โรสตวัดใบหน้ากลับมาแล้วส่งค้อนวงโตให้สามีที่ชอบพูดเข้าข้างลูกชาย รวมทั้งพูดถึงว่าที่ลูกสะใภ้อย่างช้องนาง
ช้องนาง ชินนุรัตน์คือหญิงสาวใบหน้าคมอายุยี่สิบห้าปี ลูกสาวคนโตของอนุวัต เพื่อนของโรสในสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ผู้ซึ่งมาหยิบยืมเงินไปจุนเจือครอบครัวเนื่องจากบริษัทของครอบครัวล้มละลาย ทำให้ครอบครัวชินนุรัตน์สิ้นเนื้อประดาตัว และนี่ก็เป็นจุดที่ทำให้โรสได้รู้จักกับช้องนาง เพราะเจ้าหล่อนมาขอทำงานที่บริษัทเพื่อชดใช้หนี้ที่เกิดขึ้น
แต่จุดพลิกผันสำหรับครอบครัวชินนุรัตน์ ก็คืออุบัติเหตุครั้งสำคัญ ที่ทำผู้เป็นเสาหลักของครอบครัวนั้นสูญเสียขาไป ทำให้ช้องนางต้องแบกรับทำหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัวแทน ต้องหาเงินส่งเสียน้องทั้งสองเรียนต่อ และยังต้องหาเงินมารักษาผู้เป็นพ่อ โรสนั้นเห็นในความขยันและรักครอบครัวหล่อนจึงยื่นข้อเสนอให้ ซึ่งก็คือการแต่งงานกับลูกชายหัวดื้อเพื่อแลกกับเงินค่ารักษาอนุวัตและส่งน้องชายน้องสาวของช้องนางเรียนจนจบ ซึ่งฝ่ายช้องนางก็ยอมตกลง
“โธ่คุณ!! ไม่สงสารหนูนางบ้างหรือไงที่ต้องมารองรับอารมณ์ดิบเถื่อนของลูกเรา” ถึงจะรู้ดีว่าสิ่งที่ภรรยาทำลงไปนั้นก็เพื่อให้ลูกชายหลุดพ้นจากความเศร้า กลับมาเป็นคนเดิม ลืมเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิต แต่เขาก็ไม่อยากใช้วิธีนี้ ชีวิตคู่มันจะมีความสุขได้อย่างไรหากไม่ได้เกิดจากความรัก แต่แล้วความคิดก็ต้องหยุดลงเมื่อเห็นสายตาของโรสที่ส่งมาให้ ราเชนกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดคอ เพราะมันเป็นสายตาแม่เสือที่กำลังไม่พอใจ “หยุดพูดเรื่องนี้กันได้แล้ว ยังไงฉันก็ไม่เปลี่ยนใจ” เธอตอกย้ำความคิดเช่นเดิม พลางเชิดหน้าใส่แล้วเดินหนี ฝ่ายราเชนก็ได้แต่ส่ายศีรษะกับความดื้อของเมียรัก ซึ่งไม่ต่างจากลูกชายตัวดีของเขาเลยสักนิด“เหมือนกันทั้งแม่ทั้งลูก แล้วยังมาถามอีกว่าลูกชายของเราเอานิสัยมาจากใคร เฮ้อ ก็มาจากคุณเต็มๆ”
ห้องบอลรูมสุดหรูในโรงแรมระดับห้าดาวถูกเนรมิตตกแต่งไปด้วยดอกไม้หลากสีสัน ขาว ชมพู แดงให้เหมาะสมกับงานวิวาห์สุดยิ่งใหญ่ที่ถูกจัดขึ้นในครั้งนี้ บรรดาแขกเหรื่อต่างทยอยมาร่วมงาน ใบหน้าทุกคนต่างมีรอยยิ้มประดับไว้ ต่างจากแม่งานคนสำคัญซึ่งกำลังทำสีหน้าเคร่งเครียด กระวนกระวายใจ เดินไปเดินมาไม่หยุด
