เวลาผ่านไปประมาณเกือบสองชั่วโมงที่นั่งดื่ม ฉันเองก็เริ่มมึนหัวแล้วเพราะดื่มไปหลายแก้ว ตอนนี้ไม่รู้ว่าพี่ติณไปไหน เขาหายไปจากโต๊ะครู่ใหญ่แล้วแหละ
แต่ก็ดี ไม่เห็นหน้าเขาทำทำให้ฉันรู้สึกคลายความอึดอัดได้บ้าง เพราะเวลาที่พี่ติณนั่งอยู่ด้วยมันรู้สึกเหมือนว่ากำลังถูกจ้องมองตลอดเวลา “แอนนาพาฉันไปเข้าห้องน้ำหน่อย” ใบข้าวชวนแอนนา “ขี้เกียจ! ทำไมแกไม่ชวนยับน้ำมนต์ไป” “น้ำมนต์ดื่มไปหลายแก้วแล้ว ขืนให้พาไปจะเดินไปถึงห้องน้ำสักทีไหม แกก็รู้ว่าเพื่อนคออ่อน” “อ่าๆ จะไปก็ลุกขึ้นสิ” “น้ำมนต์เดี๋ยวฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” ก่อนจะลุกขึ้นไปใบข้าวได้หันมาบอก ฉันจึงพยักหน้าตอบรับรู้แทนคำพูด พอใบข้าวกับแอนนาลุกขึ้นไปแล้วก็เหลือแค่ฉันกับไนท์ “นั่งคนเดียวได้ไหม เดี๋ยวฉันจะไปสูบบุหรี่” ไนท์หันหน้ามาถาม ฉันเองก็รู้สึกหวั่นๆ กลัวพี่ติณจะกลับมาตอนที่ทุกคนไม่อยู่โต๊ะ แต่ฉันคงไม่โชคร้ายขนาดนั้นหรอกมั้ง “อื้อได้สิ” ฉันบอกไนท์ ก่อนที่ไนท์จะลุกขึ้นเดินไปหาที่สูบบุหรี่ พอนั่งคนเดียวมันรู้สึกเคว้งไปเลย ผู้คนในคลับวันนี้ค่อนข้างเยอะ เรียกได้ว่าแออัดกันเลยทีเดียว แต่ตรงโซนที่ฉันนั่งจะไม่มีใครเข้ามาวุ่นวาย แถมยังมีการ์ดร่างใหญ่ยืนคุมด้วย“เพื่อนไปไหนกันหมด”
เฮือก! ฉันที่เอาแต่ก้มหน้าเมื่อได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้นก็ทำให้ใจหล่นมาอยู่ที่ตาตุ่มทันที ทำไมนะ ทำไมต้องกลับมาที่โต๊ะตอนฉันอยู่คนเดียวด้วย “ขะ เข้าห้องน้ำค่ะ” “ไม่คิดจะทักฉันเลยหรือไง หรือว่าวันนั้นฉันทำให้เธอไม่ประทับใจ ให้ฉันแก้มืออีกครั้งไหม หื้ม….” พี่ติณพูดบ้าอะไร ตอนเพื่อนฉันอยู่เขาเป็นคนเงียบขรึม แต่พออยู่กับฉันสองคนเขากลับพูดอะไรบ้าๆ ออกมา “หนูจะไปห้องน้ำ” พูดจบฉันก็ลุกขึ้น จากนั้นก็ก้าวขาเดิน แต่ด้วยความที่มึนหัวเป็นทุนเดิมบวกกับลุกขึ้นเร็วเกินไป ทำให้ร่างของฉันเซแล้วเอนตัวล้มลง “อร้าย!!” ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้าย ที่มีตั้งเยอะฉันกลับล้มลงไปบนตักของพี่ติณซะได้ บ้าที่สุด! “ปะ ปล่อยนะคะ” ฉันเริ่มดิ้นแรงๆ เมื่อพี่ติณโอบเอวไว้ไม่ยอมปล่อย “คืนนี้มานอนกับฉัน แล้วฉันจะปล่อย” “นะ ไหนบอกว่าแค่ครั้งนั้นไงคะ” พอถามออกไป สายตาของฉันก็เหลือบเห็นแอนนากับใบข้าวกำลังเดินมาทางนี้พอดี ฉันจึงเริ่มดิ้นแรงๆ เพราะกลัวแอนนาเห็นเข้า “พี่ติณปล่อยนะ แอนนากำลังมาที่โต๊ะ” “แล้วยังไง ถ้าเธอไม่บอกว่าจะยอมไปนอนกับฉัน ฉันก็ไม่ปล่อย” พี่ติณตอบแบบไม่สนใจว่าแอนนาจะมาเห็นเลย แล้วฉันเลือกอะไรได้บ้าง ถ้าแอนนามาเห็นต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ “ก็ได้ค่ะ หนูตกลง” สิ้นสุดคำพูดของฉันพี่ติณก็ยอมปล่อยวงแขนแกร่งที่โอบเอวฉันออกฉันรีบลุกขึ้นจากตักของพี่ติณแล้วเดินหนีออกมาให้ห่างจากเขาได้ทันเวลาก่อนที่แอนนากับใบข้าวจะเดินกลับมาที่โต๊ะพอดี “อ้าวน้ำมนต์แกจะไปไหน” “ฉะ ฉันจะไปเข้าห้องน้ำน่ะ” “ไปคนเดียวได้หรอคนเยอะนะ” ใบข้าวถามอย่างเป็นห่วงในขณะที่ตอนนี้แอนนาเดินไปนั่งข้างๆ พี่ติณแล้วกอดแขนเขา“คุณติณจะไปส่งแอนนาที่คอนโดหรือเปล่าคะ วันนี้แอนนานั่งรถเพื่อนมา” ที่แอนนาพูดเธอโกหก เพราะวันนี้เธอเอารถมา พี่ติณมองหน้าฉันก่อนจะตอบแอนนา “วันนี้ฉันไม่ว่าง” พอพี่ติณตอบแบบนั้นแอนนาก็หน้าเสียไปเลย มันทำให้ฉันรู้สึกผิด “งะ งั้นเราค่อยนัดเจอกันวันหลังก็ได้ค่ะ” “กะ แกจะพาฉันไปเข้าห้องน้ำใช่ไหมใบข้าว ไปสิเร็วๆ” ฉันจับมือข้าวให้รีบเดินออกมาจากโต๊ะ เพราะพี่ติณเอาแต่มองหน้าฉันแบบนั้นกลัวว่าแอนนาจะสงสัยเอา “ยัยน้ำมนต์เดินช้าๆ หน่อย” ฉันไม่ได้ฟังอะไรทั้งนั้นรีบพาใบข้าวเดินมาจนถึงห้องน้ำ จริงๆ ฉันไม่ได้อยากจะมาเข้าห้องน้ำเลย แต่ไม่อยากอยู่ที่โต๊ะแล้ว อยากกลับบ้านแล้วด้วย หรือฉันจะหนีพี่ติณกลับบ้านดี เราคงไม่โชคร้ายเจอกันแบบวันนี้อีก “ใบข้าว คือฉันอยากกลับบ้านแล้ว”“หือ! ทำไมล่ะแกไม่สนุกหรอ ?”“อื้อ ปกติฉันนอนเวลานี้ ง่วงแล้ว
คำถามนั้นทำให้ฉันที่ยืนอยู่ตัวแข็งทื่อ ลืมไปเลยว่าใบข้าวต้องไปพูดที่โต๊ะว่าฉันจะกลับบ้าน บ้าจริง! ถึงว่าทำไมพี่ติณรู้ว่าฉันกำลังจะหนีกลับ “อย่าทำแบบนี้เลยนะคะ พี่ติณควรกลับไปหาแอนนา” “เธอไม่ควรมาสั่งว่าฉันต้องทำอะไร” “หนูไม่ได้สั่ง แต่ข้อตกลงของเรามันจบแค่ครั้งเดียวไม่ใช่หรอคะ” “แล้วถ้าฉันบอกว่าอยากให้มันมีอีกเป็นครั้งที่สอง….” ไม่พูดเปล่าพี่ติณเดินเข้ามาใกล้ๆ จากนั้นเขาก็จับปลายคางของฉันให้เงยขึ้นแล้วซุกใบหน้าลงมาที่ซอกคอ การกระทำนั้นทำให้ฉันมีสติและเริ่มดิ้นสู้ “ยะ อย่านะคะพี่ติณ อย่าทำแบบนั้นอีก อื้อ” ฉันทั้งผลักไสและทุบรัวไปที่อกแกร่งหลายต่อหลายครั้ง แต่พี่ติณไม่ได้สะทกสะท้านอะไรเลยสักนิด มือทั้งสองข้างของฉันถูกรวบเอาไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียวของพี่ติณ จากนั้นเขาก็เริ่มซุกไซร้ซอกคอของฉันหนักหน่วงขึ้น “ยังไงพี่ติณกับหนูก็รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก หนูรู้ว่าตอนนี้ทุกอย่างมันไม่มีอะไรเหมือนเดิมแล้ว แต่ช่วยคิดถึงตอนที่หนูเป็นน้องสาวที่พี่ติณเคยเอ็นดูได้ไหมคะ” คำพูดของฉันทำให้พี่ติณหยุดชะงัก ในขณะที่ฉันกำลังยืนสั่นไปทั้งตัว สายตาคมกริบจ้องมองใบหน้าของฉันอยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่จะพูดขึ้นม
“ใช่ไม่มีทางเลือก เพราะเธอเลือกผิดตั้งแต่แรก” พี่ติณบอกเสียงเย็น ใช่! ฉันเลือกผิดตั้งแต่แรกแล้วจริงๆ “กลับเข้าไปในคลับ ฉันต้องรอคลับปิดก่อนถึงจะกลับบ้าน” “แต่หนูบอกเพื่อนว่าจะกลับบ้านแล้ว”“ฉันรู้ว่าเธอคงหาข้ออ้างได้ มันคงไม่ยากขนาดนั้น หรือถ้ายากให้ฉันส่งคลิปนี้ให้พ่อเธอดูก่อนดีไหม เผื่ออะไรๆ มันจะง่ายขึ้น” “….ค่ะ กลับเข้าไปในคลับก็ได้ค่ะ” ฉันต้องยอมอย่างจำใจ เพราะไม่มีทางเลือก“คลับนี้พี่ติณเป็นเจ้าของงั้นหรอคะ” “อืม” ฉันจะจำไว้ถ้าเพื่อนพามาคลับอีกจะไม่มาคลับนี้เด็ดขาด“งั้นพี่ติณก็เดินเข้าไปในคลับก่อนสิคะ หนูจะตามไปทีหลังเดี๋ยวเพื่อนจะสงสัยเอา” “ฉันคงไม่โง่ปล่อยให้เธอตามไปทีหลัง”“……”“เดินไป!” ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในคลับ จากที่ไม่อยากดื่มเท่าไหร่ตอนนี้มันอยากดื่มมากๆ ฉันจะทำยังไงดี จะลบคลิปนั้นออกไปได้ยังไง พี่ติณจะได้ไม่มีข้ออ้างมาขู่แบบนี้อีก พอเดินกลับมาที่โต๊ะเพื่อนทั้งสามคนของฉันก็ต่างมองอย่างแปลกใจ “ไหนกลับบ้าน ?” ไนท์ถาม“นั่นสิ หรือแกลืมของ” แอนนาก็ถามอย่างแปลกใจ“ไม่หรอกพอดีฉันรอรถนานเลยเปลี่ยนใจอยากมาดื่มกับพวกแกแล้ว”“มันต้องแบบนี้สิเพื่อนฉัน”
