี่ยวด้วยแววตาที่อ่อนโยน ฟางเมี่ยวเองก็มองตอบเขาด้วยท่าทีที่เขินอายเช่นเดียวกัน“ฟางเมี่ยว เจ้าค่อยอาบน้ำเถิด”“เอ?”ยังไม่ทันที่ฟางเมี่ยวจะได้เอ่ยสิ่งใด หลี่เยี่ยนเฉินก็โน้มใบหน้าตนเข้ามาใกล้นาง ก่อนจะประทับริมฝีปากหนาใหญ่ของตนลงไปบนริมฝีปากบางสวยของนางอย่างเอาแต่ใจ ฟางเมี่ยวยังไม่ทันได้ตั้งตัว เมื่อถูกเขาจู่โจมเช่นนั้นนางจึงรู้สึกหายใจติดขัด พยายามผลักบุรุษตรงหน้าออก แต่ทว่าเขากลับกอดนางแน่นขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งยังขบเม้มริมฝีปากนางอย่างหยอกเย้าอีกด้วยฟางเมี่ยวที่คราแรกยังมึนงงนั้น เมื่อตั้งสติได้ นางจึงยื่นสองแขนไปโอบรัดรอบลำคอของเขา พร้อมกับเผยอริมฝีปากตอบรับรสจูบของเขาเช่นเดียวกันหลี่เยี่ยนเฉินปลดเปลื้องเสื้อผ้าอาภรณ์ของเขาและนางออก ก่อนจะโยนมันลงไปกองที่พื้น ยามนี้ร่างของคนทั้งสองเปลือยเปล่าไร้
รุ่งเช้าวันต่อมา หลังตื่นนอนและรับสำรับยามเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลี่เยี่ยนเฉินก็พาฟางเมี่ยวมาคารวะท่านพ่อและท่านแม่ของเขา แม่ทัพใหญ่หลี่เองไม่ได้มากกฎระเบียบอันใดมากนัก เขาทักทายนางเพียงไม่กี่คำก็ออกไปที่ค่ายทหารแล้ว หลี่เยี่ยนเฉินเองหันมามองฟางเมี่ยวคราหนึ่ง มีหรือเขาจะไม่รู้ว่าท่านแม่ไม่ได้พึงพอใจในตัวของลูกสะใภ้ผู้นี้เท่าใดนักฟางเมี่ยวพยักหน้าให้เขาคราหนึ่ง หลี่เยี่ยนเฉินจึงยอมจากไป เมื่อหลี่เยี่ยนเฉินจากไปแล้ว ฟางเมี่ยวจึงหันมาส่งยิ้มให้หลี่ฮูหยินคราหนึ่ง หลี่ฮูหยินเพียงยิ้มตอบเล็กน้อยไม่ได้เอ่ยสิ่งใด"ท่านแม่เจ้าคะ ข้ามีของขวัญพบหน้ามามอบให้ท่านแม่ด้วยนะเจ้าคะ อิงหยวน นำของมาให้ข้า"อิงหยวนพยักหน้ารับก่อนจะนำของส่งให้ฟางเมี่ยว ครั้งนี้นางพาอิงหยวนติดตามมารับใช้ด้วย ส่วนลู่ชิงนั้นนางให้ดัดนิสัยอยู่ที่จวนตระกูลฟาง หากรู้ความเมื่อใดนางจะให้ลู่ชิงกลับมารับใช้อีกคราฟางเมี่ยวรับของมาจากมือของอิงหยวน มันคือกล่องไม้ที่บนกล่องมีการแกะสลักอย่างประณีต หลี่ฮูหยินจ้องมองคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"เจ้าไม่ต้องลำบากถึงเพียงนี้ เดิมทีข้ามีของใช้มากมายอยู่แล้ว"หลี่ฮูหยินเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย ฟ
