Pream Part . “ฉันขอกลับไปเคลียร์โปรเจกต์จบให้เรียบร้อยก่อน แล้วจะกลับมารับเธอ” เขาเอ่ยบอกกับฉันก่อนที่จะบินกลับประเทศไทย “ฝากดูแลพรีมด้วยนะแซนดี้” และหันไปบอกแซนดี้ที่ช่วงนี้ดูเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ไม่เห็นต้องฝงฝากอะไรกับใครเลย ฉันดูแลตัวเองได้เหอะ* . . “เหม่ออะไรพิมมี่” ซาร่าสะกิดไหล่ฉันเบา ๆ ฉันกระพริบตาสองทีเพื่อเรียกสติที่หลุดลอยไปให้กลับมา ก่อนจะหันไปตอบอีกฝ่าย “เปล่า” “นึกว่าเครียดอะไร ดูเหม่อลอยผิดปกติ” “ไม่ได้เครียดอะไรหรอก” ฉันโกหก อันที่จริงช่วงนี้ก็ไม่ได้คิดมากจนถึงขั้นเครียดจริง ๆ นั่นแหละ แต่มันก็มีเรื่องในหัวที่ต้องคิดมากมายจนเผลอเหม่อบ่อย ๆ ไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้เอาซะเลย “บอสกลับมาวันไหนเหรอ” “พรุ่งนี้” “โอเค ขอบใจนะ” ฉันยิ้มให้ซาร่า ก่อนจะหันกลับมาทำงานต่อ แต่หัวก็ยังคิดถึงอาทิตย์ที่ผ่านมาไม่หยุด หลังจากที่ฉันโทรไปบอกคริสเรื่องแต่งงาน เช้าวันต่อมาเขาก็มาหาฉันด้วยสีหน้าที่สดชื่นกว่าวันก่อน ๆ แต่เพราะว่าฉันต้องทำงานเขาจึงมาส่งฉันและกลับไปที่อพาร์ทเมนท์ของตัวเอง รอจนฉันเลิกงานก็มารับ และกลับไปคุยกันต่อที่บ้าน เขามารับมาส่งฉันทุกวันในช่วงที่เขาอยู่ที่ซิ
Chris Part . เป็นครั้งที่สองแล้วที่ผมได้มาเหยียบบ้านหลังนี้ บ้านไม้ที่คงความเป็นไทยช่วงปลายยุคสมัยรัชกาลที่เจ็ดไว้เป็นอย่างดียังคงสวยงามเสมอ แต่ผมไม่มีเวลาได้ชื่นชมมากมายเท่าไหร่ เพราะเหตุผลที่ผมกลับมาที่นี่อีกครั้งไม่ใช่เพราะมาชื่นชมความสวยงาม แต่มาเพราะมีธุระสำคัญกับเจ้าของบ้านต่างหาก “สวัสดีครับคุณวัลลภ” “สวัสดี มากันแล้วหรือ นั่งรอก่อนนะ ผมให้คนขึ้นไปตามพิมพ์ลงมาแล้ว” ผมและป๊ากับม้านั่งลงตามที่เจ้าบ้านเชื้อเชิญ คุณวัลลภมีสีหน้าที่ดีกว่าครั้งก่อน ใบหน้าของเขาดูอ่อนโยน และมีรอยยิ้มบาง ๆ “คริสไปหาพรีมมาแล้วใช่ไหม พรีมเป็นอย่างไรบ้าง” “ไปมาแล้วครับ” ผมเอ่ยตอบอย่างสุภาพ “พรีมดูมีความสุขดี เธอทำงานกับเสื้อผ้าแบรนด์หนึ่ง และอาศัยอยู่กับเพื่อนสนิทที่ชื่อแซนดี้” “อ๋อ เพื่อนคนนั้นนี่เอง เห้อ พอได้ยินว่าลูกมีความสุขแค่นี้ฉันก็ดีใจแล้วล่ะ คนเป็นพ่อเป็นแม่ไม่ได้หวังอะไรนอกจากความสุขของลูกหรอก จริงไหมครับคุณก้องเกียรติ คุณศศิวิมล” ประโยคหลังคุณวัลลภหันไปพูดกับป๊าและม้าของผม ซึ่งทั้งสองคนก็พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยกับคำพูดนั้น ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อหม่าม้าเอื้อมมือมาลูบหลังเบา ๆ จริง ๆ แล
