เอสเทล"ถึงเวลาที่เราจะแต่งงานกันได้หรือยังเอสเทล"นี่เป็นคำพูดที่ฉันได้ยินเกือบทุกวันตลอดเวลาสองปีที่ผ่านมา แน่นอนว่าฉันยังไม่ตอบรับการขอแต่งงานของพี่คีตะ และฉันก็ยังยืนยันคำเดิมว่าการแต่งงานไม่ได้เป็นตัวตัดสินว่าชีวิตคู่ของเราจะไปกันรอด ฉันเองเรียนจบปริญญาโทและเข้าทำงานที่บริษัทของพี่คีตะเต็มตัวแล้ว"ไม่แต่งค่ะ"ฉันบอกพี่คีตะไป"เหลือหรือรออะไรไม่ทราบ จะเรียนต่ออีกมั้ยล่ะ"พี่คีตะพูดประชดฉัน"ก็คิดอยู่เหมือนกันนะคะ"ฉันบอกพรางยกยิ้มใส่"อยากทำอะไรก็เชิญ"เรื่องความรักของเราสองคนมันดีขึ้นตามลำดับค่ะ อาจจะเพราะเราสองคนโตขึ้นด้วย ฉันนั่งมองพี่คีตะที่งอนแบบนี้อยู่ทุกวันจนฉันชินแล้วล่ะ"วันเสาร์นี้ไปเที่ยวหัวหินกันมั้ยคะ"ฉันเดินมานั่งลงตรงข้ามคนหน้าบึ้ง"ไม่ไป ขี้เกียจ""ถ้าขยันก็ตามไปเจอเอสที่หัวหินนะคะ"ฉันบอกไป"เอสเทลจะให้พี่รอถึงเมื่อไหร่วะ ไม่มั่นใจพี่ตรงไหนบอกมาดิ"พี่คีตะพูดเสียงเบา"เอสมั่นใจในตัวพี่คีตะเสมอค่ะ แต่เอสเคยบอกเหตุผลไปแล้วนะคะ""มั่นใจ"พี่คีตะถามย้ำฉัน"ทุกวันนี้เราก็ใช้ชีวิตเหมือนคนที่แต่งงานกันอยู่แล้วไม่ใช่หรอคะ"ฉันถามพี่คีตะ"แต่พี่อยากทำอะไรให้มันถูกต้อง""มันไม่ถูก
คีตะ"ทำไมวันนี้ถึงกลับบ้านได้ล่ะครับคุณลูกชาย"ผมหันไปมองพ่อตัวเองที่เดินมานั่งลงข้างๆ ก่อนอื่นผมขอแนะนำตัวก่อนเลยแล้วกัน ผมชื่อคีตะอายุ21ปี ผมเป็นลูกชายคนเดียวของคุณคีรินและคุณน้อยหน่าคนสวย และตอนนี้ผมเรียนอยู่ปี3คณะบริหารธุรกิจ ส่วนที่ผมโดนพ่อตัวเองประชดเมื่อกี้ก็เพราะวันนี้ผมกลับบ้านในรอบสองเดือนไง"กลัวพ่อลืมตะหน้าไง"ผมรีบตอบพ่อตัวเองไป"นึกว่าติดสาวจนลืมพ่อกับแม่แล้วสะอีก"พ่อผมเอ่ยแซว"ยังไม่เจอคนที่ถูกใจครับ"ผมบอกไปผมเองยังไม่มีแฟนหรอกนะ อาจจะยังไม่เจอใครที่ทำให้ใจผมเต้นแรงหรือไม่ก็ทำให้ผมร้อนใจจนนั่งไม่ติด ส่วนเรื่องผู้หญิงมันก็มีบ้างตามประสาผู้ชายโสด"จำคำที่พ่อสอนได้ใช่มั้ยคีตะ"พ่อผมพูดเสียงดุ"จำได้ครับ"เรื่องที่พ่อผมสอนตั้งแต่ผมจำความได้คือให้เกียรติผู้หญิง ถ้ามีแฟนหรือมีคนรักอย่านอกใจเธอซื่อสัตย์และเชื่อใจ เรื่องราวของพ่อกับแม่พวกท่านก็เป็นคนเล่าให้ผมฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างกว่าจะได้กลับมาอยู่ด้วยกัน แน่นอนผมจำและทำตามที่พ่อกับแม่สอนอยู่แล้วเมื่อผมมีคนรัก"เชื่อพ่อนะคีตะ ความไว้ใจและเชื่อใจเป็นสิ่งสำคัญ"โดยส่วนตัวนิสัยผมไม่ใช่คนเจ้าชู้จึงไม่มีเรื่องผู้หญิงเข้ามาให้ปวด
