Pream Part.“อันนี้ถุงที่มีน้องอยู่นะคะ”ฉันมองตามที่คุณหมอชี้ ภาพขาวดำที่ปรากฏขึ้นบนจอเหมือนเป็นคำยืนยันทุกอย่าง ในท้องฉันมีเด็กคนหนึ่งกำลังเจริญเติบโตอยู่จริง ๆฉันขยำผ้าปูเตียงด้วยความรู้สึกสับสน ไม่รู้ว่าควรรู้สึกยังไง ดีใจ หรือเสียใจ ถ้าฉันท้องเพราะมีคนรักหรือมีสามีอยู่แล้วคงไม่รู้สึกแบบนี้ แต่นี่ฉันท้องทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครเลย ท้องเพราะความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากคืนนั้นคืนเดียว....“เอ๋...”“อะไรเหรอคะคุณหมอ” ฉันข่มความรู้สึกทั้งหมดและถามออกไป เมื่อคุณหมอจ้องจอนั้นด้วยความสงสัย“เหมือนว่า...จะมีสองถุงนะคะ”“หมายความว่ายังไงคะ”“คุณพริมาตามีน้องอยู่สองคนในท้องค่ะ ยินดีด้วยนะคะ คุณกำลังตั้งครรภ์ลูกแฝด”“ระ...เรื่องจริงหรือคะ”“จริงค่ะ ดูนี่สิคะ” คุณหมอชี้ไปที่บนจอซึ่งปรากฏถุงเล็ก ๆ สองถุงที่ถูกกั้นด้วยผนังบาง ๆ “มีสองถุง แปลว่าท้องแฝดค่ะ”“...” ฉันพูดไม่ออกและเผลอกัดปากตัวเองจนเจ็บ ถุงที่หมอชี้ให้ดูมีก้อนเล็ก ๆ นอนนิ่งอยู่ในนั้น มันมีทั้งหมดสองถุงอย่างที่หมอบอกจริง ๆ“เหมือนว่าจะได้ยินเสียงหัวใจแล้วนะคะ คุณพริมาตาจะฟังเสียงหัวใจน้องไหมคะ”“ฟังค่ะ...”ตึก ตึก ตึก“นี่เป็นเสียงของคนขวา
Chris Part.“รับทราบครับหม่าม้า คร้าบ” ผมรับคำหม่าม้าก่อนจะเก็บมือถือเข้ากระเป๋า และมุดรถเข้าไปหยิบของที่เตรียมมาด้วยความทุลักทุเลผมชื่อคริส อายุยี่สิบสองปี เป็นลูกครึ่งไทยจีนที่ได้ยีนส์เด่นจากทั้งสองเชื่อชาติมาอย่างลงตัว จนผมอยากจะกราบขอบคุณป๊าและหม่าม้างาม ๆ ที่ปั้นลูกชายออกมาได้ดีขนาดนี้ พูดไปก็จะหาว่าอวยตัวเองส่วนวันนี้ผมมาเยี่ยมญาติห่าง ๆ ที่เข้าโรงพยาบาลแทนป๊าและม้า จะบอกว่ามาเยี่ยมแทนก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะผมมาของผมเองไม่มีใครสั่ง อันที่จริงแล้วสองบ้านนี้ไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่ ทั้งป๊า ม้า และน้องสาวของผมไม่อยากเข้าใกล้ครอบครัวนี้ มีแค่ผมคนเดียวที่ไม่สนใจความบาดหมางและตัดสินใจมาเยี่ยมเขาด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นคงโดนคนครหาว่าตระกูลผมมันแล้งน้ำใจ คนคุ้นเคยกันเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาลแท้ ๆ แต่ไม่คิดจะมาดูดำดูดีเลย และพอหม่าม้ารู้เข้าก็โทรมาสวดจนหูชา แถมย้ำนักย้ำหนาว่าให้รีบเยี่ยมรีบกลับ“ประเทศไทยแม่งโคตรร้อน” ผมบ่นกับตัวเองทันทีที่ได้เข้ามาสัมผัสแอร์เย็น ๆ ในโรงพยาบาล เมื่อกี้ตอนอยู่ข้างนอกเหมือนอยู่ในเตาอบ แค่ไม่กี่นาทีเล่นเอาเหงื่อไหลออกมาเหมือนน้ำ ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้เป็นช่วงกลางเดือน