Pream Part . ฉันค่อย ๆ เดินเข้าบ้านที่คุ้นเคย ขาฉันสั่นเล็กน้อยจนต้องหยุดพัก แต่ก็พยายามที่จะก้าวต่ออย่างมั่นคง บ้านที่ไม่ได้กลับมาแค่เดือนกว่ามีสภาพไม่ต่างกับครั้งสุดท้ายที่ฉันเดินจากมาเท่าไหร่ แต่ในความรู้สึกมันเหมือนว่าฉันไม่ได้กลับมาเหยียบที่นี่เนิ่นนาน อาจจะเป็นเพราะ...ฉันจากไปโดยที่มีความผิดติดตัวละมั้ง... ฉันหนีไป โดยที่ทิ้งความจริงไว้เบื้องหลังอย่างคนขี้ขลาด แต่สุดท้ายฉันก็ได้เรียนรู้แล้วว่าไม่มีใครที่จะหนีความผิดที่ก่อไว้ได้ตลอดไป ฉันสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะก้าวเท้าเข้าบ้าน... “คุณพรีม...” “แม่เพียร” คนแรกที่ฉันเจอคือแม่เพียร แม่เพียรยืนมองฉันอย่างไม่รู้ว่าจะทำตัวยังไงดี ฉันเองก็ทำตัวไม่ถูก อยากจะเดินเข้าไปออดอ้อนเหมือนที่เคยทำแต่ก็ไม่กล้าพอ แม่เพียรยืนจ้องฉันแบบนั้นจนดวงตาที่เริ่มฝ้าฟางทั้งสองข้างเอ่อไปด้วยน้ำตา “แม่เพียรขา” ฉันตัดสินใจเอ่ยเรียกแม่เพียรเหมือนตอนที่ฉันยังเด็ก เวลาที่ทำอะไรผิดมาฉันมักจะเรียกแม่เพียรที่กำลังโกรธแบบนี้เสมอเพื่อให้แม่เพียรใจอ่อน “คุณพรีม” และแม่เพียรก็ใจอ่อนให้ฉันตลอด ไม่เว้นแม้กระทั่งตอนนี้ หญิงที่ใกล้หกสิบเต็มทนรีบเดินเร็ว ๆ เข
Pream Part . หนึ่งวันก่อนวันแต่งงาน . “เดินลงมาทำไม” คริสรีบเดินเข้ามาใกล้ทันทีที่เห็นฉัน เขาเดินประกบฉันเหมือนลูกเป็ดติดแม่ก็ไม่ปาน “ฉันก็อยากลงมาดูงานของตัวเองบ้างสิ” ฉันตอบก่อนจะเดินดูงานที่เตรียมพร้อมเกือบสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซนต์แล้วอย่างพึงพอใจ ขาดก็แต่ดอกไม้เพราะจะลงตอนเช้ามืดเพื่อไม่ให้มันเหี่ยวจนถ่ายรูปออกมาไม่สวย “แต่อากาศมันร้อน” คริสยังคงพูดไม่หยุด ฉันจิ๊ปากด้วยความหงุดหงิดที่มีคนมาวุ่นวาย ก่อนจะหันไปแย้งเขาอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ “ไม่ได้ร้อนจนทนไม่ไหวขนาดนั้น” พูดจบฉันก็ทำท่าจะเดินดูงานต่อ “แต่...” “นี่คริส” ฉันหันกลับไปพูดกับเขาด้วยสีหน้าที่เริ่มจริงจัง “นี่มันงานก็แต่งงานของฉันเหมือนกันนะ นายจะไม่ให้ฉันลงมาดูความเรียบร้อยเลยเหรอ” “แต่เธอกำลังท้อง ฉันไม่อยากให้เธอเหนื่อย” “ฉันแค่ท้อง ไม่ได้ป่วยระยะสุดท้าย! ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้มั้ง นายอย่าเวอร์ไปหน่อยเลย” “ทำไมพูดแบบนั้น ฉันแค่....” “เอาเถอะ” ฉันไม่สนใจฟังว่าคริสจะพูดอะไรอีกต่อไป ยิ่งคุยกับเขาก็ยิ่งหงุดหงิด ช่วงนี้เขาขัดใจฉันทุกเรื่องจนฉันเริ่มเหม็นขี้หน้าเขาแล้ว “ฉันเข้าบ้านก็ได้” พูดจบฉันก็รีบเดินเข้าบ้านทันท