เอสเทล"ยายขา ชุดนักศึกษาของเอสเป็นยังไงบ้างคะ"ฉันใส่ชุดนักศึกษาก่อนจะรีบวิ่งมาถามยายของตัวเองที่นั่งอยู่กลางบ้าน ฉันชื่อเอสเทลค่ะ ซึ่งชื่อนี้คุณหมอเป็นคนตั้งให้ ฉันอายุสิบแปดย่างสิบเก้าปีและฉันเองก็กำลังจะเข้าเรียนมหาลัยแล้วนะ"หลานยายโตเป็นสาวแล้วสินะ"ยายพูดแล้วยิ้มให้ฉัน"เอสได้ทุนเรียนฟรีด้วยนะคะ"ฉันรีบเดินเข้ามากอดก่อนจะยายไป ฉันได้ทุนเรียนฟรีตั้งแต่ประถมแล้ว ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ดีมากเพราะมันประหยัดค่าใช้จ่ายของฉันตั้งเยอะ"ตั้งใจเรียนนะลูก""ต่อไปถ้าเอสเรียนจบยายไม่ต้องทำขนมแล้วนะคะ เดี๋ยวเอสจะทำงานเลี้ยงยายเอง"ฉันอยู่กับยายแค่สองคนค่ะ แม่ของฉันเสียไปตั้งแต่ฉันได้อายุสองขวบ ส่วนพ่อเขาทิ้งฉันไปตั้งแต่ฉันยังไม่เกิดเลย ชีวิตของฉันมีแค่ยาย และยายเป็นทั้งพ่อและแม่ให้ฉัน ฉันไม่เคยน้อยใจเลยนะที่ชีวิตของฉันเป็นแบบนี้ถึงใครจะว่าฉันเป็นลูกไม่มีพ่อมีแม่ก็ตาม"เอสรักยายนะคะ ฟอด"ยายของฉันเป็นผู้หญิงที่เก่งมากถึงมากที่สุดท่านเลี้ยงฉันคนเดียวตั้งแต่แม่เสียไป ยายของฉันทำขนมไทยส่งโรงแรม ถึงรายได้มันจะไม่มากมายแต่มันก็ทำให้ฉันกับยายไม่ลำบาก"พรุ่งนี้อย่าลืมไปบอกแม่เขาด้วยนะเอส ยายว่าแม่เขาค
คีตะ"ทะเลาะอะไรกับน้องอีกล่ะเรา ไม่เบื่อบ้างหรือไงกันกับเจ้าขาก็อีกคน"ตอนนี้ผมกำลังหัวเสียกับไอ้จอมพลเพราะมันไม่รับสายผม แถมยังให้ผู้หญิงที่ไหนมารับสายแทนด้วยไง นี่ถ้าผมกำลังจะตายผมคงพึ่งมันไม่ได้เถอะ"มันผิดนัดตะอ่ะแม่ สองรอบแล้วนะ"ผมบอกแม่ไป ทั้งที่มันเป็นคนนัดผมจะไปดูคอมเล่นเกมส์ซึ่งผมก็รอจนอยากจะฆ่ามันตายอยู่แล้ว และที่สำคัญผมไม่ชอบคนที่พูดแล้วไม่เป็นคำพูด"น้องมีธุระด่วนหรือเปล่า""มันอยู่กับผู้หญิงครับนั่นแหละธุระของมัน ทั้งที่มันนัดตะแล้วนะแม่"ผมบอกแม่ไปครืด ครืดผมหยิบมือถือขึ้นมาก่อนจะดูชื่อที่โชว์อยู่ ตายยากก็มันนี่แหละ"ถ้าคำตอบไม่ประทับใจ กูฆ่ามึงแน่ไอ้จอมพล"(อยู่ข้างล่างลงมาดิ)ผมเดินลงมาข้างล่างแล้วมองน้องชายตัวเองที่นั่งเล่นมือถืออยู่ก่อนที่มันจะหันมามองผมแล้วยิ้มให้ นี่ถ้าไม่ใช่น้องของเจ้าขานะผมจะสั่งคนมาเก็บมันสะ"อ่ะของฝาก และหวังว่าจะไม่โกรธเรื่องที่น้องคนนี้ผิดนัดนะครับ"ไอ้จอมพลยื่นถุงให้ผม"ใครรับสายแทนมึง"ผมถาม"คนที่แบ่งขนมมาให้ และเป็นเพื่อนของผมเอง น่ารัก นิสัยดีมาก"ผมเปิดกล่องแล้วมองขนมที่อยู่ด้านในก่อนจะหันไปมองหน้าไอ้จอมพลที่นั่งอยู่ข้างๆ ขนมอันนี้ไม่
คีตะผมยืนมองเด็กผู้หญิงที่ชนผมและกำลังวิ่งไปอีกฝั่งของถนน เสียงของเธอเมื่อกี้เหมือนผมเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนแต่ผมคิดไม่ออก"มองอะไรลูก"ผมหันไปมองแม่ตัวเองที่เดินเข้ามาถาม"มีคนวิ่งมาชนตะครับ"ผมบอกไปตอนนี้ผมกำลังนั่งอยู่ในรถแต่ยังไม่ได้ขยับไปไหนหรอก เพราะผมยังสงสัยเสียงของผู้หญิงคนเมื่อกี้อยู่ ทำไมผมเป็นคนขี้ลืมได้ขนาดนี้กัน"ใจเต้นแรงไปแล้วคีตะ เป็นอะไรหรือเปล่าลูก"แม่ผมพูดขึ้น"เต้นแรงหรอครับ"ใจผมเต้นแรงอย่างที่แม่ผมบอก"จะทะลุออกมาข้างนอกแล้วลูก"แม่ผมบอกแล้วยิ้มให้"เพราะตะยังไม่ได้นอนครับคุณน้อยหน่า"ผมรีบบอกไป"แม่ก็นึกว่าเพราะเด็กผู้หญิงคนนั้นสะอีก"แม่ผมเอ่ยแซว"ตะจะใจเต้นแรงเพราะเธอได้ยังไงกัน เธอเป็นใครตะก็ยังไม่รู้จักเลย"ผมบอกไปผมขับรถกลับบ้านเพราะตอนนี้ผมอยากจะนอนมาก คือไม่น่ารับปากแม่ว่าจะไปวัดด้วยเลย ทันทีที่ผมถึงบ้านผมก็รีบเดินเข้าห้องก่อนจะทิ้งตัวลงนอนครืด ครืด"กูจะนอนไอ้จอมพล"ผมตะคอกใส่ปลายสาย(แค่จะถามว่าจะกินอีกมั้ยขนม จะเอาไปฝาก)ผมดีดตัวขึ้นมานั่งเมื่อเป็นไอ้จอมพลที่โทรมาแต่สิ่งที่ผมสนใจคือคำถามที่มันถามผม ผมล่ะอยากเห็นหน้าคนที่มันตามจีบอยู่จริงๆ(จะเอาหรือไม่เอา)
คีตะเมื่อเช้าเธอเดินชนผมเมื่อเช้า แต่ตอนนี้เธอกลับมาถามผมว่าเคยเจอกันมาก่อนคืออะไรวะ สมองเสื่อมใช่มั้ยถึงได้ถามผมแบบนี้ให้ตายเถอะ นอกจากผมจะอารมณ์เสียกับไอ้จอมพลแล้วผมยังมาอารมณ์เสียกับคนที่ยืนตรงหน้าผมอีก"ขอโทษค่ะที่เสียมารยาท ทานขนมให้อร่อยนะคะ"เธอรีบบอกผมก่อนจะเลื่อนจานขนมให้ผม"เดี๋ยว""คะ...คุณเรียกฉันหรอคะ"ผมหลับตาลงก่อนจะถอนหายใจ"ขนมนี่ที่ร้านทำเองหรอครับ"ผมถามเพราะขนมที่อยู่ตรงหน้าผมมันเป็นขนมที่ผมชอบกินไง"ขนมอันนี้ฉันทำเองค่ะ และที่ร้านไม่ได้มีขาย"เธอบอกผมก่อนจะยิ้มให้ทำเองอย่างนั้นหรออายุน่าจะรุ่นเดียวกับจอมพลไม่น่าเชื่อว่าจะทำขนมไทยโบราณแบบนี้เป็น ผมหยิบขนมขึ้นมาก่อนจะชิมและรสชาติมันเป็นรสชาติเดียวกันกับที่ผมกินเมื่อวาน"ทำเอง"ผมถาม"ใช่ค่ะขนมพระพายฉันทำเอง ส่วนอย่างอื่นคุณยายฉันเป็นคนทำค่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวนะคะ"เธอพูดเสร็จก็เดินลงไปชั้นล่างโดยที่ไม่รอให้ผมถามต่อ ผู้หญิงของไอ้จอมพลสินะถ้าผมเดาไม่ผิด หลังจากที่กินขนมหมดผมก็เดินลงมาด้านล่างเพราะตอนนี้จะบ่ายสองแล้ว"ขอบคุณสำหรับขนม อร่อยมากครับ"ผมเดินมาบอกเจ้าของร้าน"มีแค่วันนี้แหละค่ะ เพราะคนทำไม่ค่อยได้มา"พี่เจ
คีตะ"พ่อไม่เคยเห็นแกยิ้มแบบนี้เลยนะคีตะ"พ่อผมถาม"ก็แค่แกล้งคนแล้วมันสนุกดีเท่านั้นเองครับ"ผมบอกไปผมโทรหายัยเด็กซื่อบื้อและที่ผมถาม ผมก็แค่อยากลองใจเธอดูว่าเธอซื่อจริงเหมือนที่ไอ้จอมพลบอกผมหรือเปล่า ถามว่าผมเชื่อมั้ยไม่รู้สิผมเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน แต่เท่าที่ผมเห็นยัยเด็กนี่ไม่น่าเกิดมาเลย"พ่อชักอยากจะเห็นหน้าคนที่แกกำลังแกล้งแล้วสิ"พ่อผมถามก่อนจะมองหน้าอย่างจับผิด"งั้นๆ ครับ""ไม่งั้นแล้วมั้งพ่อว่า คนนั้นต้องมีอะไรพิเศษแน่ ถึงทำให้คนอย่างคีตะยิ้มได้แบบนี้"เนี่ยแล้วพ่อก็เป็นสะแบบนี้อ่ะ"เพื่อนของจอมพลครับ"ผมบอกไปตามตรง"อย่าให้มันมากเกินไปเพราะยังไงน้องก็เป็นผู้หญิง แกล้งไปแกล้งมาระวังจะตกหลุมรักน้องเข้าล่ะ"ตกหลุมรักยัยเด็กซื่อบื้อเนี่ยนะฝันไปเถอะ"เธอไม่มีอะไรที่เหมือนแม่เลยสักนิด"ผมบอกไป"ไม่มีใครเหมือนกันหมดหรอกนะคีตะ ทุกคนมีข้อดีข้อเสียกันทั้งนั้น ถ้าแกตั้งสเปคผู้หญิงที่จะเข้ามาว่าต้องเหมือนแม่ แล้วรู้หรือเปล่าว่าเวลาแม่โกรธมันน่ากลัวขนาดไหน"พ่อผมถามพรางชี้ไปในครัวผมไม่รู้หรอกนะว่าเวลาแม่โกรธเป็นยังไง เพราะคุณน้อยหน่าที่ผมเห็นคือเป็นผู้หญิงที่มีแต่รอยยิ้มแสนดีแถมยังฉลาดซึ่งต
คีตะ"หายโกรธหรือยัง"ผมถามคนที่ยืนยิ้มอยู่ คือแม่งนอกจากซื่อบื้อแล้วยังต่อปากต่อคำเก่งอีก มีอย่างที่ไหนบอกวิธีง้อตัวเองให้คนอื่นรู้ เพราะแบบนี้สินะเธอถึงได้ไม่เคยโกรธคนอื่นเลย"หายแล้วค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวกลับบ้านก่อนนะคะ"เธอบอกผม"จะไปไหนไปขึ้นรถเดี๋ยวไปส่ง"ผมรีบจับสายเป้ก่อนจะลากเธอมานั่งที่รถ"ขอบคุณค่ะที่จะไปส่ง ว่าแต่คุณคีตะผิดนัดทำไมคะ ถ้าไม่ว่างก็ควรจะโทรบอกฉันหน่อยก็ได้เบอร์ฉันคุณคีตะก็มี"นี่ถ้าผมตอบไปคิดว่ายัยเด็กนี่จะทำยังทำขนมให้ผมกินมั้ยวะ"ขอโทษ พอดีเล่นเกมส์เพลินไปหน่อย"ผมบอกไป"ไม่เป็นไรค่ะ คุณคีตะง้อฉันแล้วฉันไม่โกรธแล้วค่ะ ส่วนขนมฉันจะทำให้กินนะคะ"ผมก็ยังยืนยันคำเดิมนะว่าเธอไม่น่าเกิดมาเลยอ่ะคือคนอะไรแม่งซื่อเกิน มิน่าไอ้จอมพลถึงได้หวงนักหวงหนา"วันหยุดค่อยทำ พรุ่งนี้ต้องทำกิจกรรมอีก"ผมบอกไป"ก็ได้ค่ะ ถ้าทำเสร็จเดี๋ยวฉันโทรบอกนะคะ"หลังจากนั้นผมก็ขับรถมาส่งยัยเด็กซื่อบื้อ และตลอดทางคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมก็เอาแต่มองออกนอกรถแล้วยิ้ม ผมล่ะอยากรู้จริงๆ เลยว่าเธอเคยโมโหหรือโกรธใครเป็นบ้างหรือเปล่า"ถามจริงนะ เคยโกรธหรือโมโหใครคนเป็นมั้ย"ผมถาม"เคยค่ะโกรธและโมโหมากเลยจนอ
เอสเทล"ถึงเวลาที่เราจะแต่งงานกันได้หรือยังเอสเทล"นี่เป็นคำพูดที่ฉันได้ยินเกือบทุกวันตลอดเวลาสองปีที่ผ่านมา แน่นอนว่าฉันยังไม่ตอบรับการขอแต่งงานของพี่คีตะ และฉันก็ยังยืนยันคำเดิมว่าการแต่งงานไม่ได้เป็นตัวตัดสินว่าชีวิตคู่ของเราจะไปกันรอด ฉันเองเรียนจบปริญญาโทและเข้าทำงานที่บริษัทของพี่คีตะเต็มตัวแล้ว"ไม่แต่งค่ะ"ฉันบอกพี่คีตะไป"เหลือหรือรออะไรไม่ทราบ จะเรียนต่ออีกมั้ยล่ะ"พี่คีตะพูดประชดฉัน"ก็คิดอยู่เหมือนกันนะคะ"ฉันบอกพรางยกยิ้มใส่"อยากทำอะไรก็เชิญ"เรื่องความรักของเราสองคนมันดีขึ้นตามลำดับค่ะ อาจจะเพราะเราสองคนโตขึ้นด้วย