แดดยามเช้าส่องเข้ามาภายในห้องนอนของดาราสาว กระจกใสข้างเตียงนอนสะท้อนภาพที่คนตัวสูงนอนตาค้างโดยมีคนตัวเล็กโอบกอดเอวคอดและซุกซบใบหน้าลงกับอกอุ่น เจนน่ามองภาพเงาสะท้อนตัวเองแล้วก็หน้าแดงก่ำตั้งแต่ลืมตาขึ้นมา ไม่ใช่เพราะเธอลืมตาตื่นจากห้วงนิทรา ทว่านี่เป็นการลืมตาขึ้นมาจากการข่มตานอนตลอดทั้งคืน และถึงจะพยายามหลับมันก็ยังไม่ได้ผลจนถึงตอนนี้คนตัวสูงแอบหาวแบบเงียบๆเพราะกลัวว่าคนในอ้อมกอดจะตื่น เหตุการณ์เมื่อคืนยังคงติดอยู่ในใจเธอ รวมไปถึงริมฝีปากอวบอิ่มที่ดูเหมือนจะยังร้องเรียกหาปากจิ้มลิ้มของอีกคนอย่างไม่รู้จักพอ พอคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเธอก็เผลอกัดริมฝีปากตัวเองเข้าอีกแล้ว เป็นแบบนี้วนไปตลอดทั้งคืน'ครืด'KN. : ขอบคุณสำหรับรังนกนะจ๊ะ อร่อยมากเจนน่าชะเง้อมองโทรศัพท์ที่วางอยู่บนตู้หัวเตียงฝั่งคนตัวเล็ก แจ้งเตือนข้อความขอบคุณสว่างวาบขึ้นมาทำให้เธออดยิ้มไม่ได้ ความจริงแล้วนอกจากเธอจะถามเรื่องความชอบของข้าวหอมแล้ว เธอยังแอบขอคอนแทคขอคุณน้ามาด้วยโดยอ้างว่าเผื่อคุณน้าจะต้องการความช่วยเหลือแบบกะทันหัน ด้วยความเอ็นดูแน่นอนว่าเธอก็ต้องได้มันมาอยู่แล้วและที่สำคัญเธอเกรงว่าข้าวหอมจะเป็นห่วงคุณน้า
ร้านอาหารหรูบนรูฟท็อปที่เต็มไปด้วยโซฟาตัวหรูสีน้ำตาลดำ มีบาร์เครื่องดื่มและบริกรชายหญิงคอยบริการแขกที่มองจากรูปลักษณ์ภายนอกก็สามารถรู้ได้ว่าเป็นคนมีฐานะลมอ่อนช่วงเย็นของวันพัดโชยเบาๆพาเอากลิ่นอาหารสุดหอมลอยมาตามลม วิวโดยรอบเป็นตึกตั้งสูงตระหง่าน มองเห็นสะพาน ถนน และรถยนต์ที่กำลังติดแหง็กอยู่กับที่เจนน่าเป็นหนึ่งในแขกผู้ใช้บริการของร้านอาหาร รวมไปถึงผู้ใหญ่สองคนและเด็กสาวอีกหนึ่งคนที่นั่งรับประทานอาหารร่วมกันกับเธอ หญิงและชายวัยกลางคนหน้าตายิ้มแย้มใจดีโบกมืออย่างเป็นมิตรให้กับแขกบางคนที่ยกมือถือขึ้นมาแอบถ่ายดาราสาว"คิดยังไงถึงพาพ่อกับน้าออกมากินข้าวข้างนอกล่ะ แถมยังพาเจ้าริสาออกมาด้วยอีก"ชายวัยกลางคนถามขึ้นในระหว่างที่บทสนทนาเรื่องเมนูอาหารบนโต๊ะจบลง"ช่วงนี้หนูเหนื่อยๆค่ะ แล้วก็ไม่ได้ทานข้าวกับคุณพ่อนานแล้ว ยิ่งเห็นว่าริสาทำงานให้คุณพ่อมาสักพักแล้วก็เลยอยากพามาเปิดหูเปิดตาสักหน่อยค่ะ คิดซะว่ามาทานมื้อเย็นกับครอบครัว"หญิงสาวตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหวาน ตั้งแต่เกิดเรื่องแม่ขึ้นเธอก็ห่างจากคนเป็นพ่อเหลือเกิน เวลาคุยกันสรรพนามและการใช้คำเลยดูเปลี่ยนไปมากกว่าแต่ก่อน รวมไปถึงบนโต๊ะนี้เธอย
