Chris Part . "ถ้าเขาท้องลูกมึงจริง ๆ แปลว่ามึงกำลังจะมีลูกสองคน" “ระ...เรื่องจริงเหรอวะไอ้วิล” เป็นอีกครั้งที่ผมถามย้ำเพื่อความมั่นใจ เควิลจิ๊ปากด้วยความหงุดหงิดที่ผมเอาแต่ซักไม่เลิก “จริง!! กูส่งรูปอัลตร้าซาวด์ไปให้มึงในไลน์แล้ว เปิดดูซะ และหลังจากนี้มึงต้องมีคำตอบเรื่องนี้กับพวกกูด้วย” เควิลเอ่ยสั่งก่อนจะวางสายไปทันที ผมถือมือถือค้างไว้แบบนั้นด้วยความช็อคจนสติแทบหลุดหาย . . นี่มันเรื่องจริงเหรอวะ แม้จะพยายามหลอกตัวเองแค่ไหนแต่สุดท้ายทุกอย่างมันก็เป็นความจริงอยู่ดี ผมรวบรวมลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ ก่อนจะกดเข้าไปที่แอพพลิเคชั่นสีเขียวยอดฮิต แชทของเควิลที่ขึ้นแจ้งเตือนทำให้ผมมือสั่นอีกครั้ง “เป็นไงเป็นกัน” ผมพูดกับตัวเองก่อนจะกดเข้าไปที่แชทนั้น รอเพียงไม่ถึงสองวินาทีรูปก็โหลดขึ้นมา นี่...ลูกของผมกับพรีมเหรอ วันนั้นที่ได้เห็นมันไม่ชัดเท่ากับตอนนี้ ผมเผลอแตะปลายนิ้วลงบนอะไรบางอย่างที่คล้ายช่องสองช่องเบา ๆ ตรงนี้คือที่ที่มีเด็กสองคนอยู่ใช่ไหม... “คริส ทำอะไรไม่เข้าบ้าน” “ป๊า” ผมสะดุ้งด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบคว่ำมือถือลงกับโต๊ะและหันไปยิ้มให้ป๊า หรือพ่อแท้ ๆ ของผมที่เดินเข้ามาหา “เ
Chris Part . “ม้า ยังไม่หายโกรธเหรอครับ” ผมจับมือของหม่าม้ามากุมไว้ ท่านทำท่าจะดึงมือออกแต่สุดท้ายก็ยอมให้ผมจับไว้แบบนั้น ตอนนี้เรากำลังอยู่บนรถระหว่างเดินทางไปบ้านมาเฟีย เมื่อวานหลังจากคุยกับป๊าเสร็จผมก็ต่อสายตรงถึงคุณย่ามาเฟียและเล่าเรื่องทุกอย่างให้ท่านฟังโดยไม่ปิดบัง ท่านรับฟังแต่โดยดีและอาสาเป็นผู้ใหญ่เข้าไปเจรจากับคุณพิมพ์นภาให้ วันนี้พวกเรายกเว้นครีมที่มีเรียนจึงแห่กันไปที่บ้านของคุณย่าก่อนเพื่อที่จะได้เดินทางไปบ้านคุณพิมพ์นภาพร้อมกัน “ม้าคร้าบ” “ไม่ต้องมาเรียกหรอก” “แต่ผมไม่อยากให้หม่าม้าโกรธ” “ไม่อยากให้โกรธก็ทำตัวดี ๆ บ้างสิ ป๊าก็ตามใจลูก ถ้าบังคับบ้างคงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น” “อ้าว” ป๊าที่นั่งอยู่ตอนหน้าของรถร้องออกมาเมื่อโดนพาดพิง “ทำไมป๊าถึงซวยไปด้วยล่ะเนี่ย” “ป๊าไม่เกี่ยวหรอกครับ คริสไม่ดีเอง” “รู้ตัวก็ดี” คำพูดนั้นทำผมหน้าหมองลง ถ้าเลือกได้คงไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็ต้องยอมรับและอยู่กับมันให้ได้ . . เงียบ ทุกอย่างอยู่ในความเงียบจนแทบไม่มีใครกล้าหายใจแรง ๆ คุณพิมพ์นภา คุณวัลลภ คุณย่ามาเฟีย มาเฟีย ป๊า หม่าม้า และผม เราต่างนั่ง