ฉันรีบมองไปยังโต๊ะเพราะกลัวว่าแอนนาจะเห็น แล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเพราะแอนนาไม่ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะ “อ้าวทำไมพี่แทนถึงกอดน้ำมนต์แบบนั้นละคะ” ใบข้าวเดินมาได้จังหวะพอดี เธอท้วงอย่างแปลกใจก่อนจะมองพี่ติณเหมือนเพิ่งเห็นว่าเขาอยู่ตรงนี้ด้วย หัวใจดวงน้อยของฉันมันเต้นรัว ภาวนาขอให้พี่ติณอย่าทำอะไรให้ใบข้าวรู้ “ฉันจะนับหนึ่งถึงสาม” พี่ติณเอ่ยออกมาเสียงกร้าว ที่บอกแบบนั้นหมายความว่าว่าให้ฉันถอยห่างออกมาจากเพื่อนของพี่บาส “มีอะไรหรือเปล่าคะ” ใบข้าวถามแต่พี่ติณไม่ได้ตอบอะไร พอสิ้นสุดเสียงของพี่ติณฉันก็รีบดันตัวหนีออกมาทันที และด้วยความที่ไม่ระวังทำให้เสียท่าจะลมอีก เพราะเท้ามันก็ยังเจ็บอยู่ “น้ำมนต์แกเป็นอะไรหรือเปล่า” ใบข้าวกำลังจะประคองฉันแต่เพื่อนของพี่บาสเป็นคนรับไว้อีกครั้ง ไม่นานแขนของฉันก็ถูกกระชากอย่างแรง การกระทำนี้ของพี่ติณทำให้ทุกคนในโต๊ะจ้องมองอย่างตกใจและงุนงง ฉันเองก็ไม่กล้าสบตาใครเพราะไม่รู้จะอธิบายยังไงดี โดยเฉพาะใบข้าว“เจ็บเท้าใช่ไหม ?” พี่ติณถามฉันจึงพยักหน้าตอบ จากนั้นสิ่งที่ไม่ขาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อพี่ติณอุ้มฉันขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน ทำให้ใบข้าวที่เห็นเหตุการณ์เบิ
“เก่งมากก็ลุกขึ้นมา” พี่ติณตวาดบอกเสียงดัง โชคดีที่ตรงนี้ไม่มีคนพลุกพล่าน ก่อนหน้านี้ฉันเคยคิดถึงผู้ชายคนนี้มากๆ แต่ตอนนี้ฉันกลับค่อยๆ รู้สึกเกลียดเขาฉันยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาออกจากแก้มของตัวเอง น้ำตามันแค่ไหลออกมาแต่ฉันไม่ได้ร้องไห้สะอื้นให้พี่ติณเห็น เมื่อได้ฟังคำสั่งของคนใจร้ายที่ยืนจ้องอยู่ฉันก็ค่อยๆ พยุงตัวเองลุกขึ้นถึงแม้จะเจ็บที่ข้อเท้ามากๆ ก็ตาม และพอลุกขึ้นมาแล้วก็ได้เห็นว่าที่มือนั้นมีรอยถลอกและมีเลือดไหลซิบๆ ออกมา แต่ด้วยความที่มันชาเลยไม่รู้สึกเจ็บ “อยากไปหาไอ้เวรนั่นมากเลยว่างั้น ?” พี่ติณถามออกมาเสียงแข็ง “อย่ามายุ่งกับหนู” “ฉันจะนับหนึ่งถึงสาม รีบไสหัวไปให้พ้น”“……” มันอยากจะร้องไห้ออกดังๆ ให้กับเรื่องร้ายๆ ที่เจอในวันนี้ แต่ฉันก็ทำได้แค่เก็บเสียงสะอื้นเอาไว้ “หนึ่ง….” พอพี่ติณเริ่มนับฉันก็กระโดดขาเดียวหนีจากเขา แต่ด้วยความที่มึนหัวและการกระโดดขาเดียวมันยากสำหรับฉัน ทำให้ตัวของฉันล้มกระแทกพื้นอย่างแรง ครั้งนี้หัวเข่าทั้งสองข้างมันถลอกและมีเลือดไหลด้วย “อึก~” ในที่สุดฉันก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ พี่ติณที่ยืนมองอยู่ในตอนแรกเขาเดินมาแล้วนั่งลงตรงหน้า ก่อนจะจับ
