ตอนนี้แค่พยุงตัวเองลุกขึ้นฉันยังทำไม่ได้เลย มันปวด มันเจ็บ มันระบมไปทั้งตัว
“อึก~” ฉันค่อยๆ ดึงผ้าห่มมาคลุมตัวเองแล้วขดตัวร้องไห้สะอื้นเบาๆ ไม่เคยมีครั้งไหนที่ฉันรู้สึกทุเรศตัวเองเท่ากับครั้งนี้มาก่อนเลยจริงๆ ในขณะที่ฉันกำลังร้องไห้อยู่ จู่ๆ ผ้าห่มมันก็ถูกเลิกขึ้น เลิกขึ้นมาอยู่ระดับหัวเข่า ฉันจึงรีบเช็ดน้ำตาแล้วเปิดผ้าห่มออก ภาพที่เห็นคือพี่ติณกำลังนั่งอยู่ตรงปลายเท้าของฉัน ข้างๆ ตัวเขามีกล่องปฐมพยาบาลวางอยู่ด้วย “จะ จะ ทำอะไรคะ” ฉันถามพร้อมกับดึงเท้าออก แต่ถูกพี่ติณบอกเสียงดุ “อยู่นิ่งๆ” “…….” “ก็แค่จะช่วยนวดให้ เธอจะได้ไม่เอาเรื่องเจ็บเท้ามาอ้างเพื่อขอนอนค้างที่บ้านฉัน” ฉันไม่รู้ว่าพี่ติณคิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไง ถึงจะเจ็บยังไงฉันก็ไม่มีความคิดอยากจะนอนค้างกับเขาอยู่แล้ว “มะ ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวหนูจะโทรให้ไนท์มารับ” ที่เลือกให้ไนท์มารับก็เพราะคิดว่าถ้าไนท์รู้คงไม่เอาเรื่องนี้ไปเล่าแอนนากับใบข้าวแน่ๆ ฉันไว้ใจไนท์ได้ แต่ก็ลืมไปว่าใบข้าวเห็นพี่ติณอุ้มฉันออกมาจากคลับ แบบนี้ใบข้าวต้องถามแน่ๆ ว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง “ไนท์ ?” พี่ติณทวนคำพูดของฉัน “พอจะมีชุดให้หนูไหมคะ ชุดของหนู พะ พี่ติณทำขาดหมดเลย” “ไอ้เพื่อนผู้ชายของเธอ ?” “มีเสื้อให้หนูใส่ไหมคะ” ฉันถามย้ำอีกครั้ง “ไม่มี! ถ้าจะให้มันมารับก็ลงไปแบบไม่ต้องใส่เสื้อผ้า เธอกล้าหรือเปล่าล่ะ ?” “….ทำไมถึงต้องร้ายกับหนูมากขนาดนี้ด้วยคะ หนูไม่เคยทำร้ายพี่ติณเลย พี่ผ่านมาหนูคิดถึงพี่ติณมากขนาดไหน หนูพยายามตามหามาตลอด อึก~” ฉันว่าจะไม่เอาเรื่องเก่ามาพูดแล้วแท้ๆ แต่มันอดไม่ได้จริงๆ “เพราะพ่อเธอทำรายครอบครัวฉัน!!” พี่ติณตวาดเสียงดัง จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นเดินไปหยิบบุหรี่แล้วเดินออกไปที่นอกระเบียงห้อง ถ้าเขายอมรับฟังก็คงไม่ต้องจมอยู่กับความแค้นแบบนี้ แล้วตัวของฉันมันก็ไม่ใช่ที่ระบายด้วย ฉันจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สามเด็ดขาดฉันกัดฟันค่อยๆ พยุงตัวเองลุกขึ้นด้วยเรือนร่างที่เปลือยเปล่า พี่ติณที่กำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ด้านนอกระเบียงห้องใช้สายตามองฉันแบบไร้ความรู้สึก เขาเฉยชา… ฉันมองหากระเป๋าของตัวเองเพราะจะเอาโทรศัพท์มาโทรหาไนท์ให้มารับ แต่ก็ไม่เจอก่อนจะคิดได้ว่าลืมเอาไว้ที่รถของพี่ติณแน่ๆ สายตาของฉันกวาดมองไปรอบๆ ห้อง เห็นผ้าขนหนูอยู่ผืนหนึ่งจึงลุกขึ้นเดินไปหยิบมันมาพันตัว การเดินของฉันเป็นไปอย่างทุลักทุเล แต่ก็ยังฝืนตัวเองได้อยู่ หมับ! ยังไม่ทันที่จะได้เดินไปไหนแขนก็ถูกกระชากอย่างแรง ตามมาด้วยเสียงตวาดถามของพี่ติณ “จะไปไหน!”