Pream Part . ซิดนีย์ ออสเตรเลีย . . “จริงเหรอ” ‘พรีม...เธอโอเคใช่ไหม’ “อืม” ถึงจะตอบอีกฝ่ายไปแบบนั้น แต่เมื่อวางสายจากเพื่อนเพียงคนเดียวที่ไทยแล้วฉันก็ไม่เป็นอันทำงาน ในหัวคิดแต่เรื่องที่แม่รู้เรื่องที่ฉันท้องแล้ววนไปวนมาอยู่แบบนั้น… เมื่อกี้นับดาวโทรมาบอกเรื่องที่แม่เข้าไปโวยวายที่บ้านพี่มาเฟีย เพราะเข้าใจว่าพี่มาเฟียคือพ่อของลูกของฉัน ฉันไม่แปลกใจแล้วที่แม่โทรมาเป็นสิบ ๆ สาย ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเวลาที่ซิดนีย์เร็วกว่าไทย และตอนที่โทรมานั้นก็เป็นเวลาที่ฉันกำลังพักผ่อน ทีแรกฉันจะโทรกลับหาแม่เพราะกลัวว่าจะมีเรื่องอะไรร้ายแรง แต่นับดาวโทรเข้ามาก่อนเหมือนรู้จังหวะ และเรื่องที่นับดาวบอกทำให้ฉันไม่กล้าโทรกลับไปหาแม่อีกเลย ฉันยอมรับว่าตัวเองกำลังหนีปัญหา เพราะอันที่จริงฉันหนีมันตั้งแต่ตอนที่ตัดสินใจมาอยู่ที่ออสเตรเลียแล้ว “เป็นอะไรพิมมี่ ดูไม่สดชื่นเลย” ซาร่า พี่เลี้ยงที่ดูแลงานของฉันช่วงแรกเอ่ยทักขึ้น ซาร่าเป็นลูกครึ่งออสเตรเลียและจีน นิสัยดี และเจ้าระเบียบมาก งานทุกอย่างต้องเนี๊ยบและไม่มีข้อผิดพลาด ถ้ามีอะไรผิดพลาดจะหงุดหงิดไปทั้งวันจนใคร ๆ ก็เข้าหน้าไม่ติด “ไม่ค่อยสบายนิดหน่อยค่ะ”
Chris Part . ผมเดินย้อนกลับไปที่บ้านหลังนั้นอีกครั้งหลังจากที่โดนไล่ไปเมื่อเกือบครึ่งชั่วโมงที่แล้ว เงาของคนสองคนที่เดินไปมาในบ้านทำให้ผมถอนหายใจออกมาเบา ๆ เพราะรู้อยู่แล้วว่าพรีมอยู่กับเพื่อนสนิทที่ชื่อว่าแซนดี้ ก็เลยไม่แปลกใจที่เห็นคนสองคนอยู่ในบ้านหลังนั้น ผมคิดไม่ตกกับปัญหาที่ต้องเผชิญอยู่ตอนนี้ เรื่องความสับสนของตัวเอง หรือเรื่องของคุณพิมพ์นภากลายเป็นเรื่องเล็ก ๆ ไปเลยเมื่อเจอความดื้อของพรีม ดูท่าเธอจะไม่ยอมอะไรง่าย ๆ ผมเองก็ไม่กล้าวุ่นวายกับเธอมาก เพราะกลัวว่าเธอจะเครียดและส่งผลกับลูกในท้อง แต่ถ้าให้ปล่อยไว้แบบนี้ก็คงไม่ได้ คนท้องท้องก็โตขึ้นทุกวัน ถ้าไม่รีบทำอะไรให้ถูกต้องคนที่เสียหายก็คือพรีมคนเดียว เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นทำให้ผมละสายตาจากคนในบ้าน ก่อนจะกดรับสายของเพื่อนสนิท “อืม” ‘เป็นไงบ้าง’ มาเฟียถามเรียบ ๆ มันเป็นคนบอกที่อยู่ของพรีมให้ผมรู้ รวมถึงที่ทำงานของเธอด้วย และที่มันรู้ก็เพราะว่านับดาวสนิทกับพรีมเลยหลอกถามมาให้ได้ ส่วนสนิทกันตอนไหน เมื่อไหร่ แม้แต่ไอ้มาเฟียเองก็ยังไม่รู้เลย เป็นความสัมพันธ์ที่แปลกชอบกล แฟนสาวกับอดีตคู่หมั้นสาวกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกัน...