หลี่เยี่ยนเฉินที่กลับมาถึงจวนก็พบว่ายามนี้ฟางเมี่ยวกำลังสนทนากับมารดาของเขาอย่างสนิทสนม อีกทั้งยังช่วยกันเลือกวัตถุดิบเตรียมทำอาหารมื้อค่ำอีกด้วย เขาหันไปมองฟางเมี่ยวก่อนจะยกยิ้มมุมปากไม่เจอเพียงครึ่งวัน นางก็หลอกล่อท่านแม่ไปเป็นพวกตนได้เสียแล้วฟางเมี่ยวที่เห็นว่าหลี่เยี่ยนเฉินกลับมาแล้ว จึงรีบเทชาร้อนใส่ถ้วยส่งให้เขาอย่างกระตือรือร้น"ท่านพี่ น้ำชาเจ้าค่ะ ท่านหิวหรือไม่ ข้าทำขนมหยกขาวเอาไว้ เก็บไว้รอท่านพี่มาชิมเจ้าค่ะ"หลี่เยี่ยนเฉินจ้องมองฟางเมี่ยวคราหนึ่ง และไม่ได้รับถ้วยน้ำชาจากนาง ฟางเมี่ยวเอียงคอมองหลี่เยี่ยนเฉินอย่างสงสัย ในมือก็ถือถ้วยชาค้างเอาไว้ หลี่ฮูหยินที่เดินมาเห็นเข้าพอดี จึงเอ่ยตำหนิบุตรชายของตนทันที"อาเยี่ยน ภรรยาเจ้ายื่นถ้วยชาส่งให้เจ้านานแล้ว เจ้าไม่เห็นหรือ รับจากนางแล้วดื่มซะสิ มารยาทที่ข้าสั่งสอนมาเจ้าลืมไปแล้วหรือ"หลี่เยี่ยนเฉินหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นี่มันเรื่องบ้าอันใดกัน ท่านแม่เคยดุเขาเช่นนี้เสียที่ไหน พอนางแต่งเข้าจวนมาเขาก็กลายเป็นบุตรชังของท่านแม่ไปแล้วอย่างนั้นหรือเขารับถ้วยชามาจากฟางเมี่ยวก่อนจะดื่ม พบว่ารสชาติดีกว่าชาที่เขาดื่มเป็นประจำเสียอี
หลายเดือนต่อมา เจียงซูซูมาส่งใบลาให้เสิ่นจื่อหลาง บอกเพียงว่านางต้องติดตามท่านพ่อท่านแม่ไปจัดการธุระที่บ้านเดิมซึ่งอยู่นอกเมืองหลวงเสิ่นจื่อหลางให้นางลาสามวัน และบอกให้นางรีบกลับระหว่างทางที่มุ่งหน้ากลับบ้านเดิมนั้นไม่มีปัญหา จนกระทั่งยามที่นางและครอบครัวกำลังจะเดินทางกลับ กลับมีโจรบุกเข้ามาปล้นชิงครอบครัวของนาง พวกมันจับตัวพวกนางเอาไว้ เจียงซูซูหวาดกลัวไม่น้อย แต่ก็พยายามคิดในแง่ดีเอาไว้นางไม่รู้ว่าพวกมันจับตัวนางมาไว้ที่ใด ได้ยินเพียงพวกมันบอกว่าจะสังหารท่านพ่อท่านแม่ของนางและส่งนางไปขายที่หอนางโลมเจียงซูซูพลันนึกถึงเสิ่นจื่อหลางขึ้นมา จู่ๆ ขอบตาของนางก็ร้อนผ่าว เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่านางกับเขาชาตินี้อาจะไม่ได้เจอนางอีก นางสัญญากับเขาเอาไว้แล้วว่าจะกลับไปอยู่เคียงข้างเขาเขาเป็นถึงฮ่องเต้ผู้สูงส่งแต่นางเป็นเพียงขุนนางหญิงต่ำต้อย กลับอาจหาญที่จะไปหลงรักเขาภายใต้ใบหน้าที่แสนเย็นชาของเขามันซ่อนความอบอุ่นเอาไว้ เขาไม่เคยตำหนินาง ไม่เคยลงโทษนาง อีกทั้งยังไม่ถือตัวกับนาง นางชอบทุกอย่างที่เป็นเขา รักทุกอย่างของเขาจู่ๆ เจียงซูซูที่เข้มแข็ง น้อยครั้งนักที่นางจะร้องไห้ แต่ทว่ายามนี้นางกลับ