#ภายในห้องนอนของพี่ติณ ปัก! ร่างของฉันถูกเหวี่ยงลงกระแทกกับเตียงแรงๆ จากนั้นพี่ติณก็ขึ้นคร่อมมาบนตัวของฉัน แควก! เสื้อที่สวมใส่อยู่ถูกฉีกออกจนขาดหลุดลุ่ยติดมือพี่ติณ เขาจะทำเรื่องบนเตียงทั้งที่เท้าของฉันมันเจ็บ และที่ตัวของฉันก็มีรอยถลอกแบบนี้น่ะหรอ “พี่ติณ อึก~ หนูเจ็บ” ฉันใช้มือที่ไม่มีเรี่ยวแรงพยายามปัดป่ายสู้ แต่ก็ไร้ประโยชน์ พี่ติณเหมือนคนที่กำลังบ้าคลั่ง เขาฉีกกระชากชุดของฉันออกไม่พอ ยังกระชากชุดชั้นในของฉันด้วย จนในที่สุดร่างกายของฉันมันก็เปลือยเปล่า พี่ติณบีบปลายคางฉันแน่น เขาจ้องเขม็งด้วยแววตาที่น่ากลัว “ไหนบอกว่าจะไม่โผล่หน้ามาให้ฉันเห็นอีก” “หนูไม่คิดว่าจะเจอพี่ติณ อึก~ ถ้ารู้ว่าเป็นพี่ติณหนูคงไม่ไปกับเพื่อนหรอกค่ะ” “หึ!” เสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ ของพี่ติณนั้นน่ากลัวมากจริงๆ เขาก้มหน้าลงมากดริมฝีปากขยี้ลงมาบนริมฝีปากของฉัน มันเจ็บที่ริมฝีปากจนเริ่มชาหนึบเพราะถูกกัดหลายต่อหลายครั้ง จนได้กลิ่นคาวของเลือด ฉันได้แต่ปล่อยน้ำตาให้มันไหลลงมาอาบแก้ม จะผลักออกก็หมดแรง จะหนีก็ไม่ได้ เมื่อพอใจแล้วพี่ติณก็ผละริมฝีปากออก เขาลุกขึ้นถอดเสื้อผ้าของตัวเองทิ้งลงพื้นอย่างไม่ใยดี ก่อนจ
ฉันกัดฟันค่อยๆ พยุงตัวเองลุกขึ้นด้วยเรือนร่างที่เปลือยเปล่า พี่ติณที่กำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ด้านนอกระเบียงห้องใช้สายตามองฉันแบบไร้ความรู้สึก เขาเฉยชา… ฉันมองหากระเป๋าของตัวเองเพราะจะเอาโทรศัพท์มาโทรหาไนท์ให้มารับ แต่ก็ไม่เจอก่อนจะคิดได้ว่าลืมเอาไว้ที่รถของพี่ติณแน่ๆ สายตาของฉันกวาดมองไปรอบๆ ห้อง เห็นผ้าขนหนูอยู่ผืนหนึ่งจึงลุกขึ้นเดินไปหยิบมันมาพันตัว การเดินของฉันเป็นไปอย่างทุลักทุเล แต่ก็ยังฝืนตัวเองได้อยู่ หมับ! ยังไม่ทันที่จะได้เดินไปไหนแขนก็ถูกกระชากอย่างแรง ตามมาด้วยเสียงตวาดถามของพี่ติณ “จะไปไหน!”“หนูจะไปเอาโทรศัพท์” “ไม่ต้อง!” พี่ติณผลักร่างของฉันลงบนเตียงอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า ไม่นานเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ก็ถูกพี่ติณโยนมาให้ฉัน “ใส่ซะ” “……” ไม่มีทางเลือกเพราะเสื้อผ้าที่ใส่มาก็ถูกฉีกขาดหลุดลุ่ยไปหมดแล้ว ฉันจึงยอมสวมใส่เสื้อที่พี่ติณเอาให้อย่างว่าง่าย ส่วนพี่ติณเขาก็หยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่ หลังจากใส่เสื้อผ้าแล้วพี่ติณก็เดินมานั่งลงตรงหน้า ก่อนที่เขาจะจับเท้าของฉันขึ้น ในขณะที่ฉันกำลังจะชักเท้าออกก็ถูกสายตาดุดันของพี่ติณจ้องเขม็ง“…..เกลียดหนูไม่ใช่หรอคะ”“ถ้
วันต่อมาหลังจากที่ฉันบอกไปว่าจะยอมหมั้นกับผู้ชายที่พ่อเลือกให้ พ่อก็บอกว่าพรุ่งนี้จะนัดเขามากินข้าวที่บ้าน จะได้คุยเรื่องงานหมั้นด้วย ตอนนี้ฉันเลือกไปแล้ว มันเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อีก “น้ำมนต์” เสียงใบข้าวเรียกชื่อฉันดังขึ้นมา ทำให้ฉันหลุดจากภวังค์แล้วหันมองใบข้าวที่กำลังเดินมาทางนี้ ตอนนี้ฉันอยู่ที่มหาวิทยาลัยวันนี้มีเรียนเช้าก็เลยมาเช้าหน่อย แอนนากับไนท์ยังไม่มากันเลย