ฉันนั่งมองพี่คีตะที่งอนแบบนี้อยู่ทุกวันจนฉันชินแล้วล่ะ"วันเสาร์นี้ไปเที่ยวหัวหินกันมั้ยคะ"ฉันเดินมานั่งลงตรงข้ามคนหน้าบึ้ง"ไม่ไป ขี้เกียจ""ถ้าขยันก็ตามไปเจอเอสที่หัวหินนะคะ"ฉันบอกไป"เอสเทลจะให้พี่รอถึงเมื่อไหร่วะ ไม่มั่นใจพี่ตรงไหนบอกมาดิ"พี่คีตะพูดเสียงเบา"เอสมั่นใจในตัวพี่คีตะเสมอค่ะ แต่เอสเคยบอกเหตุผลไปแล้วนะคะ""มั่นใจ"พี่คีตะถามย้ำฉัน"ทุกวันนี้เราก็ใช้ชีวิตเหมือนคนที่แต่งงานกันอยู่แล้วไม่ใช่หรอคะ"ฉันถามพี่คีตะ"แต่พี่อยากทำอะไรให้มันถูกต้อง""มันไม่ถูก
เอสเทลฉันนิ่งไปพักใหญ่เมื่อได้ยินสิ่งที่พี่คีตะพูด น้ำเสียงและสายตาของพี่คีตะคือไม่ได้ล้อเล่นเลย"แต่งค่ะ แต่คงไม่ใช่ตอนนี้"ฉันบอกพี่คีตะไป"ทำไมอ่ะเอส ก็เรารักกัน""เราสองคนพึ่งกลับมาคบกัน ใช่ค่ะพี่คีตะโตขึ้นเอสโตขึ้น และการโตขึ้นมันทำให้เอสต้องคิดอะไรให้รอบคอบกว่านี้"ฉันบอกแล้วยิ้มให้แฟนตัวเอง"ไม่มั่นใจในตัวพี่หรอ""ถ้าเอสไม่มั่นใจเอสคงไม่นอนอยู่แบบนี้ค่ะ แต่การใช้ชีวิตคู่มันเป็นเรื่องใหญ่มากนะคะ เพราะฉะนั้นเอสจะไม่รีบเร่งกับเรื่องนี้เด็ดขาด"ฉันพูดเสียงดุ"แล้วพี่ทำอะไรได้มั้ยล่ะ"พี่คีตะถามฉัน"ตอนนี้ทั้งกายทั้งใจเอสให้พี่คีตะไปหมดแล้ว และการแต่งงานมันก็ไม่ได้เป็นตัวตัดสินว่าเราสองคนจะอยู่ด้วยกันตลอดไปนี่ค่ะ"ฉันอธิบายแต่ดูเหมือนว่าพี่คีตะจะไม่ยอมเข้าใจเลย"ไม่มีวันที่พี่จะยอมเสียเอสไปอีกแน่"พี่คีตะพูดเสียงดุ"แค่เราเข้าใจกัน ยอมรับข้อดีข้อเสียของอีกฝ่ายได้เอสว่าการแต่งงานมันไม่จำเป็นเลยค่ะ เอสไม่ได้ให้ความสำคัญกับการแต่งงานมากมายขนาดนั้นหรอกนะคะ เอสแค่อยากอยู่อยากใช้ชีวิตกับพี่คีตะ เอสว่าแค่นั้นมันก็เพียงพอแล้ว"ฉันบอกพี่คีตะไป ความฝันของผู้หญิงส่วนมากคือการได้ใส่ชุดแต่งงานสวยๆ แต
เอสเทลพี่คีตะโตขึ้นและเปลี่ยนไปเยอะก็จริง แต่มีอยู่เรื่องเดียวที่พี่คีตะไม่เคยเปลี่ยนเลยคือรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ และจะให้ฉันทำยังไงกับแฟนตัวเองดีล่ะในเมื่อบอกไปแล้วว่าฉันไม่ได้รีบกลับบ้าน"แล้วทำไมเอสต้องไปคอนโดกับพี่คีตะคะ"ฉันถามตามตรง"ก็พี่อยากอยู่กับแฟน""ตอนแรกเอสว่าง แต่ตอนนี้เอสไม่ว่างแล้วค่ะ"ฉันบอกพลางเอามือถือให้ดูเพราะว่ายายของฉันโทรมาฉันรีบรับสายยายพลางมองพี่คีตะที่หน้าเศร้าจนฉันอดยิ้มให้ไม่ได้ ฉันวางสายยายก่อนจะเก็บกระเป๋าเพราะตอนนี้เลิกงานแล้ว"เอสต้องรีบกลับบ้านค่ะ"ฉันบอกไป"เดี๋ยวพี่ไปส่งครับ"พี่คีตะพูดเสียงอ่อยพลางเดินตามหลังฉันออกจากห้อง"ไปกันเอส"องศารีบเข้ามาเกาะแขนฉันไว้"ไม่ได้เว้ย วันนี้พี่จะไปส่งแฟนพี่ ส่วนน้องอย่างองศาก็กลับเองนะครับ"พี่คีตะรีบจับฉันแยกออกจากองศาหลังจากนั้นพี่คีตะก็ขับรถมาส่งฉันที่บ้าน รู้มั้ยคะว่าคุณชายเขาขับรถเหมือนเต่าคลานเลยอ่ะ แถมยังทำหน้าเศร้าตั้งแต่ออกจากบริษัทด้วย"พรุ่งนี้ก็เจอกันนี่คะ"ฉันบอกไป"ก็คงงั้นแหละ"ฉันส่ายหน้าให้กับแฟนตัวเอง และที่ฉันรีบกลับบ้านเพราะว่าฉันต้องมาช่วยยายจัดกระเป๋า ยายจะไปปฏิบัติธรรมที่วัดห้าวัน ฉันไม่ได้ซื่อจนไม