“หนูจะไปเอาโทรศัพท์” “ไม่ต้อง!” พี่ติณผลักร่างของฉันลงบนเตียงอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า ไม่นานเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ก็ถูกพี่ติณโยนมาให้ฉัน “ใส่ซะ” “……” ไม่มีทางเลือกเพราะเสื้อผ้าที่ใส่มาก็ถูกฉีกขาดหลุดลุ่ยไปหมดแล้ว ฉันจึงยอมสวมใส่เสื้อที่พี่ติณเอาให้อย่างว่าง่าย ส่วนพี่ติณเขาก็หยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่ หลังจากใส่เสื้อผ้าแล้วพี่ติณก็เดินมานั่งลงตรงหน้า ก่อนที่เขาจะจับเท้าของฉันขึ้น ในขณะที่ฉันกำลังจะชักเท้าออกก็ถูกสายตาดุดันของพี่ติณจ้องเขม็ง“…..เกลียดหนูไม่ใช่หรอคะ”“ถ้
วันต่อมาหลังจากที่ฉันบอกไปว่าจะยอมหมั้นกับผู้ชายที่พ่อเลือกให้ พ่อก็บอกว่าพรุ่งนี้จะนัดเขามากินข้าวที่บ้าน จะได้คุยเรื่องงานหมั้นด้วย ตอนนี้ฉันเลือกไปแล้ว มันเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อีก “น้ำมนต์” เสียงใบข้าวเรียกชื่อฉันดังขึ้นมา ทำให้ฉันหลุดจากภวังค์แล้วหันมองใบข้าวที่กำลังเดินมาทางนี้ ตอนนี้ฉันอยู่ที่มหาวิทยาลัยวันนี้มีเรียนเช้าก็เลยมาเช้าหน่อย แอนนากับไนท์ยังไม่มากันเลย พอเห็นใบข้าวในใจมันก็รู้สึกกลัว กลัวว่าเธอจะถามเรื่องที่คลับ “แกมานานแล้วหรอ ?” ใบข้าวถามพร้อมกับนั่งลงข้างๆ กับฉัน “อื้อ สักพักแล้วแหละ” “แกโอเคใช่ไหม ?” ใบข้าวเอ่ยถามฉันด้วยสีหน้าที่เป็นห่วง ส่วนฉันเองก็ไม่ได้ตอบอะไรนอกจากพยักหน้าเท่านั้น “น้ำมนต์คือฉันขอถามอะไรแกหน่อยสิ” คำที่ใบข้าวพูดเมื่อครู่ทำให้ฉันนั่งตัวเกร็งหายใจไม่ทั่วท้อง พร้อมกับมือทั้งสองข้างที่กำแน่น รู้สึกว่าเรื่องที่จะถามต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับพี่ติณแน่ๆ “แกกับคุณติณอะไรนั่น แบบว่าฉันเห็นเขาอุ้มแกออกไปข้างนอก….”“…….” คิดไว้แล้วไม่มีผิดว่าใบข้าวต้องถามเรื่องนี้ “คือฉันไม่ได้อยากจะยุ่งเท่าไหร่หรอกนะ แต่ฉันอดสงสัยไม่ได้จริงๆ”“ฉันกับพี่ติณเรารู
โชคดีที่แอนนาไม่ได้สงสัยอะไรเรื่องที่ฉันกลับก่อนวันไปคลับ แถมยังไม่ได้ลา แต่เธอก็ยังเพ้อถึงพี่ติณอยู่นิดหน่อย บ่นเรื่องที่พี่ติณกลับก่อนโดยไม่สนใจเธอ ฉันเองก็ได้แค่รู้สึกผิดในใจจะพูดอะไรก็ไม่ได้และอีกหนึ่งความโชคดีของฉันก็คือวันนี้ประจำเดือนฉันมาพอดี มันดีใจจนต้องกรีดร้องอยู่ในใจ เพราะถ้าเป็นประจำเดือนพี่ติณก็จะทำเรื่องอย่างว่ากับฉันไม่ได้ ค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อย เลิกเรียนฉันแยกย้ายกับเพื่อนไม่ต้องรอให้หนีไปไหน เพราะมันไม่มีโอกาสจะหนีได้ เมื่อเดินออกมาด้านหน้ามหาวิทยาลัยรถของพี่ติณก็จอดรออยู่แล้ว เขาคงไม่ยอมปล่อยให้ฉันคลาดสายตาเลยจริงๆ ฉันรีบเดินตรงไปขึ้นรถซึ่งมีพี่ติณนั่งอยู่ด้านใน เมื่อฉันเข้ามานั่งในรถพี่ติณก็ไม่ได้พูดอะไร เขาเงียบขรึมแล้วขับรถออกไปจากด้านหน้ามหาวิทยาลัย รถหรูขับมาเรื่อยๆ จนถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งฉันเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรเพราะด้านหน้าเป็นตึกเก่าๆ โทรมๆ เหมือนตึกร้าง พอเห็นว่าพี่ติณขับรถเข้ามาที่ทางเข้าตึกร้าง หัวใจดวงน้อยมันก็เต้นรัวเพราะความกลัว ที่นี่มันน่ากลัวมากจริงๆ แต่แปลกที่พอขับรถเข้ามาแล้วกลับเห็นว่ามีรถอีกหลายคันจอดเรียงรายอยู่ แถมยังมีผู้ชายหลายคน