Pream Part. ก๊อก ก๊อก “คุณครับ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เสียงเคาะกระจกที่ดังอยู่ข้างหูทำให้ฉันค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น เมื่อกี้รู้สึกเวียนหัวหนักจนเผลอซบลงกับพวงมาลัย แต่หน้าผากเจ้ากรรมกลับไปโดนแตรรถเสียอย่างนั้น และเสียงแตรรถที่ดังลั่นแบบนั้นคงทำให้คนแตกตื่นไม่น้อยจนต้องมีคนเดินมาดูแบบนี้ “คุณครับ” “ค่ะ...” ฉันลดกระจกลงและเอ่ยตอบรับยามรักษาความปลอดภัยด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ไหวไหมครับ หน้าคุณซีดมากเลย” “ไหวค่ะ ขอฉันพักซักครู่นะคะ ฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่เวียนหัวเท่านั้น” “ได้ครับ ๆ” ยามวัยกลางคนพยักหน้ารับก่อนจะเดินจากไป แต่ยังไม่วายหันกลับมามองเรื่อย ๆ ด้วยความเป็นกังวล และพอฉันเห็นตัวเองในกระจกก็ไม่แปลกใจเลยที่ลุงยามคนนั้นจะเป็นห่วง เพราะหน้าของฉันซีดขาวจนแทบจะไร้สีเลือดเหมือนคนป่วยหนัก “สองแสบ เล่นงานแม่หนักเลยนะวันนี้” ฉันลูบหน้าท้องแผ่วเบา เอ่ยดุลูกแต่ไม่ได้จริงจังมากนัก ก่อนจะแกะลูกอมรสเปรี้ยวที่แวะซื้อระหว่างทางเข้าปาก รสชาติเปรี้ยวจัดของมันทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาก ความพะอืดพะอมเริ่มจางหายไป ฉันจึงเอนกายลงกับเบาะรถพร้อมกับลูบหน้าท้องของตัวเองไปมา “เด็กดี วันนี้แม่มีงาน อย่าเพิ่ง
Pream Part . “วันนี้แม่พรีมกลับมาบ้านเหรอเพียร” “ค่ะ คุณพรีมรออยู่ในห้องอาหารแล้วค่ะ” “อืม” เสียงสนทนาของแม่และแม่เพียรทำให้ฉันรีบนั่งตัวตรง เวลาทุ่มตรงไม่ขาดไม่เกินทั้งพ่อและแม่ก็เดินเข้ามา ฉันยกมือไหว้พวกท่าน พ่อส่งยิ้มบาง ๆ มาให้ก่อนจะนั่งลงตรงหัวโต๊ะ ส่วนแม่เพียงแค่พยักหน้ารับเล็กน้อยและนั่งลงตรงข้ามกับฉัน “เป็นยังไงเรา ปกติกลับบ้านแค่เสาร์อาทิตย์ ทำไมวันนี้กลับบ้านล่ะ” พ่อเป็นคนเอ่ยถามขึ้นก่อน ใบหน้าหล่อเหลาของท่านมีรอยยิ้มอยู่เสมอเป็นภาพที่เคยชินสำหรับฉันไปแล้ว “หนูมีเรื่องต้องคุยกับคุณพ่อคุณแม่ค่ะ แต่ทานข้าวก่อนจะดีกว่า” ฉันบอกไปแบบนั้นเพราะรู้ดีว่าแม่ไม่ชอบให้พูดคุยกันระหว่างทานข้าว ท่านถือว่าเป็นกิริยาที่ไม่สุภาพ “เอาอย่างนั้นก็ได้” พูดจบพ่อก็ลงมือทานอาหารทันที ฉันเองก็ไม่ต่างกัน กับข้าวบางอย่างส่งกลิ่นรบกวนจนท้องไส้เริ่มปั่นป่วน แต่พอได้ลิ้มรสแกงส้มรสเปรี้ยว ๆ เผ็ด ๆ ก็ทำให้รู้สึกดีขึ้น ใช้เวลาเพียงไม่นานมื้อค่ำที่แสนเรียบง่ายก็ผ่านพ้นไป แม่มองฉันที่ไม่แตะอาหารอย่างอื่นนอกจากแกงส้มหลายครั้งแต่ก็ไม่คิดจะเอ่ยถาม ฉันเองก็ได้แต่หลบตาท่านเพราะกลัวว่าจะถูกจับสังเกตเอาได้