“คุณ ทำไมเจ้ารามันยังไม่มาอีก นี่จะได้เวลาทำพิธีแล้วนะ” โรสเอ่ยถามสามีพลางชะเง้อคอมองหา
ราเชนได้แต่ส่ายศีรษะออกมาเป็นคำตอบ เพราะไม่รู้เลยว่าลูกชายจะมาหรือไม่ ก็เล่นไปบังคับกันซะขนาดนั้น เป็นเขาก็คงไม่มา ใครจะยอมแต่งงานกับผู้หญิงที่ไม่ได้รัก แถมยังไม่เคยเห็นหน้าเลยสักครั้ง และไม่รู้ว่าหากลูกชายมา แล้วงานแต่งนี้จะเป็นอย่างไร เพราะลูกชายก็หัวดื้อไม่แพ้คนเป็นแม่ คงมีอะไรเซอร์ไพรส์ให้มารดาตกใจแน่นอน
“คุณหญิง ดิฉันแต่งหน้าเจ้าสาวเสร็จแล้วนะคะ ไหนล่ะคะเจ้าบ่าวที่จะให้แต่ง” ช่างแต่งหน้าช่างเจรจาเอ่ยถามขณะจูงมือเจ้าสาวมาให้ทุกคนชม
“ฉันก็รอมันอยู่นี่ละ ไม่รู้ว่ามันจะมาไหม” โรสกล่าวเสียงกังวล แล้วหันมาส่งยิ้มให้กับว่าที่ลูกสะใภ้คนสวย ซึ่งอยู่ในชุดไทยประยุกต์สีทอง เปิดไหล่กว้างด้านซ้าย ส่วนอีกด้านมีสไบยาวสลวย
“สวยมากหนูนาง สวยจริงๆ แม่เลือกคนไม่ผิดเลย”
เจ้าสาวก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ให้ แอบแสดงสีหน้ากังวลกับงานแต่งงานวันนี้ ก็หล่อนนั้นยังไม่เคยเห็นหน้าเจ้าบ่าวเลยสักครั้ง เคยได้ยินแต่กิตติศัพท์ความร้ายกาจ ถ้าเจอกันแล้ว หล่อนจะต้องทำตัวอย่างไร จะพูดกับเขาแบบไหนช้องนางกังวลไม่น้อยในเรื่องนี้
ก่อนที่จะทำใจฮึดสู้ ในเมื่อหล่อนตัดสินใจยอมรับข้อเสนอของโรสแล้ว หล่อนก็ต้องทำให้ได้ พลันหันไปส่งยิ้มให้น้องชายและน้องสาวที่กำลังเดินตรงเข้ามาหา
“พี่นางของนุช สวยจังเลยค่ะ” นุชนาถเอ่ยเสียงหวาน เข้ามากอดพี่สาวไว้แน่น ก่อนที่จะเอ่ยถึงบิดาที่ไม่สามารถมาร่วมยินดีด้วยได้ เพราะต้องรักษาตัวจากอุบัติเหตุในครั้งนั้น ครั้งที่เกือบทำให้พวกเธอสามคนสูญเสียผู้เป็นพ่อไป“เสียดายนะคะที่คุณหมอยังไม่อนุญาตให้พ่อออกจากโรงพยาบาล ไม่งั้นพ่อก็คงชมพี่นางเหมือนที่นุชชม ใช่ไหมชิน” เธอเอ่ยพร้อมกับผละออกห่างแล้วหันไปถามอชิน น้องชายคนสุดท้อง