“เธอกำลังหมายถึงเรื่องอะไร ?” พี่ติณถามอย่างกับเขาไม่รู้ว่าฉันจะรู้ทันแผนชั่วๆ ของตัวเอง ถึงฉันจะดูซื่อ แต่ฉันก็ไม่ได้โง่พอที่จะเดาเกมไม่ออกหรอกนะ“แล้วคุยกันเรื่องอะไรล่ะคะ ไม่ใช่เรื่องจะขายหนูให้เขาหรือไง!!”“……” พี่ติณเงียบเขาไม่ได้ตอบอะไร พูดไม่ออกละสิที่ฉันรู้ทันน่ะ “ถึงพี่ติณจะเกลียดหนูยังไงก็ไม่มีสิทธิ์ขายหนูให้ใครทั้งนั้น หนูมีพ่อมีแม่ไม่ใช่คิดอยากจะทำอะไรกับหนูก็ได้!!” ฉันสาดคำพูดรัวๆ อย่างเหลืออด ครั้งนี้มันเหลืออดแล้วจริงๆ อย่างน้อยๆ พี่ติณก็ควรจะเห็นแก่ที่เรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก เขาทำลงหรือไง ขายฉันได้ลงคอหรือไง “พูดจบหรือยัง ?” “ทำไมคะ พี่ติณจะ….” “ฉันพูดถึงเรื่องจะเช่าตึกนี้ไม่ได้หมายถึงเธอ เอาสมองที่ไหนคิด” พี่ติณตอบกลับมาเสียงดุดัน ทำให้ฉันหยุดนิ่ง จากที่ใบหน้าชาไปครึ่งซีกในตอนนี้มันชาไปหมดทั้งหน้าแล้ว ไม่สิ! ชาไปทั้งตัวเลยต่างหาก“….ชะ เช่าตึกหรอคะ” “เธอดูระแวงเกินไปนะเด็กน้อย” เสียงของผู้ชายคนนั้นพูดขึ้น ฉันจึงหันไปมองเขาแล้วยิ้มแห้ง มันดีใจที่พี่ติณไม่ได้จะขายฉัน แต่มันก็อับอายที่ตัวเองเข้าใจผิดแล้วโวยวายออกไปแบบนั้น “ไร้สาระ” พี่ติณพูดจากนั้นเขาก็ลุกขึ้น
ฉันแทบจะกลั้นหายใจเมื่อพี่ติณขยับหน้าเข้ามาใกล้ๆ แล้วจู่ๆ เขาก็กระชากแขนของฉันอย่างแรงจนตัวแทบจะปลิว “คิดจะทำอะไร มีสิทธิ์อะไรมายุ่งกับโทรศัพท์ของฉัน!!” เสียงของพี่ติณตวาดถามดังลั่น ทำเอาฉันสั่นไปทั้งตัวเพราะความน่ากลัวของเขา “หนูไม่ได้ยุ่งกับโทรศัพท์ของพี่ติณ” “ถ้าฉันโง่คงจะเชื่อที่เธอพูด” พรึบ! ตุบ! ร่างของฉันถูกผลักให้ล้มลงกระแทกกับพื้นอย่างแรง เป็นอีกครั้งที่พี่ติณทำรุนแรงกับฉันมาก “เธอไม่มีทางลบคลิปนั่นได้ ถ้าไม่ใช่ฉันใครหน้าไหนก็ลบไม่ได้!!” ฉันก้มหน้าลงแล้วกลั้นสะอื้นจนตัวเกร็ง ใช่! ฉันกำลังจะร้องไห้ ฉันรู้ว่าตัวเองมันอ่อนแอไม่เอาไหน แทนที่จะสู้ จะแข็งข้อ แต่ฉันมันอ่อนแอ ฉันไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงตัวเองถึงจะหลุดพ้นสักที ฉันไม่น่าเดินกลับเข้ามาในชีวิตของพี่ติณอีกครั้ง ไม่น่าเลยจริงๆ “จะร้องไห้ทำซากอะไร หุบปากน่ารำคาญ!!” พี่ติณตวาดบอกเสียงดัง “หนูอยากกลับบ้าน อึก~” “ถ้าอยากกลับมากก็หาทางกลับเอง ฉันไม่ไปส่ง” ฉันเงยหน้ามองพี่ติณอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอามือมาเช็ดน้ำตาออกจากแก้มแบบลวกๆ จากนั้นก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้องทำงานของพี่ติณ แต่ทว่ายังเดินออกมาได่ไม่กี่ก้าวแขนขอ