Chris Part . หลังจากที่คุยกันเสร็จแซนดี้ก็อนุญาตให้ผมเข้ามาในบ้าน ส่วนตัวเธอขอตัวไปที่บริษัท อ้างว่าต้องเข้าไปเคลียร์งานนิดหน่อย อันที่จริงผมแอบคิดว่าเธอแค่ต้องการจะเปิดโอกาสให้ผมได้คุยกับพรีมตามลำพังนั่นแหละ แต่คงไม่อยากให้ดูโจ่งแจ้งไป ก็เลยยกเรื่องงานมาอ้าง ภายในบ้านมีขนาดเล็กและแคบไม่ต่างจากที่เห็นจากภายนอก แต่กลับตกแต่งและจัดวางข้าวของอย่างเป็นระเบียบไม่ได้รู้สึกว่ารกหรือเกะกะเลย ผมยืนหมุนอยู่ตรงกลางบ้านอย่างคนทำอะไรไม่ถูกอยู่แบบนั้นพักใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจนั่งลงบนโซฟาตัวนุ่มที่ตั้งอยู่ ฟุ่บ “แซนดี้ ไม่ได้ไปข้างนอกหรอกเหรอ” เสียงเรียกที่ดังมาจากห้องขวามือทำให้ผมรีบเด้งตัวขึ้นจากโซฟาที่เพิ่งนั่งไป คนข้างในคงคิดว่าผมคือแซนดี้เพื่อนของเธอ แกร๊ก “แซน...นาย เข้ามาได้ยังไง” ดวงตาสวยเบิกกว้างทันทีที่เห็นว่าคนที่ยืนงงอยู่ในบ้านหลังนี้ไม่ใช่เพื่อนตัวเอง เธอทำท่าจะกลับเข้าไปในห้องของตัวเองอีกครั้ง แต่ผมรีบเข้าไปยึดประตูบานนั้นไว้แน่น “พรีม อย่าหนี” “ต้องหนีสิ นายบุกรุกบ้านฉันอยู่นะ!” “ฉันไม่ได้บุกรุก” “แล้วเข้ามาได้ยังไงเล่า! ผีเปิดประตูให้หรือไง” “ไม่ใช่ผี แต่แซนดี้ให้เข้ามาต่างห
Pream Part . “เราจะแต่งงานกัน รวมถึงจดทะเบียนด้วย!” “วะ...ว่ายังไงนะ...!?” ฉันเอ่ยถามออกไปโดยอัตโนมัติทั้ง ๆ ที่ได้ยินคำที่เขาพูดชัดเจน ก็มันน่าเหลือเชื่อเกินไป เขานี่นะจะแต่งงานกับฉัน ฉันยอมรับว่าหลังจากที่ได้กลับมาเจอกับคริสอีกครั้งตอนที่ไปเยี่ยมคุณย่าที่โรงพยาบาล ฉันก็เริ่มค้นหาตัวตนของคริสว่าเขาคือใคร ชีวิตของเขาเป็นแบบไหน และนั่นก็ทำให้ฉันได้รู้ว่าผู้ชายคนนี้เจ้าชู้มากแค่ไหน เขาไม่เคยควงผู้หญิงซ้ำ ไม่เคยคบกับใครจริงจัง ผู้หญิงในสายตาเขามีค่าแค่เวลาที่แก้ผ้าอยู่บนเตียง ฉันเองเป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ผ่านเข้าไปในคืน ๆ หนึ่งของเขาก็แค่นั้น ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย เพราะแบบนี้ตอนที่รู้ว่าท้องฉันถึงหนีมา เพราะถ้าเขารู้ ผู้ชายที่ไม่เคยคิดจะหยุดอยู่ที่ใครแบบเขาต้องไม่ยอมรับแน่ ๆ เมื่อวานที่ฉันเจอเขา ฉันคิดว่าเขามาเพื่อรับผิดชอบลูกในเรื่องค่าใช้จ่ายเพราะถูกแม่ของฉันบังคับมา และยอมให้ใช้ชื่อว่าเป็นพ่อเด็ก แต่ไม่คิดว่าเขามาเพื่อพูดเรื่องแต่งงานแบบนี้ “เราจะแต่งงานกันโดยเร็วที่สุด” “ล้อเล่นหรือเปล่า” “เรื่องแต่งงานไม่ใช่เรื่องล้อเล่น” ฉันเงียบไปเมื่อเขาตอบออกมาแบบนั้น ในหัวเต็มไปด้วย
