Pream Part . “เมื่อยหรือเปล่า” คริสหันมาถามฉันเมื่อเรามาถึงที่พักกันช่วงบ่ายแก่ ๆ ภูเก็ตคือสถานที่ที่พวกเราเลือกมาในทริปนี้ นั่งเครื่องบินมาลงที่สนามบินภูเก็ต และเช่ารถตู้พร้อมคนขับท้องถิ่นสองคันเพื่อพาเราเที่ยว เพราะทริปนี้ไม่มีใครอยากขับรถเองแม้แต่คนเดียว “ไม่เท่าไหร่” “งั้นเธอเดินเล่นอยู่ในบ้านนะ ฉันเอากระเป๋าไปเก็บก่อน เดี๋ยวพาออกไปเดินเล่น” “มะ...” ฉันตั้งใจปฏิเสธเพราะคิดว่าเดินไปเองก็ได้ ทะเลอยู่แค่หน้าบ้านนี้เอง แต่เมื่อมองหน้าของคริสฉันก็เปลี่ยนใจ “อืม ฉันเดินดูที่พักอยู่แถว ๆ นี่แหละ” คริสยิ้มออกมาทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ก่อนจะจัดการยกกระเป๋าของฉันและเขาเข้าบ้านไป ฉันมองตามแผ่นหลังกว้างนั้นก่อนจะถอนหายใจออกมา ต่อไปนี้ฉันคงต้องปรับทัศนคติตัวเองด่วนแล้วแหละ ฉันแต่งงานแล้ว และกำลังตั้งท้องลูกแฝดอยู่ ฉันควรหัดรับความช่วยเหลือจากคนเป็นสามีบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ตั้งท่าปฏิเสธแบบนี้ ฉันเดินสำรวจที่พักเพียงลำพัง คนที่เหลือแยกย้ายกันไปจองห้องนอนหรือเดินเล่นกันหมดแล้ว ทริปนี้เรามากันสิบคน มีฉัน คริส พี่มาเฟีย นับดาว พี่เควิล พี่พบรัก พี่เนตั้นและแฟนของเขาที่ฉันยังไม่รู้จักชื่อ แซนดี้ แ
Chris Part . หลังจากมื้อเย็นพวกเราทั้งหมดก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน เพราะว่ากว่าจะมาถึงภูเก็ตก็เย็นมากแล้ว โปรแกรมเที่ยวทุกอย่างจึงเริ่มต้นพรุ่งนี้ ผมนั่งเช็กมือถือระหว่างรออาบน้ำต่อจากพรีม รูปที่ลงในอินสตราแกรมล่าสุดมีคนกดไลค์และคอมเมนต์เป็นจำนวนมาก นับว่าเป็นรูปที่สองของผมที่ได้ยอดไลค์เยอะขนาดนี้ ส่วนรูปแรกก็เป็นรูปทะเบียนสมรสที่ผมอัพไปเมื่อวันก่อน “เสร็จแล้วเหรอ” ผมเงยหน้าขึ้นมองเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูห้องน้ำ พรีมอยู่ในชุดคลุมสีขาวเดินออกมา เธอไม่ยอมตอบ ใบหน้าสวยดูนิ่งเฉยจนผมขมวดคิ้ว เมื่อเย็นยังดี ๆ อยู่เลยนี่น่า ทำไมตอนนี้มาเย็นชาใส่กันแบบนี้ล่ะ พรีมเดินผ่านหน้าผมไปนั่งที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หยิบครีมบำรุงที่ใช้ได้แค่ไม่กี่ตัวขึ้นมาทาหน้าเงียบ ๆ เสร็จแล้วก็นั่งเป่าผมไปเรื่อย ๆ เธอทำเหมือนว่าผมเป็นอากาศธาตุ ไม่คิดจะเหลือบตามองหรือตอบคำถามด้วยซ้ำ นี่มันไม่ปกติแล้วนะแบบนี้ ผมตัดสินใจเดินเข้าห้องน้ำก่อน กะเวลาไว้แล้วว่ากว่าพรีมจะเป่าผมเสร็จผมคงอาบน้ำเสร็จพอดี ไม่ชอบอะไรที่มันค้างคา ผมต้องถามให้ได้ว่าพรีมเป็นอะไร ผมทำอะไรให้ไม่ถูกใจตรงไหน จะได้ไม่ทำอีก ใช้เวลาเพียงไม่นานผมก็อาบน้ำเ