'ปิดชั่วคราว'ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่มีชุมนุมของเด็กๆและขนิษฐา ป้ายหน้าร้านดอกไม้ก็จะถูกเปลี่ยนจากเปิดเป็นปิดชั่วคราวเสมอ ห้องเล็กหลังร้านกลายเป็นที่ประชุมขนาดย่อมสำหรับการสืบปริศนาฆาตกรรมของจิตราไปซะแล้วซึ่งเด็กสาวอั่งเปาได้รับเช็คจำนวนสองแสนบาทจากดาราสาวสุดใจดีอย่างเจนน่าจนกลับบ้านไปเพราะหมดหน้าที่ ต่อจากนี้ก็จะมีแค่คนที่รู้เรื่องราวจริงๆคือข้าวหอม คุณน้า นับหนึ่ง แล้วก็ตัวเธอเองทุกคนนั่งล้อมโต๊ะทานข้าวขนาดไม่ใหญ่มากนักเพื่อวิเคราะห์ของในลิ้นชัก โดยเริ่มจากที่นับหนึ่งหยิบของพวกนั้นออกจากกระเป๋าและวางมันลงกับโต๊ะทีละชิ้น ซึ่งนั่นประกอบไปด้วย ปลอกหมอนเลอะๆ ลิปสติก ขวดแก้วขนาดเล็กจิ๋ว ถุงซิปล็อคใสที่บรรจุเมล็ดบางอย่าง และภาพถ่ายครอบครัวของใครสักคนสายตาของนักสืบฝึกหัดต่างมองไปที่ของพวกนั้นเป็นตาเดียว ในหัวของแต่ละคนเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวจากข้อมูลที่ตัวเองรู้มาจากการเล่าของเจนน่าและข้าวหอม โดยที่ไม่มีใครกล้าแตะต้องมันสักคน"พอจะมีใครนึกอะไรออกบ้างไหมคะ"เป็นนับหนึ่งที่พูดขึ้นมาเพราะดูเหมือนว่าทุกคนจะอ้ำอึ้งกับของตรงหน้า และครั้งแรกที่เธอหยิบมันออกมาจากลิ้นชักก็รู้สึกเช่นเดียวกันกับทุกคนต
ในวันเดียวกันข้าวหอมเลือกที่จะเดินทางไปที่ห้องของเจนน่า ซึ่งเจ้าตัวเองเป็นคนขับรถพาเธอมาเพราะอยากให้เรื่องนี้จบเร็วที่สุด แน่นอนว่าเป็นอีกครั้งที่เธออยู่กับดาราสาวเพียงสองคน เพราะนับหนึ่งบอกกับเธอว่าหล่อนติดธุระกะทันหันจนมาด้วยไม่ได้ห้องกว้างห้องเดิมที่ครั้งก่อนมีภาพจำน่าสยิวยังคงปรากฏอยู่ในหัวของหญิงสาวทั้งคู่ โซฟาตัวเดิมที่เคยเป็นที่นั่งของข้าวหอมโดยมีเจ้าของห้องก้มถอดรองเท้าให้ยังคงตรึงใจมาจนถึงวันนี้ เพราะเรื่องเพิ่งจะผ่านมาได้ไม่นาน เมื่อนึกถึงคืนนั้นก็ยิ่งรู้สึกวูบวาบไปหมดมีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศภายในห้องเท่านั้นที่ดัง ไม่ว่าจะอยู่ด้วยกันสองต่อสองตอนไหนก็ยังคงรู้สึกว่าอีกคนประหม่าจนต้องนั่งเกร็งใส่กันทุกที"เธอดูเหนื่อยๆนะ ดื่มน้ำหน่อยดีกว่า""ไม่เป็นไรค่ะ""..."เจนน่าพูดขึ้นมาแล้วรีบเด้งตัวออกจากโซฟาเพื่อที่จะลดอาการประหม่าโดยการเดินไปหยิบน้ำในห้องครัว ทว่าอีกคนกลับยกมือห้ามเธอไว้จนเธอต้องหยุดชะงัก"เอ่อ ดื่มก็ได้ค่ะ"และอาจจะเป็นเพราะสีหน้าเลิ่กลั่กของเธอทำให้ข้าวหอมเปลี่ยนใจยอมให้เธอลุกออกไปจากตรงนี้ เจนน่ายกมือขึ้นทาบอกแล้วเป่าลมออกทางปากเพื่อสงบอารมณ์แปลกๆที่ถาโถมเข้