Pream Part . “ฉันขอกลับไปเคลียร์โปรเจกต์จบให้เรียบร้อยก่อน แล้วจะกลับมารับเธอ” เขาเอ่ยบอกกับฉันก่อนที่จะบินกลับประเทศไทย “ฝากดูแลพรีมด้วยนะแซนดี้” และหันไปบอกแซนดี้ที่ช่วงนี้ดูเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ไม่เห็นต้องฝงฝากอะไรกับใครเลย ฉันดูแลตัวเองได้เหอะ* . . “เหม่ออะไรพิมมี่” ซาร่าสะกิดไหล่ฉันเบา ๆ ฉันกระพริบตาสองทีเพื่อเรียกสติที่หลุดลอยไปให้กลับมา ก่อนจะหันไปตอบอีกฝ่าย “เปล่า” “นึกว่าเครียดอะไร ดูเหม่อลอยผิดปกติ” “ไม่ได้เครียดอะไรหรอก” ฉันโกหก อันที่จริงช่วงนี้ก็ไม่ได้คิดมากจนถึงขั้นเครียดจริง ๆ นั่นแหละ แต่มันก็มีเรื่องในหัวที่ต้องคิดมากมายจนเผลอเหม่อบ่อย ๆ ไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้เอาซะเลย “บอสกลับมาวันไหนเหรอ” “พรุ่งนี้” “โอเค ขอบใจนะ” ฉันยิ้มให้ซาร่า ก่อนจะหันกลับมาทำงานต่อ แต่หัวก็ยังคิดถึงอาทิตย์ที่ผ่านมาไม่หยุด หลังจากที่ฉันโทรไปบอกคริสเรื่องแต่งงาน เช้าวันต่อมาเขาก็มาหาฉันด้วยสีหน้าที่สดชื่นกว่าวันก่อน ๆ แต่เพราะว่าฉันต้องทำงานเขาจึงมาส่งฉันและกลับไปที่อพาร์ทเมนท์ของตัวเอง รอจนฉันเลิกงานก็มารับ และกลับไปคุยกันต่อที่บ้าน เขามารับมาส่งฉันทุกวันในช่วงที่เขาอยู่ที่ซิ
Chris Part . เป็นครั้งที่สองแล้วที่ผมได้มาเหยียบบ้านหลังนี้ บ้านไม้ที่คงความเป็นไทยช่วงปลายยุคสมัยรัชกาลที่เจ็ดไว้เป็นอย่างดียังคงสวยงามเสมอ แต่ผมไม่มีเวลาได้ชื่นชมมากมายเท่าไหร่ เพราะเหตุผลที่ผมกลับมาที่นี่อีกครั้งไม่ใช่เพราะมาชื่นชมความสวยงาม แต่มาเพราะมีธุระสำคัญกับเจ้าของบ้านต่างหาก “สวัสดีครับคุณวัลลภ” “สวัสดี มากันแล้วหรือ นั่งรอก่อนนะ ผมให้คนขึ้นไปตามพิมพ์ลงมาแล้ว” ผมและป๊ากับม้านั่งลงตามที่เจ้าบ้านเชื้อเชิญ คุณวัลลภมีสีหน้าที่ดีกว่าครั้งก่อน ใบหน้าของเขาดูอ่อนโยน และมีรอยยิ้มบาง ๆ “คริสไปหาพรีมมาแล้วใช่ไหม พรีมเป็นอย่างไรบ้าง” “ไปมาแล้วครับ” ผมเอ่ยตอบอย่างสุภาพ “พรีมดูมีความสุขดี เธอทำงานกับเสื้อผ้าแบรนด์หนึ่ง และอาศัยอยู่กับเพื่อนสนิทที่ชื่อแซนดี้” “อ๋อ เพื่อนคนนั้นนี่เอง เห้อ พอได้ยินว่าลูกมีความสุขแค่นี้ฉันก็ดีใจแล้วล่ะ คนเป็นพ่อเป็นแม่ไม่ได้หวังอะไรนอกจากความสุขของลูกหรอก จริงไหมครับคุณก้องเกียรติ คุณศศิวิมล” ประโยคหลังคุณวัลลภหันไปพูดกับป๊าและม้าของผม ซึ่งทั้งสองคนก็พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยกับคำพูดนั้น ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อหม่าม้าเอื้อมมือมาลูบหลังเบา ๆ จริง ๆ แล
Chris Part . ข้อดีของความรักที่ไม่ได้เริ่มจากร้อย คือเวลาผ่านไปมันจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด . เช้าวันเสาร์ วันนี้พอใจและพีทไปนอนที่บ้านพ่อและแม่ของพรีม ส่วนน้องพอร์ชก็ไปนอนที่บ้านของป๊ากับหม่าม้า เท่ากับว่าวันนี้เราสองคนจะได้ใช้ชีวิตด้วยกันแบบที่ไม่มีลูกอยู่ด้วย ผมรักลูกมากนะ แต่เพราะผมกับพรีมแต่งงานกันตอนที่พรีมท้องแล้ว เพราะฉะนั้นมันน้อยมากจริง ๆ ที่เราจะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสองแบบนี้ เพราะฉะนั้นวันนี้ผมเลยจะเก็บเกี่ยวช่วงเวลานี้ไว้ให้มากที่สุด ผมมองคนขี้เซาที่ยังหลับอยู่ เมื่อคืนพรีมนั่งคิดงานจนดึกดื่น ผมรอจนหลับไปเลยไม่รู้ว่าพรีมเข้านอนตอนไหน แต่ดูจากขอบตาที่คล้ำลงเล็กน้อยก็ทำให้รู้ว่าคงดึกพอสมควร ช่วงนี้พรีมกำลังจะเปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่ พรีมเลยทำงานหนักกว่าปกติ ไหนจะต้องเลี้ยงลูกที่ยังเล็กทั้งสามคนอีก เราสองคนไม่ได้มีเวลาพูดคุยหรือสวีทกันเลย สองเดือนแล้วมั้ง เมคเลิฟครั้งล่าสุดของเรา ผมก้มลงไปหอมแก้มนิ่มเบา ๆ โดยที่ไม่รบกวนคนที่นอนหลับสบายอยู่ ก่อนจะค่อย ๆ ย่องลงจากเตียงและเดินออกมาที่สวนหน้าบ้าน ออสก้าพอเห็นผมปุ๊ปมันก็รีบวิ่งหน้าตั้งมาทันที “โฮ่ง!” “
เวลาเดินเร็วจนใจหาย เผลอแปปเดียวพอใจและพีทก็ต้องเข้าโรงเรียนแล้ว คริสปรึกษากับพรีมค่อนข้างจริงจังสำหรับเรื่องนี้ ทั้งอายุที่ควรให้ลูกเข้าอนุบาลหนึ่ง หรือโรงเรียนที่จะให้ลูกเรียน แต่ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่าช่วงสามถึงห้าขวบจะหาครูมาสอนเด็ก ๆ ที่บ้านเพื่อเตรียมตัวก่อนเข้าโรงเรียนจริง และให้ลูกเริ่มเข้าอนุบาลหนึ่งตอนห้าขวบ คริสเครียดหนักกว่าใครเพื่อน เพราะเขาเคยอ่านเจอมาว่าถ้าส่งลูกเข้าเรียนเร็วไปก็ไม่ดี เด็ก ๆ จะยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ครูก็ไม่ใช่พ่อแม่ที่จะรักและดูแลเด็กได้ดีเท่ากับพ่อแม่แท้ ๆ เขาปรึกษากับพรีม พ่อแม่ของพรีม พ่อแม่ของตัวเอง รวมถึงเพื่อน ๆ ในกลุ่มอยู่หลายเดือน และสุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่าห้าขวบคือช่วงเวลาที่ดีที่สุด ส่วนโรงเรียนเนตั้นเป็นคนแนะนำมา ซึ่งพอได้เข้าไปเดินดูและพูดคุยกับครูหลาย ๆ ครั้งก็ทำให้เขารู้สึกพอใจมากกับโรงเรียนนี้ เมื่อได้โรงเรียนที่ถูกใจแล้วเขาก็สมัครให้ลูกเสร็จสรรพ เพียงไม่นานก็ถึงวันแรกที่ลูก ๆ ต้องไปเรียน เช้าแรกของการพาลูกไปโรงเรียนวุ่นวายเสมอ เขาได้รู้ซึ้งถึงการเป็นพ่อจริง ๆ เมื่อตอนที่ลูกงอแงไม่ยอมตื่นนี่แหละ “พอใจขา ตื่นได้แล้วลูก” “...” เงียบ ไ
Chris Part . สองปีต่อมา . ผมได้แต่คิดว่าบางทีเวลามันก็เดินไวเกินไป เหมือนผมกระพริบตาแค่ครั้งเดียว เวลาก็ล่วงเลยมาสองปีแล้วหลังจากที่ได้ยินคำว่ารักจากพรีม ตอนนี้เราทั้งครอบครัวย้ายกลับมาอยู่ที่ไทยถาวรได้อาทิตย์หนึ่งแล้ว เลยกำหนดที่ควรกลับไปสี่เดือนกว่า เพราะอาชีพของพรีมกำลังเติบโต ผมเลยไม่คิดจะเร่งรัดเธอและเฝ้ารออย่างอดทน พรีมขอเวลาเพิ่มอีกสี่เดือน ผมได้แต่ยิ้มและพยักหน้ารับว่ารอได้ ก็ผมรอเธอมาสองปีแล้ว ทำไมจะรอต่ออีกสี่เดือนไม่ได้ และเมื่อครบสี่เดือนปุ๊ป เราก็ได้ย้ายกลับมาอยู่ที่ประเทศไทยทันที และเนื่องจากความไม่ลงตัวของสองบ้าน