เมื่อโฉมงามมีท่าทางยั่วยวนเช่นนี้ บุรุษใดไหนเลยจะทานทนได้แต่ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือถึงกายนาง จ้าวกุ้ยอินกลับถามอย่างเกรี้ยวกราด “ท่านจะทำอะไรน่ะ”เยี่ยนหยางจงดึงมือของตนเองกลับมา พลางจ้องมองคนตรงหน้าอย่างงงงัน เมื่อครู่นางยั่วยวนเขาชัด ๆ แต่ยามนี้กลับใส่อารมณ์ หรือว่าตนเองจะเข้าใจอะไรผิด? จึงพยายามระงับความร้อนรุ่มสายหนึ่งที่กำลังพลุ่งพล่านอยู่ภายในหลังจากใคร่ครวญครู่หนึ่ง ก็คิดว่านางอาจจะร้อนจริง ๆ ก็ได้ เพราะพอกวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้องหอ เห็นหน้าต่างปิดเสียสนิททุกบาน ในห้องยังจุดกระถางกำยานกลิ่นค่อนข้างแรง นางใส่ชุดแต่งงานหนาชั้น ย่อมอึดอัดไม่สบายตัวเมื่อได้คำตอบที่สมเหตุสมผลแล้ว จึงตัดสินใจเดินไปหน้าประตู “เด็ก ๆ ไปเอาน้ำแข็งกับผ้าเช็ดหน้ามาให้ฮูหยิน”ยามนี้ลมฤดูสารทพัดมาแล้ว อากาศในตอนกลางคืนเริ่มหนาวเย็น แล้วคู่บ่าวสาวจะต้องการน้ำแข็งดับร้อนไปเพื่อสิ่งใดกัน แม้จะประหลาดใจกับคำสั่ง แต่สาวใช้ก็รีบรับคำแล้วไปนำของที่เจ้านายต้องการมาอย่างรวดเร็วสาวใช้กลับมาถึงก็นำน้ำแข็งและผ้าเข้ามาวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียง เสร็จแล้วจึงหมุนตัวออกจากห้องไป ไม่แม้แต่จะเหลือบมองคู่บ่าวสาวจ้าวกุ้ยอินที่กำลัง
พอตัดสินใจได้แล้ว เยี่ยนหยางจงจึงสาวเท้ากลับมาที่เตียง หลังจากนั่งลงก็ค่อย ๆ ใช้ฝ่ามือกะเทาะน้ำแข็งจนกลายเป็นก้อนเล็ก ๆ แล้วใช้ผ้าห่อเอาไว้ จากนั้นจึงนำไปประคบบนหน้าผากของจ้าวกุ้ยอิน“อือ... อืม...” ริมฝีปากอิ่มงามส่งเสียงครางเบา ๆ อย่างพึงใจให้ตายเถอะ! เยี่ยนหยางจงชักมือกลับมาทันที รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกสาป “นี่ ตั้งใจหน่อยสิ คนกำลังสบาย” จ้าวกุ้ยอินตวาดแหวขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อครู่นางรู้สึกดีขึ้นแล้ว แต่เจ้าตัวโง่งมตรงหน้ากลับหยุดมือ ทำให้ตอนนี้ความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวนั่นกลับมาอีกแล้ว “หรือว่างานแค่นี้หนักหนาเกินไปสำหรับซื่อจื่อไคกั๋วกง”พอได้ยินว่าจากระทบกระเทียบ คิ้วกระบี่พลันกระตุก สตรีผู้นี้ช่างปากร้ายและเอาแต่ใจยิ่งนักดี! ในเมื่อนางไม่ถือสา เหตุใดข้าต้องเกรงใจ เยี่ยนหยางจงละทิ้งความเก้อกระดากไปจนสิ้น หันกลับไปเผชิญกับจ้าวกุ้ยอินอีกครั้ง พลันกระหวัดเอวรั้งร่างบางเข้าหาตนเอง ทั้งสองแนบชิดสนิทแน่น ใบหน้าของพวกเขาอยู่ห่างกันเพียงนิดเดียวเท่านั้น สองสายตาประสานกันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง“วะ...ว๊าย” จ้าวกุ้นอินเบิกนัยน์ตา อ้าปากค้าง พยายามดันเขาออกไป แต่ไม่สามารทำได้ครั้นเห