พอเห็นใบข้าวในใจมันก็รู้สึกกลัว กลัวว่าเธอจะถามเรื่องที่คลับ “แกมานานแล้วหรอ ?” ใบข้าวถามพร้อมกับนั่งลงข้างๆ กับฉัน “อื้อ สักพักแล้วแหละ” “แกโอเคใช่ไหม ?” ใบข้าวเอ่ยถามฉันด้วยสีหน้าที่เป็นห่วง ส่วนฉันเองก็ไม่ได้ตอบอะไรนอกจากพยักหน้าเท่านั้น “น้ำมนต์คือฉันขอถามอะไรแกหน่อยสิ” คำที่ใบข้าวพูดเมื่อครู่ทำให้ฉันนั่งตัวเกร็งหายใจไม่ทั่วท้อง พร้อมกับมือทั้งสองข้างที่กำแน่น รู้สึกว่าเรื่องที่จะถามต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับพี่ติณแน่ๆ “แกกับคุณติณอะไรนั่น แบบว่าฉันเห็นเขาอุ้มแกออกไปข้างนอก….”“…….” คิดไว้แล้วไม่มีผิดว่าใบข้าวต้องถามเรื่องนี้ “คือฉันไม่ได้อยากจะยุ่งเท่าไหร่หรอกนะ แต่ฉันอดสงสัยไม่ได้จริงๆ”“ฉันกับพี่ติณเรารู
10 เดือนผ่านไปตอนนี้ฉันกำลังนอนให้นมลูกอยู่ในห้อง พ่อกับแม่เพิ่งมาเยี่ยมแล้วกลับไปนี่เอง ส่วนพี่ติณเขามีประชุมที่บริษัท น้ำอิงลูกสาวของฉันตอนนี้ได้สิบเดือนแล้ว นั่งได้คลานได้ ตอนนี้กำลังหัดเดินแต่ยังเดินเป็นก้าวๆ ไม่ได้ต้องคอยจับ เวลาพูดอะไรเขาก็จะมองๆ พอเข้าใจบ้าง ยิ่งเวลาดื้อแล้วถูกดุนี่นะมองหาพ่อก่อนเลย พอเห็นพ่อก็จะร้องไห้ใหญ่ เอาแต่ใจใช่เล่นเลยแหละตอนนี้น้ำอิงอ้วนจ้ำม่ำมากๆ เลย เพื่อนๆ ของฉันต่างเอ็นดูความจ้ำม่ำจนต้องแวะเวียนกันมาคอยเล่นกับหลานบ่อยๆ พี่ติณก็ติดลูกมากๆ ตั้งแต่คลอดเขาเอางานมาทำที่บ้าน จะเข้าบริษัทก็แค่ตอนมีประชุม แถมพวกผ้าอ้อมของลูกแล้วก็เสื้อผ้าพี่ติณเป็นคนซักเองหมด ฉันมีหน้าที่แค่นอนให้นมลูกอย่างเดียวเลย พอให้นมลูกสาวของฉันก็หลับคาอก ฉันค่อยๆ ประคองตัวลูกอย่างเบามือเอามานอนที่เปล เป็นเปลไกวแบบไฟฟ้าพี่ติณซื้อเอาไว้เพราะกลัวว่าถ้าไกวเองแล้วฉันจะปวดแขน กริ้ง~ พอเอาลูกนอนเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ฉันรู้ได้ทันทีว่าคนที่โทรมาต้องเป็นพี่ติณแน่ๆ “ลูกหลับแล้วค่ะ” พอรับสายฉันก็รีบกระซิบบอก พี่ติณโทรมาแบบวีดีโอคลอ(ขอดูหน้าลูกหน่อย) เป็นแบบนี้ประจำเวลาที่ออกไปบริษัทถึง
#ภายในห้อง ตกดึกตอนนี้พี่ติณเริ่มงอแงหนักขึ้นเพราะว่าฉันไม่ยอมให้ทำเรื่องบนเตียงจริงๆ “ทำเบาๆ แค่เอาถูๆ ก็ได้” พี่ติณล้มมานอนบนตักของฉันแล้วพูดอ้อน “ไม่ค่ะ” “ถูๆ เองไม่เอาใส่เข้าไป”“หนูบอกว่าไม่เอาไง”“จะเอาๆ” “ถ้ายังพูดไม่รู้เรื่องหนูจะงดไปสองเดือนเลยนะคะ” ฉันยื่นคำขาดด้วยสีหน้าที่จริงจัง ทำให้พี่ติณปิดปากเงียบแต่สายตาของเขากำลังมองค้อนฉันอยู่ “ไม่เป็นห่วงลูกเลยหรือไงคะ” “เป็นห่วงแต่พ่อมันก็หิวเป็นเหมือนกัน”“ใช้มือช่วยตัวเองไปก่อนก็ได้”“ไม่ชอบ ชอบทำในตัวเธอมากกว่า” “หนูจะกลับไปอยู่บ้านนะถ้าพี่ติณยังหื่นไม่เข้าเรื่องแบบนี้น่ะ” “ได้ไง แต่งงานกันแล้วนะน้ำมนต์”“ไม่รู้แหละ มันหงุดหงิดนี่คะ” ฉันดันศรีษะของพี่ติณออกจากตักเพื่อแสดงอาการไม่พอใจที่เขานั้นหมกมุ่นเรื่องบนเตียงมากเกินไป “ก็ได้ๆ ต่อไปนี้ฉันจะไม่หมกมุ่น” ฉันหันมองพี่ติณอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “ทำได้หรอคะ”“เมียสั่งฉันก็ต้องทำให้ได้”“สามีของหนูน่ารักที่สุดเลยค่ะ ^_^” ฉันยิ้มหวานให้พี่ติณแต่พอจะแตะตัวเขา เขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วบอก “ฉันจะไปห้องพระ”“ไปทำอะไรที่ห้องพระคะ ?” ที่ผ่านมาฉันไม่เคยเห็นพี่ติณเข้าห้องพระเลยนะ วันนี้