ที่อยากให้ผมและพรีมรวมถึงลูก ๆ ไปอยู่ด้วย ผมเลยตัดสินใจสร้างบ้านของตัวเองขึ้นมา และสัญญากับพวกท่านว่าจะพาหลานกลับไปนอนบ้านทุกอาทิตย์สลับกันไป พวกท่านฮึดฮัดนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ยอมตามใจผมและพรีมแต่โดยดี ผมจัดการเรื่องบ้านตั้งแต่ลูกอายุหนึ่งขวบ พรีมให้ผมเป็นคนตัดสนใจเกือบทั้งหมด เพราะผมมีความรู้เรื่องนี้ ส่วนพรีมจะช่วยตัดสินใจแค่บางอย่างเท่านั้น บ้านหลังนี้จึงเป็นบ้านที่ค่อนข้างมีกลิ่นอายของผมอยู่มาก แต่ดูเหมือนว่าพรีมเองก็พอใจกับมันอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะพื้
Pream Part . “ตื่นเต้นไหมพิมมี่” เสียงของนิโคลัสทำให้ฉันละความสนใจจากงานตรงหน้าและหันกลับไปมอง ก่อนจะส่งยิ้มให้เขา “ถ้าบอกว่าไม่เลยค่ะ ฉันไม่รู้สึกตื่นเต้นเลยแม้แต่นิดเดียว แบบนี้บอสจะเชื่อฉันไหมคะ?” “ไม่มีทาง แฟชั่นโชว์แรกของผมตื่นเต้นจนแทบจะเป็นลม คุณจะมาแข็งแกร่งกว่าผมไม่ได้นะ” นิโคลัสตอบกลับขำ ๆ และคำพูดของเขาก็ทำให้ฉันหัวเราะออกมาจนได้ ไม่ว่าเมื่อไหร่นิโคลัสก็มักจะผ่อนคลายความเครียดและความกังวลให้คนอื่นได้เสมอ เขาเก่งเรื่องนี้จริง ๆ “ตื่นเต้นค่ะ แต่ตอนนี้หายตื่นเต้นนิดหนึ่งแล้วเพราะได้คุยกับบอสนี่แหละ” นิโคลัสขำออกมาเสียงดัง ฉันไม่ได้พูดเกินจริงหรืออยากจะยอเขา แต่เพราะพอได้คุยกับนิโคลัสฉันก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นจริง ๆ เรายืนคุยกันได้ไม่นานนิโคลัสก็ถูกตามตัว เขาหันมาชูกำปั้นให้ฉันเป็นเชิงว่าให้สู้ ๆ ก่อนจะเดินตามทีมงานไป ฉันหันกลับมาดูชุดที่เตรียมไว้ให้นางแบบใส่อีกครั้ง มองผลงานของตัวเองด้วยความชื่นใจ กว่าเก้าเดือนที่ฉันลงแรงไปกับมัน วันนี้ผลงานของฉันกำลังจะเปิดเผยให้คนอื่นได้เห็นแล้ว แม้คอลเลคชั่นนี้จะเปิดตัวภายใต้แบรนด์ของนิโคลัส แต่นิโคลัสก็ให้เครดิตฉันร้อยเปอร์เซ็นต์ เขาใช
Pream Part . หนึ่งเดือนต่อมา . “น้องพีท หนูจะเอาอะไรคะลูก หืม... มองน้าไม่หยุดเลยนะคะ” ฉันหัวเราะออกมาเมื่อนับดาวเอาแต่ชวนน้องพีทคุยไม่หยุด น้องพีทกลับมาอยู่ที่บ้านได้สามวันแล้ว พอรู้เรื่องทุกคนก็รีบบินมาเยี่ยมหลานทันที ร่างกายของน้องพีทเติบโตขึ้นเร็วมาก จนคิดไม่ถึงว่าเด็กแก้มกลมคนนี้จะเคยเกือบเอาชีวิตไม่รอดมาก่อน ตอนนี้น้องพีทกลายเป็นเด็กสดใสและคุยเก่งอย่างไม่น่าเชื่อ อาจจะเพราะว่าเขาอยู่โรงพยาบาลมาเป็นเวลานาน เวลาเจอคนเยอะ ๆ เลยตื่นเต้นและคอยแต่จะร้องเรียกหาไม่หยุด ในขณะที่พอใจกลับติดแค่พ่อและแม่มากขึ้น ไม่ค่อยเล่นกับคนอื่น ๆ เหมือนตอนแรก ๆ แล้ว ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ใช่... ในที่สุดพอใจกับคริสก็เข้าขากันได้ แม้จะชอบแหย่กันมากกว่ารักกันก็ตาม... แต่ทุกวันนี้คริสสามารถช่วยฉันกล่อมพอใจนอน ช่วยอาบน้ำ และเปลี่ยนผ้าอ้อมให้พอใจได้โดยที่พอใจไม่โยเยแล้ว เขาแบ่งเบาฉันได้เยอะมากเลยทีเดียว ช่วงสองอาทิตย์ก่อนที่น้องพีทจะออกจากโรงพยาบาล หมอมิเชลให้ฉันลองเอาน้องพีทเข้าเต้า เพราะฉันแจ้งกับหมอไปว่าต้องการให้น้องพีทดื่มนมจากเต้าเป็น วันแรก ๆ น้องพีททำไม่เป็นเลย ฝึกกันอยู่หลายวันจนสุดท้า