Chris Part . ผมจอดรถหน้าบ้านที่คุ้นเคย ช่วงนี้มาที่นี่บ่อยกว่าบ้านตัวเองด้วยซ้ำ มันว่าง ๆ ไม่ค่อยอยากเที่ยวหรืออยากไปคั่วสาวที่ไหน โปรเจกต์จบก็ใกล้จะเสร็จแล้ว ก็เลยใช้เวลาว่างด้วยการมากวนเพื่อนและแฟนมันเล่น ผมดูออกหรอกว่าไอ้มาเฟียมันหึงผมกับนับดาว ไม่รู้จะหึงทำไมเพราะนับดาวก็ดูรักมันออกปานนั้น แต่ถ้าให้เดาคงเพราะผมหน้าตาดีมาก แถมคารมก็ดี มันเลยกลัวว่านับดาวอาจจะตาพร่ามาหลงเสน่ห์ผม ซึ่งแม่งโคตรไร้สาระ ถึงจะเป็นแบบนั้นจริงผมไม่มีทางสนใจนับดาวหรอก สวยแค่ไหนก็ไม่มีทางกินเมียเพื่อนเด็ดขาด “กูโคตรเบื่อหน้ามึง” คำทักทายของมาเฟียเปลี่ยนไปทุกวัน และร้ายขึ้นทุกวัน ผมโคตรชินกับมัน มันมีใบหน้าที่เฉยชาแต่ปากโคตรจัด อยู่กับมันมาเกือบทั้งชีวิตโดนด่าโดนเหน็บจนชิน แค่นี้สบายมาก “หวัดดีนับดาว” ผมไม่สนใจคนปากปีจอและหันไปทักทายนับดาว สาวสวยที่สุดในมหาวิทยาลัยหันกลับมาส่งยิ้มบาง ๆ ให้ผม นี่ก็อีกคน ทำหน้าเป็นอยู่ไม่กี่หน้า เพราะแบบนี้นับดาวถึงรอดจากมือผมไปได้ เธอดูไม่ค่อยรับแขกเท่าไหร่ ไปเล่นด้วยคงไม่แคล้วถูกส้นสูงปาใส่หัว ไม่รู้ไปลงเอยกับไอ้มาเฟียได้ยังไง แต่ก็เหมาะกันดี เจ้าหญิงน้ำแข็งกับเจ้าชายเย็น
Chris Part . “เป็นไงบ้างวะ” ผมลุกขึ้นยืนเมื่อมาเฟียเปิดประตูเข้ามาหลังจากไปคุยกับคุณย่าเกือบสามสิบนาที มันปรายตามองผมเล็กน้อยก่อนจะหันไปหาแฟนตัวเองที่ยังนั่งนิ่งอยู่ไม่ขยับไปไหน “นับดาว รอฉันก่อนนะ” “จะไปไหนเหรอ” “ฉันมีเรื่องต้องคุยกับคริส” “คุยกับกู” ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเองอย่างงุนงง คนที่มันควรคุยด้วยตอนนี้คือนับดาวไม่ใช่เหรอ “เออ” มันตอบเสียงดังฟังชัด ก่อนจะหันไปคุยกับแฟนตัวเองด้วยเสียงที่อ่อนลง “รอหน่อยนะ ไม่นาน” “อือ” นับดาวพยักหน้ารับ มาเฟียยื่นมือไปลูบหัวเล็กของแฟนสองสามครั้ง ก่อนจะหันมามองผมด้วยสายตาที่แข็งกร้าวขึ้น “ส่วนมึงออกไปกับกู” . . “มีอะไรวะ” “มึง...ที่นอนกับพรีม ได้ป้องกันหรือเปล่า” ที่มาเฟียรู้ว่าผมเคยนอนกับพรีมเพราะผมบอกมันเอง ตอนนั้นมันทำท่าว่าจะแต่งงานกับพรีมและเลิกกับนับดาว ผมรู้ว่านับดาวรักมันและมันก็ยังรักนับดาวอยู่เต็มหัวใจ สิ่งที่มันกำลังทำอยู่ไม่ต่างอะไรจากการประชดและทำให้เรื่องทุกอย่างแย่ลง ผมเถียงกับมันและพลั้งปากเรื่องที่เคยนอนกับพรีมออกไป... ได้ยินแบบนั้นมันก็โกรธและต่อยผมจนปากแตก ก่อนจะถูกยามแยกตัวพวกเราออกจากกัน ไม่กี่วันให้หลังผมก็รู้ว่ามั
Chris Part . "ถ้าเขาท้องลูกมึงจริง ๆ แปลว่ามึงกำลังจะมีลูกสองคน" “ระ...