Pream Part . หลังจากที่ไล่คริสออกไป ฉันก็ทิ้งตัวลงนอนด้วยความหงุดหงิด ไม่รู้เหมือนกันว่าหงุดหงิดอะไร แต่มันรู้สึกหงุดหงิดจนไม่อยากเห็นหน้าคริส ไม่อยากให้เขาเข้าใกล้ ไม่อยากให้แตะเนื้อต้องตัวอีกต่อไป “พอนับดาวมาเรียกนะ รีบออกไปเหมือนหมาเจอเจ้าของ” ฉันบ่นระบายความหงุดหงิดในใจ เมื่อกี้อุตส่าห์ยอมเขาแล้วแท้ ๆ แต่พอนับดาวมาเรียกคริสก็รีบเดินออกไปทันที ไม่ได้สนเลยว่าฉันจะเป็นยังไง มันน่าโมโหไหมล่ะ บอกเลยว่าฉันไม่ได้หงุดหงิดที่คริสปล่อยให้ฉันค้างคาหรอกนะ ไม่ได้หมกมุ่นขนาดนั้นซะหน่อย แต่ฉันหงุดหงิดที่... ...ที่อะไร... ช่างเถอะ! ฉันเลิกสนใจอาการแปลก ๆ ของตัวเอง ก่อนจะปิดไฟที่หัวเตียงลง พยายามข่มตาหลับเพื่อให้ตัวเองเลิกฟุ้งซ่าน และเลิกคิดอะไรที่มันรกสมอง แต่จนแล้วจนรอดผ่านไปสองชั่วโมงแล้วฉันก็ไม่สามารถหลับได้ นับแกะก็แล้ว เปิดเพลงที่ชอบฟังเวลาที่นอนไม่หลับก็แล้ว แต่มันไม่ช่วยอะไรเลย สุดท้ายฉันเลยลุกขึ้นมานั่งท่ามกลางความมืดมิด “ไปนอนที่ไหนนะ” ฉันค่อย ๆ ย่องลงจากเตียง ลองแง้มประตูดู เมื่อไม่เห็นใครอยู่ระหว่างทางเดิน และห้องทุกห้องปิดเงียบสนิทจึงค่อย ๆ พาตัวเองเดินออกไปด้านนอกเรื่อย ๆ เสีย
Chris Part . ‘อยู่ไหนกันแล้ว’ นับดาวเอ่ยถามมาตามสาย ผมมองคนที่นอนหลับอยู่บนตัก ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงกระซิบ “กำลังกลับ อีกซักสองชั่วโมงน่าจะถึง” ‘โอเค กำลังดีเลย น่าจะเตรียมอะไรเสร็จพอดี’ “เสียดายที่ฉันไม่ได้ช่วย” ‘นายต้องถ่วงเวลาพรีมนี่ ไม่ต้องเสียดายหรอก นี่ก็นับว่าเป็นการช่วยอย่างหนึ่งแล้ว แค่นี้นะ ไปเตรียมของก่อน’ “อืม” ผมวางสายนับดาว ก่อนจะก้มลงมองคนที่หลับอยู่อีกครั้ง ผมค่อย ๆ เกี่ยวเส้นผมที่เกะกะหน้าพรีมออก เพื่อมองหน้าคนที่กำลังหลับใหลไม่รู้ตัวชัด ๆ พร้อมกับนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานไปด้วย . “เรียกกูออกมาทำไมวะ” ผมถามบรรดาเพื่อน ๆ ที่นั่งอยู่พร้อมหน้า ไม่เข้าใจว่าให้นับดาวเรียกผมออกมาทำไม ก็บอกแล้วว่าวันนี้ดื่มไม่ได้ “ดูทำหน้าเข้า พวกกูไม่ได้ให้นับดาวตามมึงออกมาแดกเหล้า” ไอ้เควิลตอบก่อนจะยกเหล้าขึ้นดื่ม ไม่ได้ชวนมากินเหล้าแต่มากินยั่วแบบนี้หมายความว่ายังไง “อ้าว แล้วให้ตามมาทำไม” ผมยกแขนขึ้นกอดอก ไม่คิดจะนั่งด้วยซ้ำเพราะใจอยากจะกลับเข้าไปในห้องนอนจะแย่ ผมปล่อยพรีมไว้แบบนั้นคนเดียวด้วย ไม่รู้จะโกรธหรือเปล่า “ฟังอยู่ไหมเนี้ย” ถั่วเม็ดเล็กที่เป็นกับแกล้มถูกปามาโดน