หญิงสาวสองคนเดินลงมาจากคอนโดหรูเพื่อมุ่งหน้าไปยังร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ โดยที่ต่างคนต่างอาบน้ำกันมาแล้วเพราะจากเรื่องที่รับรู้เมื่อครู่มันทำให้รู้สึกแย่จนต้องอาบน้ำให้รู้สึกดีขึ้น ของหวานก็เป็นอีกอย่างที่ช่วยได้ เพราะแบบนั้นเจนน่าเลยชวนข้าวหอมออกมาเพื่อลดความเครียดซึ่งเธอและหล่อนอยู่ในชุดนอนลายน่ารัก"เธอยังไม่ง่วงใช่ไหม"เป็นเจนน่าที่ถามขึ้นในขณะที่เจ้าตัวก็หยิบไอติมจากมือของคนตัวเล็กมาแกะแล้วส่งมันคืนให้กับเจ้าของ"ยังไม่ง่วงค่ะ ขอบคุณนะคะ"น้ำเสียงหวานตอบกลับไปอย่างขวยเขิน ตั้งแต่เกิดเรื่องวาบหวิวคืนนั้นขึ้นก็รู้สึกว่าตัวเองได้รับการดูแลจากเจนน่าเป็นพิเศษ แม้แต่การฉีกซองไอติม"งั้นเราอยู่ตรงนี้กันสักแปปแล้วกันเนอะ""อื้อ ได้ค่ะ"หญิงสาวสองคนนั่งลงบนเสาสมอบกหน้าร้านสะดวกซื้อ ลมเย็นของต้นไม้ใหญ่บริเวณรอบพัดมาจนผมของข้าวหอมปลิวไสวเลอะไอติมที่ยกขึ้นมาทาน ทันทีที่เป็นแบบนั้นเจนน่าก็ใช้นิ้วเกลี่ยมันออกแล้วทัดหูให้อีกคน ก่อนจะหันไปมองข้างหน้าตามเดิม"ขอบคุณนะคะ"เสียงหวานดังขึ้นอีกครั้งทำเอาคนฟังยิ้มกว้างอย่างเอ็นดู ในใจก็นึกว่าตั้งแต่เจอกันครั้งแรกหล่อนก็พูดขอบคุณซะแล้ว ตั้งแต่นั้นมาหล่อนก็ย
"สวยครับ สวยมาก เรื่อยๆเลยครับ"'แชะๆๆ'เสียงตากล้องรัวชัตเตอร์ถ่ายภาพดาราสาวที่อยู่ในอ่างอาบน้ำทรงรีที่วัสดุทำจากไม้ลายสวย ท่ามกลางธรรมชาติที่มีภูเขาล้อมรอบโดยฉากด้านหลังเป็นสวนผลไม้ เจนน่ายิ้มร่าขยับซ้ายขวาตามคำแนะนำของตากล้อง แน่นอนว่าความมืออาชีพของเธอทำให้ทุกคนรอบๆพอใจได้อยู่แล้ว"น้องเจนน่ามองฟองสบู่ในมือหน่อยครับ ดีครับ"คนสวยในอ่างมองฟองสบู่นุ่มในมืออย่างว่าง่าย อาศัยจังหวะมองนกมองไม้แอบมองหาคนตัวเล็กที่ติดสอยห้อยตามมาด้วยจากการบังคับของเธอเอง ไม่นานนักข้าวหอมก็ปรากฏตัวขึ้นข้างๆนับหนึ่ง ท่ามกลางทีมงานเป็นสิบยี่สิบคนเธอกลับมองเห็นข้าวหอมเพียงคนเดียว"มู้ดดีมากเลยครับ อยากได้สายตาเพ้อฝันแบบนี้นานๆครับ เยี่ยมครับ สวย"ไม่ว่าตากล้องจะพูดอะไรออกมาก็เป็นคำชมซะหมด สายตาเพ้อฝันที่เขาพูดมันคงมาจากที่เธอมองคนรักล่ะมั้ง ไม่รู้ทำไมวันนี้ถึงได้มีแรงทำงานนักทั้งที่เมื่อคืนแทบไม่ได้นอน ไม่สิ ได้นอนอีกทีก็ช่วงสายเลยต่างหาก"เรียบร้อยครับ ทีมงานขอผ้าคลุมน้องด้วยครับ"เป็นไดเรคเตอร์ที่ตะโกนบอกทีมงานเมื่อตากล้องถ่ายเซ็ตนี้เสร็จเรียบร้อย เจนน่ายิ้มแป้นในขณะที่ก้าวขาออกจากอ่างน้ำ ทำเอาทีมงานทุกคนง
ข้าวหอมสะดุ้งตัวโยนเมื่อได้ยินเสียงทุ้มจากด้านหลัง คิ้วโก่งขมวดเข้าหากันทว่ามุมปากกลับยกขึ้น คนตัวเล็กเป็นกังวลเหงื่อตกเมื่อรู้สึกว่าบ้านหลังนี้มันแปลกประหลาดกว่าบ้านทั่วๆไป แต่ปากอิ่มก็ยังยิ้มอยู่เพื่อกลบเกลื่อนความผิดของตัวเอง"ใช่ค่ะ พอดีว่าหนูเป็นคนชอบดอกไม้อยู่แล้ว แต่ไม่เคยเห็นดอกแบบนั้นเลยค่ะ มันคือดอกอะไรเหรอคะคุณน้า"ข้าวหอมพยายามเปล่งเสียงให้ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด แต่จนแล้วจนเล่ามันก็ยังสั่นอยู่ดี ทำเอาชายกลางคนยิ้มเอ็นดูก่อนจะตอบขึ้น"ดอกฮิกันบานะ หนูไม่เคยเห็นแหละถูกแล้ว เพราะส่วนใหญ่มันอยู่ที่ญี่ปุ่นน่ะ แถมที่นั่นยังไม่นิยมปลูกกันอีกด้วย"คนตัวเล็กพยักหน้าแล้วมองไปที่ดอกนั่นอีกครั้ง เธอพยายามลบความคิดน่ากลัวในหัวของตัวเองแล้วให้ความสนใจกับสิ่งที่อยากรู้ เพราะแบบนี้จะทำให้เธอหยุดสั่นและหายกลัวขึ้นมาบ้าง"งั้นคุณน้าช่วยเล่าเกี่ยวกับดอกฮิกันบานะให้หนูฟังหน่อยได้ไหมคะ ทำไมคนถึงไม่นิยมปลูกกันล่ะ"ข้าวหอมทำใจดีสู้เสือถามต่อทั้งที่ความจริงแล้วข้อมูลพวกนั้นไปเสิร์ชหาเอาก็ได้ หากแต่เพียงเธอคิดว่าถ้ามันถูกเล่าออกจากปากชายคนนี้อาจจะหลุดข้อมูลอะไรน่าสงสัยออกมาบ้างก็เท่านั้น"ฮ่าๆๆ เ
"ไปไหนมา แล้วนี่ไปซนเอาดอกไม้ใครมาเล่น"ทันทีที่คนตัวเล็กก้าวขาฉับๆเข้ามา เจนน่าก็ยื่นมือเข้าจับข้อมือเล็กของอีกคนก่อนจะถามราวกับเป็นผู้ปกครองของน้องข้าวหอมที่อายุเพียงไม่กี่ปี"ฉันไม่ใช่เด็กๆแล้วนะคะ แล้วก็ไม่ได้ไปซนที่ไหนสักหน่อย ไปเข้าห้องน้ำมาเฉยๆ"ดาราสาวยืนมองดอกไม้ในมือสลับกับใบหน้าของอีกคน ไม่ต่างกันกับนับหนึ่งที่คงจะคิดแบบเดียวกัน ก่อนที่ข้าวหอมจะเขย่งเท้าเอามือป้องปากกระซิบข้างหูของคนตัวสูง"เราช่วยทำเป็นไม่สนิทกันสักวันนะคะ ฉันบอกกับเจ้าของสวนว่าฉันเป็นทีมงานที่เพิ่งเข้ามาทำงานใหม่""นี่เธอไปเจอเขามาแล้วเหรอ ใช่ผู้ชายในรูปนั้นหรือเปล่า"เจนน่ากระซิบกลับ คนตัวเล็กพยักหน้าเป็นคำตอบ ทำเอาเจนน่าหน้าเสียเพราะเธอเป็นห่วงหล่อนเหลือเกิน มือนุ่มจับข้อมือเล็กแน่นขึ้นแล้วเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง"คราวหลังอย่าไปเจอเขาคนเดียวอีก"พูดกันได้แค่นั้นคนตัวสูงก็ถูกไดเรคเตอร์เรียกเพื่อถ่ายงานอีกครั้ง ข้าวหอมจึงตัดสินใจลากนับหนึ่งออกมาให้ห่างจากผู้คนแล้วเริ่มเล่าเรื่องที่ไปเจอมาให้ฟัง เพราะสองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียวอยู่แล้วเมื่อข้าวหอมเล่าจบเธอก็ใช้นิ้วยกขึ้นดันคางนับหนึ่งขึ้นไปเพื่อให้ปากท
มือถือของคนตัวเล็กถูกจิ้มเข้าที่สัญลักษณ์นกฟ้าในทันทีหลังจากวางสาย แฮชแท็กผู้หญิงเสื้อขาวขึ้นเทรนด์อันดับหนึ่งแทนที่ชื่อดาราสาวทันที หญิงสาวสองคนเพ่งมองหน้าจออันเล็กจนศีรษะชิดติดกัน นิ้วเรียวต่างผลัดกันเลื่อนไถฟีดข่าวที่มีแต่ภาพเธอสองคน โดยเฉพาะภาพแผ่นหลังเล็กๆของข้าวหอมซึ่งเป็นผู้หญิงที่ทุกคนกำลังตามหานอกจากนี้ยังมีภาพเธอที่ถูกถ่ายไว้เมื่อวันก่อนๆ ไม่ว่าจะเป็นตอนเข็นวีลแชร์ให้เจนน่า หรือแม้แต่กระทั่งภาพที่เธอเดินอยู่ด้านหลังรถวีลแชร์โดยที่คนอื่นเป็นคนเข็นมัน โดยคอมเมนต์ส่วนใหญ่ไปในทางเดียวกันคือตามหาเธอ บ้างก็ว่าเธอสวย บ้างก็ว่าน่ารัก แต่ที่มากที่สุดคงจะเป็นความสงสัยว่าเธอเป็นใครกันแน่ เพราะโดยปกติแล้วทุกคนมักจะเห็นแค่นับหนึ่งเพียงคนเดียวเท่านั้นที่อยู่กับเจนน่า การปารกฏตัวของเธอคงเป็นที่แตกตื่นสำหรับคนทั่วไป"แล้วฉันจะมีเพื่อนไม่ได้เลยหรือไง มาแอบถ่ายกันแบบนี้ฉันฟ้องได้นะ"เป็นดาราสาวที่พูดออกมาอย่างหงุดหงิด เธอถูกแอบถ่ายจนชินแล้ว แต่คนตัวเล็กที่นั่งข้างๆนี่เป็นเพียงคนธรรมดาๆ ไม่ใช่คนสาธารณะแบบเธอ เพราะแบบนั้นเธอถึงหงุดหงิดที่คนพวกนี้เอาข้าวหอมเข้ามาเกี่ยวด้วย ยิ่งภาพที่ถูกเผยแพร่ไ
"เรียบร้อยแล้วค่ะคุณตำรวจ ขอบคุณมากนะคะที่ให้เข้าเยี่ยม"เจนน่าเอ่ยบอกกับชายหนุ่มสองคนในเครื่องแบบหน้าห้องพักฟื้นแล้วยิ้มให้พวกเขาบางๆ ก่อนที่จะพยักหน้าบอกให้เพื่อนตัวเล็กเข็นวีลแชร์กลับห้องตัวเองโถงทางเดินหน้าห้องพักฟื้นมีคุณหมอและคุณพยาบาลเดินกันให้ควั่ก รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางร้ายในชีวิตจริงด้วยความสะใจ"แกคิดดีแล้วเหรอวะที่ทำแบบนี้อะ"นับหนึ่งโน้มตัวลงกระซิบข้างหูของดาราสาวในขณะที่ก็เข็นรถไปด้วย"แล้วมันไม่ดีตรงไหน ฉันไม่ได้ไปฆ่าใครตายสักหน่อย"เพื่อนตัวเล็กเบ้ปากมองบนเช่นเคยกับความแสบของคนป่วย ที่จู่ๆหล่อนก็ออกคำสั่งให้เธอรีบไปหาซื้อขวดยาสีชาแบบกะทันหัน ซ้ำยังย้ำนักย้ำหนาว่าเอาให้เหมือนตามต้นฉบับที่เป็นหลักฐานแบบเด๊ะๆ ลำบากเธอต้องขับรถวิ่งหาไปทั่วแค่เพราะเพื่อนตัวแสบอยากจะล้างแค้นคนร้ายด้วยความสันติสำหรับเธอคิดว่าการใส่น้ำเปล่าลงไปในขวดยามันก็ดีแต่ถ้าไม่ทำมันคงจะดีกว่า แค่คุณรตีต้องเป็นอัมพาตไปตลอดชีวิตก็เหมือนตกนรกทั้งเป็นแล้ว นี่หล่อนเล่นให้เสียไปยังสุขภาพจิตด้วยการหลอกว่าในขวดนั่นเป็นยาพิษชนิดเดียวกับที่คนร้ายเคยใช้ปลิดชีพคุณน้าจิตรา แถมยังเอามันกรอกปากคนเจ็บอีก
"น้องเจนน่าคะตอบคำถามพี่ด้วยค่ะ"'แชะๆๆ'"อาการตอนนี้เป็นยังไงบ้างคะ แล้วที่มีข่าวลือว่าหนีออกจากโรงพยาบาลจริงหรือเปล่าคะ""ตอบด้วยครับน้องเจนน่า สรุปเหตุการณ์ทั้งหมดคือยังไงครับ"นักข่าวจำนวนมากรุมจ่อไมค์พร้อมกล้องตัวใหญ่อีกหลายตัวที่สาดแฟลชสว่างวาบใส่เจนน่า ในขณะที่เธอนั่งอยู่บนรถเข็นโดยมีคุณพ่อเป็นคนเข็นให้และนับหนึ่งที่คอยกันนักข่าวออกไปมือนุ่มข้างหนึ่งยกขึ้นเพื่อให้นรุตม์หยุดเข็น ก่อนจะหายใจเข้าลึกๆเพื่อสงบสติอารมณ์ที่ตอนนี้กำลังพุ่งสูงปรี๊ด"ขอโทษนะคะพี่ๆ ที่นี่โรงพยาบาลนะคะ ไม่ใช่ตลาดสดที่จะแหกปากได้ตามอำเภอใจ""..."