เรื่องจริงเหรอวะไอ้วิล” เป็นอีกครั้งที่ผมถามย้ำเพื่อความมั่นใจ เควิลจิ๊ปากด้วยความหงุดหงิดที่ผมเอาแต่ซักไม่เลิก “จริง!! กูส่งรูปอัลตร้าซาวด์ไปให้มึงในไลน์แล้ว เปิดดูซะ และหลังจากนี้มึงต้องมีคำตอบเรื่องนี้กับพวกกูด้วย” เควิลเอ่ยสั่งก่อนจะวางสายไปทันที ผมถือมือถือค้างไว้แบบนั้นด้วยความช็อคจนสติแทบหลุดหาย . . นี่มันเรื่องจริงเหรอวะ แม้จะพยายามหลอกตัวเองแค่ไหนแต่สุดท้ายทุกอย่างมันก็เป็นความจริงอยู่ดี ผมรวบรวมลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ ก่อนจะกดเข้าไปที่แอพพลิเคชั่นสีเขียวยอดฮิต แชทของเควิลที่ขึ้นแจ้งเตือนทำให้ผมมือสั่นอีกครั้ง “เป็นไงเป็นกัน” ผมพูดกับตัวเองก่อนจะกดเข้าไปที่แชทนั้น รอเพียงไม่ถึงสองวินาทีรูปก็โหลดขึ้นมา นี่...ลูกของผมกับพรีมเหรอ วันนั้นที่ได้เห็นมันไม่ชัดเท่ากับตอนนี้ ผมเผลอแตะปลายนิ้วลงบนอะไรบางอย่างที่คล้ายช่องสองช่องเบา ๆ ตรงนี้คือที่ที่มีเด็กสองคนอยู่ใช่ไหม... “คริส ทำอะไรไม่เข้าบ้าน” “ป๊า” ผมสะดุ้งด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบคว่ำมือถือลงกับโต๊ะและหันไปยิ้มให้ป๊า หรือพ่อแท้ ๆ ของผมที่เดินเข้ามาหา “เ
Chris Part . “ม้า ยังไม่หายโกรธเหรอครับ” ผมจับมือของหม่าม้ามากุมไว้ ท่านทำท่าจะดึงมือออกแต่สุดท้ายก็ยอมให้ผมจับไว้แบบนั้น ตอนนี้เรากำลังอยู่บนรถระหว่างเดินทางไปบ้านมาเฟีย เมื่อวานหลังจากคุยกับป๊าเสร็จผมก็ต่อสายตรงถึงคุณย่ามาเฟียและเล่าเรื่องทุกอย่างให้ท่านฟังโดยไม่ปิดบัง ท่านรับฟังแต่โดยดีและอาสาเป็นผู้ใหญ่เข้าไปเจรจากับคุณพิมพ์นภาให้ วันนี้พวกเรายกเว้นครีมที่มีเรียนจึงแห่กันไปที่บ้านของคุณย่าก่อนเพื่อที่จะได้เดินทางไปบ้านคุณพิมพ์นภาพร้อมกัน “ม้าคร้าบ” “ไม่ต้องมาเรียกหรอก” “แต่ผมไม่อยากให้หม่าม้าโกรธ” “ไม่อยากให้โกรธก็ทำตัวดี ๆ บ้างสิ ป๊าก็ตามใจลูก ถ้าบังคับบ้างคงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น” “อ้าว” ป๊าที่นั่งอยู่ตอนหน้าของรถร้องออกมาเมื่อโดนพาดพิง “ทำไมป๊าถึงซวยไปด้วยล่ะเนี่ย” “ป๊าไม่เกี่ยวหรอกครับ คริสไม่ดีเอง” “รู้ตัวก็ดี” คำพูดนั้นทำผมหน้าหมองลง ถ้าเลือกได้คงไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็ต้องยอมรับและอยู่กับมันให้ได้ . . เงียบ ทุกอย่างอยู่ในความเงียบจนแทบไม่มีใครกล้าหายใจแรง ๆ คุณพิมพ์นภา คุณวัลลภ คุณย่ามาเฟีย มาเฟีย ป๊า หม่าม้า และผม เราต่างนั่ง
Chris Part . ข้อดีของความรักที่ไม่ได้เริ่มจากร้อย คือเวลาผ่านไปมันจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด . เช้าวันเสาร์ วันนี้พอใจและพีทไปนอนที่บ้านพ่อและแม่ของพรีม ส่วนน้องพอร์ชก็ไปนอนที่บ้านของป๊ากับหม่าม้า เท่ากับว่าวันนี้เราสองคนจะได้ใช้ชีวิตด้วยกันแบบที่ไม่มีลูกอยู่ด้วย ผมรักลูกมากนะ แต่เพราะผมกับพรีมแต่งงานกันตอนที่พรีมท้องแล้ว เพราะฉะนั้นมันน้อยมากจริง ๆ ที่เราจะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสองแบบนี้ เพราะฉะนั้นวันนี้ผมเลยจะเก็บเกี่ยวช่วงเวลานี้ไว้ให้มากที่สุด ผมมองคนขี้เซาที่ยังหลับอยู่ เมื่อคืนพรีมนั่งคิดงานจนดึกดื่น ผมรอจนหลับไปเลยไม่รู้ว่าพรีมเข้านอนตอนไหน แต่ดูจากขอบตาที่คล้ำลงเล็กน้อยก็ทำให้รู้ว่าคงดึกพอสมควร ช่วงนี้พรีมกำลังจะเปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่ พรีมเลยทำงานหนักกว่าปกติ ไหนจะต้องเลี้ยงลูกที่ยังเล็กทั้งสามคนอีก เราสองคนไม่ได้มีเวลาพูดคุยหรือสวีทกันเลย สองเดือนแล้วมั้ง เมคเลิฟครั้งล่าสุดของเรา ผมก้มลงไปหอมแก้มนิ่มเบา ๆ โดยที่ไม่รบกวนคนที่นอนหลับสบายอยู่ ก่อนจะค่อย ๆ ย่องลงจากเตียงและเดินออกมาที่สวนหน้าบ้าน ออสก้าพอเห็นผมปุ๊ปมันก็รีบวิ่งหน้าตั้งมาทันที “โฮ่ง!” “
เวลาเดินเร็วจนใจหาย เผลอแปปเดียวพอใจและพีทก็ต้องเข้าโรงเรียนแล้ว คริสปรึกษากับพรีมค่อนข้างจริงจังสำหรับเรื่องนี้ ทั้งอายุที่ควรให้ลูกเข้าอนุบาลหนึ่ง หรือโรงเรียนที่จะให้ลูกเรียน แต่ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่าช่วงสามถึงห้าขวบจะหาครูมาสอนเด็ก ๆ ที่บ้านเพื่อเตรียมตัวก่อนเข้าโรงเรียนจริง และให้ลูกเริ่มเข้าอนุบาลหนึ่งตอนห้าขวบ คริสเครียดหนักกว่าใครเพื่อน เพราะเขาเคยอ่านเจอมาว่าถ้าส่งลูกเข้าเรียนเร็วไปก็ไม่ดี เด็ก ๆ จะยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ครูก็ไม่ใช่พ่อแม่ที่จะรักและดูแลเด็กได้ดีเท่ากับพ่อแม่แท้ ๆ เขาปรึกษากับพรีม พ่อแม่ของพรีม พ่อแม่ของตัวเอง รวมถึงเพื่อน ๆ ในกลุ่มอยู่หลายเดือน และสุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่าห้าขวบคือช่วงเวลาที่ดีที่สุด ส่วนโรงเรียนเนตั้นเป็นคนแนะนำมา ซึ่งพอได้เข้าไปเดินดูและพูดคุยกับครูหลาย ๆ ครั้งก็ทำให้เขารู้สึกพอใจมากกับโรงเรียนนี้ เมื่อได้โรงเรียนที่ถูกใจแล้วเขาก็สมัครให้ลูกเสร็จสรรพ เพียงไม่นานก็ถึงวันแรกที่ลูก ๆ ต้องไปเรียน เช้าแรกของการพาลูกไปโรงเรียนวุ่นวายเสมอ เขาได้รู้ซึ้งถึงการเป็นพ่อจริง ๆ เมื่อตอนที่ลูกงอแงไม่ยอมตื่นนี่แหละ “พอใจขา ตื่นได้แล้วลูก” “...” เงียบ ไ
Chris Part . สองปีต่อมา . ผมได้แต่คิดว่าบางทีเวลามันก็เดินไวเกินไป เหมือนผมกระพริบตาแค่ครั้งเดียว เวลาก็ล่วงเลยมาสองปีแล้วหลังจากที่ได้ยินคำว่ารักจากพรีม ตอนนี้เราทั้งครอบครัวย้ายกลับมาอยู่ที่ไทยถาวรได้อาทิตย์หนึ่งแล้ว เลยกำหนดที่ควรกลับไปสี่เดือนกว่า เพราะอาชีพของพรีมกำลังเติบโต ผมเลยไม่คิดจะเร่งรัดเธอและเฝ้ารออย่างอดทน พรีมขอเวลาเพิ่มอีกสี่เดือน ผมได้แต่ยิ้มและพยักหน้ารับว่ารอได้ ก็ผมรอเธอมาสองปีแล้ว ทำไมจะรอต่ออีกสี่เดือนไม่ได้ และเมื่อครบสี่เดือนปุ๊ป เราก็ได้ย้ายกลับมาอยู่ที่ประเทศไทยทันที และเนื่องจากความไม่ลงตัวของสองบ้าน ที่อยากให้ผมและพรีมรวมถึงลูก ๆ ไปอยู่ด้วย ผมเลยตัดสินใจสร้างบ้านของตัวเองขึ้นมา