Pream Part . “ฮึก!” “พรีม ใจเย็น ๆ ก่อนนะ” ฉันถูกดึงเข้าไปกอดอีกครั้งจากผู้ชายคนเดิม หลังจากที่ฉันปล่อยโฮกลางงานฉลองวันเกิดของตัวเอง คริสก็รีบอุ้มฉันเข้ามาในห้อง ฉันพยายามหยุดร้องไห้แล้วนะแต่ก็ทำไม่ได้ ยิ่งคิดถึงความงี่เง่าของตัวเองก็ยิ่งร้องออกมาไม่หยุด “ฉันนี่...นิสัยไม่ดีเลย” ฉันซบลงบนไหล่กว้างของคริส ก่อนจะเอ่ยโทษตัวเองออกมา คริสรีบดันตัวฉันออก แววตาเขาดูกังวล “ทำไมคิดแบบนั้น” “ฉันมันงี่เง่า” “พรีม เลิกโทษตัวเอง เธอเป็นอะไร บอกฉันได้ไหม” คริสพยายามสบตาฉันเพื่อให้รู้ว่าเขาพร้อมจะรับฟังทุกเรื่องไม่ว่ามันจะงี่เง่ามากแค่ไหนก็ตาม “นะ...อย่าเก็บมันไว้คนเดียวแล้วร้องไห้แบบนี้ ฉันใจไม่ดีเลย” ฉันพยายามตั้งสติ รู้ดีว่าทุกคนกำลังเป็นห่วงแค่ไหน โดยเฉพาะคนตรงหน้าที่สีหน้าวิตกกังวลไปหมด แต่ฉันจะทำยังไงดี จะให้บอกเล่าเรื่องที่ฉันเข้าใจผิดจนเผลอคิดร้าย ๆ กับคริสและนับดาวออกไปอย่างนั้นเหรอ ถ้าเขารู้เขาคงรังเกียจฉัน เพราะฉันมันเป็นคนนิสัยไม่ดี ไม่คู่ควรกับความใจดีของคนอื่นเลยซักนิด “พรีม” คริสนั่งลงตรงหน้าฉัน ก่อนจะจับมือฉันไปกุมไว้ อีกแล้ว ทำไมเขาต้องอบอุ่นกับฉันขนาดนี้ด้วย “มีอะไรที่มันอ
Pream Part . สัปดาห์ที่ 18 . “สวัสดีค่ะคุณแม่ ไม่เจอกันนานเลย วันนี้พาคุณพ่อมาด้วยเหรอคะ” ฉันหันกลับไปมองคริสเมื่อหมอเอ่ยทักแบบนั้น หมอคนนี้ชื่อว่าหมอมิเชล เป็นหมอที่ฉันฝากท้องด้วยตอนอยู่ที่นี่ ทุกครั้งที่ฉันมาหาหมอฉันไม่เคยพาคริสมาด้วยเลย นี่เป็นครั้งแรก... “ครับ” คริสตอบแทนเมื่อเห็นว่าฉันไม่รู้จะตอบอะไรดี “ผมเพิ่งมาจากที่ไทย ยังไม่ค่อยรู้อะไรเท่าไหร่ ยังไงก็รบกวนคุณหมอแนะนำด้วยนะครับ” “ด้วยความยินดีค่ะ” หมอมิเชลส่งยิ้มกว้างให้คริส ก่อนจะหันกลับมาคุยกับฉัน “คุณแม่ยังแพ้ท้องอยู่หรือเปล่าคะ” “ไม่ค่อยแล้วค่ะ” “ดีแล้วค่ะ แพ้ท้องมันทรมาน” คุณหมอขยิบตาให้ฉัน มิเชลเป็นคุณหมอที่ใจดี ขี้เล่น แถมยังอายุแค่เพียงสามสิบกลาง ๆ เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นเธอเลยค่อนข้างเข้าใจคุณแม่ที่ยังสาวแบบฉันดี และที่มิเชลเรียกฉันว่าคุณแม่เป็นเพราะว่าชื่อฉันออกเสียงยาก พยายามเรียกอยู่หลายครั้งแต่ก็เรียกไม่ได้เลยตัดปัญหาเรียกว่าคุณแม่ไปเลย “น้ำหนักกลับไปคงที่แล้วนะคะ ถือว่าคุมอาหารได้ดีมาก” “สามีฉันเขาดูแลค่ะเรื่องนี้” ฉันยกความดีความชอบให้คริสไป เพราะถ้าไม่ได้คริสมาคอยช่วยดูแลและควบคุมอาหารการกินให้ ฉันก็คง