คลายความกังวลและหวาดระแวงในใจลงได้ เช่นนั้นถือว่าสวรรค์เป็นใจให้พวกเขาได้ร่วมหอ เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงไวขึ้นอีกหน่อยก็แล้วกันครั้นคิดตกแล้ว ความรู้สึกก็ผ่อนคลายลงเยี่ยนหยางจงผละริมฝีปากออกอย่างเชื่องช้า พลางสบนัยน์ตาหวานหยาดเยิ้ม ก่อนก้มลงประทับจุมพิตที่ลำคอขาวผ่อง ยามริมฝีปากและลมหายใจร้อนลวกผิวที่ลำคอ ความรู้สึกหวิวซ่านพลันแล่นพล่าน จ้าวกุ้ยอินสั่นสะท้าน แหงนหงายศีรษะ หลับตาพริ้ม ปล่อยให้ลิ้นอุ่นชื้นโลมเลียขยายอณาเขตไปเรื่อย ๆ ยามนี้รู้เพียงว่าสัมผัสจากบุรุษตรงหน้าทำให้นางคลายทรมานจากความร้อนที่สุมอยู่ภายในแต่ส่วนลึกยังคงพยายามต้านทานการกระทำอุกอาจนี้ไม่หยุด“จะ... เจ้าจะทำอะไร” จ้าวกุ้ยอินถามด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า“ก็คลายร้อนให้ภรรยาตามคำสั่งอย่างไรเล่า” เยี่ยนหยางจงกระซิบตอบ ขณะประทับรอยจูบบนไหปลาร้าขาวเนียน พลางหัวเราะเบา ๆ ในลำคอมือทั้งสองเริ่มเคลื่อนไหวไปตามแผ่นหลังและสาบเสื้อของนาง ครั้นค้นพบสายรัดเอวก็ใช้แรงเพียงไม่มากกระชากออกไป อาภรณ์ที่แต่เดิมรุ่ยร่ายไหลหล่นจากลาดไหล่ ไม่ทันไรร่างอรชรก็เหลือเพียงเอี๊ยมสีแดงสดกับกางเกงชั้นในตัวบางเท่านั้นครั้นความเย็นกระทบผิว สติก็เหม
เมื่อรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายผ่อนคลายลงแล้ว เยี่ยนหยางจงจึงขยับสะโพกเบา ๆ ในขณะที่มือทั้งสองข้างออกแรงช้อนร่างแบบบางขึ้นลงช้า ๆ แม้จะไม่เคยผ่านเรื่องเช่นนี้มาก่อน แต่ธรรมชาติย่อมนำพาให้ทุกอย่างเป็นไป จ้าวกุ้ยอินเริ่มขยับกายตามจังหวะที่เขานำพา จากเนิบช้า กลายเป็นเร่งเร้า ในที่สุดต้องส่ายสะโพกบดเบียดแท่งเพลิงร้อนลวกที่ฝังอยู่ในกายนาง จึงค่อยคลายทรมานจากความหิวโหยอันไม่รู้ที่มาก่อนหน้านี้ทว่าการกระทำแสนเงอะงะไม่เพียงพอให้บุรุษตรงหน้าอิ่มเอม“อินเอ๋อร์คงไม่ไหว เช่นนั้นจงนอนลงแล้วให้สามีช่วยเถิดนะ” เขาออดอ้อนเสียงสั่น หวังว่านางจะเลิกดื้อ แล้วยินยอมถูกควบขี่อย่างที่ควรจะเป็น“มะ... ไม่ ไม่เอานะ”“เช่นนั้นก็ทำอะไรสักอย่างสิ หาไม่แล้วสามีคงต้องลงมือรังแกอินเอ๋อร์จริง ๆ แน่” เสียงกระซิบทุ่มนุ่มยั่วเย้า เขากล่าวที่เล่นทีจริง พลางยกสะโพกกลมมนขึ้นลงรวดเร็วขึ้น บอกใบ้ให้นางกระทำตามบทเรียนอันวาบหวามนี้จ้าวกุ้ยอินสับสนไปหมด ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่พอร่างกายเคลื่อนไหวตามการนำพาของเขา ความรู้สึกปลาบแปลบพลันแล่นลามไปทั้งกาย บังเกิดความหวามไหวซ่านเสียวสุขสมอย่างไม่เคยเป็นนางจับบ่าทั้งสองของเขาเป็นหลักยึด แล