ตอนนี้ฉันกำลังนั่งฟังผู้ใหญ่คุยกันถึงเรื่องหมั้น โดยที่ฉันเองก็ไม่ได้ขัดอะไรเพราะครั้งนี้ฉันเป็นฝ่ายยอมเอง ทางผู้ใหญ่ตกลงกันแล้วว่าจะให้ฉันกับผู้ชายคนนั้นหมั้นกันในอีกสองเดือนข้างหน้า พอฉันเรียนจบก็จะจัดงานแต่งให้ ในช่วงนี้ก็จะให้เขาคอยรับส่งฉันที่มหาวิทยาลัยเพื่อให้คุ้นชินกันมากขึ้น “พาพี่ออกไปเดินเล่นที่สวนสิลูก” แม่พูดบอก ฉันจึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินนำออกไปจากห้องรับแขกโดยมีผู้ชายคนนั้นเดินตามหลังมาติดๆ “พี่ไม่คิดว่าจะเป็นน้ำมนต์” พอเดินมาถึงที่สวนเขาก็พูดขึ้น ส่วนฉันก็ไม่รู้จะตอบยังไงเหมือนกัน“…ค่ะ” “อ๋อ พี่ชื่อวินนะ” “นั่งก่อนสิคะ เดี๋ยวหนูให้แม่บ้านเอาผลไม้มาเสริฟให้”“ไม่เป็นไรครับ” ฉันไม่รู้ว่าจะชวนพี่วินคุยเรื่องอะไรดี เมื่อก่อนฉันเป็นคนช่างพูดที่สุด แต่ตอนนี้เหมือนว่าฉันไม่เป็นตัวเองเลย “น้องน้ำมนต์ถูกบังคับให้หมั้นหรือเปล่าครับ ถ้าเป็นแบบนั้นพี่คงไม่สบายใจ เรื่องนี้ถ้าไม่เต็มใจพี่ว่า….”“หนูเป็นคนอยากหมั้นเองค่ะ พ่อกับแม่ไม่ได้บังคับ” “แล้วแบบนี้จะไม่มีปัญหากับแฟนหรอครับ” พี่วินถามเหมือนว่าฉันมีแฟนอย่างนั้นแหละ “หนูไม่มีแฟนค่ะ” “แต่วันนั้นที่คลับพี่เห็นว่ามีผู้ชาย…
พี่วินรีบวิ่งออกมาจากงานเพื่อช่วยฉัน แต่ยังไงพี่ติณก็ไม่ยอมปล่อยฉันอยู่ดี “กูจะแจ้งตำรวจ”“เชิญ” พี่ติณตอบแบบท้ายทาย “มันเป็นใครน้ำมนต์รู้จักมันหรือเปล่า” พี่วินถามฉัน “……” ฉันทำได้แค่เงียบเพราะไม่รู้ว่าจะบอกกับพี่วินยังไงดีพี่ติณยื่นหน้ามากระซิบ “บอกมันไปสิว่าฉันเป็นผัวเธอ” “พี่วินกลับไปก่อนนะคะ อย่าบอกใครเรื่องนี้หนูขอร้อง แล้วหนูจะบอกพี่วินทุกอย่าง” “แต่พี่…” “หนูขอนะคะ” พี่วินถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะพยักหน้าตอบแบบจำใจแล้วเดินจากไป พอพี่วินเดินหายไปแล้วพี่ติณก็ลากตัวฉันมาที่รถ เขาบังคับฉันให้เข้ามานั่งด้านในรถก่อนที่จะขับออกไปจากงานด้วยความเร็วราวกับอยู่ในสนามแข่ง พี่ติณพาฉันกลับมาที่บ้านของตัวเอง พอลงจากรถได้เขาก็ลากฉันมาที่หน้ากระโปรงรถแล้วจับตัวของฉันกดให้นอนราบ “ไม่คิดว่าแค่อาทิตย์เดียวที่ไม่เจอกัน ฉันจะได้ฟังข่าวดีว่าเธอกำลังจะหมั้น หึ! ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆ”“……” “มันคือคนที่ฉันเจอที่คลับ แปลว่าเธอตั้งใจหลอกฉัน ?” พี่ติณกดเสียงต่ำถาม “ตอนนั้นหนูไม่รู้จักเขา” “แน่ใจ ทั้งที่มันเป็นคู่หมั้นของเธอ” “ถึงยังไงเรื่องนี้มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพี่ติณ หนูจะหมั
พ่อมีสีหน้าที่เป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัดเมื่อรู้ว่าพี่ติณมาที่นี่ ฉันเองก็ไม่ต่างกัน เพราะไม่คิดว่าเขาจะมา “ห้ามออกไปจากห้อง พ่อจะลงไปคุยเอง” “หนูจะลงไปเจอพี่ติณกับพ่อค่ะ” “อย่าให้พ่อต้องกังวลไปมากกว่านี้ พ่อสั่งให้อยู่ในห้อง” “แต่พี่ติณมาวันนี้ต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับหนูแน่ๆ หนูจะลงไปคุยกับเขาด้วย” พ่อถอนหายใจออกมาหนักๆ แล้วประคองตัวฉันให้ยืนขึ้นก่อนจะถาม “พ่อขอถามอะไรลูกสักอย่าง” “…อะไรคะ”“ลูกคิดยังไงกับตาติณ” คำถามของพ่อทำให้ฉันนิ่งไปครู่หนึ่ง สมองมันเริ่มคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตที่พี่ติณเป็นพี่ชายที่อบอุ่น “หนูเคยแอบรักพี่ติณ อยากเป็นมากกว่าน้องสาว