“ผะ ผม….” อาจารย์หนุ่มแสดงอาการกลัวออกมาอย่างเห็นได้ชัด “มานี่!!” พี่ติณจ้องฉันเขม็ง ฉันจึงรีบเดินไปหาเขาทันที จากนั้นพี่ติณก็พูดต่อ “ให้เวลาห้าวินาที รีบไปให้พ้นก่อนที่กูจะยิงมึง” สิ้นสุดคำพูดที่ดุดันของพี่ติณอาจารย์หนุ่มก็รีบวิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิต เขาคงกลัวตายมากๆ “อย่ามองหนูแบบนั้นนะ พี่ติณสั่งให้ลูกน้องหาอาจารย์มาสอน หนูไม่ได้เลือกเองสักหน่อย” ฉันรีบบอกเพราะถูกสายตาเอาผิดของพี่ติณจ้องอยู่ “เธอยอมให้มันอยู่ใกล้” “หนูแค่ไม่เข้าใจที่เขาสอน เขาเลยเดินมาบอก”“แล้วต้องใกล้ขนาดนั้น ? กลิ่นตัวหอม ?” พี่ติณกำลังหาเรื่องฉันอยู่ ไม่คิดจะฟังที่พูดเลยหรือไง นิสัยเดิมอีกแล้ว “แต่หนูก็ไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดีนะคะ หนูรู้ว่าตัวเองมีสามีแล้ว” “แล้วตอนมันยืนใกล้ๆ ทำไมไม่ลุกหนี ถ้าฉันไม่มาเห็นเธอจะลุกขึ้นหนีมันหรือเปล่า ?”“การลุกหนีมันเสียมารยาทนะคะ อีกอย่างเขาไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการลวนลามหนูเลยด้วยซ้ำ”“ฉันไม่ชอบเธอก็รู้”“เปลี่ยนอาจารย์สอนเป็นผู้หญิงให้หมดทุกคนเลยก็ได้ค่ะ ถ้าเป็นผู้ชายแล้วพี่ติณไม่สบายใจ” “เปลี่ยนแน่!!” ฉันผิดอะไรหรอพี่ติณถึงได้มีท่าทางโกรธมากขนาดนี้ ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเสีย
วันเวลาล่วงเลยผ่านไปจนกระทั่งถึงวันที่สำคัญมากที่สุดของชีวิต เป็นวันที่มีความสุขมากที่สุดอีกวัน วันที่ฉันกับพี่ติณเข้าพิธีแต่งงานกัน เราจัดงานแบบเรียบง่ายเชิญแค่แขกคนสนิท ถึงแม้จะจัดในโรงแรมหรู แต่เราคุยกันแล้วว่าอยากให้บรรยากาศมันอบอุ่นมากกว่ามีคนมากมายพลุกพล่าน ในงานจึงมีแขกมาร่วมแสดงความยินดีไม่มากนัก ส่วนมากจะเป็นญาติทางฉันและเพื่อนๆ ที่ฉันสนิทเพราะพี่ติณตัวคนเดียว จะมีก็แต่ลูกน้องของเขาที่มาร่วมแสดงความยินดี “เจ้าสาวของฉันทำไมถึงสวยขนาดนี้นะ” พี่ติณพูดเสียงหวานเมื่อพ่อส่งมอบตัวฉันให้กับเขา “อย่าพูดแบบนั้นสินะหนูเขินนะ” ฉันบิดตัวไปมาเล็กน้อยเพราะความเขินอายเราทั้งคู่เดินไปบนพรมสีขาวสะอาดตา มีคนคอยโปรยกุหลาบตลอดทางที่เดินและมีเพลงคลาสสิคเปิดขึ้นมา บรรยากาศในงานอบอวลไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข ทุกคนที่มาต่างแสดงความยินดีให้เราทั้งคู่จากใจจริง ทำให้งานวันนี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ในตอนนี้ฉันกับพี่ติณเราคือสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย เราจะครองคู่กันไปชั่วนิจนิรันดร์…. วันต่อมา ฉันย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของพี่ติณเมื่อวานพ่อกับแม่มาส่ง พ่อร้องไห้ด้วย ฉันเองก็ร้องไห้ รู้สึกว่าแทบไม่ได้อยู