และสัญญากับพวกท่านว่าจะพาหลานกลับไปนอนบ้านทุกอาทิตย์สลับกันไป พวกท่านฮึดฮัดนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ยอมตามใจผมและพรีมแต่โดยดี ผมจัดการเรื่องบ้านตั้งแต่ลูกอายุหนึ่งขวบ พรีมให้ผมเป็นคนตัดสนใจเกือบทั้งหมด เพราะผมมีความรู้เรื่องนี้ ส่วนพรีมจะช่วยตัดสินใจแค่บางอย่างเท่านั้น บ้านหลังนี้จึงเป็นบ้านที่ค่อนข้างมีกลิ่นอายของผมอยู่มาก แต่ดูเหมือนว่าพรีมเองก็พอใจกับมันอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะพื้
Pream Part . “ตื่นเต้นไหมพิมมี่” เสียงของนิโคลัสทำให้ฉันละความสนใจจากงานตรงหน้าและหันกลับไปมอง ก่อนจะส่งยิ้มให้เขา “ถ้าบอกว่าไม่เลยค่ะ ฉันไม่รู้สึกตื่นเต้นเลยแม้แต่นิดเดียว แบบนี้บอสจะเชื่อฉันไหมคะ?” “ไม่มีทาง แฟชั่นโชว์แรกของผมตื่นเต้นจนแทบจะเป็นลม คุณจะมาแข็งแกร่งกว่าผมไม่ได้นะ” นิโคลัสตอบกลับขำ ๆ และคำพูดของเขาก็ทำให้ฉันหัวเราะออกมาจนได้ ไม่ว่าเมื่อไหร่นิโคลัสก็มักจะผ่อนคลายความเครียดและความกังวลให้คนอื่นได้เสมอ เขาเก่งเรื่องนี้จริง ๆ “ตื่นเต้นค่ะ แต่ตอนนี้หายตื่นเต้นนิดหนึ่งแล้วเพราะได้คุยกับบอสนี่แหละ” นิโคลัสขำออกมาเสียงดัง ฉันไม่ได้พูดเกินจริงหรืออยากจะยอเขา แต่เพราะพอได้คุยกับนิโคลัสฉันก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นจริง ๆ เรายืนคุยกันได้ไม่นานนิโคลัสก็ถูกตามตัว เขาหันมาชูกำปั้นให้ฉันเป็นเชิงว่าให้สู้ ๆ ก่อนจะเดินตามทีมงานไป ฉันหันกลับมาดูชุดที่เตรียมไว้ให้นางแบบใส่อีกครั้ง มองผลงานของตัวเองด้วยความชื่นใจ กว่าเก้าเดือนที่ฉันลงแรงไปกับมัน วันนี้ผลงานของฉันกำลังจะเปิดเผยให้คนอื่นได้เห็นแล้ว แม้คอลเลคชั่นนี้จะเปิดตัวภายใต้แบรนด์ของนิโคลัส แต่นิโคลัสก็ให้เครดิตฉันร้อยเปอร์เซ็นต์ เขาใช
Pream Part . หนึ่งเดือนต่อมา . “น้องพีท หนูจะเอาอะไรคะลูก หืม... มองน้าไม่หยุดเลยนะคะ” ฉันหัวเราะออกมาเมื่อนับดาวเอาแต่ชวนน้องพีทคุยไม่หยุด น้องพีทกลับมาอยู่ที่บ้านได้สามวันแล้ว พอรู้เรื่องทุกคนก็รีบบินมาเยี่ยมหลานทันที ร่างกายของน้องพีทเติบโตขึ้นเร็วมาก จนคิดไม่ถึงว่าเด็กแก้มกลมคนนี้จะเคยเกือบเอาชีวิตไม่รอดมาก่อน ตอนนี้น้องพีทกลายเป็นเด็กสดใสและคุยเก่งอย่างไม่น่าเชื่อ อาจจะเพราะว่าเขาอยู่โรงพยาบาลมาเป็นเวลานาน เวลาเจอคนเยอะ ๆ เลยตื่นเต้นและคอยแต่จะร้องเรียกหาไม่หยุด ในขณะที่พอใจกลับติดแค่พ่อและแม่มากขึ้น ไม่ค่อยเล่นกับคนอื่น ๆ เหมือนตอนแรก ๆ แล้ว ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ใช่... ในที่สุดพอใจกับคริสก็เข้าขากันได้ แม้จะชอบแหย่กันมากกว่ารักกันก็ตาม... แต่ทุกวันนี้คริสสามารถช่วยฉันกล่อมพอใจนอน ช่วยอาบน้ำ และเปลี่ยนผ้าอ้อมให้พอใจได้โดยที่พอใจไม่โยเยแล้ว เขาแบ่งเบาฉันได้เยอะมากเลยทีเดียว ช่วงสองอาทิตย์ก่อนที่น้องพีทจะออกจากโรงพยาบาล หมอมิเชลให้ฉันลองเอาน้องพีทเข้าเต้า เพราะฉันแจ้งกับหมอไปว่าต้องการให้น้องพีทดื่มนมจากเต้าเป็น วันแรก ๆ น้องพีททำไม่เป็นเลย ฝึกกันอยู่หลายวันจนสุดท้า