“ใช่ พี่นางสวยมากๆ” อชินตอบเสียงเข้ม “พี่ก็อยากให้พ่อมา” ช้องนางตอบเสียงเศร้า เพราะใครๆ ก็ต้องอยากให้บุพการีมาอวยพรในวันที่มีคู่ครองและกำลังเริ่มต้นชีวิตใหม่กันทั้งนั้น เมื่อเห็นสีหน้าของน้องชายและน้องสาวแปรเปลี่ยนเป็นเศร้าเพราะคำพูดของตน เจ้าหล่อนก็รีบเอ่ยขึ้นทันที“แต่ไม่เป็นไร แค่มีชินกับนุชพี่ก็ดีใจแล้ว แล้วอีกอย่างพ่อก็กำลังรักษาตัวอยู่ พี่ไม่อยากให้พ่อต้องลำบากมาที่นี่ ชินกับนุชออกไปช่วยรับแขกข้างนอกเถอะ อีกไม่นานพิธีก็เริ่มแล้ว”
“ได้ครับ/ได้ค่ะ” ทั้งสองตอบรับและหันหลังกลับเดินออกไปบริเวณหน้างาน
“เอ้า! คุณหญิง ตกลงจะให้ดิฉันแต่งหน้าเจ้าบ่าวไหมคะ ถ้าไม่ งั้นดิฉันจะได้ขอตัวกลับ ดิฉันก็มีงานเยอะนะคะ” ช่างแต่งหน้าเอ่ยถามพลางยกนาฬิกาเรือนหรูขึ้นมาดู เพราะเจ้าตัวนั้นรับงานเอาไว้แน่นเอี๊ยด วันๆ หนึ่งสี่ถึงห้างาน ทำให้ต้องรีบไปงานอื่นต่อ
“รออีกสักแป๊บสิ เดี๋ยวลูกชายของฉันก็มา” โรสพูดด้วยอาการร้อนรน กลัวว่าลูกชายจะไม่มาจริงๆ
เข็มนาฬิกาเดินหมุนไปเรื่อยๆ จนเวลาเหลืออีกเพียงสิบนาทีก็จะถึงเวลาเริ่มพิธี แต่ก็ยังไม่เห็นเงาของเจ้าบ่าว ทำให้โรสแสนจะหงุดหงิดใจ แถมพอกดโทรศัพท์ไปหาก็ดันได้ยินแต่เสียงให้ฝากข้อความ
“นั่งก่อนเถอะคุณ เดี๋ยวเจ้ารามันก็มาเอง” ราเชนต้องเอ่ยบอกให้ภรรยาใจเย็น หยุดเดินวนไปวนมาแล้วนั่งลง เพราะกลัวว่าจะเป็นลมเป็นแล้งไปเสียก่อนที่จะได้เริ่มพิธี
“คุณจะให้ฉันนั่งลงได้ไงคะ ป่านนี้แล้วมันยังไม่มาเลย เจ้าลูกชายของคุณ ดูสิ เหลือเวลาไม่ถึงห้านาทีแล้ว”
“คุณจะให้ฉันนั่งลงได้ไงคะ ป่านนี้แล้วมันยังไม่มาเลย เจ้าลูกชายของคุณ ดูสิ เหลือเวลาไม่ถึงห้านาทีแล้ว” โรสถึงกับนั่งไม่ติด ต้องเดินไปชะเง้อคอมองว่าลูกชายจะมาเมื่อไร เวลาก็เดินผ่านไป เดินไปเรื่อยๆ และแล้วในที่สุดเวลาก็เดินมาถึงฤกษ์พิธีหมั้นหมาย ฝ่ายผู้ดำเนินงานต้องเดินมาสอบถามเมื่อเห็นว่าเลยฤกษ์มาพอสมควรแล้ว
“โอ๊ย!! คุณฉันจะทำไงดี เจ้ารามันจะมาไหม นี่มันจะไม่นับว่าฉันเป็นแม่ของมันหรือไง” เธอถามเสียงสั่น รู้สึกเวียนหัวขึ้นมา จนจะเซล้ม
“คุณหญิงไหวไหม ผมก็บอกคุณแล้วว่าอย่าไปบังคับมัน” ราเชนรีบวิ่งเข้ามาประคองภรรยาแล้วพาไปที่โซฟา พร้อมกับที่ช้องนางรีบไปหายาดมมาให้
“ดีขึ้นไหมคุณหญิง” ผู้เป็นสามีเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าสีหน้าของภรรยาเริ่มดีขึ้น จึงค่อยๆ พยุงขึ้นมาพิงที่โซฟา
คนอาการดีขึ้นพยักหน้า ก่อนที่จะหลบตาลงเพื่อทำใจประกาศยกเลิกงานแต่ง ก็จะดำเนินงานต่อได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีเจ้าบ่าว พลันหันไปบอกผู้ดำเนินงานน้ำเสียงเศร้า