พี่ติณมาส่งฉันที่บ้าน แต่คืนนี้เขาไม่ได้นอนที่บ้านฉันหรอกนะ อย่างที่พ่อเคยบอกว่ายังไงหลังแต่งงานเราก็ได้อยู่ด้วยกันอยู่แล้ว พ่อกับแม่เรียกฉันกับพี่ติณมาคุยกันที่ห้องรับแขกเพื่อนัดแนะเรื่องสถานที่จัดงานแต่งงานของเรา“การ์ดเชิญหนูชอบลายนี้ค่ะน่ารักดี เอาแบบนี้นะคะพี่ติณ^_^” “ครับ ^_^” “แล้วสถานที่ล่ะคะ เราจะใช้ที่โรงแรมไหนดี”“แม่กับพ่อเลือกไว้หลายที่เลยลูกลองดูสิ” ฉันกับพี่ติณนั่งดูภาพโรงแรม แต่จนถึงตอนนี้เราก็ยังเลือกกันไม่ได้ว่าจะจัดงานแต่งที่โรงแรมไหนดี มันยังไม่ถูกใจ “จัดที่โรงแรมของผมก็ได้นะครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากหน้าห้องรับแขก พอหันไปก็เห็นเฮียเหนือที่ยืนอยู่ “…ไอ้เหนือ” พี่ติณพูดขึ้นมาเบาๆ “ผมผ่านมาก็เลยแวะมาเยี่ยมคุณอาครับ” เฮียเหนือหันมามองฉัน แล้วพูดต่อ “เฮียยินดีด้วยนะ ถึงเจ้าบ่าวจะเป็นมันก็เถอะ” “เป็นกูแล้วทำไม มึงก็รู้มาตั้งแต่แรกว่ากูคิดยังไงกับน้ำมนต์”“เพราะแบบนี้พอมึงรู้ว่ากูถูกจับให้หมั้นกับน้ำมนต์เลยยิ่งโกรธอาละวาดแก้แค้นกู ?”พี่ติณพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วพูด “กูมีเรื่องจะคุยกับมึง”“กูต้องไปคุยด้วย ?”“ตามใจมึง” พูดจบพี่ติณก็เดินไป ส่ว
หลังจากคุยธุระเสร็จคุณธนาก็เดินทางกลับ ส่วนฉันกับพี่ติณก็กลับมาที่ห้องทำงาน แถมเขายังล็อกประตู“ละ ล็อคห้องทำไมคะ เดี๋ยวถ้าเลขามีธุระสำคัญ….” “ฉันกำลังจะทำโทษเด็กขี้อ่อย” พี่ติณพูดสวนขึ้น ทำเอาขนมันลุกซู่“หนูเปล่าอ่อยนะ” “ยิ้มให้คนอื่นที่ไม่ใช่ฉัน แบบนี้เรียกว่าอ่อย” พี่ติณกล่าวหากันหน้าตาเฉย มาโทษว่าฉันอ่อยคุณธนาทั้งที่ในท้องยังมีลูกของเขาอยู่ “แบบนี้พี่ติณยิ้มให้คุณธนาเหมือนกันแปลว่าอ่อยหรือเปล่าคะ ?”“ไม่ต้องมายอกย้อน ฉันเป็นผู้ชายส่วนเธอเป็นผู้หญิง”“หวงไม่เข้าเรื่องเลยค่ะ แบบนี้หนูไม่ชอบ”“ฉันก็ไม่ชอบ!!” จู่ๆ เขาก็มาขึ้นเสียงดังใส่ โอเค!! ฉันผิดมากเลยสินะ “ขึ้นเสียงใส่หนูงั้นหรอ บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ชอบให้มาเสียงดังใส่” “…..” พอถูกฉันว่าพี่ติณก็เถียงไม่ออก “ถ้าอะไรนิดหน่อยก็เอามาเป็นเรื่องใหญ่เราคงอยู่ด้วยกันไม่ได้หรอกนะคะ” “หมายความว่ายังไง ?“ ลมหายใจร้อนผ่าวของพี่ติณถูกพ่นออกมาแรงๆ เมื่อได้ยินคำพูดของฉัน “หมายความว่าหนูจะไม่แต่งงานกับพี่ติณ ถ้ายังเป็นแบบนี้” มันคือความหงุดหงิดส่วนหนึ่งและความที่ฉันอยากจะดัดนิสัยของพี่ติณด้วยอีกส่วนหนึ่ง เขาเอาแต่ขี้หึงไม่ลืมหูลืมตาแบบ
เช้าวันใหม่หลังจากฉันกับพี่ติณตื่นนอนเราก็จับมือกันมาบอกพ่อกับแม่เรื่องที่ฉันตกลงแต่งงานกับพี่ติณแล้ว เฮียเพลิงก็มากินข้าวเช้าที่บ้านด้วยวันนี้เฮียต้องกลับต่างประเทศแล้ว แต่เหมือนเฮียยังมีอะไรที่ค้างคาอยู่ในใจ ดูท่าไม่อยากกลับสักเท่าไหร่ วันนี้ฉันเข้ามาที่บริษัทกับพี่ติณเพราะไม่อยากนั่งเบื่อๆ รอที่บ้าน ถึงจะตกลงแต่งงานแล้วพ่อก็อยากให้พี่ติณไปๆ มาๆ ที่บ้านมากกว่าจะให้ฉันไปอยู่ที่บ้านเขา พ่อบอกว่าหลังแต่งงานยังไงฉันก็ต้องได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านพี่ติณอยู่แล้ว ตอนนี้จึงอยากให้ฉันอยู่ที่บ้าน “พี่ติณพรุ่งนี้หนูไปเจอเพื่อนๆ นะคะ มีนัดกินข้าวตอนเย็น ^_^” ฉันนั่งคุยแชตกับเพื่อนรอพี่ติณทำงาน เพื่อนๆ มีนัดกินข้าวสังสรรค์กันเป็นงานเล็กๆ ของกลุ่มเราที่นานๆ ครั้งจะมาเจอกันแค่กินข้าวไม่มีแอลกอฮอล์ ฉันต้องขออนุญาตพี่ติณก่อน “ไปกี่โมง ?”