เวลาผ่านไปประมาณเกือบสองชั่วโมงที่นั่งดื่ม ฉันเองก็เริ่มมึนหัวแล้วเพราะดื่มไปหลายแก้ว ตอนนี้ไม่รู้ว่าพี่ติณไปไหน เขาหายไปจากโต๊ะครู่ใหญ่แล้วแหละ
แต่ก็ดี ไม่เห็นหน้าเขาทำทำให้ฉันรู้สึกคลายความอึดอัดได้บ้าง เพราะเวลาที่พี่ติณนั่งอยู่ด้วยมันรู้สึกเหมือนว่ากำลังถูกจ้องมองตลอดเวลา “แอนนาพาฉันไปเข้าห้องน้ำหน่อย” ใบข้าวชวนแอนนา “ขี้เกียจ! ทำไมแกไม่ชวนยับน้ำมนต์ไป” “น้ำมนต์ดื่มไปหลายแก้วแล้ว ขืนให้พาไปจะเดินไปถึงห้องน้ำสักทีไหม แกก็รู้ว่าเพื่อนคออ่อน” “อ่าๆ จะไปก็ลุกขึ้นสิ” “น้ำมนต์เดี๋ยวฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” ก่อนจะลุกขึ้นไปใบข้าวได้หันมาบอก ฉันจึงพยักหน้าตอบรับรู้แทนคำพูด พอใบข้าวกับแอนนาลุกขึ้นไปแล้วก็เหลือแค่ฉันกับไนท์ “นั่งคนเดียวได้ไหม เดี๋ยวฉันจะไปสูบบุหรี่” ไนท์หันหน้ามาถาม ฉันเองก็รู้สึกหวั่นๆ กลัวพี่ติณจะกลับมาตอนที่ทุกคนไม่อยู่โต๊ะ แต่ฉันคงไม่โชคร้ายขนาดนั้นหรอกมั้ง “อื้อได้สิ” ฉันบอกไนท์ ก่อนที่ไนท์จะลุกขึ้นเดินไปหาที่สูบบุหรี่ พอนั่งคนเดียวมันรู้สึกเคว้งไปเลย ผู้คนในคลับวันนี้ค่อนข้างเยอะ เรียกได้ว่าแออัดกันเลยทีเดียว แต่ตรงโซนที่ฉันนั่งจะไม่มีใครเข้ามาวุ่นวาย แถมยังมีการ์ดร่างใหญ่ยืนคุมด้วย“เพื่อนไปไหนกันหมด”
เฮือก! ฉันที่เอาแต่ก้มหน้าเมื่อได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้นก็ทำให้ใจหล่นมาอยู่ที่ตาตุ่มทันที ทำไมนะ ทำไมต้องกลับมาที่โต๊ะตอนฉันอยู่คนเดียวด้วย “ขะ เข้าห้องน้ำค่ะ” “ไม่คิดจะทักฉันเลยหรือไง หรือว่าวันนั้นฉันทำให้เธอไม่ประทับใจ ให้ฉันแก้มืออีกครั้งไหม หื้ม….” พี่ติณพูดบ้าอะไร ตอนเพื่อนฉันอยู่เขาเป็นคนเงียบขรึม แต่พออยู่กับฉันสองคนเขากลับพูดอะไรบ้าๆ ออกมา “หนูจะไปห้องน้ำ” พูดจบฉันก็ลุกขึ้น จากนั้นก็ก้าวขาเดิน แต่ด้วยความที่มึนหัวเป็นทุนเดิมบวกกับลุกขึ้นเร็วเกินไป ทำให้ร่างของฉันเซแล้วเอนตัวล้มลง “อร้าย!!” ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้าย ที่มีตั้งเยอะฉันกลับล้มลงไปบนตักของพี่ติณซะได้ บ้าที่สุด! “ปะ ปล่อยนะคะ” ฉันเริ่มดิ้นแรงๆ เมื่อพี่ติณโอบเอวไว้ไม่ยอมปล่อย “คืนนี้มานอนกับฉัน แล้วฉันจะปล่อย” “นะ ไหนบอกว่าแค่ครั้งนั้นไงคะ” พอถามออกไป สายตาของฉันก็เหลือบเห็นแอนนากับใบข้าวกำลังเดินมาทางนี้พอดี ฉันจึงเริ่มดิ้นแรงๆ เพราะกลัวแอนนาเห็นเข้า “พี่ติณปล่อยนะ แอนนากำลังมาที่โต๊ะ” “แล้วยังไง ถ้าเธอไม่บอกว่าจะยอมไปนอนกับฉัน ฉันก็ไม่ปล่อย” พี่ติณตอบแบบไม่สนใจว่าแอนนาจะมาเห็นเลย แล้วฉันเลือกอะไรได้บ้าง ถ้าแอนนามาเห็นต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ “ก็ได้ค่ะ หนูตกลง” สิ้นสุดคำพูดของฉันพี่ติณก็ยอมปล่อยวงแขนแกร่งที่โอบเอวฉันออกขอบคุณโชคชตาที่ทำให้ฉันได้เจอเขาอีกครั้ง แต่ไม่คิดว่าการกลับมาเจอกันอีกครั้งของเรามันจะทำให้ฉันเจ็บปวด ผู้ชายตรงหน้าเขาไม่ใช่พี่ชายที่แสนดีของฉันอีกต่อไป Talk น้ำมนต์“ในที่สุดหนูก็ได้เจอพี่ติณสักที ^_^” ฉันยิ้มออกมาอย่างดีใจที่เจอกับผู้ชายที่ตัวเองตามหามาตลอด ตอนนี้เขาได้ยืนอยู่ตรงหน้าของฉันแล้ว ต้องขอบคุณรินที่ทำให้ฉันได้เจอกับพี่ติณอีกครั้ง เพราะฉันเคยถามกับเฮียเหนือ เฮียก็ไม่ยอมบอกว่าพี่ติณอยู่ที่ไหน แต่สีหน้าของพี่ติณนั้นไม่ได้ยินดีเลยที่เห็นฉัน เขากลับมองฉันสวยสายตาที่แสนจะเย็นชา “ไสหัวกลับไปซะ!!” พี่ติณประกาศเสียงกร้าวไม่ได้คิดจะรับฟังอะไรทั้งนั้น พูดจบเขาก็ทำท่าจะเดินหนี ฉันจึงต้องรีบวิ่งไปดักหน้าเอาไว้ “เชื่อหนูนะคะเรื่องนั้นมันคืออุบัติเหตุ” ฉันพยายามจะอธิบายถึงเรื่องราวในวันนั้นที่พ่อเล่าให้ฟัง เพราะรู้ว่าพี่ติณเป็นแบบนี้เพราะเรื่องอะไร เรื่องการสูญเสียไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เหตุการณ์นั้นพ่อของฉันเองก็เสียใจที่ไม่สามารถช่วยชีวิตพ่อของพี่ติณได้ และพ่อก็โทษตัวเองจนถึงทุกวันนี้ แต่พี่ติณกลับไม่ได้คิดแบบนั้นเขาคิดว่าพ่อของฉันและพ่อของเฮียเหนือวางแผนกันฆ่าพ่อของตัวเ
ในตอนแรกมันรู้สึกกลัวกับคำพูดของพี่ติณ แต่มันกลับมีอีกหนึ่งความคิดผุดเข้ามาในหัว ถ้าหากฉันทำให้พี่ติณละทิ้งความแค้นทั้งหมดได้ ฉันก็จะทำ ถึงแม้พี่ติณจะไม่ยอมละทิ้งความแค้น แต่ถ้าเขารับปากว่าจะปล่อยรินไปจะเลิกหาเรื่องเฮียเหนือ ฉันก็ยอม “พี่ติณถามหนูว่ามีอะไรมาแลก ต้องการแบบนั้นจริงๆ หรอคะ” “หึ! ถามทำไม เธอกล้าแลกหรือไง” “แล้วถ้าหนูบอกว่ายอมแลกละคะ” ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วถามต่อ “พี่ติณจะยอมปล่อยรินไป จะเลิกหาเรื่องเฮียเหนือใช่ไหมคะ” “เธอยอม ?” “…ตอบหนูมาสิคะ” “เพราะอะไรถึงยอม ?” พี่ติณไม่ยอมตอบและตั้งคำถามกับฉัน“เพราะเรื่องความแค้นของพี่ติณกับเฮียมันควรจะจบได้แล้วไงคะ” ถึงฉันจะไม่ได้เจอพี่ติณเลยตลอดเวลาหลายปีมานี้ แต่ฉันก็พอรู้อยู่บ้างว่าพี่ติณพยายามหาเรื่องเฮียเหนือมาตลอด “หึ! พูดง่ายดี ลองให้คนที่ตายเป็นพ่อของเธอดูไหม” “…….” ฉันกัดริมฝีปากตัวเองแน่นจนห้อเลือด แววตาคู่นั้นของพี่ติณ เขาไม่ใช่คนเดิม ไม่ใช่พี่ชายที่อบอุ่นของฉันแล้วจริงๆ พี่ติณก้าวขาเดินหน้า ทำให้ฉันต้องถอยหลังไปทีละก้าวๆ จนกระทั่งขามันชนเข้ากับขอบของโซฟา “คิดว่าร่างกายของเธอมันจะลบล้างความผิดที่พ่อเธอกับพ่
“ฉันตกลงทำตามที่เธอเสนอ” ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้พี่ติณเปลี่ยนใจ ทั้งที่ฉันบอกว่าจะไม่ยอมแลกแล้ว พอเอาเข้าจริงๆ เขาก็มาพูดแบบนี้ มันทำให้ฉันต้องคิดอีกครั้ง “จะเลิกยุ่งกับเฮียเหนือแล้วปล่อยให้รินเป็นอิสระใช่ไหมคะ” “อืม” “ทำแบบนั้นกับหนูลงจริงๆ หรอคะ” ฉันรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขี้น ถึงจะบริสุทธิ์อยู่แต่ฉันไม่ได้ได้ใสซื่อขนาดที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักอย่าง “เธอยอมอ้าขาให้ขนาดนี้ ฉันคงไม่ปฏิเสธ” “พี่ติณไม่หลอกหนูใช่ไหม” ยอมรับว่าฉันยังลังเล เพราะคำก่อนหน้านี้ที่พี่ติณบอกไว้ ยังไม่ได้คำตอบพี่ติณก็ก้มหน้าลงมากดจูบลงบนริมฝีปากของฉันอีกครั้ง เขาบดขยี้จูบอย่างหนักหน่วงทำให้ฉันแทบจะหายใจไม่ทัน จึงต้องรีบผลักเขาออก “ไหนบอกว่าจะแลก ?” ใบหน้าคมคายเริ่มหงุดหงิดเมื่อฉันผลักตัวเองออก “แต่พี่ติณยังไม่ได้ตอบคำถามของหนู” “ก็ตามนั้น…” ฉันนิ่งไปครู่หนึ่ง ในขณะที่พี่ติณโน้มใบหน้าลงมาซุกไซร้ที่ซอกคอ ฉันกำลังทบทวนว่าเลือกทำแบบนี้มันสมควรหรือเปล่า ฉันจะมาเสียใจทีหลังหรือเปล่า เพราะผู้ชายคนนี้คือพี่ชายที่ฉันรักมากๆ มาตั้งแต่เด็กๆ ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะเปลี่ยนไป ถึงแม้ว่าฉันจะเคยคิดมากกว่าคำว่าพี่ชาย
“นั่นแกกำลังทำอะไร” เสียงผู้ชายดังขึ้นมา ฉันจึงรีบผลักตัวพี่ติณออกแล้วรีบดึงเสื้อของตัวเองลงด้วยความตกใจสุดขีด พี่ติณพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด ก่อนจะลุกขึ้นหันไปมองทางต้นเสียง คนที่เดินเข้ามาในห้องรับแขกคืออากิตติ เป็นอาของพี่ติณฉันจำได้ เพราะเคยเจอกันบ่อยๆ ในตอนที่ครอบครัวของเรายังไม่มีปัญหากัน “แกก็รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นลูกสาวของใคร” อากิตติท้วงขึ้นมาด้วยท่าทางที่ไม่สบอารมณ์ “ทำไมถึงทำอะไรแบบนี้!!”