“ประกาศยกเลิกงานแต่งเลยค่ะ ลูกชายของฉันคงไม่มาแล้ว ต้องขอโทษทุกคนด้วยนะคะที่ทำให้เสียเวลา” แล้วหันไปหาว่าที่ลูกสะใภ้
“แม่ขอโทษนะลูกที่ทำให้หนูเสียหน้าและเสียใจ” เธอเอ่ยออกมาด้วยความเสียใจและรู้สึกน้อยใจลูกชายสุดรัก น้ำตาคลอที่หน่วยตาไม่คิดเลยว่ารามันจะไม่ยอมมา ทั้งๆ ที่ขู่ไปแล้วว่าจะตัดความสัมพันธ์แม่ลูก เจ้าหล่อนพยายามสกัดกั้นไม่ให้น้ำตาไหล ไม่อยากจะทำให้มันเศร้าไปมากกว่านี้ และดีใจไม่น้อยที่อนุวัต บิดาของช้องนางไม่สามารถมาร่วมงานได้ เพราะขืนมาอาการคงทรุดหนักมากไปกว่าเก่า
“ไม่ต้องขอโทษนางหรอกค่ะคุณหญิง นางเข้าใจดี”
“ยังไงแม่ก็ต้องขอโทษ ที่ทำให้หนูหม้ายงานแต่งแบบนี้ แม่…” แต่ไม่ทันที่โรสจะเอ่ยจบ เสียงทุ้มต่ำของคนที่หล่อนรอคอยก็ดังขึ้น พร้อมกับก้าวเท้าหนาเข้ามาปรากฏอยู่ตรงหน้า
“ผมมาแล้ว” เจ้าของเสียงทุ้มเดินเข้ามาพร้อมยกมือไหว้ผู้เป็นแม่และพ่อ ก่อนจะปรายตามองไปหาว่าที่เจ้าสาวด้วยสีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์ แสยะยิ้มให้อย่างเหยียดหยาม
รามันอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีซีด กางเกงยีนสภาพขาดรุ่งริ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา ซึ่งสภาพแบบนี้เขาก็จงใจทำ เพื่อทำให้เจ้าสาวที่ไม่รู้ว่าคือใครนั้นอับอาย
“จะเริ่มงานเลยไหมครับ ก่อนที่ผมจะเปลี่ยนใจ” เอ่ยเสียงเหี้ยมพร้อมกับเดินไปกระชากตัวของเจ้าสาวเข้ามาหาแล้วกดริมฝีปากหนาลงไปที่แก้มนวล ทุกคนต่างตกใจทำสีหน้าเหลอหลากันไปหมด
“ว้าย!!” ช้องนางร้องลั่นเมื่อโดนกระชากอย่างแรงแถมยังโดนหอมแก้มทั้งซ้ายและขวา
“หอมแบบนี้ นี่เอง แม่ฉันถึงต้องจ่ายเงินไปเป็นสิบล้านกับค่าตัวของเธอ ว่าแต่หากินแบบนี้มากี่รายแล้วแม่โสเภณี”
รามันสาดกระหน่ำความร้ายกาจให้เห็นทันที คำพูดของเขาทำให้ทุกคนต่างอึ้ง ขนาดโรสยังยกมือขึ้นมาทาบอก ไม่คิดว่าลูกชายจะพูดแรงและไม่ให้เกียรติผู้หญิงถึงขนาดนี้
“ทำไมพูดแบบนี้เจ้ารามัน พ่อไม่เคยสอนให้แกพูดดูถูกผู้หญิงแบบนี้นะ ขอโทษหนูนางซะ” น้ำเสียงเหี้ยมเอ่ยสั่งพร้อมกับจ้องมองลูกชายตาเขม็ง ไม่พอใจในการกระทำและคำพูด