“อะ...อื้อ” นางตกใจจึงตอบออกไปโดยไม่ได้คิดใบหน้าคมสันยามประดับด้วยรอยยิ้มบาง ๆ กลับแลดูอบอุ่นอ่อนโยนยิ่ง จ้าวกุ้นอินถึงกับเหม่อไปชั่วครู่แต่แล้วภาพใบหน้าเย้ายวนยามเขาครวญครางเรียกชื่อนางก็ลอยเข้ามาในห้วงจำ พาให้ใบหน้างามร้อนผ่าว โลหิตสูบฉีดจนแดงก่ำด้วยความอุทธัจผ่านไปชั่วครู่ พอได้สติคืนมา จ้าวกุ้ยอินพยายามทำเสียงจริงจัง แล้วใช้มือข้างที่เหลือผลักเขาออกไป“นี่...ปล่อยข้าได้แล้ว” “อะไรกัน พอสมใจแล้วก็ผลักไสสามีเลยหรือ ช่างใจร้ายเสียจริง” คิ้วเข้มมุ่นขมวด ดวงตาสีดำราวน้ำหมึกฉายแววตัดพ้อ หากเหล่าแม่นางน้อยได้มองคงเห็นใจเขาสุดประมาณ“เหลวไหล!” นางตวาดแหว แต่ความเป็นจริงก็รู้อยู่แก่ใจ ว่าเมื่อคืนตนเองทำอะไรต่อมิไรกับเขาตั้งมากมาย“พูดแบบนี้ อย่าบอกนะว่าจะไม่รับผิดชอบ?” เขาจดจ้องนางเขม็ง ทำประหนึ่งว่าจะไม่ยอมถูกเอาเปรียบอย่างเด็ดขาด“รับผิดชอบอะไร เพ้อเจ้อ” จ้าวกุ้ยอินถลึงตาใส่คนตัวโตที่ทำท่าราวกับไม่ได้รับความเป็นธรรม คิดว่าอย่างไรจะไม่ยอมรับเด็ดขาด ต่อให้เรื่องทุกอย่างจริงยิ่งกว่าจริง ก็นางไม่ได้รักชอบเขาเสียหน่อย มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่“เช่นนั้นจงดูที่อินเอ๋อร์ทำกับสามีเอาเองก็แล้วก
หากผู้ใดมาเห็นเข้า…ตนเองจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนครั้นคนตัวโตกำลังจะลุกไปยังขอบเตียง หัวใจนางพลันหล่นวูบ หากปล่อยให้เหล่าสาวใช้เห็นร่องรอยที่ตนเองเพียรฝากไว้บนกายเขาเมื่อคืน นางคงต้องวิ่งเอาศีรษะโขกกำแพงหนีความอายเป็นแน่ไม่ได้...ไม่ได้ ข้าจะให้ใครเห็นสภาพของเขาไม่ได้ทั้งสิ้น!แต่ทันใดนั้นมีเสียงขออนุญาตดังเข้ามา แล้วบุรุษปากไวก็รีบตอบรับ โดยไม่สนใจว่ายามนี้เขากับนางอยู่ในสภาพน่าอายขนาดไหน จ้าวกุ้ยอินกัดฟัน ข่มความปวดแปลบที่แล่นลามอยู่ตามเนื้อตัว กระโจนใส่เยี่ยนหยางจงสุดแรง จนทั้งสองล้มลงบนฟูกอีกครั้ง นางรีบคว้าผ้าห่มมาคลุมกายของพวกเขาไว้ทันทีคิ้วกระบี่ขมวดเล็กน้อย แต่คลายออกอย่างรวดเร็ว เยี่ยนหยางจงรู้สึกอารมณ์ดีอย่างประหลาด ริมฝีปากบางเผยรอยยิ้มกรุ่มกริ่ม ผู้เป็นภรรยาช่างขยันสร้างความครึกครื้นเสียจริง เช่นนั้นเขาก็จะเล่นกับนางด้วยทั้งที่นอนนิ่งเหมือนให้ความร่วมมือ ทว่าสองมืออุ่นร้อนกลับเคลื่อนไหวไปตามเรือนร่างนุ่มลื่นราวแพรไหมอย่างย่ามใจ ทั้งยังลอบแตะจูบบนริมฝีปากและแก้มของนางซ้ำ ๆ จนจ้าวกุ้ยอินต้องถลึงตาใส่บุรุษที่ตนเองทาบทับอยู่ เป็นเชิงว่าหากไม่ยอมอยู่เฉย ๆ นางจะฉีกเขาให้เป็นชิ้น ๆ