Chris Part . “ฉันรักเธอ” “เรื่อง...จริงเหรอ” “เรื่องจริง” ผมยืนยันหนักแน่น “ฉันไม่ได้พูดเพื่อให้เธอหายโกรธ ฉันถามตัวเองมาทั้งคืนแล้ว และคำตอบที่ได้ก็อย่างที่ฉันบอกไป ว่าฉันรักเธอ” พรีมเงียบไป เธอมองหน้าผมนิ่ง ๆ ผมเองก็มองเธอกลับไม่คิดจะหลบตา ผมรู้ดีว่าทั้งประวัติที่ผ่านมาของผม และเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อคืนอาจจะทำให้พรีมไม่มั่นใจ แต่ผมไม่เคยโกหกความรู้สึกตัวเอง ผมไม่คิดจะพูดคำว่ารักออกไปเพียงเพื่อให้พรีมหายโกรธ แต่ผมพูด เพราะผมรู้ตัวแล้วว่าผมรักเธอจริง ๆ “เธอยังไม่เชื่อว่าฉันรักเธอก็ไม่เป็นไร แต่อย่าพูดเหมือนไม่หวงฉันแบบนี้ได้ไหม ฉันเสียใจนะรู้ไหม” พอเห็นว่าพรีมเริ่มอ่อนลงผมก็ใช้ลูกอ้อนทันที ผมใช้วิธีนี้อ้อนหม่าม้าเวลาทำให้หม่าม้าโกรธอยู่บ่อย ๆ ซึ่งก็พิสูจน์แล้วว่าการพูดด้วยเสียงอ่อน ๆ ทำหน้าตาให้น่าสงสารแบบนี้ ใช้ได้ผลกับหม่าม้าทุกครั้ง รวมถึงพรีมด้วย เพราะตอนนี้พรีมกำลังยิ้มออกมาทั้ง ๆ ที่ตาแดง จมูกแดงจากการร้องไห้ก่อนหน้า แต่เพียงแค่ครู่เดียวเธอก็กลับไปทำหน้านิ่งอีกครั้ง “แล้วนายจะอธิบายเรื่องผู้หญิงคนนั้นยังไง ฉันเห็นรูปที่นายจูบกับเธอด้วย” “อย่าใช้คำว่าฉันจ
Chris Part . “แน่ใจนะว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับลูกสาวเจ้าสัวธันเลยจริง ๆ” “ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอจริง ๆ ครับป๊า ผมสาบานได้” ผมจ้องตาป๊านิ่ง ๆ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ป๊าเองก็มองกลับมาด้วยสายตาเดียวกัน ผ่านไปซักพักจึงพยักหน้าเบา ๆ เป็นเชิงว่าท่านเชื่อในสิ่งที่ผมพูด หลังจากที่พรีมเดินเข้าไปดูพอใจ ผมที่ตั้งใจว่าจะเดินตามพรีมไปก็ถูกหม่าม้าขวางไว้เสียก่อน ผมรู้ว่าหม่าม้าต้องการคำอธิบาย แต่ผมก็อยากเข้าไปอธิบายเรื่องนี้ให้พรีมฟังเหมือนกัน . “ม้า ผมต้องคุยกับพรีม” “ม้ารู้ แต่ตอนนี้หนูพรีมยังไม่พร้อมที่จะรับฟัง ให้เวลาเธอหน่อย” “แต่...” “ฉันเห็นด้วย ถ้าพรีมเดินหนีแบบนี้ไม่ได้แปลว่าเขาไม่อยากฟังหรือไม่อยากคุย แต่พรีมกำลังต้องการเวลาได้ทบทวนตัวเอง ตอนนี้พอใจก็ร้องอยู่ด้วย ค่อยคุยกันเถอะ” “...” “เชื่อฉันสิ ฉันเป็นแม่ของพรีมเขานะ” . สุดท้ายผมยอมจำนนต่อคุณพิมพ์นภา เราทั้งห้าคนย้ายมานั่งคุยกันที่โต๊ะกินข้าว เสียงร้องไห้ของพอใจดังขึ้นเกือบสิบนาที ทุกคนล้วนกังวลเพราะพอใจไม่เคยร้องไห้นานขนาดนี้มาก่อน แต่สุดท้ายเสียงนั้นก็เงียบลง ผมจึงตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผู้ใหญ่ทั้งสี่ฟัง ตั้งแต่ที่ผ