“เพราะรู้ ผมถึงทำ” “…….” ฉันยืนนิ่งเมื่อได้ฟังคำตอบของพี่ติณมันก็รู้สึกเจ็บจี๊ดในใจอย่างบอกไม่ถูก “พาเธอขึ้นไปที่ห้อง” พี่ติณสั่งลูกน้องของตัวเองที่เพิ่งเดินมา ฉันถูกพาตัวขึ้นมาบนชั้นสองของบ้านในทันที เลยไม่รู้ว่าพี่ติณกับคุณอาของเขาคุยเรื่องอะไรกัน #ภายในห้องภายในห้องถูกจัดเป็นโทรสีดำทั้งหมด ฉันจึงรู้ได้ทันทีว่านี่คือห้องนอนของพี่ติณ เพราะเขาชอบตกแต่งห้องนอนของตัวเองเป็นโทรสีดำแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรฉันนั่งลงบนเตียงพร้อมกับถอนหายใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า มันยังคงรู้สึกกลัวกับสิ่งที่ต้องเจอต่อจากนี้ แต่ฉันก็ตัดสินใจไปแล้ว และคงไม่เปลี่ยนใจแกร็ก~ ในขณะที่กำลังคิดฟุ้งซ่าน ประตู
ฉันรีบขับรถออกมาจากบ้านของพี่ติณ เมื่อขับมาได้กลางทางก็ต้องจอดรถเพื่อร้องไห้ เพราะมันอดกลั้นไม่ไหวอีกแล้ว “อึก~” ฉันฟุบหน้าลงบนพวงมาลัยรถ จากนั้นก็ร้องไห้ออกมาจนตัวเกร็ง รู้อยู่แล้วว่าพี่ติณเปลี่ยนไป เขาไม่ใช่พี่ชายที่อบอุ่นคนเดิมที่เคยรู้จัก แต่ฉันก็ไม่คิดว่าเขาจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ ทั้งสายตาที่ดุร้าย น้ำเสียงที่อำมหิต ท่าทางที่เย็นชา เขาเปลี่ยนไปมากจริงๆและฉันก็เพิ่งทำอะไรบ้าๆ ลงไป ด้วยการยอมมีอะไรกับเขาเพื่อข้อแลกเปลี่ยน มันเสียใจในหลายๆ อย่างจนฉันไม่สามารถกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ ที่ฉันตามหาพี่ติณมาตลอด ที่มาหาเขาที่บ้านในวันนี้ก็เพราะคิดว่าหากเขาเจอหน้าฉัน เขาอาจจะใจเย็นและยอมเปิดใจรับฟังอะไรที่เข้าใจผิด แต่เปล่าเลย พี่ติณไม่ยอมรับฟังอะไรทั้งนั้น #บ้าน ฉันใช้เวลานานนับชั่วโมงขับรถมาที่บ้าน ที่นานก็เพราะว่าจอดรถร้องไห้อยู่สองครั้ง และตอนนี้มันก็เป็นเวลาหนึ่งทุ่มกว่าๆ “ทำไมเพิ่งกลับบ้านเอาป่านนี้ ไปไหนมาพ่อโทรหาก็ไม่รับสาย” เสียงของพ่อท้วงขึ้นเมื่อฉันเดินเข้ามาภายในบ้าน ฉันจึงรีบก้มหน้าลงทันทีเพราะกลัวว่าพ่อจะเห็นดวงตาที่มันบวมเปล่งเพราะเพิ่งผ่านการร้องไห้มา “เป็นอะไรพ่อถามทำไม
1 เดือนผ่านไป เป็นหนึ่งเดือนที่ฉันพยายามจะลืมเรื่องราวในวันนั้น แต่มันก็ยากเหลือเกิน เพราะทุกครั้งที่หลับตาก็มักจะคิดถึงเหตุการณ์นั้น ไม่รู้เมื่อไหร่จะลืมได้สักที แต่ก็ยังดีที่พี่ติณรักษาคำพูด เขาไม่ไประรานเฮียเหนือกับรินอีก ฉันเองก็ไม่ได้โผล่หน้าไปให้เขาเห็นอย่างที่เคยพูดเอาไว้ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ฉันก็จะบอกกับตัวเองว่าอย่าตามหาเขาอีก “น้ำมนต์คิดอะไรอยู่ได้เวลาไปเรียนแล้วนะ” เสียงแอนนาเพื่อนของฉันท้วงขึ้นในขณะที่ฉันกำลังนั่งเหม่ออยู่ ตอนนี้ฉันอยู่ที่มหาวิทยาลัยเพิ่งจะเปิดเทอมเมื่ออาทิตย์ก่อน ตอนนี้ฉันเรียนคณะบริหารอยู่ปีสี่แล้วแหละ “แล้วไนท์กับใบข้าวล่ะ” ฉันถามหาเพื่อนอีกสองคนเพราะยังไม่เห็นหน้าเลย ไนท์คือเพื่อนผู้ชายคนเดียวในกลุ่ม เพราะเพื่อนของเขานั้นเรียนมหาวิทยาลัยอื่นกันหมด ไม่รู้ไปไงมาไงรู้ตัวอีกทีก็สนิทกันมาจนถึงปีสี่แล้ว ส่วนใบข้าวคือเพื่อนที่ฉันสนิทมากที่สุด ถึงชื่อจะออกไปทางใสซื่อแต่เธอก็ค่อนข้างปากจัดใช้ได้เลยแหละ แถมยังฮ๊อตมากๆ อีกด้วย “สองคนนั้นคงมาสายตามเคยนั่นแหละแกยังไม่ชินหรือไงอยู่กันมาจนถึงปีสี่แล้วนะ” สิ้นสุดเสียงของแอนนา ไนท์กับใบข้าวก็เดินมาพอดี “ทำไ
“ยัยน้ำมนต์เป็นไรนั่งตัวแข็งทื่อเชียว” ใบข้าวที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยถามฉัน “ฉะ ฉันหนาวน่ะ”“ใส่ชุดมาออกจะเซ็กซี่ถ้าฉันไม่เห็นแกเต้น จะงอนคอยดูเถอะ”“แกจะบ้าหรอ ฉันเต้นไม่เป็น” ระหว่างที่ฉันคุยกับใบข้าวอยู่พนักงานของคลับก็ชงเหล้ามาให้ พอแก้วมาวางตรงหน้ายัยข้าวก็หยิบแก้วขึ้นมาแล้วก็ยกแขนขึ้นสูง “วันนี้เป็นวันดี เพื่อนของเราจะมีผัวแล้ว มาดื่มฉลองให้กับแอนนาหน่อยเร็ว” “แกก็พูดอะไรออกมาน่ะ ฉันกับเขาก็แค่มาดื่มด้วยกัน” แอนนารีบพูดแก้ต่าง “ค่า! อยู่มหาวิทยาลัยพูดว่าอะไรน้า…”“ยัยข้าว!! แกหุบปากเดี๋ยวนี้เลยนะ” “มาจ้ะชนแก้ว” ข้าวยื่นแก้วไปชนกับแอนนา จากนั้นก็หันมามองฉัน “น้ำมนต์จ้ะ มาชนแก้วจ้ะแกต้องหมดแก้วเลยนะ” ไม่ต้องรอให้ฉันยกแก้วขึ้นใบข้าวเธอเอาแก้วมาชนแล้วก็บอกไนท์ต่อ “ฉันไม่ชนแก้วกับนายหรอกนะ ไอ้ไนท์!”“ใครอยากจะชนแก้วกับเธอ ยัยจอแบน” “กรี๊ดดด! ไอ้ไนท์ไอ้ปากหมา นมฉันออกจะใหญ่โตขนาดนี้” “พอเลยเลิกเถียงกันได้แล้ว เกรงใจผู้ชายของเพื่อนบ้างสิ” ฉันบอกใบข้าวกับไนท์ ที่ต้องพูดว่าผู้ชายของเพื่อนก็เพราะถ้าพูดชื่อออกไป เพื่อนของฉันจะพากันสงสัยว่าฉันรู้จักพี่ติณได้ยังไง ตอนนี้พี่ติณเงียบไม
1 เดือนผ่านไป เป็นหนึ่งเดือนที่ฉันพยายามจะลืมเรื่องราวในวันนั้น แต่มันก็ยากเหลือเกิน เพราะทุกครั้งที่หลับตาก็มักจะคิดถึงเหตุการณ์นั้น ไม่รู้เมื่อไหร่จะลืมได้สักที แต่ก็ยังดีที่พี่ติณรักษาคำพูด เขาไม่ไประรานเฮียเหนือกับรินอีก ฉันเองก็ไม่ได้โผล่หน้าไปให้เขาเห็นอย่างที่เคยพูดเอาไว้ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ฉันก็จะบอกกับตัวเองว่าอย่าตามหาเขาอีก “น้ำมนต์คิดอะไรอยู่ได้เวลาไปเรียนแล้วนะ” เสียงแอนนาเพื่อนของฉันท้วงขึ้นในขณะที่ฉันกำลังนั่งเหม่ออยู่ ตอนนี้ฉันอยู่ที่มหาวิทยาลัยเพิ่งจะเปิดเทอมเมื่ออาทิตย์ก่อน ตอนนี้ฉันเรียนคณะบริหารอยู่ปีสี่แล้วแหละ “แล้วไนท์กับใบข้าวล่ะ” ฉันถามหาเพื่อนอีกสองคนเพราะยังไม่เห็นหน้าเลย ไนท์คือเพื่อนผู้ชายคนเดียวในกลุ่ม เพราะเพื่อนของเขานั้นเรียนมหาวิทยาลัยอื่นกันหมด ไม่รู้ไปไงมาไงรู้ตัวอีกทีก็สนิทกันมาจนถึงปีสี่แล้ว ส่วนใบข้าวคือเพื่อนที่ฉันสนิทมากที่สุด ถึงชื่อจะออกไปทางใสซื่อแต่เธอก็ค่อนข้างปากจัดใช้ได้เลยแหละ แถมยังฮ๊อตมากๆ อีกด้วย “สองคนนั้นคงมาสายตามเคยนั่นแหละแกยังไม่ชินหรือไงอยู่กันมาจนถึงปีสี่แล้วนะ” สิ้นสุดเสียงของแอนนา ไนท์กับใบข้าวก็เดินมาพอดี “ทำไ
ฉันรีบขับรถออกมาจากบ้านของพี่ติณ เมื่อขับมาได้กลางทางก็ต้องจอดรถเพื่อร้องไห้ เพราะมันอดกลั้นไม่ไหวอีกแล้ว “อึก~” ฉันฟุบหน้าลงบนพวงมาลัยรถ จากนั้นก็ร้องไห้ออกมาจนตัวเกร็ง รู้อยู่แล้วว่าพี่ติณเปลี่ยนไป เขาไม่ใช่พี่ชายที่อบอุ่นคนเดิมที่เคยรู้จัก แต่ฉันก็ไม่คิดว่าเขาจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ ทั้งสายตาที่ดุร้าย น้ำเสียงที่อำมหิต ท่าทางที่เย็นชา เขาเปลี่ยนไปมากจริงๆและฉันก็เพิ่งทำอะไรบ้าๆ ลงไป ด้วยการยอมมีอะไรกับเขาเพื่อข้อแลกเปลี่ยน มันเสียใจในหลายๆ อย่างจนฉันไม่สามารถกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ ที่ฉันตามหาพี่ติณมาตลอด ที่มาหาเขาที่บ้านในวันนี้ก็เพราะคิดว่าหากเขาเจอหน้าฉัน เขาอาจจะใจเย็นและยอมเปิดใจรับฟังอะไรที่เข้าใจผิด แต่เปล่าเลย พี่ติณไม่ยอมรับฟังอะไรทั้งนั้น #บ้าน ฉันใช้เวลานานนับชั่วโมงขับรถมาที่บ้าน ที่นานก็เพราะว่าจอดรถร้องไห้อยู่สองครั้ง และตอนนี้มันก็เป็นเวลาหนึ่งทุ่มกว่าๆ “ทำไมเพิ่งกลับบ้านเอาป่านนี้ ไปไหนมาพ่อโทรหาก็ไม่รับสาย” เสียงของพ่อท้วงขึ้นเมื่อฉันเดินเข้ามาภายในบ้าน ฉันจึงรีบก้มหน้าลงทันทีเพราะกลัวว่าพ่อจะเห็นดวงตาที่มันบวมเปล่งเพราะเพิ่งผ่านการร้องไห้มา “เป็นอะไรพ่อถามทำไม