ไอน้ำลอยฟุ่งคล้ายม่านหมอก กลิ่นน้ำมันหอมชวนสดชื่น น้ำร้อนช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ แต่จ้าวกุ้ยอินกลับนั่งเกร็ง ถลึงตาจ้องเขม็งเสียทุกครั้งที่คนตรงหน้าขยับกาย เพราะไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรกับตนเองอีกเยี่ยนหยางจงเห็นท่าทางตื่นตระหนกของนางก็อดอมยิ้มไม่ได้ ท่านหญิงกุ้ยอินที่ปกติมักวางตัวสูงส่งยากเอื้อมถึง ครานี้กลับทำอันใดไม่ถูก แววตาที่เคยพยศดังนางม้าป่า บัดนี้ไม่ต่างอะไรกับกวางน้อยที่กำลังแตกตื่น จากการถูกพยัคฆ์เช่นเขาจดจ้องยามนี้ฤทธิ์กำยานปลุกกำหนัดถูกถอนจนหมดไม่มีเหลือ ดูท่าคนงามคงกำลังสับสนว้าวุ่นใจกับการกระทำของตนเองเมื่อคืนอยู่เป็นแน่ เช่นนั้นเขาควรให้นางได้ผ่อนคลายบ้าง“อินเอ๋อร์แสดงความรักอย่างร้อนแรงทั้งคืนคงจะเหนื่อยมาก เช่นนั้นก็แช่น้ำสักครู่ให้สบายตัวเถิด ไม่ต้องปรนนิบัติสามีทำธุระเช้าก็ได้”ถ้อยคำหยอกเย้าแสนระคายหู จ้าวกุ้ยอินเหลือบตาขึ้นมองคนหลงตัวเอง แม้รู้สึกว่าอีกฝ่ายช่างหน้าหนา แต่ก็ฝืนข่มอารมณ์เอาไว้ เพราะหากต้องเลือกระหว่างทนอายคนแค่ผู้เดียว กับการถูกบ่าวไพร่ซุบซิบนินทา นางขอเลือกอย่างแรกทว่าในเมื่อไล่คนออกไปหมดแล้ว นางคงมีแต่ต้องรับผิดชอบคำพูดของตนเอง“หา
หลังจากแม่นมสวีออกจากห้องหอไปแล้ว เยี่ยนหยางจงยังพยายามชักจูงให้จ้าวกุ้ยอินเปลี่ยนใจ แต่นางดึงดันจะไปคารวะน้ำชาพ่อกับแม่สามีให้ได้ ครั้นเห็นสายตามุ่งมั่นที่ส่งมาเขาจึงพยักหน้าตกลงในที่สุด“ตอนนี้ยังมีเวลา พวกบ่าวจะรีบแต่งกายให้ท่านหญิง รับรองว่าต้องงดงามแน่นอน ซื่อจื่อออกไปรอข้างนอกก่อนนะเจ้าค่ะ” นางกำนัลชิวเยวี่ยกล่าวกับท่านเขยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ฝากพวกเจ้าด้วย” กล่าวจบเยี่ยนหยางจงก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องพอท่านเขยจากไป นางกำนัลทั้งสามที่รอท่าอยู่แล้วรีบกุลีกุจอพาจ้าวกุ้ยอินไปยังหลังฉากกั้น จัดการสวมอาภรณ์ผ้าไหมอันงดงามที่เตรียมเอาไว้อย่างรวดเร็ว เสร็จแล้วจึงประคองนายหญิงไปที่โต๊ะเครื่องแป้งชิวสุ่ยบรรจงเกล้ามวยตกหลังอาชา โดยเลือกชุดปิ่นทับทิมซึ่งเป็นของหมั้นประดับบนเรือนผม ส่วนชิวอิงเปิดตลับเครื่องประทินโฉมแล้วทาแป้งลงบนใบหน้าสวยได้รูป จบด้วยการกระตวัดปลายพู่กันวาดคิ้วโก่งสมบูรณ์แบบเพียงไม่นานภาพสตรีงดงามเฉิดฉันก็สะท้อนบนคันฉ่องสำริดความเคลื่อนไหวทำให้เยี่ยนหยางจงผินหน้าไปยังต้นเสียง เห็นชิวเยวี่ยประคองจ้าวกุ้ยอินออกมาจากห้องด้านในวันนี้นางสวมกระโปรงหรูฉวินรัดใต้อกสีแดงปักลายดอก
เถิด นี่มันบนรถม้านะ” จ้าวกุ้ยอินรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว จึงพยายามไม่มองเขา แล้วเอ่ยปราม“อ่อ ถ้าเป็นที่อื่น สามีไม่ต้อง...”“หยุดเดี๋ยวนี้เลย!”“ก็ได้...ก็ได้ ข้าไม่แกล้งเจ้าแล้ว” ครั้นสัมผัสได้ถึงโทสะจาง ๆ ในน้ำเสียงภรรยาอีกครั้ง เยี่ยนหยางจงก็รีบออกปาก พลางดึงนางเข้ามาซบในอ้อมอก แล้วเอ่ยอย่างนุ่มนวน “กว่าจะกลับถึงจวนคงอีกนาน อินเอ๋อร์ก็พักผ่อนเถิด”“ข้า...