วันเวลาเช่นนี้ผ่านไปวันแล้ววันเล่าเดือนแล้วเดือนเล่าจนล่วงมาเป็นปี เขาไม่ทันรู้ตัวว่าเปิดรับนางเข้ามาในใจตั้งแต่ยามใด รู้ตัวอีกคราสายตาของเขาก็เอาแต่มองหานางเสียแล้ว“ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ”เสิ่นจื่อหลางที่กำลังนั่งอ่านตำราพลันเงยหน้าขึ้นไปมองโจวกุ้ยเฟยที่กำลังเดินเข้ามาโจวกุ้ยเฟย นามเดิม โจวเย่หลัน นางเป็นหลานสาวของนายท่านโจว เป็นทายาทที่เกิดจากบุตรชายเพียงคนเดียวของโจวชิงเหยา บุตรชายของนายท่านโจวเขารับนางเข้ามาเป็นสนมได้ร่วมสองปีแล้ว นิสัยของนางค่อนข้างอ่อนหวาน เอาอกเอาใจ และมีเมตตาแต่ทว่าเขารู้ดีว่านี่คือเปลือกนอกที่นางแสดงให้เขาดูเพียงเท่านั้นสตรีวังหลังมีผู้ใดบ้างไม่ฝักใฝ่ในอำนาจ หากไม่สนอำนาจเช่นนั้นจะเข้าวังหลวงมาทำไมกัน ไปบวชชีคงเหมาะเสียกว่า!!“โจวกุ้ยเฟย เจ้ามาหาข้ามีเรื่องใดหรือ?”โจวกุ้ยเฟยฉีกยิ้มอ่อนหวาน ก่อนจะเอ่ย“ทูลฝ่าบาท วันนี้หม่อมฉันคิดค้นสูตรอาหารขึ้นมาใหม่ จึงอยากมาชวนพระองค์ไปลองชิมที่ตำหนักเพคะ”“อืม ไว้มีเวลาข้าจะไป”“ฝ่าบาทเพคะ”เสิ่นจื่อหลางที่ได้ยินว่าโจวกุ้ยเฟยเอาแต่เรียกเขา ก็เงยหน้าไปมองนางด้วยแววตาที่เย็นชาจนนางลนลานหวาดกลัวไม่น้อย“เอ่อ หม่อมฉันขอทูล
วังหลวงท้องพระโรงยามนี้เจียงซูซูอยากจะมุดแผ่นดินหนีหรือไม่ก็แทรกตัวเข้าไปหลบในเสาต้นใดต้นหนึ่งยิ่งนักบุรุษที่นางยืนด่าฉอดๆ เมื่อไม่นานมานี้ แท้จริงเขาคือฮ่องเต้ของต้าอู๋พระนามเสิ่นจื่อหลางเจียงซูซูเบะปากทำท่าคล้ายคนจะร้องไห้ เห็นทีตำแหน่งขุนนางหญิงที่นางใฝ่ฝันคงจะจบเห่แล้ว!!!เสิ่นจื่อหลางปรายตามองเจียงซูซูคราหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองสตรีอีกสองนางที่สอบได้ลำดับรองลงไป สตรีที่ได้อันดับสองมาจากจวนตระกูลหาน ได้ยินว่านางเก่งกาจด้านการใช้อาวุธ เขาจึงมอบตำแหน่งองค์รักษ์หญิงให้แก่นาง ส่วนสตรีอีกนางมาจากจวนตระกูลสวี ได้ยินว่านางรอบรู้ อีกทั้งยังช่างสังเกต เขาจึงให้นางไปเรียนรู้การทำงานที่ศาลต้าหลี่ ดูว่านางมีความสามารถเหมาะกับตำแหน่งใดในศาลต้าหลี่แล้วค่อยมอบตำแหน่งนั้นให้นางส่วนผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่ง เขาตั้งใจที่จะให้นางทำงานอยู่ข้างกายเขา เขาไปที่ใดนางต้องไปตามคอยเป็นหูเป็นตาแทนเขา สามารถเป็นตัวแทนเขาในการทำงานต่างๆ ได้ สตรีมักจะทำงานรอบคอบและละเอียดมากกว่าบุรุษสตรีน้อยสองนางออกไปแล้ว ยามนี้เหลือเพียงเจียงซูซู เสิ่นจื่อหลางโบกมือให้คนอื่นๆ ออกไป ก่อนจะเดินตรงเข้ามาหานาง เจียงซูซูที่เห็นเช