“นั่นแกกำลังทำอะไร” เสียงผู้ชายดังขึ้นมา ฉันจึงรีบผลักตัวพี่ติณออกแล้วรีบดึงเสื้อของตัวเองลงด้วยความตกใจสุดขีด พี่ติณพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด ก่อนจะลุกขึ้นหันไปมองทางต้นเสียง คนที่เดินเข้ามาในห้องรับแขกคืออากิตติ เป็นอาของพี่ติณฉันจำได้ เพราะเคยเจอกันบ่อยๆ ในตอนที่ครอบครัวของเรายังไม่มีปัญหากัน “แกก็รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นลูกสาวของใคร” อากิตติท้วงขึ้นมาด้วยท่าทางที่ไม่สบอารมณ์ “ทำไมถึงทำอะไรแบบนี้!!”“เพราะรู้ ผมถึงทำ” “…….” ฉันยืนนิ่งเมื่อได้ฟังคำตอบของพี่ติณมันก็รู้สึกเจ็บจี๊ดในใจอย่างบอกไม่ถูก “พาเธอขึ้นไปที่ห้อง” พี่ติณสั่งลูกน้องของตัวเองที่เพิ่งเดินมา ฉันถูกพาตัวขึ้นมาบนชั้นสองของบ้านในทันที เลยไม่รู้ว่าพี่ติณกับคุณอาของเขาคุยเรื่องอะไรกัน #ภายในห้องภายในห้องถูกจัดเป็นโทรสีดำทั้งหมด ฉันจึงรู้ได้ทันทีว่านี่คือห้องนอนของพี่ติณ เพราะเขาชอบตกแต่งห้องนอนของตัวเองเป็นโทรสีดำแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรฉันนั่งลงบนเตียงพร้อมกับถอนหายใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า มันยังคงรู้สึกกลัวกับสิ่งที่ต้องเจอต่อจากนี้ แต่ฉันก็ตัดสินใจไปแล้ว และคงไม่เปลี่ยนใจแกร็ก~ ในขณะที่กำลังคิดฟุ้งซ่าน ประตู
“ฉันตกลงทำตามที่เธอเสนอ” ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้พี่ติณเปลี่ยนใจ ทั้งที่ฉันบอกว่าจะไม่ยอมแลกแล้ว พอเอาเข้าจริงๆ เขาก็มาพูดแบบนี้ มันทำให้ฉันต้องคิดอีกครั้ง “จะเลิกยุ่งกับเฮียเหนือแล้วปล่อยให้รินเป็นอิสระใช่ไหมคะ” “อืม” “ทำแบบนั้นกับหนูลงจริงๆ หรอคะ” ฉันรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขี้น ถึงจะบริสุทธิ์อยู่แต่ฉันไม่ได้ได้ใสซื่อขนาดที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักอย่าง “เธอยอมอ้าขาให้ขนาดนี้ ฉันคงไม่ปฏิเสธ” “พี่ติณไม่หลอกหนูใช่ไหม” ยอมรับว่าฉันยังลังเล เพราะคำก่อนหน้านี้ที่พี่ติณบอกไว้ ยังไม่ได้คำตอบพี่ติณก็ก้มหน้าลงมากดจูบลงบนริมฝีปากของฉันอีกครั้ง เขาบดขยี้จูบอย่างหนักหน่วงทำให้ฉันแทบจะหายใจไม่ทัน จึงต้องรีบผลักเขาออก “ไหนบอกว่าจะแลก ?” ใบหน้าคมคายเริ่มหงุดหงิดเมื่อฉันผลักตัวเองออก “แต่พี่ติณยังไม่ได้ตอบคำถามของหนู” “ก็ตามนั้น…” ฉันนิ่งไปครู่หนึ่ง ในขณะที่พี่ติณโน้มใบหน้าลงมาซุกไซร้ที่ซอกคอ ฉันกำลังทบทวนว่าเลือกทำแบบนี้มันสมควรหรือเปล่า ฉันจะมาเสียใจทีหลังหรือเปล่า เพราะผู้ชายคนนี้คือพี่ชายที่ฉันรักมากๆ มาตั้งแต่เด็กๆ ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะเปลี่ยนไป ถึงแม้ว่าฉันจะเคยคิดมากกว่าคำว่าพี่ชาย