Chris Part . “เจ้าสาวสวยมาก” ผมยิ้มออกมาเมื่อได้ยินคำชมหนาหูจากแขกทั้งจากฝ่ายผมเองและก็ฝ่ายเจ้าสาว ตั้งแต่พรีมเดินลงมาทุกคนก็เหมือนหยุดหายใจ พรีมเป็นคนสวยมากอยู่แล้ว สวยหวานแบบไทยแท้ ใบหน้ารูปไข่ทำให้เธอเป็นคนหน้าหวานมองเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ ยิ่งพออยู่ในชุดไทยยิ่งขับให้เธอสวยเหมือนกับนางในวรรณคดี ผมไม่ได้เวอร์หรอกนะ แต่เมียผมสวยมากจริง ๆ “เสียดาย เล็งไว้ให้ลูกชายเราแท้ ๆ” ผมหุบยิ้มทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น แต่ไม่ได้หันกลับไปมองว่าเป็นเสียงของใคร ไม่อยากหงุดหงิดในวันมงคล ผมลุกขึ้นและเดินไปหาพรีม ยื่นมือไปให้เธอจับ และประคองเธอเดินมาที่ด้านหน้าเพื่อให้พิธีได้ดำเนินต่อไป “วันนี้สวยมากนะ” อดไม่ได้ที่จะกระซิบหยอดว่าที่เมียซักหน่อย พรีมไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แต่ก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองผม แค่นั้นก็ทำให้ผมกลับมาอารมณ์ดีได้แล้ว พรีมไม่ได้เขินผมหรอก เธอแค่ทำตัวไม่ถูก แต่ผมมีเป้าหมายว่าจะต้องทำให้เธอเขินผมให้ได้ซักวันหนึ่ง เคยทำให้ผู้หญิงเขินมาเป็นร้อย แต่ถ้าทำให้เมียตัวเองเขินไม่ได้นี่เสียชื่อแย่ พิธีสงฆ์ผ่านไปอย่างเรียบง่าย พรีมถูกส่งตัวกลับขึ้นไปบนชั้นสองของบ้านอีกครั้ง ส่วนผมต้องไปเตรียมขบวนข
Chris Part . พิธีการทุกอย่างดำเนินมาถึงช่วงเย็น เราตกลงกันแล้วว่าจะจดทะเบียนสมรสและยกน้ำชาทีหลังเพราะกลัวว่าพรีมจะเหนื่อยเกินไป เพราะฉะนั้นหลังจากรดน้ำสังข์เสร็จพรีมก็ไปเปลี่ยนชุดที่สบายกว่าชุดไทย ก่อนจะลงมารวมตัวกับผมเพื่อพบปะ พูดคุย และถ่ายรูปกับแขกที่มาร่วมงาน ตกเย็นก็มีอาหารเลี้ยงแขกทุกคน และตอนนี้เองที่ทั้งผมและพรีมได้มีเวลาพักบ้างหลังจากเดินมาหลายชั่วโมง แต่ก็ยังไปนอนพักไม่ได้อยู่ดีเพราะต้องรอฤกษ์ส่งตัวตอนสองทุ่ม ทำได้แค่นั่งพักคุยกับเพื่อน ๆ ไปเรื่อย ๆ “เนตั้นหายไปไหนวะ” ผมถามเพื่อนเพราะไม่เห็นเนตั้นตั้งแต่ช่วงหกโมงเย็น ไม่รู้ว่ามันหายไปไหน ไม่ได้มาลาซักคำ “มันขอกลับก่อน ไม่ค่อยสบาย” “เหรอ แล้วทำไมไม่บอกกูเลยอะ” “มันเห็นมึงวุ่นอยู่กับแขก เลยไม่อยากกวน” เหตุผลที่เควิลพูดมาทำให้ผมพอเข้าใจได้ เพราะหลังจากเสร็จสิ้นพิธีการผมก็เดินคุยกับแขกไม่หยุด ไม่แปลกที่เนตั้นจะไม่กล้ามาลา “มาเฟีย มองเมียกูทำไม” ผมถามเมื่อสังเกตหลายครั้งแล้วว่ามาเฟียมองพรีม ไม่ใช่มองเพราะนับดาวอยู่ตรงนั้น ต่อให้นับดาวไม่อยู่มาเฟียก็มองไม่หยุดจนผมต้องถามออกมา “ก็แค่มอง” “แล้วทำไมต้องมองล่ะ” ผมหรี่ตา “อย่า
Pream Part . ฉันยังคงนั่งอยู่ที่เดิมไม่ได้ลุกไปไหน แม้ว่าผู้ใหญ่ทั้งหมดจะพากันออกไปจนเหลือแค่ฉันและคริสอยู่ในห้องแค่สองคนก็ตาม ฉันไม่รู้ว่าตัวเองควรรู้สึกยังไงดี เพราะไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตัวเองมีค่ากับแม่ขนาดนั้น แก้วตาดวงใจเหรอ? ฉันมีค่าขนาดนั้นเลยเหรอ? “พรีม” ฉันสะดุ้ง ก่อนจะหันกลับไปมองคนเรียก คริสยืนอยู่หน้าประตูตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ คงเพราะฉันเอาแต่เหม่อจนไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างสินะถึงไม่รู้อะไรเลยแบบนี้ ฉันกระพริบตาถี่ ๆ เพื่อเรียกสติกลับมา ก่อนจะตอบกลับคนที่กลายมาเป็นสามีอย่างเต็มตัวสั้น ๆ “ว่า” “เป็นอะไร เหนื่อยเหรอ” “เปล่า” ฉันไม่ได้โกหก วันนี้ไม่ได้เหนื่อยเท่าที่คิด แต่ก็เมื่อยน่าดูเพราะต้องเดินและยืนหลายชั่วโมง “งั้นไปอาบน้ำเถอะ จะได้รีบนอน เมื่อเช้าก็ตื่นแต่เช้ามืดนี่” “อืม” “อืมก็ลุกสิ อ้อ ลุกไม่ไหวใช่ไหม มา เดี๋ยวฉันช่วย” “ไม่ต้อง อ๊ะ!!” ฉันร้องออกมาเสียงหลงเมื่อพยายามจะลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองก่อนที่คริสจะเข้ามาช่วย แต่เพราะว่านั่งท่าเดิมนานเกินไปจึงเกิดอาการขาชา ยืนเองไม่ไหวจนเกือบล้มหน้าทิ่ม โชคดีที่ได้คริสที่ยืนอยู่ไม่ไกลพุ่งเข้ามารับตัวฉันไว้ได้ทัน “ระวัง
Chris Part . ผมเดินเป๋ ๆ ตามหลังของพรีม ไม่เคยคิดเลยว่าพรีมจะเป็นคนมือเท้าหนักขนาดนี้ ตอนแรกมันไม่ได้เจ็บมาก แต่พอผ่านไปสักพักกลับเจ็บขึ้นมาหน้าตาเฉย แต่ต่อหน้าพรีมผมไม่กล้าแสดงออกว่าเจ็บปวดเพราะกลัวว่าเขาจะรู้สึกผิด ได้แต่แสดงออกลับหลังแบบนี้ “ลงมากันแล้วเหรอ” “อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณพ่อ คุณแม่” พรีมเอ่ยทักทายคุณพ่อและคุณพิมพ์นภาที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารอยู่ก่อนแล้ว ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ที่ผมดึงออกให้ คุณพ่อมองการกระทำของผมด้วยรอยยิ้ม เหมือนว่าผมจะได้คะแนนเพิ่มอีกแล้ว อันที่จริงแล้วผมไม่ได้ดูแลพรีมเพื่อเอาคะแนนจากใครหรอกนะครับ ผมทำเพราะอยากทำ ไม่ได้ทำเพราะหน้าที่หรือเอาใจคนอื่น แต่ถ้าเอาใจพรีมล่ะก็ใช่ ผมไม่เคยท้องและไม่มีทางท้องได้ แต่จากที่อ่านและฟังมาทำให้ผมรู้ดีว่าคนที่อุ้มท้องต้องเสียสละแค่ไหน ต้องยอมอ้วน ยอมให้เนื้อตัวขยายขนาด บางทีก็มีแตกลายอีก คุณแม่บางคนสิวขึ้น หน้าพัง ผิวพัง เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว ไหนจะความเจ็บปวดตอนคลอดอีก ยิ่งผมได้รู้อะไรพวกนี้มาก ๆ ผมยิ่งนับถือผู้หญฺิงที่ต้องตั้งท้องทุกคน และอยากทำอะไรก็ตามที่ทำให้แม่ของลูกมีความสุข เพื่อแบ่งเบาความเสียสละของเธอบ้าง “อรุณสว
Chris Part . ข้อดีของความรักที่ไม่ได้เริ่มจากร้อย คือเวลาผ่านไปมันจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด . เช้าวันเสาร์ วันนี้พอใจและพีทไปนอนที่บ้านพ่อและแม่ของพรีม ส่วนน้องพอร์ชก็ไปนอนที่บ้านของป๊ากับหม่าม้า เท่ากับว่าวันนี้เราสองคนจะได้ใช้ชีวิตด้วยกันแบบที่ไม่มีลูกอยู่ด้วย ผมรักลูกมากนะ แต่เพราะผมกับพรีมแต่งงานกันตอนที่พรีมท้องแล้ว เพราะฉะนั้นมันน้อยมากจริง ๆ ที่เราจะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสองแบบนี้ เพราะฉะนั้นวันนี้ผมเลยจะเก็บเกี่ยวช่วงเวลานี้ไว้ให้มากที่สุด ผมมองคนขี้เซาที่ยังหลับอยู่ เมื่อคืนพรีมนั่งคิดงานจนดึกดื่น ผมรอจนหลับไปเลยไม่รู้ว่าพรีมเข้านอนตอนไหน แต่ดูจากขอบตาที่คล้ำลงเล็กน้อยก็ทำให้รู้ว่าคงดึกพอสมควร ช่วงนี้พรีมกำลังจะเปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่ พรีมเลยทำงานหนักกว่าปกติ ไหนจะต้องเลี้ยงลูกที่ยังเล็กทั้งสามคนอีก เราสองคนไม่ได้มีเวลาพูดคุยหรือสวีทกันเลย สองเดือนแล้วมั้ง เมคเลิฟครั้งล่าสุดของเรา ผมก้มลงไปหอมแก้มนิ่มเบา ๆ โดยที่ไม่รบกวนคนที่นอนหลับสบายอยู่ ก่อนจะค่อย ๆ ย่องลงจากเตียงและเดินออกมาที่สวนหน้าบ้าน ออสก้าพอเห็นผมปุ๊ปมันก็รีบวิ่งหน้าตั้งมาทันที “โฮ่ง!” “
เวลาเดินเร็วจนใจหาย เผลอแปปเดียวพอใจและพีทก็ต้องเข้าโรงเรียนแล้ว คริสปรึกษากับพรีมค่อนข้างจริงจังสำหรับเรื่องนี้ ทั้งอายุที่ควรให้ลูกเข้าอนุบาลหนึ่ง หรือโรงเรียนที่จะให้ลูกเรียน แต่ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่าช่วงสามถึงห้าขวบจะหาครูมาสอนเด็ก ๆ ที่บ้านเพื่อเตรียมตัวก่อนเข้าโรงเรียนจริง และให้ลูกเริ่มเข้าอนุบาลหนึ่งตอนห้าขวบ คริสเครียดหนักกว่าใครเพื่อน เพราะเขาเคยอ่านเจอมาว่าถ้าส่งลูกเข้าเรียนเร็วไปก็ไม่ดี เด็ก ๆ จะยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ครูก็ไม่ใช่พ่อแม่ที่จะรักและดูแลเด็กได้ดีเท่ากับพ่อแม่แท้ ๆ เขาปรึกษากับพรีม พ่อแม่ของพรีม พ่อแม่ของตัวเอง รวมถึงเพื่อน ๆ ในกลุ่มอยู่หลายเดือน และสุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่าห้าขวบคือช่วงเวลาที่ดีที่สุด ส่วนโรงเรียนเนตั้นเป็นคนแนะนำมา ซึ่งพอได้เข้าไปเดินดูและพูดคุยกับครูหลาย ๆ ครั้งก็ทำให้เขารู้สึกพอใจมากกับโรงเรียนนี้ เมื่อได้โรงเรียนที่ถูกใจแล้วเขาก็สมัครให้ลูกเสร็จสรรพ เพียงไม่นานก็ถึงวันแรกที่ลูก ๆ ต้องไปเรียน เช้าแรกของการพาลูกไปโรงเรียนวุ่นวายเสมอ เขาได้รู้ซึ้งถึงการเป็นพ่อจริง ๆ เมื่อตอนที่ลูกงอแงไม่ยอมตื่นนี่แหละ “พอใจขา ตื่นได้แล้วลูก” “...” เงียบ ไ
Chris Part . สองปีต่อมา . ผมได้แต่คิดว่าบางทีเวลามันก็เดินไวเกินไป เหมือนผมกระพริบตาแค่ครั้งเดียว เวลาก็ล่วงเลยมาสองปีแล้วหลังจากที่ได้ยินคำว่ารักจากพรีม ตอนนี้เราทั้งครอบครัวย้ายกลับมาอยู่ที่ไทยถาวรได้อาทิตย์หนึ่งแล้ว เลยกำหนดที่ควรกลับไปสี่เดือนกว่า เพราะอาชีพของพรีมกำลังเติบโต ผมเลยไม่คิดจะเร่งรัดเธอและเฝ้ารออย่างอดทน พรีมขอเวลาเพิ่มอีกสี่เดือน ผมได้แต่ยิ้มและพยักหน้ารับว่ารอได้ ก็ผมรอเธอมาสองปีแล้ว ทำไมจะรอต่ออีกสี่เดือนไม่ได้ และเมื่อครบสี่เดือนปุ๊ป เราก็ได้ย้ายกลับมาอยู่ที่ประเทศไทยทันที และเนื่องจากความไม่ลงตัวของสองบ้าน ที่อยากให้ผมและพรีมรวมถึงลูก ๆ ไปอยู่ด้วย