ตอนที่พี่ติณหายไปหนูพยายามตามหาเพราะอยากจะสารภาพความรู้สึกของตัวเอง แต่พอได้เจอกันอีกครั้ง หนูกลับรู้สึกว่าเขาไม่ใช่ ไม่ใช่ผู้ชายที่หนูรัก…” ฉันตอบตามความรู้สึกของตัวเองโดยไม่คิดจะปิดบังพ่อ มันคือความรู้สึกของฉันจริงๆ ฉันกล้าสารภาพตรงนี้ว่าฉันคิดไม่ซื่อกับพี่ติณ คิดกับเขามากกว่าพี่ชายมาตลอด แต่ความรู้สึกทุกอย่างมันพังไปหมดแล้ว ตั้งแต่ที่พี่ติณใจร้ายกับฉัน “จำเอาไว้ว่าตาติณไม่ใช่ผู้ชายที่ลูกควรยุ่งเกี่ยวอีก สิ่งที่ลูกทำพลาดไปพ่อ
10 เดือนผ่านไปตอนนี้ฉันกำลังนอนให้นมลูกอยู่ในห้อง พ่อกับแม่เพิ่งมาเยี่ยมแล้วกลับไปนี่เอง ส่วนพี่ติณเขามีประชุมที่บริษัท น้ำอิงลูกสาวของฉันตอนนี้ได้สิบเดือนแล้ว นั่งได้คลานได้ ตอนนี้กำลังหัดเดินแต่ยังเดินเป็นก้าวๆ ไม่ได้ต้องคอยจับ เวลาพูดอะไรเขาก็จะมองๆ พอเข้าใจบ้าง ยิ่งเวลาดื้อแล้วถูกดุนี่นะมองหาพ่อก่อนเลย พอเห็นพ่อก็จะร้องไห้ใหญ่ เอาแต่ใจใช่เล่นเลยแหละตอนนี้น้ำอิงอ้วนจ้ำม่ำมากๆ เลย เพื่อนๆ ของฉันต่างเอ็นดูความจ้ำม่ำจนต้องแวะเวียนกันมาคอยเล่นกับหลานบ่อยๆ พี่ติณก็ติดลูกมากๆ ตั้งแต่คลอดเขาเอางานมาทำที่บ้าน จะเข้าบริษัทก็แค่ตอนมีประชุม แถมพวกผ้าอ้อมของลูกแล้วก็เสื้อผ้าพี่ติณเป็นคนซักเองหมด ฉันมีหน้าที่แค่นอนให้นมลูกอย่างเดียวเลย พอให้นมลูกสาวของฉันก็หลับคาอก ฉันค่อยๆ ประคองตัวลูกอย่างเบามือเอามานอนที่เปล เป็นเปลไกวแบบไฟฟ้าพี่ติณซื้อเอาไว้เพราะกลัวว่าถ้าไกวเองแล้วฉันจะปวดแขน กริ้ง~ พอเอาลูกนอนเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ฉันรู้ได้ทันทีว่าคนที่โทรมาต้องเป็นพี่ติณแน่ๆ “ลูกหลับแล้วค่ะ” พอรับสายฉันก็รีบกระซิบบอก พี่ติณโทรมาแบบวีดีโอคลอ(ขอดูหน้าลูกหน่อย) เป็นแบบนี้ประจำเวลาที่ออกไปบริษัทถึง
#ภายในห้อง ตกดึกตอนนี้พี่ติณเริ่มงอแงหนักขึ้นเพราะว่าฉันไม่ยอมให้ทำเรื่องบนเตียงจริงๆ “ทำเบาๆ แค่เอาถูๆ ก็ได้” พี่ติณล้มมานอนบนตักของฉันแล้วพูดอ้อน “ไม่ค่ะ” “ถูๆ เองไม่เอาใส่เข้าไป”“หนูบอกว่าไม่เอาไง”“จะเอาๆ” “ถ้ายังพูดไม่รู้เรื่องหนูจะงดไปสองเดือนเลยนะคะ” ฉันยื่นคำขาดด้วยสีหน้าที่จริงจัง ทำให้พี่ติณปิดปากเงียบแต่สายตาของเขากำลังมองค้อนฉันอยู่ “ไม่เป็นห่วงลูกเลยหรือไงคะ” “เป็นห่วงแต่พ่อมันก็หิวเป็นเหมือนกัน”“ใช้มือช่วยตัวเองไปก่อนก็ได้”“ไม่ชอบ ชอบทำในตัวเธอมากกว่า” “หนูจะกลับไปอยู่บ้านนะถ้าพี่ติณยังหื่นไม่เข้าเรื่องแบบนี้น่ะ” “ได้ไง แต่งงานกันแล้วนะน้ำมนต์”“ไม่รู้แหละ มันหงุดหงิดนี่คะ” ฉันดันศรีษะของพี่ติณออกจากตักเพื่อแสดงอาการไม่พอใจที่เขานั้นหมกมุ่นเรื่องบนเตียงมากเกินไป “ก็ได้ๆ ต่อไปนี้ฉันจะไม่หมกมุ่น” ฉันหันมองพี่ติณอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “ทำได้หรอคะ”“เมียสั่งฉันก็ต้องทำให้ได้”“สามีของหนูน่ารักที่สุดเลยค่ะ ^_^” ฉันยิ้มหวานให้พี่ติณแต่พอจะแตะตัวเขา เขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วบอก “ฉันจะไปห้องพระ”“ไปทำอะไรที่ห้องพระคะ ?” ที่ผ่านมาฉันไม่เคยเห็นพี่ติณเข้าห้องพระเลยนะ วันนี้