เอสเทลตอนนี้ฉันไม่สนว่าใครจะพูดก่อน เพราะความรู้สึกของฉันมันไม่เคยเปลี่ยนไปเลย สามปีที่ผ่านมาฉันทำตามที่พี่คีตะขอร้องไว้ทุกอย่างถึงแม้ว่าผลลัพธ์ที่ออกมันจะเหมือนเดิมหรือไม่ก็ตาม "พี่คีตะจะนิ่งอยู่ทำไมคะ ที่เอสขอ พี่คีตะให้เอสได้หรือเปล่า"ฉันถามเสียงดุเพราะพี่คีตะเอาแต่ยืนจ้องหน้าฉันไม่พูดไม่จาฉันยืนยิ้มให้กับคนที่อยู่ตรงหน้า พี่คีตะคงไม่คิดว่าฉันจะกล้าพูดอะไรแบบนี้สินะ สามปีมานี้ฉันเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจากเพื่อนรักของตัวเองและคนรอบข้าง มันไม่ใช่เฉพาะเรื่องความรักหรอกนะแต่มันยังมีเรื่องการใช้ชีวิตเมื่อเจอคนหมู่มากและการรู้จักปฏิเสธคน"เอสคงคิดไปเองคนเดียวสินะคะ"ฉันถามเสียงสั่นเมื่อพี่คีตะเอาแต่นิ่งพรึ่บ"อย่าบอกเลิกพี่อีกนะเอส ไม่เอาแล้วนะเว้ย ฮึก"พี่คีตะเดินเข้ามากอดฉันก่อนที่จะร้องไห้ออกมา ความกลัวของฉันมันก็ยังมีอยู่แต่ถ้ามันจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ก็ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอนาคต แต่ตอนนี้ฉันขอแค่เราสองคนกลับมาเป็นเหมือนเดิมเท่านั้นเอง เพราะการนับหนึ่งใหม่กับใครอีกคนฉันขี้เกียจแล้ว"ขอบคุณนะเอส ขอบคุณที่ยังรอพี่"พี่คีตะพูดเสียงเบา"ถ้าวันนั้นเอสวางสายไปก่อนเราสองคนจะยังกลับมา
สามปีผ่านไปเอสเทล"เอสเดี๋ยววันนี้ตอนห้าโมงเย็นเราฝากไปรับเจ้าขาที่สนามบินด้วยนะ เรามีคุยงานกับลูกค้า"ตอนนี้ฉันเรียนอยู่ปีสี่แล้วนะ และฉันเองก็กำลังฝึกงานอยู่ที่บริษัทของคุณพ่อคุณแม่พี่คีตะ ตอนแรกฉันไม่ได้ตั้งใจจะมาฝึกที่นี่แต่คุณแม่ของพี่คีตะเป็นคนทำเรื่องและฉันเองก็ขัดไม่ได้ และสามปีที่ผ่านมาฉันไม่ได้เจอหน้าไม่ได้พูดกับพี่คีตะเลย"พี่เจ้าขาพึ่งไปสองวันเองนะ"ฉันรีบบอกจอมพล เพราะพี่เจ้าขาไปคุยงานที่ต่างประเทศและไปตั้งเป็นอาทิตย์ด้วย"งานยกเลิก โทรถามมันได้เอส"จอมพลบอกฉันเสียงดุ"แล้วมีคุยงานอะไรที่นี่ไม่ทราบ"ฉันถามสามปีที่ผ่านมาฉันว่าฉันโตขึ้นมาเลยนะ ฉันขับรถยนต์เป็นแล้วด้วยซึ่งจอมพลเป็นคนสอนให้ ฉันสามารถไปไหนมาไหนคนเดียวได้โดยไม่ต้องรอคนอื่น ฉันว่าฉันเก่งขึ้นมาก"มีคุยงานกับเพื่อนเอสน่ะ แล้วนี่องศาไปไหน"มาหาองศานี่เองฉันกับองศามาฝึกงานที่นี่ส่วนมอสกับตังเมไปฝึกงานที่บริษัทของคุณพ่อของมอสและจอมพลก็ฝึกงานที่บริษัทของครอบครัว"ไปหาลูกค้า"ฉันรีบบอก"หึ...ทำผิดมาน่ะสิถึงได้รีบออกไป"จอมพลกับองศาจนมาถึงวันนี้ก็ยังเหมือนเดิม เพื่อนรักของฉันสองคนปากแข็งกันทั้งคู่จนฉันไม่รู้จะช่วยใครก่อนด