(เรื่องราวเกิดขึ้นหลังขึ้นครองราชย์6ปี)“ฝ่าบาท จะออกไปจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีคนสนิทเอ่ยถามเสิ่นจื่อหลางอย่างร้อนรน ได้ยินว่าวันนี้ฝ่าบาทจะออกไปชิมอาหารที่ภัตตาคารโหยวเย่ว์อีกแล้ว“ไม่ต้องตามข้า ข้าเพียงไปพบสหายเท่านั้น”เขาเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะปลอมตัวเป็นองค์รักษ์เสื้อแพรออกไปที่นอกวังหลวงยามนี้อาอวี้รั้งตำแหน่งผู้บัญชาการองค์รักษ์เสื้อแพร อีกทั้งยังตงฉิน ทำงานอุทิศตนเพื่อบ้านเมือง มันทำให้เขามองเห็นตนเองเมื่อสมัยก่อนปีนี้เขามีอายุยี่สิบเจ็ดปีแล้ว ครองราชย์มาก็หลายปี แต่ทว่ายังคงไม่มีทายาทสืบทอดวันนี้เขามีนัดกับฟางเมี่ยวที่ภัตตาคารโหยวเย่ว์ นางบอกมีสูตรอาหารแปลกใหม่อยากให้เขาได้ลิ้มลองเมื่อมาถึงเขาก็พบกับหลี่เยี่ยนเฉิน น่าแปลกที่ยามนี้เขากับหลี่เยี่ยนเฉินกลายเป้นสหายสนิทกันไปเสียแล้ว“อาจื่อ เจ้าว่างมากหรือ จึงนัดพวกข้ามาพบ”“แน่นอนสิ ข้าไม่มีสิ่งใดทำ”“เหอะ”“เหอะอันใด รีบสั่งอาหารมาสิ แล้วนี่เมี่ยวเมี่ยวเล่า นางไปที่ใด?”“มาถึงก็เรียกหาภรรยาผู้อื่นเช่นนี้ใช้ได้หรือ กลับไปหาสนมเจ้าสิ!!!”“เจ้าหึงหวงหรือ ช่วยไม่ได้ เมี่ยวเมี่ยวสนิทกับข้านี่เจ้าก็รู้”“อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าทุบ
เขาจำได้ดีว่าในปีนั้นเป็นช่วงฤดูร้อน ฮ่องเต้เย่หมิงหล่างมีรับสั่งให้เหล่าขุนนางตามออกไปล่าสัตว์อีกครา หลังจากที่เกิดเหตุการณ์น่ากลัวที่เหล่านักฆ่าลอบสังหาร ก็มีการเพิ่มกำลังการคุ้มกันแน่นหนาขึ้น“วันนี้พี่เยี่ยนช่างรูปงามยิ่งนัก”หลี่เยี่ยนเฉินปรายตามองฟางเมี่ยวคราหนึ่ง ก่อนจะเบือนหน้าหนี นางตามมาเกี้ยวพาเขาอีกแล้วฟางเมี่ยวจ้องมองหลี่เยี่ยนเฉินด้วยท่าทีหยอกเย้า ไม่ได้ใส่ใจท่าทีที่เอือมระอาของเขาเลยแม้แต่น้อย“พี่เยี่ยน”“หยุดเรียกข้าสักที”เขารีบควบม้าหนีนางไปทันที ฟางเมี่ยวไม่ยอมลดละรีบควบม้าตามเขาไปอย่างรวดเร็วแต่ทว่าม้าของนางกลับพยศ มันวิ่งเข้าป่าไม่หยุดจนเกือบจะชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ หลี่เยี่ยนเฉินตื่นตระหนกยิ่ง รีบกระโดดเข้ามาคว้าตัวนางลงจากหลังม้า ก่อนที่คนทั้งสองจะกลิ้งตกลงเขาไปด้วยกันฮ่องเต้เย่หมิงหล่างสั่งให้คนออกตามหาพวกเขาทั้งสองคนแต่กลับไม่พบฟางเมี่ยวขยับกายเล็กน้อย นางรู้สึกปวดไปทั้งตัว แต่ว่าเมื่อได้มองเห็นหลี่เยี่ยนเฉินที่นอนสลบอยู่ ก็ตกใจไม่น้อย บนหน้าผากของเขามีเลือดไหลซึมออกมา คาดว่าอาจจะถูกกิ่งไม้แหลมขูดหน้าผาก ฟางเมี่ยวรีบใช้ผ้าสะอาดที่นางนำติดมาด้วยซับเลือดให้เขา