“ผะ ผม….” อาจารย์หนุ่มแสดงอาการกลัวออกมาอย่างเห็นได้ชัด “มานี่!!” พี่ติณจ้องฉันเขม็ง ฉันจึงรีบเดินไปหาเขาทันที จากนั้นพี่ติณก็พูดต่อ “ให้เวลาห้าวินาที รีบไปให้พ้นก่อนที่กูจะยิงมึง” สิ้นสุดคำพูดที่ดุดันของพี่ติณอาจารย์หนุ่มก็รีบวิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิต เขาคงกลัวตายมากๆ “อย่ามองหนูแบบนั้นนะ พี่ติณสั่งให้ลูกน้องหาอาจารย์มาสอน หนูไม่ได้เลือกเองสักหน่อย” ฉันรีบบอกเพราะถูกสายตาเอาผิดของพี่ติณจ้องอยู่ “เธอยอมให้มันอยู่ใกล้” “หนูแค่ไม่เข้าใจที่เขาสอน เขาเลยเดินมาบอก”“แล้วต้องใกล้ขนาดนั้น ? กลิ่นตัวหอม ?” พี่ติณกำลังหาเรื่องฉันอยู่ ไม่คิดจะฟังที่พูดเลยหรือไง นิสัยเดิมอีกแล้ว “แต่หนูก็ไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดีนะคะ หนูรู้ว่าตัวเองมีสามีแล้ว” “แล้วตอนมันยืนใกล้ๆ ทำไมไม่ลุกหนี ถ้าฉันไม่มาเห็นเธอจะลุกขึ้นหนีมันหรือเปล่า ?”“การลุกหนีมันเสียมารยาทนะคะ อีกอย่างเขาไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการลวนลามหนูเลยด้วยซ้ำ”“ฉันไม่ชอบเธอก็รู้”“เปลี่ยนอาจารย์สอนเป็นผู้หญิงให้หมดทุกคนเลยก็ได้ค่ะ ถ้าเป็นผู้ชายแล้วพี่ติณไม่สบายใจ” “เปลี่ยนแน่!!” ฉันผิดอะไรหรอพี่ติณถึงได้มีท่าทางโกรธมากขนาดนี้ ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเสีย
วันเวลาล่วงเลยผ่านไปจนกระทั่งถึงวันที่สำคัญมากที่สุดของชีวิต เป็นวันที่มีความสุขมากที่สุดอีกวัน วันที่ฉันกับพี่ติณเข้าพิธีแต่งงานกัน เราจัดงานแบบเรียบง่ายเชิญแค่แขกคนสนิท ถึงแม้จะจัดในโรงแรมหรู แต่เราคุยกันแล้วว่าอยากให้บรรยากาศมันอบอุ่นมากกว่ามีคนมากมายพลุกพล่าน ในงานจึงมีแขกมาร่วมแสดงความยินดีไม่มากนัก ส่วนมากจะเป็นญาติทางฉันและเพื่อนๆ ที่ฉันสนิทเพราะพี่ติณตัวคนเดียว จะมีก็แต่ลูกน้องของเขาที่มาร่วมแสดงความยินดี “เจ้าสาวของฉันทำไมถึงสวยขนาดนี้นะ” พี่ติณพูดเสียงหวานเมื่อพ่อส่งมอบตัวฉันให้กับเขา “อย่าพูดแบบนั้นสินะหนูเขินนะ” ฉันบิดตัวไปมาเล็กน้อยเพราะความเขินอายเราทั้งคู่เดินไปบนพรมสีขาวสะอาดตา มีคนคอยโปรยกุหลาบตลอดทางที่เดินและมีเพลงคลาสสิคเปิดขึ้นมา บรรยากาศในงานอบอวลไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข ทุกคนที่มาต่างแสดงความยินดีให้เราทั้งคู่จากใจจริง ทำให้งานวันนี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ในตอนนี้ฉันกับพี่ติณเราคือสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย เราจะครองคู่กันไปชั่วนิจนิรันดร์…. วันต่อมา ฉันย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของพี่ติณเมื่อวานพ่อกับแม่มาส่ง พ่อร้องไห้ด้วย ฉันเองก็ร้องไห้ รู้สึกว่าแทบไม่ได้อยู