ข้านอนแบบนี้ไม่ถนัด ท่านก็ขยับไปตรงโน้นสิ ผู้อื่นจะได้นอนลงบนตั่ง”“ตรงนี้ดีแล้ว” พูดพลางกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นอีก ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อย“...” จ้าวกุ้ยอินไร้วาจา ได้แต่ลอบตำหนิอยู่ในใจ บุรุษผู้นี้เผด็จการเหลือร้าย แม้ปากจะเอ่ยคำหวาน แต่ไม่เคยยินยอมให้นางปฏิเสธเขาแม้แต่หนเดียว จึงจำต้องโอนอ่อน หลับตาลงในอ้อมกอดแต่โดยดีรถม้าเคลื่อนไปบนถนนศิลาอย่างช้า ๆ ทั้งสองไม่ได้สนทนาอะไรกันอีก มีเพียงสัมผัสจากริมฝีปากอุ่นประทับเบา ๆ ลงบนหน้าผากของจ้าวกุ้ยอินอยู่เป็นระยะ เดิมทีนางคิดว่าอีกฝ่ายแค่แสดงละครฉากใหญ่ให้ผู้อื่นคิดว่าเขาเป็นสามีตัวอย่าง และตนเองเป็นสตรีผู้โชคดีแต่ยามนี้พวกเขาอยู่กันตามลำพัง ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเสแสร้งหรือว่า...เขามี
“ชู่ว์...อย่าเอ็ดไป เจ้าไม่กลัวคนข้างนอกได้ยิน แล้วสงสัยว่าเรา...กำลัง...ทำอะไรกันอยู่...?” เมื่อเห็นคนปากเก่งแนบตนเองไว้กับผนังรถม้าอย่างเอาเป็นเอาตาย ถลึงตาใส่ขู่ฟอด ๆ อย่างกับแมวน้อย เยี่ยนหยางจงก็เผยรอยยิ้มลำพองใจ“เจ้า...เจ้า...เจ้ามันชั่วช้าสารเลว กักฬะสิ้นดี”“น้องหญิงเรียกแบบนี้ใช้ไม่ได้นะ นี่สามี...ใช่คนชั่ว คนสารเลวที่ไหนกัน” เยี่ยนหยางจงส่งสายตาหยอกเย้า พลางหัวเราะเบา ๆ อย่างไม่สะทกสะท้าน“คนถ่อย!” ยิ่งเห็นท่าทางยียวนและได้ยินถ้อยคำที่เขาเรียกขานนางอย่างสนิทสนมราวกับคู่สามีภรรยาที่รักกันดูดดื่ม นอกจากจะขนลุกแล้ว ยังรู้สึกโมโหมากขึ้นด้วย คนผู้นี้จงใจยั่วโทสะนางชัด ๆ จึงส่งสรรพนามใหม่ไปให้อีกคำ“อะไรกันเมื่อครู่ตอนอยู่ต่อหน้าท่านพ่อตายังเรียกข้า ‘ท่านพี่’ อยู่แท้ ๆ”“คนน่ารังเกียจ!”“อินเอ๋อร์...จำได้ว่าเราเคยพูดเรื่องนี้กันแล้ว สามีให้โอกาสเจ้าเรียกใหม่”“เจ้าจะทำไม ข้าพอใจจะเรียกแบบนี้ คนชั่ว คนสารเลว คนถ่อย คนบ้าอำนาจ...” จ้าวกุ้ยอินไม่ยอมแพ้ ยังคงเอ่ยสรรพนามไม่น่าฟังใส่เขาอย่างต่อเนื่อง“สามีเตือนเจ้าแล้ว”“หึ! คิดว่าผู้อื่นต้องกลัวเจ้าหมดงั้นสิ” จ้าวกุ้ยอินเชิดหน้าใส่อย่
ทันใดนั้นหลิวหยงคนสนิทของเยี่ยนหยางจงก็เดินนำคนสองสามคนเข้ามา ทว่าทุกสายตากลับไปตกอยู่ที่อาชาซึ่งถูกจูงมาทางด้านหลัง ยิ่งเข้ามาใกล้ ทุกคนในที่นั้นก็แทบลืมหายใจขนสีทองที่ปกคลุมตลอดทั้งตัวเปล่งประกายยามต้องแสงอรุณ ทั้งแข็งแรง องอาจปราดเปรียว งามสง่ายากจะหาใดเปรียบปาน“อะ...อะ...อาชาสวรรค์” จ้าวอ๋องอุทานออกมาแทบไม่เป็นคำ นับประสาอะไรกับจ้าวเฟิงเหลยที่ยืนตะลึงอ้าปากตาค้างไปแล้ว“ท่านพ่อตากล่าวได้ถูกต้อง แม้แคว้นหานจะมิได้ขาดแคลนอาชาเหงื่อโลหิต แต่รับรองว่าไม่มีผู้ใดมี ‘อาชาสวรรค์’ ไว้ในครอบครองอย่างแน่นอน”“จะ...