Chris Part . “ฉันรักเธอ” “เรื่อง...จริงเหรอ” “เรื่องจริง” ผมยืนยันหนักแน่น “ฉันไม่ได้พูดเพื่อให้เธอหายโกรธ ฉันถามตัวเองมาทั้งคืนแล้ว และคำตอบที่ได้ก็อย่างที่ฉันบอกไป ว่าฉันรักเธอ” พรีมเงียบไป เธอมองหน้าผมนิ่ง ๆ ผมเองก็มองเธอกลับไม่คิดจะหลบตา ผมรู้ดีว่าทั้งประวัติที่ผ่านมาของผม และเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อคืนอาจจะทำให้พรีมไม่มั่นใจ แต่ผมไม่เคยโกหกความรู้สึกตัวเอง ผมไม่คิดจะพูดคำว่ารักออกไปเพียงเพื่อให้พรีมหายโกรธ แต่ผมพูด เพราะผมรู้ตัวแล้วว่าผมรักเธอจริง ๆ “เธอยังไม่เชื่อว่าฉันรักเธอก็ไม่เป็นไร แต่อย่าพูดเหมือนไม่หวงฉันแบบนี้ได้ไหม ฉันเสียใจนะรู้ไหม” พอเห็นว่าพรีมเริ่มอ่อนลงผมก็ใช้ลูกอ้อนทันที ผมใช้วิธีนี้อ้อนหม่าม้าเวลาทำให้หม่าม้าโกรธอยู่บ่อย ๆ ซึ่งก็พิสูจน์แล้วว่าการพูดด้วยเสียงอ่อน ๆ ทำหน้าตาให้น่าสงสารแบบนี้ ใช้ได้ผลกับหม่าม้าทุกครั้ง รวมถึงพรีมด้วย เพราะตอนนี้พรีมกำลังยิ้มออกมาทั้ง ๆ ที่ตาแดง จมูกแดงจากการร้องไห้ก่อนหน้า แต่เพียงแค่ครู่เดียวเธอก็กลับไปทำหน้านิ่งอีกครั้ง “แล้วนายจะอธิบายเรื่องผู้หญิงคนนั้นยังไง ฉันเห็นรูปที่นายจูบกับเธอด้วย” “อย่าใช้คำว่าฉันจ
Chris Part . “แน่ใจนะว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับลูกสาวเจ้าสัวธันเลยจริง ๆ” “ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอจริง ๆ ครับป๊า ผมสาบานได้” ผมจ้องตาป๊านิ่ง ๆ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ป๊าเองก็มองกลับมาด้วยสายตาเดียวกัน ผ่านไปซักพักจึงพยักหน้าเบา ๆ เป็นเชิงว่าท่านเชื่อในสิ่งที่ผมพูด หลังจากที่พรีมเดินเข้าไปดูพอใจ ผมที่ตั้งใจว่าจะเดินตามพรีมไปก็ถูกหม่าม้าขวางไว้เสียก่อน ผมรู้ว่าหม่าม้าต้องการคำอธิบาย แต่ผมก็อยากเข้าไปอธิบายเรื่องนี้ให้พรีมฟังเหมือนกัน . “ม้า ผมต้องคุยกับพรีม” “ม้ารู้ แต่ตอนนี้หนูพรีมยังไม่พร้อมที่จะรับฟัง ให้เวลาเธอหน่อย” “แต่...” “ฉันเห็นด้วย ถ้าพรีมเดินหนีแบบนี้ไม่ได้แปลว่าเขาไม่อยากฟังหรือไม่อยากคุย แต่พรีมกำลังต้องการเวลาได้ทบทวนตัวเอง ตอนนี้พอใจก็ร้องอยู่ด้วย ค่อยคุยกันเถอะ” “...” “เชื่อฉันสิ ฉันเป็นแม่ของพรีมเขานะ” . สุดท้ายผมยอมจำนนต่อคุณพิมพ์นภา เราทั้งห้าคนย้ายมานั่งคุยกันที่โต๊ะกินข้าว เสียงร้องไห้ของพอใจดังขึ้นเกือบสิบนาที ทุกคนล้วนกังวลเพราะพอใจไม่เคยร้องไห้นานขนาดนี้มาก่อน แต่สุดท้ายเสียงนั้นก็เงียบลง ผมจึงตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผู้ใหญ่ทั้งสี่ฟัง ตั้งแต่ที่ผ