พี่ติณมาส่งฉันที่บ้าน แต่คืนนี้เขาไม่ได้นอนที่บ้านฉันหรอกนะ อย่างที่พ่อเคยบอกว่ายังไงหลังแต่งงานเราก็ได้อยู่ด้วยกันอยู่แล้ว พ่อกับแม่เรียกฉันกับพี่ติณมาคุยกันที่ห้องรับแขกเพื่อนัดแนะเรื่องสถานที่จัดงานแต่งงานของเรา“การ์ดเชิญหนูชอบลายนี้ค่ะน่ารักดี เอาแบบนี้นะคะพี่ติณ^_^” “ครับ ^_^” “แล้วสถานที่ล่ะคะ เราจะใช้ที่โรงแรมไหนดี”“แม่กับพ่อเลือกไว้หลายที่เลยลูกลองดูสิ” ฉันกับพี่ติณนั่งดูภาพโรงแรม แต่จนถึงตอนนี้เราก็ยังเลือกกันไม่ได้ว่าจะจัดงานแต่งที่โรงแรมไหนดี มันยังไม่ถูกใจ “จัดที่โรงแรมของผมก็ได้นะครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากหน้าห้องรับแขก พอหันไปก็เห็นเฮียเหนือที่ยืนอยู่ “…ไอ้เหนือ” พี่ติณพูดขึ้นมาเบาๆ “ผมผ่านมาก็เลยแวะมาเยี่ยมคุณอาครับ” เฮียเหนือหันมามองฉัน แล้วพูดต่อ “เฮียยินดีด้วยนะ ถึงเจ้าบ่าวจะเป็นมันก็เถอะ” “เป็นกูแล้วทำไม มึงก็รู้มาตั้งแต่แรกว่ากูคิดยังไงกับน้ำมนต์”“เพราะแบบนี้พอมึงรู้ว่ากูถูกจับให้หมั้นกับน้ำมนต์เลยยิ่งโกรธอาละวาดแก้แค้นกู ?”พี่ติณพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วพูด “กูมีเรื่องจะคุยกับมึง”“กูต้องไปคุยด้วย ?”“ตามใจมึง” พูดจบพี่ติณก็เดินไป ส่ว
หลังจากคุยธุระเสร็จคุณธนาก็เดินทางกลับ ส่วนฉันกับพี่ติณก็กลับมาที่ห้องทำงาน แถมเขายังล็อกประตู“ละ ล็อคห้องทำไมคะ เดี๋ยวถ้าเลขามีธุระสำคัญ….” “ฉันกำลังจะทำโทษเด็กขี้อ่อย” พี่ติณพูดสวนขึ้น ทำเอาขนมันลุกซู่“หนูเปล่าอ่อยนะ” “ยิ้มให้คนอื่นที่ไม่ใช่ฉัน แบบนี้เรียกว่าอ่อย” พี่ติณกล่าวหากันหน้าตาเฉย มาโทษว่าฉันอ่อยคุณธนาทั้งที่ในท้องยังมีลูกของเขาอยู่ “แบบนี้พี่ติณยิ้มให้คุณธนาเหมือนกันแปลว่าอ่อยหรือเปล่าคะ ?”“ไม่ต้องมายอกย้อน ฉันเป็นผู้ชายส่วนเธอเป็นผู้หญิง”“หวงไม่เข้าเรื่องเลยค่ะ แบบนี้หนูไม่ชอบ”“ฉันก็ไม่ชอบ!!” จู่ๆ เขาก็มาขึ้นเสียงดังใส่ โอเค!! ฉันผิดมากเลยสินะ “ขึ้นเสียงใส่หนูงั้นหรอ บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ชอบให้มาเสียงดังใส่” “…..” พอถูกฉันว่าพี่ติณก็เถียงไม่ออก “ถ้าอะไรนิดหน่อยก็เอามาเป็นเรื่องใหญ่เราคงอยู่ด้วยกันไม่ได้หรอกนะคะ” “หมายความว่ายังไง ?“ ลมหายใจร้อนผ่าวของพี่ติณถูกพ่นออกมาแรงๆ เมื่อได้ยินคำพูดของฉัน “หมายความว่าหนูจะไม่แต่งงานกับพี่ติณ ถ้ายังเป็นแบบนี้” มันคือความหงุดหงิดส่วนหนึ่งและความที่ฉันอยากจะดัดนิสัยของพี่ติณด้วยอีกส่วนหนึ่ง เขาเอาแต่ขี้หึงไม่ลืมหูลืมตาแบบ
เช้าวันใหม่หลังจากฉันกับพี่ติณตื่นนอนเราก็จับมือกันมาบอกพ่อกับแม่เรื่องที่ฉันตกลงแต่งงานกับพี่ติณแล้ว เฮียเพลิงก็มากินข้าวเช้าที่บ้านด้วยวันนี้เฮียต้องกลับต่างประเทศแล้ว แต่เหมือนเฮียยังมีอะไรที่ค้างคาอยู่ในใจ ดูท่าไม่อยากกลับสักเท่าไหร่ วันนี้ฉันเข้ามาที่บริษัทกับพี่ติณเพราะไม่อยากนั่งเบื่อๆ รอที่บ้าน ถึงจะตกลงแต่งงานแล้วพ่อก็อยากให้พี่ติณไปๆ มาๆ ที่บ้านมากกว่าจะให้ฉันไปอยู่ที่บ้านเขา พ่อบอกว่าหลังแต่งงานยังไงฉันก็ต้องได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านพี่ติณอยู่แล้ว ตอนนี้จึงอยากให้ฉันอยู่ที่บ้าน “พี่ติณพรุ่งนี้หนูไปเจอเพื่อนๆ นะคะ มีนัดกินข้าวตอนเย็น ^_^” ฉันนั่งคุยแชตกับเพื่อนรอพี่ติณทำงาน เพื่อนๆ มีนัดกินข้าวสังสรรค์กันเป็นงานเล็กๆ ของกลุ่มเราที่นานๆ ครั้งจะมาเจอกันแค่กินข้าวไม่มีแอลกอฮอล์ ฉันต้องขออนุญาตพี่ติณก่อน “ไปกี่โมง ?”