เอสเทล"จะไปส่งมั้ยเดี๋ยวเราพาไป เพราะกว่าจะขึ้นเครื่องก็สามทุ่ม"จอมพลบอกฉันว่าวันนี้พี่คีตะจะไปต่างประเทศและไปนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ และที่พี่คีตะไปเหตุผลทุกอย่างมันมาจากฉันทั้งหมด ฉันไม่ได้อยากให้ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้เลยนะแต่จะให้ฉันทำยังไง"ไม่ดีกว่า ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้น่ะดีแล้ว"ฉันบอกไปฉันเคารพในการตัดสินใจของพี่คีตะเสมอ ถ้ามันจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นและฉันเองก็ไม่มีสิทธิ์จะไปห้ามอะไรพี่คีตะด้วย ฉันหวังแค่ว่าพี่คีตะจะคิดอะไรได้มากขึ้นเมื่อเราไกลกัน"พี่คีตะโทรหาหรือเปล่า"จอมพลถามฉัน"ไม่ได้โทร"ฉันพูดเสียงเบา"โอเคนะเอส""เอสต้องโอเคสิ"ฉันรีบบอกไปหลังจากนั้นฉันก็เดินมาทำขนมช่วยยาย เพราะตอนบ่ายองศากับตังเมชวนไปที่ร้านกาแฟ หน้าที่ของฉันตอนนี้คือตั้งใจเรียนหนังสืออย่างเดียวเท่านั้น ส่วนเรื่องความรักฉันคงต้องพักยาวเลย รักครั้งแรกมันทำให้ฉันกลัวทุกอย่างไปหมด"ทำไมมองหน้าเอสแบบนั้นล่ะ"ฉันถามจอมพลที่เอาแต่จ้องมองฉัน"อีกนานเลยนะเอส"จอมพลบอกฉัน"แล้วเอสจะเอาอะไรไปห้ามพี่คีตะ เราสองคนเลิกกันแล้วนะจอมพล"ฉันรีบบอกไป"ก็ยังรักเขาไม่ใช่"จอมพลถามแล้วยิ้มให้ฉัน"เวลาเท่านั้นแหละที่จะให้คำตอบเอสได้
เอสเทลฉันยืนมองรถของพี่คีตะที่ขับออกไปจนลับตา เฮ้อ...มันไม่ง่ายเลยนะที่ต้องทำเป็นเข้มแข็งทั้งๆ ที่ตอนนี้ข้างในของฉันมันร้องไห้จนจะไม่ไหวอยู่แล้ว"เอสอยากให้เรากลับมาเดินข้างกันเหมือนเดิมค่ะ แค่มันไม่ใช่ตอนนี้"ฉันพูดกับตัวเอง"พี่คีตะมาส่ง"ทันทีที่ฉันเดินเข้าบ้านมาเสียงดุของจอมก็ลอยมาเลย"เอสอยากร้องไห้ ฮึก"วันนี้ฉันกลั้นมันไม่ไหวแล้วจริงๆ ฉันยืนร้องไห้จนจอมพลเดินเข้ามากอดฉันไว้ ฉันยังไม่รู้วิธีรับมือกับการจากลาแต่ที่ฉันทำเป็นเข้มแข็ง ก็เพราะฉันอยากจะให้พี่คีตะรู้ว่าฉันไม่ได้เป็นผู้หญิงที่ต้องคอยให้คนอื่นมาปกป้อง"พี่คีตะไม่ได้ทำอะไรเอสใช่มั้ย"จอมพลถามฉันเสียงดุ"ฮึก เอสไม่ได้อยากให้เราสองคนเป็นแบบนี้""เราถามเอส""พี่คีตะไม่ได้ทำอะไรเอส"ฉันรีบบอกไปหลังจากที่ฉันร้องไห้อยู่นาน ตอนนี้ฉันกำลังโดนจอมพลจ้องหน้าอย่างเอาเรื่องเพราะจอมพลถามหาองศากับตังเม ถ้าฉันโกหกฉันต้องโดนจอมพลจับหักคอแน่ๆ"องศาไปไหนเอส""เอ่อ...องศากลับบ้านไปดูซีรีส์แล้ว"ฉันพูดเสียงเบา"ไม่ใช่ว่าองศาไปแก้แค้นพวกนั้นหรอเอส"จอมพลพูดเสียงดังจนฉันสะดุ้ง"จอมพล""มันเป็นอะไรนักหนาวะ ทั้งที่บอกแล้วว่าเดี๋ยวจัดการให้ก็ไม่เคยจะฟ
