“ได้ยินค่ะแม่ เสียงแม่ดังไปแปดกิโลแบบนี้ ถ้าบีไม่ได้ยินก็หูหนวกแล้วล่ะค่ะ”
สะบันงาตอบ ขณะดวงตาสวยหวานยังคงมองสำรวจดูสวนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของเธออย่างชอบธรรม สองเท้าก้าวเดินไปตามทางที่ลุงพงษ์เอารถมาไถหญ้าออกไว้รอเธอมา ตั้งแต่เธอโทร.มาบอกข่าวดีให้ทราบเมื่อสัปดาห์ก่อน
มือบอบบางแตะสำรวจต้นไม้ใบหญ้าข้างทาง ราวกับสิ่งที่สัมผัสอยู่ตรงหน้านั้นรื่นรมย์นักทั้งที่เสียงของแม่นั้นน่าจะทำให้เธอขุ่นใจ แต่เธอกลับใจเย็นได้อย่างไม่น่าเชื่อ อาจเพราะสิ่งนี้แหละที่ทำให้เธอมีความสุขที่สุดและสามารถประคองชีวิตตลอด 5 ปีที่ผ่านมาได้
“ยัยบี แกไม่ต้องมาทำเป็นพูดดี แกรีบกลับมากรุงเทพฯ เดี๋ยวนี้เลยนะ หัวเด็ดตีนขาดยังไงฉันก็จะไม่ยอมให้แกไปทำไอ้สวนบ้าๆ นั้นอีกแน่ รีบกลับมากรุงเทพฯ ส่วนที่ดินนั่นเดี๋ยวฉันจะหาคนไปซื้อเอง แกไม่ต้องห่วง ทุกบาททุกสตางค์ฉันจะให้แกทั้งหมด นี่แกได้ยินที่ฉันพูดไหม ยัยบี!”
สินีนาถระงับอารมณ์ไม่อยู่เพราะเหมือนว่าเธอกำลังพูดอยู่คนเดียวเสียมากกว่า สะบันงาไม่อือไม่อาอะไรด้วยเลยสักนิด
“ได้ยินค่ะแม่”
เสียงเนือยๆ ไม่แสดงอารมณ์ว่าขุ่นมัว นอกจากเศร้าๆ นิดหน่อย ที่จนป่านนี้แล้วแม่ก็ยังไม่เข้าใจเธอ
“ดี เข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม” เสียงมีอำนาจถามย้ำให้แน่ใจ
“เข้าใจค่ะ”
“ดีมาก แกนี่มันเป็นลูกที่ได้ดังใจฉันจริงๆ เลย เออ... พรุ่งนี้ถ้าว่างก็มากินข้าวด้วยกันนะ น้องๆ เขาอยากเจอ”
น้องๆ ที่หมายถึงก็คือ ลูกชายฝาแฝดวัยเกือบ 10 ปีของเธอที่เกิดจากสามีใหม่ เพราะหลังจากเธอหย่าขาดกับ ‘อิฐ’ พ่อของสะบันงาเมื่อ 10 ปีก่อน เธอก็แต่งงานใหม่กับเจ้าของร้านอาหารในกรุงเทพฯ
ใบหน้างดงามตามวัยยิ้มออกมาได้หลังจากเคร่งเครียดมาตลอดทั้งช่วงวัน เพราะกว่าจะโทรศัพท์ติดต่อสะบันงาได้ก็ปาเข้าไปช่วงบ่าย แต่เมื่อรู้ว่าลูกสาวคนโตพูดง่ายเธอก็เหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นมาในทันที แต่ความดีใจก็อยู่ได้ไม่นานเมื่อ...
“บีคงไปไม่ได้หรอกค่ะ”
สายตามุ่งมั่นทอดมองอาณาเขตที่ดินของเธอ หัวสมองนึกวาดภาพว่าจะทำอะไรตรงไหนก่อนหน้า และไม่มีอะไรจะมาทำให้เธอเปลี่ยนใจได้ แม้แต่แม่ก็ตาม
“ทำไมล่ะ น้องๆ บ่นคิดถึงพี่บี”
น้ำเสียงสั่นเล็กน้อย อาจเพราะกำลังได้รับความสะเทือนใจ หรือกำลังพบกับสิ่งที่ไม่ได้ดังใจ
“บีจะยังไม่กลับกรุงเทพฯ ค่ะแม่ บีจะอยู่ที่นี่ บ้านของบี”
“ยัยบี!...”