รัชศกจื่อหลางปีที่ 1ยามนี้เสิ่นจื่อหลางขึ้นเป็นฮ่องเต้ได้หนึ่งปีแล้ว นับแต่ที่เขาขึ้นครองราชย์นั้นนับว่าเป็นช่วงที่รุ่งเรืองไม่น้อย แคว้นต่างๆ ยอมศิโรราบ แคว้นใดคิดเป็นกบฏจะถูกสังหารอย่างไม่ละเว้น ผู้ทำผิดถูกลงโทษไม่เว้นว่าจะเกิดในตระกูลใด เด็กๆ ที่ยากจนได้มีสถานที่เรียน ซึ่งทางราชสำนักเป็นคนต่อตั้งขึ้นสำหรับครอบครัวที่ยากจนสามปีต่อมาอาอวี้ที่มีอายุจะครบสิบห้าปีแล้วสามารถสอบเป็นจอหงวนได้สำเร็จ หลังจากนั้นอีกหลายปี เพราะความสามารถของเขาที่เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ จึงได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร ทำงานรับใช้ฝ่าบาทอย่างใกล้ชิดฟางเจี๋ยพี่ชายของนางได้รับตำแหน่งเสนาบดีกรมกลาโหม ส่วนท่านพ่อนั้นก็ออกมาพักผ่อนและเลี้ยงลูกๆ ของฟางเจี๋ยและหลิวจืออยู่ที่จวนส่วนหลี่เยี่ยนเฉินนั้นยามนี้สงครามสงบ ไม่มีสิ่งใดให้ต้องทำ เขาจึงติดตามภรรยาไปค้าขายต่างแคว้นอย่างมีความสุข ทั้งคู่ยังไม่มีบุตรจนหลี่ฮูหยินร้อนใจ สั่งให้ฟางเมี่ยวห้ามออกจากจวนไปทำงาน อยู่ทำลูกกับหลี่เยี่ยนเฉินทุกวันยามที่มีเวลาว่าง ฟางเมี่ยวมักจะไปที่หลุมศพของจางเสวี่ยฮุ่ย บอกเรื่องราวความเป็นไปในแต่ละช่วงเวลาให้นางฟังฟางเมี่ยวเชื
ฟางเมี่ยวเมื่อกลับมาถึงจวนก็พบกับหลี่เยี่ยนเฉินที่กำลังยืนรดน้ำดอกกุหลาบอยู่ ฟางเมี่ยวที่เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยถามเขาทันที“ท่านพี่ เหตุใดจึงทำเอง บ่าวไพร่ไปที่ใดหมดเจ้าคะ?”หลี่เยี่ยนเฉินที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันมาส่งยิ้มให้ฟางเมี่ยว ก่อนจะเช็ดมือให้สะอาดแล้วเดินเข้ามาหาฟางเมี่ยว แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้นางอย่างใส่ใจ“ดอกไม้เหล่านี้เมี่ยวเอ๋อร์ของข้าชอบมากที่สุด ข้าย่อมต้องดูแลเองไม่อาจวางใจให้ผู้อื่นดูแลได้ ไหนมาให้ข้าซับเหงื่อให้ เจ้าเหนื่อยหรือไม่?”“ไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ ท่านพี่ข้าพบสวีเซียวเหยา นางสารภาพมาเองว่าเคยส่งคนมาฉุดข้า”ฟางเมี่ยวคล้ายจะลืมตัวว่าตนเอ่ยสิ่งใดออกไป นางไม่คิดจะบอกเรื่องนี้กับหลี่เยี่ยนเฉินเพราะเกรงว่าเขาจะเป็นห่วงและคิดมาก อีกอย่างนางก็ปลอดภัยดีจึงไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญอันใด หลี่เยี่ยนเฉินที่ได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยถามทันที“นี่เจ้าถูกนางส่งคนมาฉุดเช่นนั้นหรือ?”“เอ่อ...”“ตอบมา!!!”“ท่านพี่ เรื่องมันนานมากแล้วเจ้าค่ะ ข้าเองไม่อยากให้ท่านกังวล นับว่าโชคยังดีที่ข้าปลอดภัย สหายเสิ่นไปช่วยข้าเอาไว้ได้ทันเวลา”สหายเสิ่นอีกแล้ว?หลี่เยี่ยนเฉินหรี่ตามองฟางเมี่ยว ก่อนจะมี