ในตอนแรกมันรู้สึกกลัวกับคำพูดของพี่ติณ แต่มันกลับมีอีกหนึ่งความคิดผุดเข้ามาในหัว ถ้าหากฉันทำให้พี่ติณละทิ้งความแค้นทั้งหมดได้ ฉันก็จะทำ ถึงแม้พี่ติณจะไม่ยอมละทิ้งความแค้น แต่ถ้าเขารับปากว่าจะปล่อยรินไปจะเลิกหาเรื่องเฮียเหนือ ฉันก็ยอม “พี่ติณถามหนูว่ามีอะไรมาแลก ต้องการแบบนั้นจริงๆ หรอคะ” “หึ! ถามทำไม เธอกล้าแลกหรือไง” “แล้วถ้าหนูบอกว่ายอมแลกละคะ” ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วถามต่อ “พี่ติณจะยอมปล่อยรินไป จะเลิกหาเรื่องเฮียเหนือใช่ไหมคะ” “เธอยอม ?” “…ตอบหนูมาสิคะ” “เพราะอะไรถึงยอม ?” พี่ติณไม่ยอมตอบและตั้งคำถามกับฉัน“เพราะเรื่องความแค้นของพี่ติณกับเฮียมันควรจะจบได้แล้วไงคะ” ถึงฉันจะไม่ได้เจอพี่ติณเลยตลอดเวลาหลายปีมานี้ แต่ฉันก็พอรู้อยู่บ้างว่าพี่ติณพยายามหาเรื่องเฮียเหนือมาตลอด “หึ! พูดง่ายดี ลองให้คนที่ตายเป็นพ่อของเธอดูไหม” “…….” ฉันกัดริมฝีปากตัวเองแน่นจนห้อเลือด แววตาคู่นั้นของพี่ติณ เขาไม่ใช่คนเดิม ไม่ใช่พี่ชายที่อบอุ่นของฉันแล้วจริงๆ พี่ติณก้าวขาเดินหน้า ทำให้ฉันต้องถอยหลังไปทีละก้าวๆ จนกระทั่งขามันชนเข้ากับขอบของโซฟา “คิดว่าร่างกายของเธอมันจะลบล้างความผิดที่พ่อเธอกับพ่
ขอบคุณโชคชตาที่ทำให้ฉันได้เจอเขาอีกครั้ง แต่ไม่คิดว่าการกลับมาเจอกันอีกครั้งของเรามันจะทำให้ฉันเจ็บปวด ผู้ชายตรงหน้าเขาไม่ใช่พี่ชายที่แสนดีของฉันอีกต่อไป Talk น้ำมนต์“ในที่สุดหนูก็ได้เจอพี่ติณสักที ^_^” ฉันยิ้มออกมาอย่างดีใจที่เจอกับผู้ชายที่ตัวเองตามหามาตลอด ตอนนี้เขาได้ยืนอยู่ตรงหน้าของฉันแล้ว ต้องขอบคุณรินที่ทำให้ฉันได้เจอกับพี่ติณอีกครั้ง เพราะฉันเคยถามกับเฮียเหนือ เฮียก็ไม่ยอมบอกว่าพี่ติณอยู่ที่ไหน แต่สีหน้าของพี่ติณนั้นไม่ได้ยินดีเลยที่เห็นฉัน เขากลับมองฉันสวยสายตาที่แสนจะเย็นชา “ไสหัวกลับไปซะ!!” พี่ติณประกาศเสียงกร้าวไม่ได้คิดจะรับฟังอะไรทั้งนั้น พูดจบเขาก็ทำท่าจะเดินหนี ฉันจึงต้องรีบวิ่งไปดักหน้าเอาไว้ “เชื่อหนูนะคะเรื่องนั้นมันคืออุบัติเหตุ” ฉันพยายามจะอธิบายถึงเรื่องราวในวันนั้นที่พ่อเล่าให้ฟัง เพราะรู้ว่าพี่ติณเป็นแบบนี้เพราะเรื่องอะไร เรื่องการสูญเสียไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เหตุการณ์นั้นพ่อของฉันเองก็เสียใจที่ไม่สามารถช่วยชีวิตพ่อของพี่ติณได้ และพ่อก็โทษตัวเองจนถึงทุกวันนี้ แต่พี่ติณกลับไม่ได้คิดแบบนั้นเขาคิดว่าพ่อของฉันและพ่อของเฮียเหนือวางแผนกันฆ่าพ่อของตัวเ