“ขอโทษนะคะแม่”
คำพูดมากมายที่ผู้เป็นแม่สรรหามาต่อว่าเพื่อให้เธอเปลี่ยนใจแล้วกลับไปสู่กองเงินกองทองไม่อาจทำให้สะบันงาเปลี่ยนใจได้ เมื่อนิ้วมือเลื่อนกดวางสายสนทนาก่อนจะกดปิดเสียงโทร.เข้า
ในเวลานี้เธอควรทำตามความฝันที่ตั้งใจไว้ให้ดีที่สุด เพื่อให้สิ่งที่เธอสูญเสียไปนั้นมีคุณค่าตามที่ตั้งใจ เมื่ออิสรภาพที่เธอสูญเสียไปกว่า 5 ปี ในเวลานี้เธอได้กลับคืนมาอย่างสมบูรณ์แล้ว และเธอจะไม่มีวันยอมให้มันหลุดลอยไปอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
.
.
เรือนร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อเชิ้ตลายสก๊อตสีชมพูแขนยาวกับกางเกงยีนพอดีตัว ที่กำลังเดินไปเดินมาอยู่บนที่ดินที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสวนกุหลาบที่ใหญ่ที่สุดในละแวกนี้ ทำให้คนที่ยืนมองอยู่อีกฝั่งถึงกับน้ำตารื้นขึ้นมาอีกครั้ง เพราะอดกลั้นไว้ไม่ไหว บุตรสาวคนเดียวของ ‘อิฐ อิสระพงษ์’ เจ้าของที่ดินแห่งนี้ และเป็นเจ้านายเก่าแก่มาช้านานกลับมาเยือนที่นี่อีกครั้งในรอบเกือบ 5 ปี เพราะหลังจากวันนั้น ‘สะบันงา’ หรือ ‘คุณหนูบี’ ของเหล่าคนงานทุกคนก็ไม่ได้กลับมาที่นี่อีกเลย
“พี่พงษ์ พี่คิดยังไง”
“จะให้คิดยังไงล่ะ”
พงษ์หันมอง ‘จันทร์’ หญิงวัยกลางคน เมียคู่ทุกข์คู่ยากที่พบรักกันที่สวนแห่งนี้และอยู่กินเป็นผัวเมียแต่ไม่มีลูกสืบสกุล
ตลอดระยะเวลาทำงานที่นี่ได้เห็นความเป็นไปของสวนแห่งนี้ ตั้งแต่รุ่งเรืองสุดขีดจนถึงตกต่ำต้องถูกธนาคารยึด คนงานในสวนต่างกระจัดกระจายไปอยู่ที่อื่น แม้แต่ตัวแกและเมียก็ต้องระเห็จไปอาศัยทำงานอยู่ที่สวนข้างเคียง แต่เมื่อสะบันงาซึ่งไม่ลืมพวกเขาติดต่อมา เขาและเมียจึงไม่รอช้ารีบกลับมาตามคำเชื้อเชิญทันที กลับมาเพื่อช่วยกันพลิกฟื้นสวนร้างแห่งนี้ให้มีชีวิตอีกครั้ง
“เอ็งกลัวลำบากหรือเปล่าล่ะจันทร์”
พงษ์ถาม เพราะจันทร์ในวันนี้ไม่ได้เป็นสาวแข็งแรงเหมือนแต่ก่อน สังขารร่วงโรยไปตามวัย ในวันนี้จันทร์น่าจะได้พักผ่อนปลูกผัก ปลูกหญ้า เลี้ยงไก่เป็ด อยู่ในที่ดินเล็กๆ ที่เก็บหอมหาซื้อไว้ได้ จันทร์ไม่น่าต้องมาลำบากลำบนพร้อมกับเขาอีกครั้ง
“ความลำบากฉันผ่านมันมาแล้วพี่ ตั้งแต่วันที่พวกเราต้องไปจากที่นี่ ตอนนี้ฉันแค่อยากเห็นสวนอุ่นรักกลับคืนมา ไม่ว่าคุณหนูจะตัดสินใจยังไง ฉันก็จะทำตามทุกอย่าง ฉันห่วงแต่เพียงว่าคุณหนูจะทนไม่ไหว เพราะขนาดคุณนาถ...”