ผมเลยตัดสินใจสร้างบ้านของตัวเองขึ้นมา และสัญญากับพวกท่านว่าจะพาหลานกลับไปนอนบ้านทุกอาทิตย์สลับกันไป พวกท่านฮึดฮัดนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ยอมตามใจผมและพรีมแต่โดยดี ผมจัดการเรื่องบ้านตั้งแต่ลูกอายุหนึ่งขวบ พรีมให้ผมเป็นคนตัดสนใจเกือบทั้งหมด เพราะผมมีความรู้เรื่องนี้ ส่วนพรีมจะช่วยตัดสินใจแค่บางอย่างเท่านั้น บ้านหลังนี้จึงเป็นบ้านที่ค่อนข้างมีกลิ่นอายของผมอยู่มาก แต่ดูเหมือนว่าพรีมเองก็พอใจกับมันอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะพื้
Pream Part . “ตื่นเต้นไหมพิมมี่” เสียงของนิโคลัสทำให้ฉันละความสนใจจากงานตรงหน้าและหันกลับไปมอง ก่อนจะส่งยิ้มให้เขา “ถ้าบอกว่าไม่เลยค่ะ ฉันไม่รู้สึกตื่นเต้นเลยแม้แต่นิดเดียว แบบนี้บอสจะเชื่อฉันไหมคะ?” “ไม่มีทาง แฟชั่นโชว์แรกของผมตื่นเต้นจนแทบจะเป็นลม คุณจะมาแข็งแกร่งกว่าผมไม่ได้นะ” นิโคลัสตอบกลับขำ ๆ และคำพูดของเขาก็ทำให้ฉันหัวเราะออกมาจนได้ ไม่ว่าเมื่อไหร่นิโคลัสก็มักจะผ่อนคลายความเครียดและความกังวลให้คนอื่นได้เสมอ เขาเก่งเรื่องนี้จริง ๆ “ตื่นเต้นค่ะ แต่ตอนนี้หายตื่นเต้นนิดหนึ่งแล้วเพราะได้คุยกับบอสนี่แหละ” นิโคลัสขำออกมาเสียงดัง ฉันไม่ได้พูดเกินจริงหรืออยากจะยอเขา แต่เพราะพอได้คุยกับนิโคลัสฉันก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นจริง ๆ เรายืนคุยกันได้ไม่นานนิโคลัสก็ถูกตามตัว เขาหันมาชูกำปั้นให้ฉันเป็นเชิงว่าให้สู้ ๆ ก่อนจะเดินตามทีมงานไป ฉันหันกลับมาดูชุดที่เตรียมไว้ให้นางแบบใส่อีกครั้ง มองผลงานของตัวเองด้วยความชื่นใจ กว่าเก้าเดือนที่ฉันลงแรงไปกับมัน วันนี้ผลงานของฉันกำลังจะเปิดเผยให้คนอื่นได้เห็นแล้ว แม้คอลเลคชั่นนี้จะเปิดตัวภายใต้แบรนด์ของนิโคลัส แต่นิโคลัสก็ให้เครดิตฉันร้อยเปอร์เซ็นต์ เขาใช
Pream Part . หนึ่งเดือนต่อมา . “น้องพีท หนูจะเอาอะไรคะลูก หืม... มองน้าไม่หยุดเลยนะคะ” ฉันหัวเราะออกมาเมื่อนับดาวเอาแต่ชวนน้องพีทคุยไม่หยุด น้องพีทกลับมาอยู่ที่บ้านได้สามวันแล้ว พอรู้เรื่องทุกคนก็รีบบินมาเยี่ยมหลานทันที ร่างกายของน้องพีทเติบโตขึ้นเร็วมาก จนคิดไม่ถึงว่าเด็กแก้มกลมคนนี้จะเคยเกือบเอาชีวิตไม่รอดมาก่อน ตอนนี้น้องพีทกลายเป็นเด็กสดใสและคุยเก่งอย่างไม่น่าเชื่อ อาจจะเพราะว่าเขาอยู่โรงพยาบาลมาเป็นเวลานาน เวลาเจอคนเยอะ ๆ เลยตื่นเต้นและคอยแต่จะร้องเรียกหาไม่หยุด ในขณะที่พอใจกลับติดแค่พ่อและแม่มากขึ้น ไม่ค่อยเล่นกับคนอื่น ๆ เหมือนตอนแรก ๆ แล้ว ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ใช่... ในที่สุดพอใจกับคริสก็เข้าขากันได้ แม้จะชอบแหย่กันมากกว่ารักกันก็ตาม... แต่ทุกวันนี้คริสสามารถช่วยฉันกล่อมพอใจนอน ช่วยอาบน้ำ และเปลี่ยนผ้าอ้อมให้พอใจได้โดยที่พอใจไม่โยเยแล้ว เขาแบ่งเบาฉันได้เยอะมากเลยทีเดียว ช่วงสองอาทิตย์ก่อนที่น้องพีทจะออกจากโรงพยาบาล หมอมิเชลให้ฉันลองเอาน้องพีทเข้าเต้า เพราะฉันแจ้งกับหมอไปว่าต้องการให้น้องพีทดื่มนมจากเต้าเป็น วันแรก ๆ น้องพีททำไม่เป็นเลย ฝึกกันอยู่หลายวันจนสุดท้า
Chris Part . “ฉันรักเธอ” “เรื่อง...จริงเหรอ” “เรื่องจริง” ผมยืนยันหนักแน่น “ฉันไม่ได้พูดเพื่อให้เธอหายโกรธ ฉันถามตัวเองมาทั้งคืนแล้ว และคำตอบที่ได้ก็อย่างที่ฉันบอกไป ว่าฉันรักเธอ” พรีมเงียบไป เธอมองหน้าผมนิ่ง ๆ ผมเองก็มองเธอกลับไม่คิดจะหลบตา ผมรู้ดีว่าทั้งประวัติที่ผ่านมาของผม และเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อคืนอาจจะทำให้พรีมไม่มั่นใจ แต่ผมไม่เคยโกหกความรู้สึกตัวเอง ผมไม่คิดจะพูดคำว่ารักออกไปเพียงเพื่อให้พรีมหายโกรธ แต่ผมพูด เพราะผมรู้ตัวแล้วว่าผมรักเธอจริง ๆ “เธอยังไม่เชื่อว่าฉันรักเธอก็ไม่เป็นไร แต่อย่าพูดเหมือนไม่หวงฉันแบบนี้ได้ไหม ฉันเสียใจนะรู้ไหม” พอเห็นว่าพรีมเริ่มอ่อนลงผมก็ใช้ลูกอ้อนทันที ผมใช้วิธีนี้อ้อนหม่าม้าเวลาทำให้หม่าม้าโกรธอยู่บ่อย ๆ ซึ่งก็พิสูจน์แล้วว่าการพูดด้วยเสียงอ่อน ๆ ทำหน้าตาให้น่าสงสารแบบนี้ ใช้ได้ผลกับหม่าม้าทุกครั้ง รวมถึงพรีมด้วย เพราะตอนนี้พรีมกำลังยิ้มออกมาทั้ง ๆ ที่ตาแดง จมูกแดงจากการร้องไห้ก่อนหน้า แต่เพียงแค่ครู่เดียวเธอก็กลับไปทำหน้านิ่งอีกครั้ง “แล้วนายจะอธิบายเรื่องผู้หญิงคนนั้นยังไง ฉันเห็นรูปที่นายจูบกับเธอด้วย” “อย่าใช้คำว่าฉันจ
Chris Part . “แน่ใจนะว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับลูกสาวเจ้าสัวธันเลยจริง ๆ” “ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอจริง ๆ ครับป๊า ผมสาบานได้” ผมจ้องตาป๊านิ่ง ๆ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ป๊าเองก็มองกลับมาด้วยสายตาเดียวกัน ผ่านไปซักพักจึงพยักหน้าเบา ๆ เป็นเชิงว่าท่านเชื่อในสิ่งที่ผมพูด หลังจากที่พรีมเดินเข้าไปดูพอใจ ผมที่ตั้งใจว่าจะเดินตามพรีมไปก็ถูกหม่าม้าขวางไว้เสียก่อน ผมรู้ว่าหม่าม้าต้องการคำอธิบาย แต่ผมก็อยากเข้าไปอธิบายเรื่องนี้ให้พรีมฟังเหมือนกัน . “ม้า ผมต้องคุยกับพรีม” “ม้ารู้ แต่ตอนนี้หนูพรีมยังไม่พร้อมที่จะรับฟัง ให้เวลาเธอหน่อย” “แต่...” “ฉันเห็นด้วย ถ้าพรีมเดินหนีแบบนี้ไม่ได้แปลว่าเขาไม่อยากฟังหรือไม่อยากคุย แต่พรีมกำลังต้องการเวลาได้ทบทวนตัวเอง ตอนนี้พอใจก็ร้องอยู่ด้วย ค่อยคุยกันเถอะ” “...” “เชื่อฉันสิ ฉันเป็นแม่ของพรีมเขานะ” . สุดท้ายผมยอมจำนนต่อคุณพิมพ์นภา เราทั้งห้าคนย้ายมานั่งคุยกันที่โต๊ะกินข้าว เสียงร้องไห้ของพอใจดังขึ้นเกือบสิบนาที ทุกคนล้วนกังวลเพราะพอใจไม่เคยร้องไห้นานขนาดนี้มาก่อน แต่สุดท้ายเสียงนั้นก็เงียบลง ผมจึงตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผู้ใหญ่ทั้งสี่ฟัง ตั้งแต่ที่ผ