“ไม่จำเป็นครับพ่อ ผมไม่เห็นความจำเป็นต้องขอโทษ ในเมื่อมันจริงทุกอย่าง แล้วนี่จะเริ่มงานเลยไหมครับ ก่อนที่ผมจะเปลี่ยนใจ” มือหนาบีบรัดข้อมือสวยแน่น ก่อนจะกระชากให้เดินตามไปหน้างาน
โรสส่ายหน้าอออกมากับการกระทำของลูกชาย ก่อนจะร้องห้ามสามีไม่ให้ตามไปเอาเรื่องลูกชาย รู้ดีว่านิสัยลูกชายเป็นอย่างไร ห่าม เถื่อน เย็นชา แต่ไม่ได้ใจร้ายอย่างที่แสดงออกมา แต่ลูกชายหล่อนนั้นแสดงความอ่อนโยนไม่เป็น
และยังคงช้ำกับความรักครั้งเก่า ที่ทำให้เกือบไม่เป็นผู้เป็นคน เพราะถูกหลอกถึงสองครั้งสองครา หล่อนก็หวังว่าลูกสะใภ้จะช่วยบำบัดรักษาจิตใจของลูกชายให้กลับมาเป็นเช่นเดิม
และเมื่อเห็นว่ารามันกำลังก้าวลิ่วๆ เข้าไปในงาน ทั้งที่ยังคงแต่งตัวแบบนั้น โรสก็ร้องถามเสียงดังลั่น
“เจ้ารามันแกจะไม่แต่งตัวก่อนหรือไง” รู้อยู่แล้วว่าลูกชายตัวดีคงแต่งแบบนี้มาเพื่อประชดประชัน แต่หล่อนก็ไม่ใส่ใจ ในเมื่ออยากแต่งแบบนี้ก็ตามสบาย หล่อนก็ไม่ขัด
และเมื่อเริ่มพิธี โรสก็ลมแทบจับอีกหน เมื่อลูกชายโยนแหวนหมั้นราคานับสิบล้านทิ้ง แล้วหยิบแหวนดอกหญ้าขึ้นมาแทน
“แหวนราคานับสิบล้านแบบนี้ มันไม่เหมาะกับผู้หญิงหากินแบบนี้หรอกครับ มันต้องแหวนดอกหญ้า ถึงจะเหมาะสมกัน”
มุมปากเหยียดตรง แววตานั้นส่อถึงความรู้สึกที่มีได้เป็นอย่างดี มันทั้งชิงชัง เหยียดหยาม และรังเกียจ
ฝ่ายเจ้าสาวนั้นก็ได้แต่ก้มหน้ารับคำพูดที่โหดร้าย ช้องนางไม่รู้ว่าจะตอบโต้ไปอย่างไร ยิ่งเห็นสายตาที่มีแต่ความเย้ยหยันคู่นั้น ก็ต้องเม้มริมฝีปากแน่น ข่มความรู้สึกเศร้าและอายเอาไว้ ที่สำคัญหล่อนไม่อยากทำให้โรสและราเชน ต้องเสียหน้าไปมากกว่านี้ เพราะแค่นี้แขกผู้ร่วมงานต่างก็ซุบซิบนินทากันหนาหูแล้ว
ขนาดอชินและนุชนาถ ที่ต่างอยากเห็นใบหน้าของพี่เขยต่างก็ยืนอึ้ง ทำอะไรไม่ถูก มองหน้ากันแล้วลอบกลืนน้ำลายก้อนเหนียวแทบไม่ลงคอ ไม่คิดเลยว่าว่าที่สามีของพี่สาวจะเป็นคนร้ายกาจขนาดนี้ ไม่ให้เกียรติกันเลย นุชนาถเม้มริมปากแน่นอย่างขุ่นเคืองใจ
อยากจะเข้าไปต่อว่า แต่ก็ไม่สามารถทำได้ ในเมื่อพี่สาวขยับริมฝีปากบอกออกมาว่าไม่เป็นไร ที่สำคัญหล่อนรู้สึกเกรงใจโรส
ความบ้าบิ่นและป่าเถื่อนของรามัน ไม่ได้มีเพียงเท่านี้ พอสวมแหวนหมั้นเสร็จ มือหนาก็กระชากตัวเจ้าสาวเข้ามาใกล้ พลันประกบปากจูบอย่างรุนแรง สั่งสอนที่บังอาจกล้ามาแต่งงานกับตน แล้วกระซิบชิดริมหูขาว