รัชศกจิ้นหยางปีที่ 1เย่จิ้นหยางขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของแคว้นต้าอู๋ นับตั้งแต่เขาได้สติกลับคืนมาก็ตั้งใจทำเพื่อบ้านเมืองอย่างสุดกำลัง เขากวาดล้างเหล่าขุนนางโลภออกไปจากราชสำนักได้ไม่น้อย อีกทั้งยังลดภาษีให้กับราษฎรอีกด้วย ไม่กี่ปีต่อมาแคว้นต้าอู๋ก็กลับมางดงามและยิ่งใหญ่เช่นเดิมเขานึกถึงคำเตือนของเสิ่นจื่อหลางได้ไม่ลืม อีกทั้งยังชื่นชมเสิ่นจื่อหลางอีกด้วย เขาไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดเสด็จลุงจึงไว้วางใจเสิ่นจื่อหลางถึงเพียงนี้นับตั้งแต่เริ่มแผนการที่ท่านลุงวางไว้ แผนการนั้นจะไม่สำเร็จและแยบยลเลย หากไม่มีขุนนางที่ตงฉินและไว้ใจได้ และยอมทำงานถวายชีวิตเช่นเสิ่นจื่อหลางที่ผ่านมาเสด็จลุงส่งเสิ่นจื่อหลางมาคอยจับตาดูเขาและขุนนางทุกคน สุดท้ายเสด็จลุงไว้วางใจที่จะมอบแผ่นดินนี้ให้กับเขา เขาเองก็จะไม่ทำให้ความไว้วางใจนั้นของเสด็จลุงต้องสูญเปล่ายามนี้ต้าอู๋นับว่าคึกคักไม่น้อยเลย ฟางเมี่ยวกลับมาเปิดกิจการใหม่อีกครา อีกทั้งรายได้ครึ่งหนึ่งของการค้าขาย นางก็จะบริจาคเข้าคลังหลวงเพื่อช่วยราชสำนักทุกเดือน ระยะหลังมานี้กิจการของนางได้ส่งออกไปขายต่างแคว้น นับว่าได้กำไรงามไม่น้อยตั้งแต่แคว้นเห
ฟางเมี่ยวเดินออกจากจวนอ๋องมาพร้อมกับหลิวจือ ยามนี้เย่จิ้นหยางเสียใจอย่างหนัก ไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าใกล้ร่างของจางเสวี่ยฮุ่ย เขาเอาแต่กอดร่างไร้ลมหายใจของนางเอาไว้เช่นนั้นไม่ยอมปล่อย ปากก็พร่ำเพ้อว่ายามนี้นางกำลังนอนพักผ่อน ห้ามผู้ใดรบกวนนางฟางเมี่ยวทนมองภาพที่น่าสลดใจเช่นนี้ไม่ไหว นางจึงรีบขอตัวกลับจวนตนทันทีหลิวจือนั้นขอตัวกลับจวนของตนเช่นเดียวกัน เนื่องจากมีเรื่องที่ต้องจัดการ ส่วนฟางเมี่ยวนั้นยามนี้ก็กำลังนั่งรถม้ามุ่งหน้ากลับจวนตระกูลหลี่เช่นเดียวกันเมื่อกลับมาถึงจวน นางก็พบกับหลี่เยี่ยนเฉินที่กำลังนั่งรอนางอยู่ในเรือน เขาได้ยินข่าวที่จางเสวี่ยฮุ่ยจากแล้ว ในใจก็นึกเวทนาไม่น้อย ข่าวการตายของจางเสวี่ยฮุ่ยแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักข่าวนี้ก็แพร่สะพัดไปถึงในวังหลวงเมื่อเห็นว่าฟางเมี่ยวกลับมาแล้ว เขาจึงลุกขึ้นเดินเข้าไปหานางทันที ก่อนจะพบว่ายามนี้ใบหน้าของฟางเมี่ยวเปรอะเปื้อนไปด้วยหยดน้ำตา เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าคือหลี่เยี่ยนเฉิน ฟางเมี่ยวก็โผเข้ากอดเขาทันที ก่อนจะปล่อยโฮออกมาอีกครา“ฮืออ หลี่เยี่ยนเฉิน จางเสวี่ยฮุ่ยตายแล้ว ข้าช่วยนางไม่ได้ ฮือ ข้าช่วยนางไม่ได้ ข้าไม่อยากให้นางตาย