จันทร์อยากจะพูดว่าขนาดสินีนาถที่เป็นภรรยาของอิฐยังทนไม่ไหวที่จะแบกรับภาระอันหนักอึ้งของสวนแห่งนี้ ผู้หญิงเมืองกรุงที่กลายเป็นเรื่องเล่าในเวลางาน เมื่อเธอไม่อาจทนความลำบากอยู่ที่ปากช่องได้ สินีนาถจึงหย่าขาดกับอิฐ และปล่อยให้อิฐในเวลานั้นต้องเลี้ยงดูลูกสาวที่กำลังเติบโตอยู่เพียงลำพัง
อิฐเป็นคนหนุ่มคิดไกล เป็นที่รักของคนงานทุกคน อิฐวางแผนสร้างรีสอร์ตในสวนกุหลาบ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มาพักผ่อนและชื่นชมดอกกุหลาบหลากหลายสายพันธุ์แต่โชคชะตาอาจปรานีไม่ให้เขาต้องทนทุกข์ดิ้นรนอยู่บนโลกใบนี้อยู่นาน อิฐจึงด่วนจากไปด้วยอุบัติเหตุหลังจากทำเรื่องเอาที่ดินผืนนี้เข้าธนาคาร เพื่อนำเงินก้อนมาปรับปรุงสวนให้ดีขึ้นเมื่อขาดอิฐไปเสียคน โครงการก่อสร้างก็หยุดชะงัก ทำให้สินีนาถที่ขณะนั้นหย่าขาดจากอิฐได้กว่า 5 ปี ต้องเข้ามาช่วยดูแลกิจการเพราะสะบันงาเพิ่งอยู่มหาวิทยาลัยปี 2 ที่กรุงเทพฯ ทั้งยังไม่รู้เรื่องงานของสวนเลยสินีนาถผู้รักความสบายไม่สามารถต่อสู้กับกลไกทางการตลาดหรือต่อสู้กับอะไรได้เลย เมื่อไม่มีผลผลิตก็ไม่มีเงินจะไปส่งดอกเบี้ยให้กับธนาคาร สินีนาถจึงเลือกที่จะหยุดทุกอย่าง ยุติกิจการที่อิฐสร้างมากับมือ เพราะที่ดินที่ปากช่องในเวลานั้นไม่ได้มีราคาเหมือนในเวลานี้ เธอจึงไม่เสียดายที่จะทิ้งไปแต่ในวันนี้ล่ะ เมื่อสะบันงายืนยันที่จะฟื้น ‘สวนอุ่นรัก’ ขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งที่พวกเขาคิดว่าที่ดินผืนนี้เปลี่ยนมือไปแล้ว ทว่าความดีใจที่สะบันงาบอกว่าเธอยังคงเป็นเจ้าของที่ดินผืนนี้ดังเดิมต้องมีอันชะ
สิทธิ์ตอบเพราะกุหลาบสีขาวที่สวนปริ๊นเซสมีอยู่นั้นแทบจะมีไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาดอยู่แล้ว แต่เจ้านายกลับอยากสร้างความแตกต่างที่จะทำให้ดอกกุหลาบราคา 1 บาทกว่ากลายเป็นราคา 3-5 บาท/ดอกโดยการให้คนงานคัดดอกเกรดเอ นำไปลิดใบก้านออกสักนิดหน่อยก่อนจะนำก้านแช่ในน้ำที่ผสมสีผสมอาหารสีเขียวและสีฟ้า ทิ้งไว้หนึ่งคืนให้ก้านดอกที่สมบูรณ์ดูดน้ำสีจากในกระบอกจนชุ่มดอกสีขาวบริสุทธิ์ก็จะกลายเป็นกุหลาบพันธุ์ใหม่ที่เป็นสีเขียวอ่อนและสีฟ้าอ่อน ซึ่งเป็นที่ต้องการในท้องตลาดเป็นอย่างมาก