“หกโมงเย็นค่ะ”“ไม่ให้ไปด้วย ?” “หนูนัดกับเพื่อนในกลุ่มที่สนิทกัน พี่ติณไปด้วยคนอื่นคงจะเกร็งๆ” “มีพิรุธนะแบบนี้” พี่ติณมองฉันด้วยสายตาที่กำลังจับผิดอยู่“พิรุธอะไรคะอย่ามาหาเรื่องหนูนะ” “จะให้ไปส่งไหมพรุ่งนี้” “เดี๋ยวให้คนขับรถที่บ้านไปส่งก็ได้ค่ะ ^_^” แกร็ก! ป
“เราไปบอกพ่อกับแม่กันนะคะ ^_^” พี่ติณสวมแหวนให้ฉันจากนั้นก็อุ้มฉันขึ้นมาวางที่เตียงทั้งยังใส่แค่ผ้าขนหนูอยู่ “นอนได้แล้วพรุ่งนี้ค่อยบอกทุกคนก็ได้ ฉันปิดไฟนะ”“แต่หนูยังไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเลยนะ ถ้าพี่ติณจะนอนก็นอนก่อนเลยค่ะ แต่งตัวเสร็จเดี๋ยวหนูปิดไฟเอง” ฉันพยุงตัวเองลุกขึ้นแต่ก็ถูกพี่ติณกดให้นอนราบกับเตียงเหมือนเดิมพี่ติณขึ้นมาคร่อมจากนั้นก็โน้มใบหน้าลงมากระซิบบอกข้างๆ ใบหู “ไม่ต้องใส่เสื้อผ้าก็ได้ เพราะเดี๋ยวเธอก็ได้ถอดมันออกอยู่ดี” “บ่อยเกินไปแล้วนะคะ” พอฉันบอกแบบนั้นพี่ติณก็ขมวดคิ้วถาม “อะไรบ่อย ?”“ก็มีเซ็กส์ไงคะ”“วันนี้เป็นวันดีเธอยอมแต่งงานกับฉัน มันก็ต้องฉลองเป็นธรรมดา”“เจ้าเล่ห์” ฉันพูดค้อน “ขอนะครับ” ไม่พูดเปล่าพี่ติณยังยิ้มหวานอีกด้วย ไม่ใจอ่อนได้ไงล่ะ “ทีตอนอยากได้เนี่ยพูดเพราะจังเลยนะคะ” “พูดแบบนี้ปกติ” พี่ติณพูดพร้อมกับใช้มือค่อยๆ ดึงผ้าขนหนูที่พันตัวฉันออก เผยให้เห็นเรือนร่างที่ไร้เสื้อผ้าปิดคลุม “ปะ ปิดไฟก่อนสิคะ” ฉันยกมือขึ้นมาปิดหน้าอกของตัวเองอย่างเขินอายเพราะความสว่างของห้อง “อยากเห็นหน้าเมียชัดๆ”“ไม่เอาค่ะ หนูอาย”“สวยไปทั้งตัวขนาดนี้ทำไมต้องอาย” ปากหวาน
“ตะ แต่หนูยังไม่พูดเรื่องแต่งงานเลยนะคะ”“ในเมื่อลูกเปิดโอกาสให้ตาติณแล้วแม่ว่าการแต่งงานก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ยิ่งท้องโตขึ้นเรื่อยๆ คนจะนินทาเอานะลูก”“หนูรู้ค่ะหนูให้โอกาสพี่ติณแต่ยังไม่อภัยให้เขานี่คะ” “ถึงขั้นนี้แล้วยังไม่ให้อภัยฉันอีกหรือไง” พี่ติณถาม “อยากดูๆ ไปก่อนนี่คะ อย่าเร่งหนูสิ เอาไว้คลอดแล้วเราค่อยแต่งงานกันก็ได้”“คลอดแล้วคงไม่มีเวลาขนาดนั้นหรอกลูก ไหนจะยุ่งกับการเลี้ยงลูกอีก”“ไม่เป็นไรครับถ้าน้ำมนต์ยังไม่อยากแต่งผมก็จะไม่บังคับ ตอนนี้ผมคงยังดีไม่พอที่เธอจะเปิดใจมากขนาดนั้น” พี่ติณพูดขัดขึ้นมา ฟังจากน้ำเสียงก็รู้แล้วว่าเขากำลังน้อยใจอยู่ “……..” ฉันได้แต่เงียบ ไม่ใช่ว่าไม่อยากแต่งหรอกนะจะขอแต่งงานทั้งทีทำไมถึงไม่ทำให้โรแมนติกกว่านี้ก็ไม่รู้ ถ้าถูกขอแต่งงานแบบโรแมนติกฉันคงจะตอบตกลงไปแล้วก็ได้ สักครั้งหนึ่งในชีวิตผู้หญิงก็ต้องการอะไรแบบนี้ อยากสัมผัสความรู้สึกที่ถูกคุกเข่าขอแต่งงานบ้าง แต่พี่ติณไม่เคยคุกเข่าขอฉันเลย “ต่อไปนี้ก็ทำตัวให้มันดีๆ ให้สมกับที่จะเข้ามาเป็นลูกเขยบ้านนี้ล่ะ” พ่อพูดกับพี่ติณ“ครับอา ผมขอโทษจริงๆ กับเรื่องที่ผ่านมา”“แล้วนี่ได้คุยปรับความเข้าใจ