“นี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้นนะแม่เศษดิน เธอต้องเจอความร้ายกาจของฉันอีกเยอะ” เอ่ยเสียงเข้ม ผลักให้เจ้าสาวออกห่าง ก่อนจะร้องถามหาทะเบียนสมรส
“นี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้นนะแม่เศษดิน เธอต้องเจอความร้ายกาจของฉันอีกเยอะ” เอ่ยเสียงเข้ม ผลักให้เจ้าสาวออกห่าง ก่อนจะร้องถามหาทะเบียนสมรส“หมั้นแล้ว ไหนล่ะทะเบียนสมรสมันจะได้เสร็จเร็วๆ”ราเชนลอบถอนหายใจนับสิบครั้ง รู้สึกสงสารลูกสะใภ้ ไม่รู้ว่าจะรับมือลูกชายของตนได้หรือไม่ งานนี้มีหวังลูกสะใภ้ต้องน้ำตาตก ช้ำใจเป็นแน่ทันทีที่ทะเบียนสมรสวางอยู่ตรงหน้า รามันก็คว้าปากกาด้ามทองเซ็นชื่อลงไปทันที แล้วหันมาหาช้องนาง“เซ็นซะสิ จะได้เป็นเมียที่ถูกต้องของไอ้รามันคนนี้” ยื่นปากกาให้ และเมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังนิ่ง ไม่ทำตามคำที่บอก ใบหน้าคมก็ก้มลงมาใกล้ใบหน้านวลอีกครั้ง“จดซะ อยากเป็นเมียฉัน ก็รีบจด อย่าลีลาให้มาก ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจ แล้วเธอจะไม่ได้เงินสิบล้านตามที่ตกลงกับแม่ฉัน” พูดเสียงห้วนใส่ช้องนางเม้มริมฝีปากแน่น พลางเงยหน้าขึ้นมาสบตากับคนสั่ง‘นี่เขาไม่คิดจะพูดดีๆ หรือให้เกียรติเธอบ้างหรืออย่างไร ยังไงเธอก็เป็นผู้หญิงนะ ทำไมแต่ละคำที่พูดออกมามีแต่ถ้อยคำที่หยามเหยียดและดูถูก’ แต่ไม่นานก็ต้องหลบสายตาลงต่ำเพราะไม่อาจทนมองสายตาคู่นี้ได้เมื่อเห็นว่าโรสพยักหน้าให้ทำตาม มือสวยก็จรดปลายปากกาเซ็นชื่
บทที่1เจ้าสาวของอสูรบรรยากาศยามเช้าของกลางไร่ส้มเริ่มมีลมหนาวโชยมาให้รู้สึกหนาวกาย เหล่าคนงานทำงานอย่างขะมักเขม้น บางคนเก็บผลผลิต บางคนกำลังลงแปลงปลูกต้นส้มเพื่อทดแทนต้นเก่าที่ตายไป ส่วนบางคนก็ทำหน้าที่คัดผลส้มตามขนาดไซส์เพื่อส่งขายไร่ส้มแห่งนี้กินเนื้อที่มากกว่าหนึ่งพันไร่ โดยมีชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมเข้มอย่าง รามัน อิศรเวชเป็นเจ้าของ ซึ่งเขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูลอิศวรเวช ที่สาวๆ ในจังหวัดต่างใฝ่ฝันที่จะครอบครองหัวใจ เพราะชายหนุ่มนั้นเพอร์เฟกต์ไปซะทุกอย่าง