จึงกลายเป็นว่ากุหลาบดอกขาวครึ่งต่อครึ่งจะถูกส่งไปเข้าโรงชุบสีทำให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น“งั้นไปเจรจาซื้อที่ข้างๆ ให้หน่อยสิ ถ้าคุยได้ให้ล้านหนึ่งเลยเอ้า! แต่ถ้าเขาไม่ขาย ขอเช่าก็เอา ถ้าให้เช่ามากกว่า 10 ปี จะให้ค่าเปลืองน้ำลายแสนหนึ่ง เอาไหม”ชยพลพูดพร้อมทำสีหน้าเอือมๆ ไม่ใช่เอือมเพราะสิทธิ์ที่มักมาบ่นว่าดอกกุหลาบสีขาวไม่พอส่ง แต่เอือมเมื่อนึกถึงที่ดินรกร้างที่อยู่ติดกับสวนของเขาทีไรก็ต้องเจ็บใจทุกที เพราะหลายปีมานี้ที่เขาพยายามติดต่อขอซื้อที่ดินด้านข้างเพราะต้องการขยายสวนกุหลาบให้เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมเขาต้องการลงกุหลาบพันธุ์
“36-24-36 โอ้ว... แม่คุณเอ๋ย... ทำบุญด้วยส้มโอหรือยังไงนะ ถึงได้ใหญ่โตมโหฬารอย่างนี้”ความคิดพวยพุ่งอย่างฉุดไม่อยู่ ฝ่ามือทำท่าคล้ายกะขนาดความเต็มไม้เต็มมือนั้นอย่างไม่รู้ตัว ทว่าความสัปดนที่เป็นหนึ่งในนิสัยผู้ชายเต็มตัว จำต้องถูกสั่งให้ระงับโดยเร็วที่สุด เพราะดวงตาสวยหวานปรายมองมาทางนี้เธอไม่ได้ยิ้มแต่เลือกที่จะมองผ่านเขาไปด้านหลังที่ตกแต่งเป็นโซนน้ำตกน้อยๆ ก่อนจะเดินเข้าไปสั่งกาแฟและขนมเค้กเพื่อเป็นของว่าง พร้อมแจ้งกับพนักงานว่าเธอจะนั่งในบริเวณที่หมายตาไว้ใจไวเท่าความคิดและร่างกายก็สนองตอบในทันที เมื่อเธอนั่งลงยังไม่ทันจะได้หายใจ ชยพลก็ไม่รอช้าที่จะเข้าไปทำความรู้จัก“หากไม่รังเกียจ...”เสียงทุ้มเอ่ยออกตัวอย่างสุภาพและทิ้งจังหวะให้เธออนุญาตเมื่อเขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการสนทนาด้วยดวงตาคมเข้มจ้องดอกไม้งามตรงหน้าไม่กะพริบ กลางดงกลางป่าอย่างนี้ แม้จะมีดอกไม้แวะเวียนมาให้เชยชมได้ไม่ขาด แต่ก็ไม่เคยมีดอกไหนที่เร้าหัวใจเขาจนสั่นระทึกได้เท่าดอกนี้ และในทันทีที่เธอปรายสายตาขึ้นมองเขา ชยพลก็นึกประหม่าในรูปลักษณ์ของตัวเองเป็นครั้งแรกในชีวิตเพราะดวงตาสวยหวานที่เขารู้สึกว่ามันคมราวกับมี
‘สะบันงา อิสระพงษ์’ นั่นแหละคือชื่อของฉันคุณคงคิดว่าฉันเป็นผู้หญิงที่หน้าตาออกจะโบราณและค่อนข้างจะเรียบร้อยไว้ตัวใช่ไหมล่ะ...