ราวกับต้องมนต์สะกดเมื่อคำพูดกึ่งด่าหลุดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ผู้คนอาชีพเดียวกันต่างหลุบตาลงต่ำไม่กล้าสบตาคมเฉี่ยวที่หันมามองตำหนิราวกับคาดโทษเอาไว้แทบทุกราย"แล้วก็ให้เกียรติเจนน่าด้วยค่ะ ตอนนี้กำลังเจ็บอยู่นะคะ ถ้าเข็นรถหนีไม่ยอมตอบคำถามก็คือไม่พร้อมตอบค่ะ""แต่พวกเราก็ต้องทำงานนะครับน้องเจนน่า เห็นใจพี่หน่อยนะครับ"เป็นผู้ชายร่างโตที่ถือไมค์เป็นโลโก้ช่องโทรทัศน์ชื่อดังที่ใจกล้าพูดออกมา ทันใดนั้นดวงตาเฉี่ยวจับจ้องไปที่เขาทันที เพียงไม่กี่วิที่ตาสบตา ชายร่างโ
สุดท้ายที่หล่อนปล่อยโฮออกมาแล้วก็พูดไปด้วย น้ำเสียงยังดูเป็นห่วงเป็นใยไม่ต่างกันกับที่ผ่านมา และเป็นเธอเองที่ขอบตาร้อนผ่าวปล่อยน้ำตาเม็ดโตออกมาทั้งที่พยายามกลั้น ไม่ว่าหล่อนจะค่อยๆ ก้าวเข้าหาเธออย่างใจเย็นแค่ไหน เธอก็ก้าวถอยหลังหนีไม่ต่างกัน"อย่าเข้ามานะ"ดาราสาวกลืนน้ำลายลงคอแล้วเปล่งเสียงแข็งกร้าวออกมากับดวงตาที่จ้องเขม็งไปยังคนตรงหน้า"ทำไมล่ะ ไม่ไว้ใจน้าแล้วเหรอ น้าไม่ทำอะไรหนูหรอกนะ นี่น้าไง น้าเอง"หล่อนพูดราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่สภาพตัวเองแทบจะดูไม่ได้ ผมเผ้ายุ่งเหยิงกระเซอะกระเซิง เสื้อผ้าที่มีแต่รอยเปื้อนสิ่งสกปรกเต็มไปหมด ความจริงหล่อนควรจะขอโทษเธอตั้งแต่เจอหน้ากันแล้วด้วยซ้ำ"นับหนึ่งอยู่ไหน"เจนน่าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเธอต้องเล่นตามน้ำโดยการถามถึงเพื่อน คนร้ายยิ้มบางๆ แล้วตอบกลับมาด้วยคำตอบที่ฟังไม่ขึ้น"หนูนับหนึ่งกลับไปก่อนหนูมานี่เอง ไม่ได้สวนกันหรอกเหรอ""แต่คุณบอกว่าจะฆ่าเพื่อนหนู คุณต่อรองกับหนูว่าจะมาที่นี่หรือจะเสียเพื่อนไป แล้วแบบนี้จะให้หนูคิดยังไง""น้าก็แค่ล้อเล่นเพราะอยากให้หนูมาหา น้าถูกใส่ร้ายนะเจนน่า ช่วยน้าด้วยนะ"หล่อนพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าซึ่งเบาม
"คุณน้าจับตัวนับหนึ่งไป โลเคชันไกลจากที่นี่พอสมควร แล้วก็บอกว่าห้ามแจ้งตำรวจ"เจนน่าบอกกับข้าวหอมและหญิงวัยกลางคนที่อยู่ด้วยกัน ทุกคนทำหน้าตกใจไม่ต่างกันจนกระทั่งข้าวหอมเหลือบตาเห็นดอกไม้ช่อเล็กๆ ที่วางไว้ใกล้ๆ กับกระเช้าผลไม้"เมื่อเช้านับหนึ่งเอาช่อดอกไม้มาเยี่ยม แต่คุณยังไม่ฟื้น""มันบ้าหรือเปล่าเนี่ย รู้ว่าฉันกลัวดอกไม้แล้วเอาดอกไม้มาให้ทำไม"เจนน่าแหวออกมาเป็นคำติติงเพื่อนสาวราวกับหล่อนแกล้งกัน แม้ว่าตอนนี้จะเป็นห่วงแทบขาดใจ"แน่ใจเหรอคะว่าคุณยังกลัวมันอยู่""..."ดาราสาวจ้องมองที่ช่อดอกไม้เล็กๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าหลังจากเรื่องทุกอย่างคลี่คลายเธอก็ไม่ได้รู้สึกขยะแขยงมันมากเท่าแต่ก่อนแล้ว ช่วงที่ข้าวหอมหลอกเอาดอกไม้ที่สวนนั่นมาเธอก็ไม่ได้มีความรู้สึกว่าอยากจะเอามันไปทิ้งหรือหลับตาลงเพราะไม่อยากเห็นมือนุ่มเอื้อมจับที่กลีบดอกไม้เบาๆ พร้อมกลั้นใจ ทว่าก็ไม่ได้ฝืนใจมากกว่าที่เคย เพราะสิ่งตรงหน้ามันก็แค่ดอกไม้ธรรมดาๆ ไม่ได้มีพิษภัยอะไร หรือการที่นับหนึ่งเอามันมาก็เพื่อจะให้เธอรู้ตัวเองว่าเธอไม่ได้รู้สึกกับพวกมันเหมือนเดิมอีกแล้ว"ฉันสามารถมองเห็นได้ทั้งอดีตและอนาคต คุณรอสักแปปหนึ่งนะคะ