ทั้งหน้าตาและฐานะแต่สำหรับเขารามัน อิศรเวชไม่เคยคิดที่จะเอาห่วงมาผูกคอ เขาคิดว่าการมีเมียช่างเป็นปัญหาใหญ่ และวุ่นวายในชีวิตการที่รามันไม่เคยสนใจจะหาคู่ครองทั้งๆ ที่อายุของตนก็เข้าใกล้เลขสี่เต็มที่แล้ว ทำให้คุณหญิงโรสผู้เป็นมารดาหนักใจซะเหลือเกินกับปัญหานี้ ถึงกับกุมขมับทุกครั้งที่เอ่ยถึง ในเมื่อหล่อนให้เวลากับลูกชายหัวดื้อหาเมียเองแล้ว แต่ลูกชายกลับเฉย ไม่คิดที่จะหาเมีย หล่อนนี่ละจะเป็นคนจัดการหาให้เอง“แม่ว่าไงนะครับ แม่จะให้ผมแต่งงาน” รามันตะโกนถามลั่นผ่านสายโทรศัพท์ไปยังมารดาด้วยน้ำเสียงตกใจเมื่อได้ยินสิ
“นี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้นนะแม่เศษดิน เธอต้องเจอความร้ายกาจของฉันอีกเยอะ” เอ่ยเสียงเข้ม ผลักให้เจ้าสาวออกห่าง ก่อนจะร้องถามหาทะเบียนสมรส“หมั้นแล้ว ไหนล่ะทะเบียนสมรสมันจะได้เสร็จเร็วๆ”ราเชนลอบถอนหายใจนับสิบครั้ง รู้สึกสงสารลูกสะใภ้ ไม่รู้ว่าจะรับมือลูกชายของตนได้หรือไม่ งานนี้มีหวังลูกสะใภ้ต้องน้ำตาตก ช้ำใจเป็นแน่ทันทีที่ทะเบียนสมรสวางอยู่ตรงหน้า รามันก็คว้าปากกาด้ามทองเซ็นชื่อลงไปทันที แล้วหันมาหาช้องนาง“เซ็นซะสิ จะได้เป็นเมียที่ถูกต้องของไอ้รามันคนนี้” ยื่นปากกาให้ และเมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังนิ่ง ไม่ทำตามคำที่บอก ใบหน้าคมก็ก้มลงมาใกล้ใบหน้านวลอีกครั้ง“จดซะ อยากเป็นเมียฉัน ก็รีบจด อย่าลีลาให้มาก ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจ แล้วเธอจะไม่ได้เงินสิบล้านตามที่ตกลงกับแม่ฉัน” พูดเสียงห้วนใส่ช้องนางเม้มริมฝีปากแน่น พลางเงยหน้าขึ้นมาสบตากับคนสั่ง‘นี่เขาไม่คิดจะพูดดีๆ หรือให้เกียรติเธอบ้างหรืออย่างไร ยังไงเธอก็เป็นผู้หญิงนะ ทำไมแต่ละคำที่พูดออกมามีแต่ถ้อยคำที่หยามเหยียดและดูถูก’ แต่ไม่นานก็ต้องหลบสายตาลงต่ำเพราะไม่อาจทนมองสายตาคู่นี้ได้เมื่อเห็นว่าโรสพยักหน้าให้ทำตาม มือสวยก็จรดปลายปากกาเซ็นชื่