เจ้าให้ข้า”“ไม่ผิด และหวังว่าของขวัญชิ้นนี้จะทำให้ท่านพ่อตากระจ่างในเจตนาของหยางจง” เยี่ยนหยางค้อมกายคารวะอย่างนอบน้อม น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาทั้งมั่นคงและหนักแน่น แววตาคมกล้าเผยความจริงใจใช้อาชาสวรรค์ตอบแทนที่เขายกสตรีแสนวิเศษให้! นี่เยี่ยนหยางจงกำลังจะบอกว่าธิดาของเขามีความสำคัญมากมายมหาศาลถึงเพียงนี้เชียวจ้าวอ๋องหันไปมองจ้าวกุ้ยอินปราดหนึ่ง ก่อนจะเลื่อนกลับมาที่เยี่ยนหยางจง แม้ไม่อยากจะเชื่อ แต่ในเมื่อบุตรเขยพยายามแสดงความจริงใจถึงขนาดนี้ ตนเองจะยอมเชื่อใจดูสักครั้ง“เปิ่นหวาง
หลังรับสำรับกลางวันเสร็จ จ้าวอ๋องกำลังอารมณ์ดี จึงชวนบุตรเขยกับบุตรชายไปสนทนาและร่ำสุราต่อในสวน ส่วนจ้าวกุ้ยอินกับอวี้หรูเหรินขอตัวไปเดินเล่น พูดคุยกันตามประสาสตรีขณะที่เหล่าบุรุษกำลังสนทนากันอย่างออกรส บ่าวชายผู้หนึ่งก็เข้ามารายงาน“เรียนท่านอ๋อง มีพ่อค้าจากต่างแดนกลุ่มหนึ่งอ้างว่านำของมาส่งท่านแม่ทัพ บ่าวเห็นว่าไม่มีคำสั่ง จึงให้พวกเขาไปรอที่ประตูหลัง แต่ยังไม่ให้เข้ามาขอรับ”“หากเป็นของเจ้า เหตุใดจึงให้ส่งมาที่นี่เล่า” จ้าวอ๋องหันไปถามบุตรเขย“เรียนท่านพ่อตา สิ่งที่ส่งมาคือของขวัญวันเยี่ยมบ้านภรรยาของข้า” เยี่ยนหยางจงตอบพลางอมยิ้มน้อย ๆ“ไม่ใช่ว่าส่งเข้ามาหมดแล้วหรอกหรือ” จ้าวอ๋องนึกถึงของมีค่าที่ธิดายกเข้ามาให้ก่อนหน้านี้“เพื่อตอบแทนที่ท่านพ่อตายกสตรีที่แสนวิเศษเช่นท่านหญิงให้กับข้า แน่นอนว่าของขวัญชิ้นนี้ย่อมพิเศษกว่า”คำพูดของบุตรเขยเอ่ยเป็นนัย เขาต้องการแสดงออกถึงความจริงใจที่มีต่อจ้าวกุ้ยอิน จ้าวอ๋องจึงรู้สึกสนอกสนใจขึ้นมา พลันหันไปสั่งบ่าวชายที่ยืนรออยู่ “เร็วเข้า รีบให้พวกเขาเข้ามาส่งของ หลังจากรับไว้แล้วก็เอามาให้ข้าดูที่นี่”“ช้าก่อน ท่านพ่อตา พวกเราคงต้องไปชมที่คอกม้าจึ
“ช้าก่อน” เสียงตะโกนแหบห้าวดังกังวานมาจากหัวมุมถนน ยับยั้งคำสั่งเคลื่อนขบวนรถม้าไว้ทันท่วงทีจ้าวกุ้ยอินอยู่ภายในรถทำให้ไม่เห็นสภาพภายนอก ชิวอิงจึงออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น พอเห็นร่างสูงสง่าบนหลังอาชาสีนิลกำลังออกคำสั่งให้องค์รักษ์ตั้งขบวนอารักขา พลันเลิกม่านกลับเข้ามารายงานด้วยสีหน้าตื่นเต้นยินดี “ซื่อจื่อกลับมาแล้ว ตอนนี้กำลังจัดกำลังอารักขาขบวนอยู่เจ้าค่ะ”“จัดกำลัง?” จ้าวกุ้ยอินขมวดคิ้ว ยังรู้สึกรับมือไม่ทัน“ท่านหญิงได้ยินไม่ผิดเจ้าค่ะ” พูดจบชิวอิงก็ขยับเข้ามา เลิกม่านหน้าต่างขึ้นเล็กน้อยจ้าวกุ้ยอินทอดสายตาออกไปภายนอก เห็นทหารองค์รักษ์ประมาณสิบกว่าคนกำลังตั้งขบวนอยู่ด้านหลัง จึงเข้าใจสถานการณ์อย่างแจ่มแจ้ง