หลังจากที่รตีย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังโตทุกอย่างก็เหมือนจะเป็นไปด้วยดี เธอเริ่มคุ้นชินกับชื่อและนามสกุลใหม่ นรุตม์ก็ดูแลเอาใจใส่เธอเป็นอย่างดี ติดแต่เพียงว่าหนูน้อยไม่ยอมเรียกเธอว่าแม่สักที"เจนน่า น้าทำข้าวกล่องไว้ให้น่ะ"ทุกๆเช้าเธอมักจะบอกกับเจนน่าในวัยสิบแปดปีว่าทำข้าวกล่องไว้ให้ ในช่วงแรกเด็กสาวเกรงใจดูน่ารักน่าเอ็นดู ทว่านานวันเข้ายิ่งเปลี่ยนไปเมื่อเธอมักตามใจเขาทุกอย่าง"คุณน้าคะ พรุ่งนี้เจนน่าอยากกินผัดกะเพรา"เด็กสาวเอ่ยปากบอกกับแม่เลี้ยงตอนค่ำ เพื่อที่ข้าวกล่องในวันพรุ่งนี้จะได้เป็นเมนูที่อยากกิน คุณน้ารดาสุดใจดีหันมายิ้มบางๆให้กับเธอก่อนจะปฏิเสธ"ใบกะเพราหมด ไว้พรุ่งนี้กลับมาจากโรงเรียนแล้วค่อยกินได้ไหมคะ เดี๋ยวน้าจะทำไว้รอ""ไม่ เจนน่าจะกินตอนเที่ยงพรุ่งนี้ คุณน้ารดาต้องทำให้เจนน่าค่ะ"เพราะเธอรักเจนน่าเหมือนลูกในไส้ แม้ว่าเด็กสาวจะเอาแต่ใจหรือพูดจาไม่ดีกับเธอมากแค่ไหนเธอก็ไม่เคยคิดโกรธ มิหนำซ้ำยังพยายามหาสิ่งที่หล่อนอยากได้มาให้ทุกครั้งไปโชคดีเหลือเกินที่ฐานะทางการเงินของเธอนั้นดีมาก ดียิ่งกว่านรุตม์หลายเท่า ทำให้ไม่ได้ลำบากสักเท่าไหร่หากจะหาของดีๆมีราคามาให้กับเด็กสาวจนห
สวนดอกไม้เล็กๆ ณ บ้านหลังหนึ่งในประเทศรัสเซียที่เต็มไปด้วยดอกไม้หลากสายพันธุ์ สีสันสวยงามน่ามองที่เกิดจากเจ้าของบ้านซึ่งชอบในการเพาะพืชและดอกไม้ทุกชนิด พาเอาลูกสาวคนเดียวชื่นชอบมันไปด้วย เด็กหญิงรตีในวัยหกขวบกำลังตัวเล็กน่ารัก ชอบสังเกต ชอบพิสูจน์และเป็นเจ้าหนูจำไมจนเป็นที่รักของทุกๆคน"คุณแม่ขา อันนี้เรียกว่าดอกอะไรเหรอคะ ทำไมคุณแม่ต้องกั้นรั้ว"เด็กน้อยตัวเล็กเอ่ยถามผู้เป็นแม่เสียงเจื้อยแจ้วเมื่อเห็นดอกไม้สีที่เธอชอบถูกกักขังอยู่ในกรงเหล็ก ซึ่งไม่ว่าคุณแม่จะพาเธอเที่ยวชมสวนหน้าบ้านกี่ที เจ้าดอกนี้ก็ไม่เคยเป็นอิสระเลยสักครั้ง"อันนี้เรียกว่าดอกอะโคไนต์ลูก เป็นดอกไม้มีพิษน่ากลัวนะ แม่เลยกลัวว่าหนูจะไปจับมันไงคะ""แล้วแบบนี้มันจะเบื่อไหมคะ อยู่แต่ในกรง"แม้ว่าเด็กหกขวบทั่วไปจะพอรู้ความแล้ว แต่กับรตีเป็นเด็กที่มีจินตนาการล้ำเลิศ ซึ่งเธอได้ยินมาว่าพืชทุกชนิดล้วนมีชีวิต เพราะแบบนั้นเธอจึงเอ่ยถามคุณแม่ออกไปอย่างใสซื่อ ถ้าหากเป็นเธอที่ถูกขังอยู่ในกรงนั่นคงเบื่อน่าดู"ฮ่าๆๆ ไม่เบื่อหรอกนะลูก ในกรงก็มีดอกไม้เป็นเพื่อนกันตั้งหลายดอกเห็นไหม ถ้าหนูชอบมันเดี๋ยวแม่เล่านิทานเกี่ยวกับมันให้ฟังเอาไหม