โรสตวัดใบหน้ากลับมาแล้วส่งค้อนวงโตให้สามีที่ชอบพูดเข้าข้างลูกชาย รวมทั้งพูดถึงว่าที่ลูกสะใภ้อย่างช้องนาง ช้องนาง ชินนุรัตน์คือหญิงสาวใบหน้าคมอายุยี่สิบห้าปี ลูกสาวคนโตของอนุวัต เพื่อนของโรสในสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ผู้ซึ่งมาหยิบยืมเงินไปจุนเจือครอบครัวเนื่องจากบริษัทของครอบครัวล้มละลาย ทำให้ครอบครัวชินนุรัตน์สิ้นเนื้อประดาตัว และนี่ก็เป็นจุดที่ทำให้โรสได้รู้จักกับช้องนาง เพราะเจ้าหล่อนมาขอทำงานที่บริษัทเพื่อชดใช้หนี้ที่เกิดขึ้น แต่จุดพลิกผันสำหรับครอบครัวชินนุรัตน์ ก็คืออุบัติเหตุครั้งสำคัญ ที่ทำผู้เป็นเสาหลักของครอบครัวนั้นสูญเสียขาไป ทำให้ช้องนางต้องแบกรับทำหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัวแทน ต้องหาเงินส่งเสียน้องทั้งสองเรียนต่อ และยังต้องหาเงินมารักษาผู้เป็นพ่อ โรสนั้นเห็นในความขยันและรักครอบครัวหล่อนจึงยื่นข้อเสนอให้ ซึ่งก็คือการแต่งงานกับลูกชายหัวดื้อเพื่อแลกกับเงินค่ารักษาอนุวัตและส่งน้องชายน้องสาวของช้องนางเรียนจนจบ ซึ่งฝ่ายช้องนางก็ยอมตกลง “โธ่คุณ!! ไม่สงสารหนูนางบ้างหรือไงที่ต้องมารองรับอารมณ์ดิบเถื่อนของลูกเรา” ถึงจะรู้ดีว่าสิ่งที่ภรรยาทำลงไปนั้นก็เพื่อให้ลูกชายหลุดพ้นจากความเศร
บทที่1เจ้าสาวของอสูรบรรยากาศยามเช้าของกลางไร่ส้มเริ่มมีลมหนาวโชยมาให้รู้สึกหนาวกาย เหล่าคนงานทำงานอย่างขะมักเขม้น บางคนเก็บผลผลิต บางคนกำลังลงแปลงปลูกต้นส้มเพื่อทดแทนต้นเก่าที่ตายไป ส่วนบางคนก็ทำหน้าที่คัดผลส้มตามขนาดไซส์เพื่อส่งขายไร่ส้มแห่งนี้กินเนื้อที่มากกว่าหนึ่งพันไร่ โดยมีชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมเข้มอย่าง รามัน อิศรเวชเป็นเจ้าของ ซึ่งเขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูลอิศวรเวช ที่สาวๆ ในจังหวัดต่างใฝ่ฝันที่จะครอบครองหัวใจ เพราะชายหนุ่มนั้นเพอร์เฟกต์ไปซะทุกอย่าง ทั้งหน้าตาและฐานะแต่สำหรับเขารามัน อิศรเวชไม่เคยคิดที่จะเอาห่วงมาผูกคอ เขาคิดว่าการมีเมียช่างเป็นปัญหาใหญ่ และวุ่นวายในชีวิตการที่รามันไม่เคยสนใจจะหาคู่ครองทั้งๆ ที่อายุของตนก็เข้าใกล้เลขสี่เต็มที่แล้ว ทำให้คุณหญิงโรสผู้เป็นมารดาหนักใจซะเหลือเกินกับปัญหานี้ ถึงกับกุมขมับทุกครั้งที่เอ่ยถึง ในเมื่อหล่อนให้เวลากับลูกชายหัวดื้อหาเมียเองแล้ว แต่ลูกชายกลับเฉย ไม่คิดที่จะหาเมีย หล่อนนี่ละจะเป็นคนจัดการหาให้เอง“แม่ว่าไงนะครับ แม่จะให้ผมแต่งงาน” รามันตะโกนถามลั่นผ่านสายโทรศัพท์ไปยังมารดาด้วยน้ำเสียงตกใจเมื่อได้ยินสิ