นั่นคุณคิดผิด เพราะถ้าคุณรู้ความหมายของคำว่า ‘สะบันงา’ คุณจะมองฉันอีกแบบหนึ่ง ‘สะบันงา’ แปลว่า ‘ดอกกระดังงา’ นั่นไง... ฉันคิดถูก แค่คุณรู้ความหมาย คุณก็มองฉันด้วยสายตาอีกแบบ คุณคิดว่าฉันต้องร้อนแรง เปลี่ยนผู้ชายเป็นว่าเล่นและอาจพ่วงคำว่า ‘แม่ม่าย’ ให้อีกตำแหน่ง ตรงนี้ขอบอกว่าคุณคิดถูกเพียงข้อเดียว แต่มาเดากันว่าเรื่องอะไร หึหึหึ... .. พื้นที่รกร้างกว้างไกลสุดสายตาที่เห็นอยู่นี้ยังคงมีเค้าของไร่หรือสวนบางอย่างให้พอมองออก เพราะแนวคันดินที่ถูกแต่งให้เป็นแปลงและไม้ดามกิ่งพันธุ์ที่ยังคงมีให้เห็นอยู่บ้างประปราย แต่ก็คงไม่มีใครเดาได้ว่าครั้งหนึ่ง ที่ดินแห่งนี้เคยสร้างพืชผลอะไรให้เจริญงอกงามและสร้างความภาคภูมิใจให้กับเจ้าของที่ดินไว้อย่างมากมายแค่ไหน เพราะสิ่งที่ปรากฏอยู่ในมโนภาพนี้ คงมีเพียงเธอคนเดียวที่จดจำได้เพราะนอกนั้นแล้วผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ไม่ล้มหาย ก็ตายจาก หรือไม่ก็ไม่คิดว่าสถานที่แห
“36-24-36 โอ้ว... แม่คุณเอ๋ย... ทำบุญด้วยส้มโอหรือยังไงนะ ถึงได้ใหญ่โตมโหฬารอย่างนี้”ความคิดพวยพุ่งอย่างฉุดไม่อยู่ ฝ่ามือทำท่าคล้ายกะขนาดความเต็มไม้เต็มมือนั้นอย่างไม่รู้ตัว ทว่าความสัปดนที่เป็นหนึ่งในนิสัยผู้ชายเต็มตัว จำต้องถูกสั่งให้ระงับโดยเร็วที่สุด เพราะดวงตาสวยหวานปรายมองมาทางนี้เธอไม่ได้ยิ้มแต่เลือกที่จะมองผ่านเขาไปด้านหลังที่ตกแต่งเป็นโซนน้ำตกน้อยๆ ก่อนจะเดินเข้าไปสั่งกาแฟและขนมเค้กเพื่อเป็นของว่าง พร้อมแจ้งกับพนักงานว่าเธอจะนั่งในบริเวณที่หมายตาไว้ใจไวเท่าความคิดและร่างกายก็สนองตอบในทันที เมื่อเธอนั่งลงยังไม่ทันจะได้หายใจ ชยพลก็ไม่รอช้าที่จะเข้าไปทำความรู้จัก“หากไม่รังเกียจ...”เสียงทุ้มเอ่ยออกตัวอย่างสุภาพและทิ้งจังหวะให้เธออนุญาตเมื่อเขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการสนทนาด้วยดวงตาคมเข้มจ้องดอกไม้งามตรงหน้าไม่กะพริบ กลางดงกลางป่าอย่างนี้ แม้จะมีดอกไม้แวะเวียนมาให้เชยชมได้ไม่ขาด แต่ก็ไม่เคยมีดอกไหนที่เร้าหัวใจเขาจนสั่นระทึกได้เท่าดอกนี้ และในทันทีที่เธอปรายสายตาขึ้นมองเขา ชยพลก็นึกประหม่าในรูปลักษณ์ของตัวเองเป็นครั้งแรกในชีวิตเพราะดวงตาสวยหวานที่เขารู้สึกว่ามันคมราวกับมี