คนร้ายมองหน้าผีตัวปลอมตาเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เด้งตัวลุกขึ้นจนทำให้คนที่เหยียบอกอยู่ล้มลงกับเตียง เขาเอี้ยวตัวเปิดลิ้นชักหัวเตียงแล้วใช้มือหยาบกร้านหยิบปืนพกขึ้นมาด้วยความรวดเร็ว ในขณะเดียวกันคนใต้เตียงก็ออกมาจากที่ซ่อนเพื่อพยุงข้าวหอมที่เสียหลัก โดยเจนน่าที่ยังซ่อนตัวอยู่กดโทรออกหาตำรวจเป็นที่เรียบร้อย"อย่าอยู่เลยพวกมึง!"เสียงทุ้มตะโกนออกมาด้วยความเดือดดาลพร้อมยกกระบอกปืนขึ้นเล็งไปยังหญิงสาวตัวเล็กสองคน ทว่าคนที่ซ่อนตัวอยู่ค่อยๆย่องออกมา ใช้โอกาสที่คนร้ายยังไม่เห็นเธอหยิบขวดน้ำเปล่าขึ้นมาแล้วโยนขึ้นไปกระแทกกับหลอดไฟ'เพ้ง'ทันใดนั้นหลอดไฟที่ถูกหมุนไว้ตั้งแต่แรกร่วงลงพื้นทันที เสียงแตกกระจายของมันเรียกร้องความสนใจของคนร้ายให้หันไปมอง นั่นทำให้เจนน่าฉวยโอกาสพุ่งตัวเข้าไปเพื่อยื้อแย่งปืนที่อยู่ในมือของอีกคน"เชี่ย แสบนักนะพวกมึง!"เพราะความที่คนร้ายเป็นผู้ชายซึ่งมีแรงมากกว่า คนตัวเล็กอีกสองคนเลยวิ่งเข้าไปรุมทึ้งด้วย โดยนับหนึ่งใช้เชือกเส้นหนาที่ซื้อมารัดคอของคนร้ายสุดแรงจนเขาแทบลิ้นจุกปากเพราะขาดอากาศหายใจ ทว่ามือหยาบกร้านก็ยังคงจับปืนไว้มั่น ซึ่งพวกเธอแน่ใจว่าถ้าหากให้เขายิงป
"กลิ่นเหม็นคาวจากไหนวะ"เสียงแหบพร่าของชายวัยกลางคนดังขึ้นหลังจากที่ข้าวหอมเริ่มลงมือแง้มถุงเลือดหมูอย่างเงียบๆ ก่อนที่เธอจะค่อยๆนำของเหลวสีแดงฉานป้ายไปตามใบหน้าลำคอ รวมไปถึงเสื้อผ้าและผิวขาวทั่วตัว หากสังเกตเพียงเท้าที่คนใต้เตียงเห็น คนร้ายกำลังเดินวนไปรอบห้องคล้ายคนเมาเพื่อหาต้นตอของกลิ่น แต่เพราะความมืดที่แทบมองไม่เห็นทำให้เขาเดินเตะขาเก้าอี้จนร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด"โอ้ย! แม่งเอ้ย ไอเก้าอี้บ้า กูนอนก็ได้วะ!"จากที่ทรงตัวไม่ค่อยอยู่กลายเป็นว่าสองขาของเขาเดินกะเผลกมาข้างเตียงแล้วทิ้งตัวลงด้วยความหงุดหงิด ก่อนที่ปลายผ้าห่มผืนหนาจะถูกดึงขึ้นไป นั่นทำให้หญิงสาวสองคนรู้ว่าคนร้ายกำลังห่มผ้านอนแล้วมือเล็กของนับหนึ่งแกล้งดึงชายผ้าห่มที่โผล่พ้นใต้เตียงด้านข้างให้ขยับเบาๆเป็นการกระตุกขวัญให้คนบนเตียงกลัวเล่นๆ เพราะเตียงดูยวบยาบอยู่หลายหนนั่นดูเหมือนว่าคนร้ายจะนอนไม่สบายสักเท่าไหร่นับหนึ่งจึงคลานไปกระตุกชายผ้าที่ปลายเตียงแทน ผ้าห่มผืนหนาค่อยๆเลื่อนออกจากตัวของชายวัยกลางคนจนเขาสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ"คงไม่มีอะไรหรอก อิเด็กนั่นมันก็แค่พูดจาเพ้อเจ้อไปแบบนั้นแหละ"คนบนเตียงพึมพำกับตัวเ