Chris part . “ทำไมนานจัง” พรีมเอ่ยทักเมื่อผมเดินกลับเข้ามาในบ้าน ผมมองพอใจที่หลับไปแล้ว ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งข้าง ๆ พรีม “เป็นอะไรหรือเปล่า” “ฉันอัปรูปลูกลงไอจีไปแล้ว” “อืม... แล้วทำไมทำหน้าแบบนั้น” พรีมเอื้อมมือมาปัดเส้นผมที่กำลังจะทิ่มตาออกให้ ผมเลยอาศัยจังหวะนั้นเอนหัวพิงไหล่ของเธอ ไม่รู้ทำไมจู่ ๆ ก็อยากอ้อนพรีมขึ้นมาดื้อ ๆ “คนมาคอมเมนต์สงสัยและจับผิดเต็มเลยว่าเธอท้องก่อนแต่ง” ผมถอนหายใจ เลือกเล่าความไม่สบายที่สามารถเล่าได้ให้พรีมฟัง ส่วนอีกเรื่อง...มันยังไม่ถึงเวลา “ขอโทษนะ เรื่องแบบนี้มีแต่เธอที่เสียหายอยู่คนเดียว” “เราคุยกันแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าเราจะรับความจริงให้ได้ ก็ฉันท้องก่อนแต่งจริง ๆ นี่นา ต่อให้คนไม่สงสัยตอนนี้ต่อไปก็ต้องสงสัยอยู่ดี มันไม่มีอะไรที่ปิดได้ตลอดไปหรอกนะ” “ฉันรู้ แต่...” “อีกอย่าง... การที่มีพอใจกับพีทมันไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรเลย ฉันต้องขอบคุณนายด้วยซ้ำ ที่ทำให้ฉันมีลูกน่ารัก ๆ แบบนี้ตั้งสองคน” “พรีม...” ผมหันไปกลับไปมองเธอ พรีมกำลังส่งยิ้มมาให้บาง ๆ พรีมเป็นผู้หญิงหน้าหวานที่มีจิตใจแข็งแกร่งมากจริง ๆ หลายครั้งที่ผมนับถือความเด็ดเดี่ยวของเธอ ตั้งแต่ที่ต
Chris Part . “ถามอะไรหน่อยสิแซนดี้” ผมอาศัยจังหวะที่พรีมกำลังคุยกับคุณพิมพ์นภาอยู่ ดึงตัวแซนดี้ที่แวะมาเยี่ยมออกมาคุยเป็นการส่วนตัวที่สวนหลังบ้าน เพราะผมมีเรื่องที่สงสัยและอยากรู้คำตอบมานานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาสได้ถามเธอ จนตอนนี้อีกสองวันลูกผมก็จะอายุครบหนึ่งเดือนแล้ว และผมไม่อยากปล่อยให้เรื่องมันนานไปมากกว่านี้ “ถามอะไร?" “เรื่องคุณนัญ” แซนดี้ขมวดคิ้ว เหมือนว่าเธอจะจำชื่อคุณนัญไม่ได้ “ผู้หญิงที่เธอกล่าวหาว่าฉันนอกใจพรีมไง” “ฉันไม่ได้กล่าวหา” “แล้วมีหลักฐานหรือไง” เข้าทางผมพอดี เพราะถ้าถามตรง ๆ แซนดี้อาจจะไม่ยอมบอกก็ได้ใครจะไปรู้ ต้องท้าทายแบบนี้แหละ “มีสิ ไม่มีจะพูดได้ยัง ฉันไม่ใช่คนปากพล่อยนะ” “แล้วหลักฐานมันคืออะไรล่ะ” ผมต้อนถามไปเรื่อย ๆ “ก็มีคนส่งคลิปนายกับผู้หญิงคนนั้นมาให้พิมมี่ดูในไอจี ส่งมาแทบจะวันเว้นวันด้วยซ้ำ” “คลิป?” ผมขมวดคิ้ว ทุกครั้งที่ผมกับคุณนัญออกไปคุยงานกันก็มักจะคุยที่โรงแรมเดิม ตรงส่วนที่เป็นคาเฟ่แต่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวระดับหนึ่ง แถมคุณนัญก็มีบอดี้การ์ดตามประกบตลอด ไม่คิดว่าจะมีคนแอบถ่ายคลิปให้ผมได้ แถมส่งให้พรีมเกือบทุกวันอีก แปลว่าคน ๆ นี้ต้องติดตามผมมาซ