ความจริงแล้วบุรุษที่หายหน้าไปตั้งแต่เมื่อวาน ไม่ได้คิดจะสร้างความอัปยศให้นางโดยการให้กลับไปเยี่ยมบ้านผู้เดียวสินะรอยยิ้มสายหนึ่งปรากฏบนดวงหน้างามลออโดยไม่รู้ตัวแต่พอเห็นว่าเยี่ยนหยางจงทำท่าเหมือนจะหันมาทางนี้ นางก็รีบเก็บสายตากลับ แล้วพึมพำเสียงเบา “นับว่าเจ้าหมียักษ์ยังรู้ดีชั่ว”เยี่ยนหยางจงมองม่านหน้าต่างที่พะเยิบพะยาบด้วยแววตาล้ำลึก ก่อนบังคับอาชาไปยังหน้าขบวนรถม้าพร้อมกับห
ครั้นตื่นลืมตา จ้าวกุ้ยอินพบว่าที่ตนเองตระหนกอยู่ครึ่งค่อนคืนนั้นเสียเปล่าแล้วเยี่ยนหยางจงไม่ได้กลับมาเมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวภายในห้อง แม่นมจางเดินนำชิวอิงกับชิวเยวี่ยเข้ามาปรนนิบัติยามเช้าทันที เพราะวันนี้คู่แต่งงานใหม่ต้องกลับไปเยี่ยมบ้านเจ้าสาวตามธรรมเนียมจ้าวกุ้ยอินลุกขึ้นจากเตียงแล้วทำธุระเช้าโดยไม่อิดออด เพราะจะได้กลับจวนไปพบหน้าบิดากับพี่ชายใหญ่ ไหนจะอวี้หรูเหรินอีก เมื่อในหัวใจเกิดความยินดี ยามนี้จึงรู้สึกสดชื่นอย่างยิ่งหลังจากพลัดเปลี่ยนอาภรณ์ให้ท่านหญิงเรียบร้อยแล้ว แม่นมจางก็พาชิวเยวี่ยออกไปจากห้อง เหลือเพียงชิวอิงที่กำลังง่วนกับการแต่งหน้าทำผมให้เจ้านายภายในห้องเงียบสงบ มีเพียงเสียง “กรุ๊งกริ๊ง” ยามชิวอิงหยิบปิ่นทองประดับทับทิมปักลงบนศีรษะ จ้าวกุ้ยอินเหลือบมองเครื่องประดับชุดนั้นด้วยสายตาเย็นชา ก่อนยกมือขึ้นเป็นเชิงรั้ง “ข้าไม่เอาเครื่องประดับชุดนี้”“ทำไมเล่าเจ้าคะ? บ่าวว่าเครื่องประดับปิ่นชุดนี้งดงามอย่างยิ่ง เหมาะกับท่านหญิงเป็นที่สุด” ชิวอิงเลิกคิ้วถาม“ถ้าจำไม่ผิด ปิ่นชุดนี้คือของหมั้นที่เยี่ยนหยางจงส่งมาให้ข้า”“ใช่แล้วเจ้าค่ะ บ่าวยังนึกแปลกใจไม่หาย ว่าท่
หลังจากได้ชื่ออย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว จิงจิงก็ก้มหน้าลงแทะเปลือกเหอเถาต่อ โดยมีจ้าวกุ้ยอินนั่งเท้าคางมองมันด้วยความเอ็นดูอยู่เงียบ ๆดวงหน้างามพิสุทธิ์อาบย้อมด้วยรอยยิ้ม นัยน์ตาหงส์ฉายแววอบอุ่นอ่อนโยนดังสายน้ำฤดูสารท สีหน้าเปี่ยมสุขราวบุปผาบานสะพรั่ง ดูงดงามเปล่งประกายจนผู้มองตาพร่ามัวภาพสตรีสะคราญโฉมเริงรื่นดุจความฝัน ทำให้เรือนเจาหยางมีชีวิตชีวาขึ้นในบัดดลยามแสงทองบนท้องนภาถูกแทนที่ด้วยม่านราตรีสีดำ ทั่วทั้งจวนก็เริ่มจุดโคมไฟ ไม่เว้นแม้กระทั่งเรือนเจาหยาง แสงสีนวลจากโคมเหนือประตูสว่างไสวเสมือนดวงดาวนำทางให้ใครสักคน หลังจากอาบน้ำจนหอมกรุ่นไปทั้งกาย ชิวอิงกับชิวเยวี่ยก็ช่วยกันสวมชุดนอนให้นายหญิง ทั้งบรรจงสางผมจนเรียบลื่น กระทั่งเส้นไหมสีดำมันวาวแผ่สยายเต็มแผ่นหลังเอี้ยมสีชมพูปักลายดอกโบ๋ตั๋นถูกสวมทับด้วยอาภรณ์แพรโปร่งบางสีเดียวกัน ขับเน้นผิวขาวราวหิมะให้กระจ่างสดใส อวดเรือนร่างอรชรภายใต้แสงเทียน ดูเย้ายวนใจอย่างยิ่งจ้าวกุ้ยอินอดขมวดคิ้วมิได้ เมื่อเห็นคนสนิททั้งสองกระตือรือร้นในการแต่งกายให้นางเป็นพิเศษ ราวกับจะเตรียมส่งพระสนมไปยังห้องบรรทมของจักรพรรดิ“พวกเจ้าแน่ใจนะว่ากำลัง