สิทธิ์ตอบเพราะกุหลาบสีขาวที่สวนปริ๊นเซสมีอยู่นั้นแทบจะมีไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาดอยู่แล้ว แต่เจ้านายกลับอยากสร้างความแตกต่างที่จะทำให้ดอกกุหลาบราคา 1 บาทกว่ากลายเป็นราคา 3-5 บาท/ดอกโดยการให้คนงานคัดดอกเกรดเอ นำไปลิดใบก้านออกสักนิดหน่อยก่อนจะนำก้านแช่ในน้ำที่ผสมสีผสมอาหารสีเขียวและสีฟ้า ทิ้งไว้หนึ่งคืนให้ก้านดอกที่สมบูรณ์ดูดน้ำสีจากในกระบอกจนชุ่มดอกสีขาวบริสุทธิ์ก็จะกลายเป็นกุหลาบพันธุ์ใหม่ที่เป็นสีเขียวอ่อนและสีฟ้าอ่อน ซึ่งเป็นที่ต้องการในท้องตลาดเป็นอย่างมาก จึงกลายเป็นว่ากุหลาบดอกขาวครึ่งต่อครึ่งจะถูกส่งไปเข้าโรงชุบสีทำให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น“งั้นไปเจรจาซื้อที่ข้างๆ ให้หน่อยสิ ถ้าคุยได้ให้ล้านหนึ่งเลยเอ้า! แต่ถ้าเขาไม่ขาย ขอเช่าก็เอา ถ้าให้เช่ามากกว่า 10 ปี จะให้ค่าเปลืองน้ำลายแสนหนึ่ง เอาไหม”ชยพลพูดพร้อมทำสีหน้าเอือมๆ ไม่ใช่เอือมเพราะสิทธิ์ที่มักมาบ่นว่าดอกกุหลาบสีขาวไม่พอส่ง แต่เอือมเมื่อนึกถึงที่ดินรกร้างที่อยู่ติดกับสวนของเขาทีไรก็ต้องเจ็บใจทุกที เพราะหลายปีมานี้ที่เขาพยายามติดต่อขอซื้อที่ดินด้านข้างเพราะต้องการขยายสวนกุหลาบให้เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมเขาต้องการลงกุหลาบพันธุ์
อิฐเป็นคนหนุ่มคิดไกล เป็นที่รักของคนงานทุกคน อิฐวางแผนสร้างรีสอร์ตในสวนกุหลาบ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มาพักผ่อนและชื่นชมดอกกุหลาบหลากหลายสายพันธุ์แต่โชคชะตาอาจปรานีไม่ให้เขาต้องทนทุกข์ดิ้นรนอยู่บนโลกใบนี้อยู่นาน อิฐจึงด่วนจากไปด้วยอุบัติเหตุหลังจากทำเรื่องเอาที่ดินผืนนี้เข้าธนาคาร เพื่อนำเงินก้อนมาปรับปรุงสวนให้ดีขึ้นเมื่อขาดอิฐไปเสียคน โครงการก่อสร้างก็หยุดชะงัก ทำให้สินีนาถที่ขณะนั้นหย่าขาดจากอิฐได้กว่า 5 ปี ต้องเข้ามาช่วยดูแลกิจการเพราะสะบันงาเพิ่งอยู่มหาวิทยาลัยปี 2 ที่กรุงเทพฯ ทั้งยังไม่รู้เรื่องงานของสวนเลยสินีนาถผู้รักความสบายไม่สามารถต่อสู้กับกลไกทางการตลาดหรือต่อสู้กับอะไรได้เลย เมื่อไม่มีผลผลิตก็ไม่มีเงินจะไปส่งดอกเบี้ยให้กับธนาคาร สินีนาถจึงเลือกที่จะหยุดทุกอย่าง ยุติกิจการที่อิฐสร้างมากับมือ เพราะที่ดินที่ปากช่องในเวลานั้นไม่ได้มีราคาเหมือนในเวลานี้ เธอจึงไม่เสียดายที่จะทิ้งไปแต่ในวันนี้ล่ะ เมื่อสะบันงายืนยันที่จะฟื้น ‘สวนอุ่นรัก’ ขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งที่พวกเขาคิดว่าที่ดินผืนนี้เปลี่ยนมือไปแล้ว ทว่าความดีใจที่สะบันงาบอกว่าเธอยังคงเป็นเจ้าของที่ดินผืนนี้ดังเดิมต้องมีอันชะ