Chris part . “ทำไมนานจัง” พรีมเอ่ยทักเมื่อผมเดินกลับเข้ามาในบ้าน ผมมองพอใจที่หลับไปแล้ว ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งข้าง ๆ พรีม “เป็นอะไรหรือเปล่า” “ฉันอัปรูปลูกลงไอจีไปแล้ว” “อืม... แล้วทำไมทำหน้าแบบนั้น” พรีมเอื้อมมือมาปัดเส้นผมที่กำลังจะทิ่มตาออกให้ ผมเลยอาศัยจังหวะนั้นเอนหัวพิงไหล่ของเธอ ไม่รู้ทำไมจู่ ๆ ก็อยากอ้อนพรีมขึ้นมาดื้อ ๆ “คนมาคอมเมนต์สงสัยและจับผิดเต็มเลยว่าเธอท้องก่อนแต่ง” ผมถอนหายใจ เลือกเล่าความไม่สบายที่สามารถเล่าได้ให้พรีมฟัง ส่วนอีกเรื่อง...มันยังไม่ถึงเวลา “ขอโทษนะ เรื่องแบบนี้มีแต่เธอที่เสียหายอยู่คนเดียว” “เราคุยกันแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าเราจะรับความจริงให้ได้ ก็ฉันท้องก่อนแต่งจริง ๆ นี่นา ต่อให้คนไม่สงสัยตอนนี้ต่อไปก็ต้องสงสัยอยู่ดี มันไม่มีอะไรที่ปิดได้ตลอดไปหรอกนะ” “ฉันรู้ แต่...” “อีกอย่าง... การที่มีพอใจกับพีทมันไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรเลย ฉันต้องขอบคุณนายด้วยซ้ำ ที่ทำให้ฉันมีลูกน่ารัก ๆ แบบนี้ตั้งสองคน” “พรีม...” ผมหันไปกลับไปมองเธอ พรีมกำลังส่งยิ้มมาให้บาง ๆ พรีมเป็นผู้หญิงหน้าหวานที่มีจิตใจแข็งแกร่งมากจริง ๆ หลายครั้งที่ผมนับถือความเด็ดเดี่ยวของเธอ ตั้งแต่ที่ต
Chris Part . “ถามอะไรหน่อยสิแซนดี้” ผมอาศัยจังหวะที่พรีมกำลังคุยกับคุณพิมพ์นภาอยู่ ดึงตัวแซนดี้ที่แวะมาเยี่ยมออกมาคุยเป็นการส่วนตัวที่สวนหลังบ้าน เพราะผมมีเรื่องที่สงสัยและอยากรู้คำตอบมานานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาสได้ถามเธอ จนตอนนี้อีกสองวันลูกผมก็จะอายุครบหนึ่งเดือนแล้ว และผมไม่อยากปล่อยให้เรื่องมันนานไปมากกว่านี้ “ถามอะไร?" “เรื่องคุณนัญ” แซนดี้ขมวดคิ้ว เหมือนว่าเธอจะจำชื่อคุณนัญไม่ได้ “ผู้หญิงที่เธอกล่าวหาว่าฉันนอกใจพรีมไง” “ฉันไม่ได้กล่าวหา” “แล้วมีหลักฐานหรือไง” เข้าทางผมพอดี เพราะถ้าถามตรง ๆ แซนดี้อาจจะไม่ยอมบอกก็ได้ใครจะไปรู้ ต้องท้าทายแบบนี้แหละ “มีสิ ไม่มีจะพูดได้ยัง ฉันไม่ใช่คนปากพล่อยนะ” “แล้วหลักฐานมันคืออะไรล่ะ” ผมต้อนถามไปเรื่อย ๆ “ก็มีคนส่งคลิปนายกับผู้หญิงคนนั้นมาให้พิมมี่ดูในไอจี ส่งมาแทบจะวันเว้นวันด้วยซ้ำ” “คลิป?” ผมขมวดคิ้ว ทุกครั้งที่ผมกับคุณนัญออกไปคุยงานกันก็มักจะคุยที่โรงแรมเดิม ตรงส่วนที่เป็นคาเฟ่แต่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวระดับหนึ่ง แถมคุณนัญก็มีบอดี้การ์ดตามประกบตลอด ไม่คิดว่าจะมีคนแอบถ่ายคลิปให้ผมได้ แถมส่งให้พรีมเกือบทุกวันอีก แปลว่าคน ๆ นี้ต้องติดตามผมมาซ