Chris part . “ทำไมนานจัง” พรีมเอ่ยทักเมื่อผมเดินกลับเข้ามาในบ้าน ผมมองพอใจที่หลับไปแล้ว ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งข้าง ๆ พรีม “เป็นอะไรหรือเปล่า” “ฉันอัปรูปลูกลงไอจีไปแล้ว” “อืม... แล้วทำไมทำหน้าแบบนั้น” พรีมเอื้อมมือมาปัดเส้นผมที่กำลังจะทิ่มตาออกให้ ผมเลยอาศัยจังหวะนั้นเอนหัวพิงไหล่ของเธอ ไม่รู้ทำไมจู่ ๆ ก็อยากอ้อนพรีมขึ้นมาดื้อ ๆ “คนมาคอมเมนต์สงสัยและจับผิดเต็มเลยว่าเธอท้องก่อนแต่ง” ผมถอนหายใจ เลือกเล่าความไม่สบายที่สามารถเล่าได้ให้พรีมฟัง ส่วนอีกเรื่อง...มันยังไม่ถึงเวลา “ขอโทษนะ เรื่องแบบนี้มีแต่เธอที่เสียหายอยู่คนเดียว” “เราคุยกันแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าเราจะรับความจริงให้ได้ ก็ฉันท้องก่อนแต่งจริง ๆ นี่นา ต่อให้คนไม่สงสัยตอนนี้ต่อไปก็ต้องสงสัยอยู่ดี มันไม่มีอะไรที่ปิดได้ตลอดไปหรอกนะ” “ฉันรู้ แต่...” “อีกอย่าง... การที่มีพอใจกับพีทมันไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรเลย ฉันต้องขอบคุณนายด้วยซ้ำ ที่ทำให้ฉันมีลูกน่ารัก ๆ แบบนี้ตั้งสองคน” “พรีม...” ผมหันไปกลับไปมองเธอ พรีมกำลังส่งยิ้มมาให้บาง ๆ พรีมเป็นผู้หญิงหน้าหวานที่มีจิตใจแข็งแกร่งมากจริง ๆ หลายครั้งที่ผมนับถือความเด็ดเดี่ยวของเธอ ตั้งแต่ที่ต
Chris Part . “ถามอะไรหน่อยสิแซนดี้” ผมอาศัยจังหวะที่พรีมกำลังคุยกับคุณพิมพ์นภาอยู่ ดึงตัวแซนดี้ที่แวะมาเยี่ยมออกมาคุยเป็นการส่วนตัวที่สวนหลังบ้าน เพราะผมมีเรื่องที่สงสัยและอยากรู้คำตอบมานานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาสได้ถามเธอ จนตอนนี้อีกสองวันลูกผมก็จะอายุครบหนึ่งเดือนแล้ว และผมไม่อยากปล่อยให้เรื่องมันนานไปมากกว่านี้ “ถามอะไร?" “เรื่องคุณนัญ” แซนดี้ขมวดคิ้ว เหมือนว่าเธอจะจำชื่อคุณนัญไม่ได้ “ผู้หญิงที่เธอกล่าวหาว่าฉันนอกใจพรีมไง” “ฉันไม่ได้กล่าวหา” “แล้วมีหลักฐานหรือไง” เข้าทางผมพอดี เพราะถ้าถามตรง ๆ แซนดี้อาจจะไม่ยอมบอกก็ได้ใครจะไปรู้ ต้องท้าทายแบบนี้แหละ “มีสิ ไม่มีจะพูดได้ยัง ฉันไม่ใช่คนปากพล่อยนะ” “แล้วหลักฐานมันคืออะไรล่ะ” ผมต้อนถามไปเรื่อย ๆ “ก็มีคนส่งคลิปนายกับผู้หญิงคนนั้นมาให้พิมมี่ดูในไอจี ส่งมาแทบจะวันเว้นวันด้วยซ้ำ” “คลิป?” ผมขมวดคิ้ว ทุกครั้งที่ผมกับคุณนัญออกไปคุยงานกันก็มักจะคุยที่โรงแรมเดิม ตรงส่วนที่เป็นคาเฟ่แต่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวระดับหนึ่ง แถมคุณนัญก็มีบอดี้การ์ดตามประกบตลอด ไม่คิดว่าจะมีคนแอบถ่ายคลิปให้ผมได้ แถมส่งให้พรีมเกือบทุกวันอีก แปลว่าคน ๆ นี้ต้องติดตามผมมาซ