“ได้ยินค่ะแม่ เสียงแม่ดังไปแปดกิโลแบบนี้ ถ้าบีไม่ได้ยินก็หูหนวกแล้วล่ะค่ะ”สะบันงาตอบ ขณะดวงตาสวยหวานยังคงมองสำรวจดูสวนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของเธออย่างชอบธรรม สองเท้าก้าวเดินไปตามทางที่ลุงพงษ์เอารถมาไถหญ้าออกไว้รอเธอมา ตั้งแต่เธอโทร.มาบอกข่าวดีให้ทราบเมื่อสัปดาห์ก่อนมือบอบบางแตะสำรวจต้นไม้ใบหญ้าข้างทาง ราวกับสิ่งที่สัมผัสอยู่ตรงหน้านั้นรื่นรมย์นักทั้งที่เสียงของแม่นั้นน่าจะทำให้เธอขุ่นใจ แต่เธอกลับใจเย็นได้อย่างไม่น่าเชื่อ อาจเพราะสิ่งนี้แหละที่ทำให้เธอมีความสุขที่สุดและสามารถประคองชีวิตตลอด 5 ปีที่ผ่านมาได้ “ยัยบี แกไม่ต้องมาทำเป็นพูดดี แกรีบกลับมากรุงเทพฯ เดี๋ยวนี้เลยนะ หัวเด็ดตีนขาดยังไงฉันก็จะไม่ยอมให้แกไปทำไอ้สวนบ้าๆ นั้นอีกแน่ รีบกลับมากรุงเทพฯ ส่วนที่ดินนั่นเดี๋ยวฉันจะหาคนไปซื้อเอง แกไม่ต้องห่วง ทุกบาททุกสตางค์ฉันจะให้แกทั้งหมด นี่แกได้ยินที่ฉันพูดไหม ยัยบี!” สินีนาถระงับอารมณ์ไม่อยู่เพราะเหมือนว่าเธอกำลังพูดอยู่คนเดียวเสียมากกว่า สะบันงาไม่อือไม่อาอะไรด้วยเลยสักนิด “ได้ยินค่ะแม่” เสียงเนือยๆ ไม่แสดงอารมณ์ว่าขุ่นมัว นอกจากเศร้าๆ นิดห
‘สะบันงา อิสระพงษ์’ นั่นแหละคือชื่อของฉันคุณคงคิดว่าฉันเป็นผู้หญิงที่หน้าตาออกจะโบราณและค่อนข้างจะเรียบร้อยไว้ตัวใช่ไหมล่ะ...นั่นคุณคิดผิด เพราะถ้าคุณรู้ความหมายของคำว่า ‘สะบันงา’ คุณจะมองฉันอีกแบบหนึ่ง ‘สะบันงา’ แปลว่า ‘ดอกกระดังงา’ นั่นไง... ฉันคิดถูก แค่คุณรู้ความหมาย คุณก็มองฉันด้วยสายตาอีกแบบ คุณคิดว่าฉันต้องร้อนแรง เปลี่ยนผู้ชายเป็นว่าเล่นและอาจพ่วงคำว่า ‘แม่ม่าย’ ให้อีกตำแหน่ง ตรงนี้ขอบอกว่าคุณคิดถูกเพียงข้อเดียว แต่มาเดากันว่าเรื่องอะไร หึหึหึ... .. พื้นที่รกร้างกว้างไกลสุดสายตาที่เห็นอยู่นี้ยังคงมีเค้าของไร่หรือสวนบางอย่างให้พอมองออก เพราะแนวคันดินที่ถูกแต่งให้เป็นแปลงและไม้ดามกิ่งพันธุ์ที่ยังคงมีให้เห็นอยู่บ้างประปราย แต่ก็คงไม่มีใครเดาได้ว่าครั้งหนึ่ง ที่ดินแห่งนี้เคยสร้างพืชผลอะไรให้เจริญงอกงามและสร้างความภาคภูมิใจให้กับเจ้าของที่ดินไว้อย่างมากมายแค่ไหน เพราะสิ่งที่ปรากฏอยู่ในมโนภาพนี้ คงมีเพียงเธอคนเดียวที่จดจำได้เพราะนอกนั้นแล้วผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ไม่ล้มหาย ก็ตายจาก หรือไม่ก็ไม่คิดว่าสถานที่แห