“ขอบคุณฮูหยินชื่อจื่อมากขอรับ หากไม่มีอะไรแล้ว ผู้น้อยขอตัวก่อน” ชิงอวี้รับถุงแพรมาด้วยหน้าตายิ้มแย้ม แล้วกล่าวคำอำลา หลังจากได้รับอนุญาตเขาก็รีบจากไปทันทีจ้าวกุ้ยอินมองไปยังตะกร้าที่เจ้ากระรอกน้อยนอนอยู่แล้วหัวเราะเบา ๆ ที่แท้ท่าทางจะเป็นจะตายของมันเมื่อครู่เกิดจากความตะกละ แต่ถึงกระนั้นนางก็รู้สึกยินดีที่เจ้าก้อนกลมสีน้ำตาลนี้จะไม่เป็นอะไร เพราะถ้ามันตายขึ้นมา คงเพิ่มความหดหู่ให้ชีวิตนางมากขึ้นไปอีก“ถ้าเป็นตามที่ท่านหมอบอก อีกไม่นานเจ้านี่คงจะถ่ายออกมา บ่าวว่าเอามันออกไปดูแลที่อื่นดีกว่าเจ้าค่ะ” ชิวอิงยังคงจดจำกลิ่นราวกับมีอะไรตายเมื่อครู่ได้ดี จึงไม่คิดเสี่ยงให้มันถ่ายของเสียออกมาในห้องอีกแต่ว่าสายเกินไป...ปู๊ด! ปรื๊ด...ปรี๊ด! จ้าวกุ้ยอินเอามือปิดจมูก ลุกขึ้นในฉับพลัน แล้วสาวเท้าถี่ ๆ ออกไปจากห้อง แต่ก่อนที่ร่างอรชรจะพ้นประตู ยังไม่วายหันมากำชับนางกำนับคนสนิท “ชิวอิง เรื่องนี้ให้เจ้าไปจัดการก็แล้วกัน พอทำความสะอาดเรียบร้อยค่อยไปตามข้า”ชิวอิงรับคำสั่งแล้วร้องไห้อยู่ในใจ พลางมองตะกร้าใบเล็กอย่างผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรมฮือ...ท่านหญิง ทำไมเป็นข้าที่ต้องเช็ดอึกระรอกด้วยเล่า?เมื่
“ลำบากท่านหมอแล้ว แต่ ‘คน’ ที่เป็นอะไรนั้นไม่ใช่ข้า” จ้าวกุ้ยอินยิ้มน้อย ๆ กล่าวตอบอย่างนุ่มนวล“ฮูหยินซื่อจื่อเกรงใจไปแล้ว ไม่ว่าผู้ใดในจวนเจ็บไข้ล้วนเป็นหน้าที่ของผู้น้อยทั้งสิ้น ไม่ทราบว่าจะให้ตรวจนางกำนัล หรือสาวใช้คนใดของท่านขอรับ”“รบกวนท่านหมอแล้ว” กล่าวจบ จ้าวกุ้ยอินก็ผายมือไปด้านข้างซึ่งไม่มีใครอยู่ทั้งสิ้น“...” ชงอวี้นิ่งอึ้ง“ในตะกร้า” พอเห็นสีหน้างุนงงของผู้เป็นหมอ จ้าวกุ้ยอินจึงเปิดปากอีกประโยคชงอวี้สาวเท้าไปยังโต๊ะข้างตั่งที่มีตะกร้าวางอยู่ใบหนึ่ง พอถึงที่หมายก็ชำเลืองมองลงไป เมื่อเห็นกระรอกน้อยนอนตัวสั่นอยู่ในนั้น พลันรู้สึกเหมือนกำลังถูกทดสอบความอดทนแม้อยากจะตะโกนใส่หน้าสวย ๆ ของฮูหยินซื่อจื่อว่า ท่านเล่นบ้าอะไรอยู่? แต่ก็พยายามตั้งสติ รวมไปถึงทำความเข้าใจสตรีงดงามที่กำลังยกยิ้มน้อย ๆ แล้วมองมาทางนี้อย่างมีความหวัง จึงยังรักษาความสุขุมเอาไว้ได้หากสัตว์เลี้ยงแสนรักเจ็บป่วย ไม่ว่าผู้ใดย่อมรู้สึกไม่สบายใจ ดังนั้นนางจึงส่งคนเชิญตนเองมารักษามันกระมังแต่ว่าเขาเป็นหมอรักษาคน!“ท่านหมอรออะไรอยู่หรือ ยังไม่รีบตรวจอีก” จ้าวกุ้ยอินที่รอฟังอาการของกระรอกน้อยเจ้าปัญหาอยู่เอ่ยเ