“หกโมงเย็นค่ะ”“ไม่ให้ไปด้วย ?” “หนูนัดกับเพื่อนในกลุ่มที่สนิทกัน พี่ติณไปด้วยคนอื่นคงจะเกร็งๆ” “มีพิรุธนะแบบนี้” พี่ติณมองฉันด้วยสายตาที่กำลังจับผิดอยู่“พิรุธอะไรคะอย่ามาหาเรื่องหนูนะ” “จะให้ไปส่งไหมพรุ่งนี้” “เดี๋ยวให้คนขับรถที่บ้านไปส่งก็ได้ค่ะ ^_^” แกร็ก! ป
“เราไปบอกพ่อกับแม่กันนะคะ ^_^” พี่ติณสวมแหวนให้ฉันจากนั้นก็อุ้มฉันขึ้นมาวางที่เตียงทั้งยังใส่แค่ผ้าขนหนูอยู่ “นอนได้แล้วพรุ่งนี้ค่อยบอกทุกคนก็ได้ ฉันปิดไฟนะ”“แต่หนูยังไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเลยนะ ถ้าพี่ติณจะนอนก็นอนก่อนเลยค่ะ แต่งตัวเสร็จเดี๋ยวหนูปิดไฟเอง” ฉันพยุงตัวเองลุกขึ้นแต่ก็ถูกพี่ติณกดให้นอนราบกับเตียงเหมือนเดิมพี่ติณขึ้นมาคร่อมจากนั้นก็โน้มใบหน้าลงมากระซิบบอกข้างๆ ใบหู “ไม่ต้องใส่เสื้อผ้าก็ได้ เพราะเดี๋ยวเธอก็ได้ถอดมันออกอยู่ดี” “บ่อยเกินไปแล้วนะคะ” พอฉันบอกแบบนั้นพี่ติณก็ขมวดคิ้วถาม “อะไรบ่อย ?”“ก็มีเซ็กส์ไงคะ”“วันนี้เป็นวันดีเธอยอมแต่งงานกับฉัน มันก็ต้องฉลองเป็นธรรมดา”“เจ้าเล่ห์” ฉันพูดค้อน “ขอนะครับ” ไม่พูดเปล่าพี่ติณยังยิ้มหวานอีกด้วย ไม่ใจอ่อนได้ไงล่ะ “ทีตอนอยากได้เนี่ยพูดเพราะจังเลยนะคะ” “พูดแบบนี้ปกติ” พี่ติณพูดพร้อมกับใช้มือค่อยๆ ดึงผ้าขนหนูที่พันตัวฉันออก เผยให้เห็นเรือนร่างที่ไร้เสื้อผ้าปิดคลุม “ปะ ปิดไฟก่อนสิคะ” ฉันยกมือขึ้นมาปิดหน้าอกของตัวเองอย่างเขินอายเพราะความสว่างของห้อง “อยากเห็นหน้าเมียชัดๆ”“ไม่เอาค่ะ หนูอาย”“สวยไปทั้งตัวขนาดนี้ทำไมต้องอาย” ปากหวาน
“ตะ แต่หนูยังไม่พูดเรื่องแต่งงานเลยนะคะ”“ในเมื่อลูกเปิดโอกาสให้ตาติณแล้วแม่ว่าการแต่งงานก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ยิ่งท้องโตขึ้นเรื่อยๆ คนจะนินทาเอานะลูก”“หนูรู้ค่ะหนูให้โอกาสพี่ติณแต่ยังไม่อภัยให้เขานี่คะ” “ถึงขั้นนี้แล้วยังไม่ให้อภัยฉันอีกหรือไง” พี่ติณถาม “อยากดูๆ ไปก่อนนี่คะ อย่าเร่งหนูสิ เอาไว้คลอดแล้วเราค่อยแต่งงานกันก็ได้”“คลอดแล้วคงไม่มีเวลาขนาดนั้นหรอกลูก ไหนจะยุ่งกับการเลี้ยงลูกอีก”“ไม่เป็นไรครับถ้าน้ำมนต์ยังไม่อยากแต่งผมก็จะไม่บังคับ ตอนนี้ผมคงยังดีไม่พอที่เธอจะเปิดใจมากขนาดนั้น” พี่ติณพูดขัดขึ้นมา ฟังจากน้ำเสียงก็รู้แล้วว่าเขากำลังน้อยใจอยู่ “……..” ฉันได้แต่เงียบ ไม่ใช่ว่าไม่อยากแต่งหรอกนะจะขอแต่งงานทั้งทีทำไมถึงไม่ทำให้โรแมนติกกว่านี้ก็ไม่รู้ ถ้าถูกขอแต่งงานแบบโรแมนติกฉันคงจะตอบตกลงไปแล้วก็ได้ สักครั้งหนึ่งในชีวิตผู้หญิงก็ต้องการอะไรแบบนี้ อยากสัมผัสความรู้สึกที่ถูกคุกเข่าขอแต่งงานบ้าง แต่พี่ติณไม่เคยคุกเข่าขอฉันเลย “ต่อไปนี้ก็ทำตัวให้มันดีๆ ให้สมกับที่จะเข้ามาเป็นลูกเขยบ้านนี้ล่ะ” พ่อพูดกับพี่ติณ“ครับอา ผมขอโทษจริงๆ กับเรื่องที่ผ่านมา”“แล้วนี่ได้คุยปรับความเข้าใจ