คีตะ"มันไม่ง่ายเลยใช่มั้ยคีตะเรื่องความรักน่ะ คนที่คิดว่าตัวเองเก่งสุดท้ายก็ต้องมานั่งคอตกแบบนี้"เสียงแม่ผมถามผมยื้อทุกอย่างยื้อทุกทางแต่คำตอบที่ได้จากปากเอสเทลก็คือไม่ ตอนนี้ผมกับเอสเลิกกันแล้วและผมเองก็ไม่กล้าไปเจอหน้าเธอด้วย ความรู้สึกที่ผมได้รับตอนนี้มันมีแค่ความเจ็บปวดที่ผมเป็นคนสร้างมันขึ้นมา"เลิกกันก็ไม่ใช่ว่าจะกลับมารักกันไม่ได้ ตอนนี้น้องยังเด็กตะไม่รอให้น้องโตกว่านี้ล่ะแล้วค่อยเริ่มต้นใหม่"แม่ผมพูดก่อนจะนั่งลงข้างผม"เธอเกลียดตะครับ"ผมบอกแม่เสียงสั่นในชีวิตนี้ผมไม่เคยคิดว่าจะเสียน้ำตาให้กับความรักแต่พอมาวันนี้ผมกลับกลืนน้ำลายตัวเอง เพราะตั้งแต่ผมรู้ว่าผมยื้อเอสเทลไว้ไม่ได้น้ำตาของผมมันก็ไหลออกมาตลอด"จำไว้เป็นเรียน สิ่งที่ตะเจอสิ่งที่ตะได้รับมันยังเทียบไม่ได้กับสิ่งที่พ่อเจอเลยสักนิด"ผมหันไปมองพ่อตัวเองที่พูดอยู่ตรงประตู"ความอดทนของคนเรามันไม่เท่ากัน ตะเห็นน้องซื่อเห็นน้องเชื่อคนง่าย แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันไม่ง่ายเลยใช่มั้ยล่ะ"แม่ผมถาม"น้องใจแข็งกว่าที่คิดครับ ถ้าตะเชื่อจอมพลตั้งแต่แรกตะก็ไม่ต้องมาเสียใจแบบนี้""ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับเวลา และพ่อขอเตือนไว้เลยนะอย่าใช้วิธีส
คีตะตอนนี้ผมกำลังนั่งมองแฟนตัวเองอยู่ที่โซฟาในห้องพักของโรงพยาบาล เอสเทลแค่โกรธผมเท่านั้นเองเธอก็เลยพูดอะไรแบบนั้นออกมา เราสองคนไม่มีทางเลิกกันแน่ๆ"กูบอกกูเตือนมึงแล้ว เป็นยังไงล่ะทีนี้"ไอ้หมอกกระซิบถามผม"เอสแค่โกรธกูเธอก็เลยพูดอะไรแบบนั้นออกมา เธอแค่โกรธกู"ผมรีบบอกเพื่อนไป"มึงกำลังกลัวใช่มั้ยล่ะคีตะ สายตาของเอสเทลไม่ได้ล้อเล่นเลยสักนิดใช่หรือเปล่า"เจ้าขาถามผม"มึงหุบปากเจ้าขา"ผมชี้หน้าดุพี่ตัวเองผมนั่งมองไอ้จอมพลกับเอสเทลที่คุยกันซึ่งคนที่นั่งตรงนั้นมันควรจะเป็นผม ทั้งหมดมันเป็นความผิดของผมเอง ผมไม่ควรจะปล่อยให้เอสเทลโดนทำร้ายแบบนี้ และที่เจ้าขาพูดมันเป็นความจริงทุกอย่าง ผมกำลังกลัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้"ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับเอส ผมเคยบอกพี่แล้วใช่มั้ยถ้ามีครั้งต่อไปผมจะขอเอสคืน"ไอ้จอมพลเดินมานั่งลงข้างผมก่อนที่มันจะพูด"อย่าแย่งเอสไปจากกูได้มั้ย ขอร้อง"ผมบอกน้องเสียงเบา"ตั้งนานทำไมไม่คิดไม่เปลี่ยนวะ พอมาวันนี้จะเปลี่ยนผมบอกเลยนะว่ามันสายไปแล้ว ผมบอกแล้วไงว่าผมรู้จักเอสเทลดีกว่าพี่ และวันนี้พี่เองก็คงจะรู้จักเอสเทลเพิ่มขึ้นแล้วใช่มั้ย"ไอ้จอมพลถามผม"ทุกอย่างมันขึ้นอยู่