Chris Part . ผมหยิบรูปอัลตร้าซาวด์ขึ้นมาดูอีกครั้ง นับไม่ได้แล้วว่าวันนี้ผมหยิบมันขึ้นมาดูครั้งที่เท่าไหร่ ผมแค่รู้สึกว่าดูเท่าไหร่มันก็ไม่พอ อยากเร่งเวลาให้ถึงวันที่จะได้เห็นหน้าลูกจริง ๆ ใจจะขาด ตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มตรง และพรีมก็หลับไปแล้ว ผมเลยไม่กล้าทำอะไรเสียงดังเพราะกลัวจะไปรบกวนการนอนที่แสนสบายของเธอ แสงไฟจากหัวเตียงที่เปิดไว้แค่เพียงพอต่อการอ่านหนังสือทำให้ผมได้เห็นหน้าของพรีมไปด้วย ผมก้มลงไปใกล้ จ้องมองใบหน้าสวยงามหมดจดนั้นหลายวินาที ก่อนจะกดจูบลงบนหน้าผากเนียนเบา ๆ “ขอบคุณนะพรีม” . ขอบคุณสำหรับของขวัญที่มีค่าทั้งสองชิ้น ขอบคุณที่ไม่คิดจะเอาพวกเขาออก ขอบคุณที่ยอมรับว่าพวกเขาเป็นลูกของฉัน ขอบคุณที่ยอมแต่งงานด้วย และขอบคุณ ที่ยอมให้เราได้เริ่มต้นใหม่ไปด้วยกัน . . ผมขอบคุณ เพราะอยากจะขอบคุณเธอจริง ๆ ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นพ่อใครได้ จินตนาการถึงความรู้สึกที่กำลังจะได้เป็นพ่อใครไม่ออก จนถึงเมื่อวานผมก็ยังนึกไม่ออกว่าตัวเองจะเป็นพ่อแบบไหน จะรู้สึกยังไงเมื่อได้เห็นลูก แต่วันนี้พอได้เห็นพวกเขาจริง ๆ ความรู้สึกรักและหวงแหนจากไหนตั้งมากมายไม่รู้ก็พุ่งเข้ามา ถ้าไม่มีพรี
Chris Part . “ทำอะไร...” เมื่อพรีมถามออกมาแบบนั้นผมก็ก้มหน้าลงไปใกล้เธอเพื่อเป็นคำตอบ แน่นอนว่าผมไม่มีทางปล่อยให้โอกาสนี้หลุดไป พรีมกลิ้งตามองไปทั่วเพราะไม่กล้าสบตาผมตรง ๆ ต่างจากผมที่จ้องมองริมฝีปากคู่สวยของเธอที่เปิดออกนิด ๆ อย่างมาดหมาย “โอ๊ะ!” ผมสะดุ้งเมื่อหน้าท้องด้านขวาที่ผมวางมืออยู่เกิดความเคลื่อนไหวเล็กน้อย มันไม่ได้มากเท่าก่อนหน้านี้ แต่ด้วยแรงที่มากจนผมรู้สึกได้แบบนั้น เลยทำให้พรีมที่รู้สึกได้มากกว่าเผลอดันผมออกห่าง “ลูกดิ้นน่ะ” ผมเริ่มหน้าตึง ลูกไม่รักผมจริง ๆ สินะ ตอนที่รอให้ดิ้นทักทายล่ะไม่ยอมดิ้น แต่พอจะจู๋จี๋กับเมียบ้างกลับดิ้นเสียอย่างนั้น มันใช้ได้ที่ไหนกัน พรีมส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้ผม ก่อนจะค่อย ๆ ติดกระดุมที่ผมปลดออกจนหมด อารมณ์พิศวาสที่เกิดขึ้นจางหายไปจนเกลี้ยง ผมมองโอกาสที่จะได้สานสัมพันธ์กับพรีมที่หลุดลอยไปอย่างเสียดาย กว่าจะได้บรรยากาศแบบเมื่อกี้มันไม่ได้สร้างกันได้ง่าย ๆ เลย แถมโอกาสแบบนี้มีแค่อาทิตย์ละวันเท่านั้น ผมไม่อยากกวนพรีมในวันที่เธอต้องไปทำงาน ถึงได้ทนเก็บความต้องการของตัวเองทั้งหมดไว้ตั้งแต่วันที่ถามหมอจนถึงวันนี้ วันที่พรุ่งนี้คือวันหยุดสุดสัปดาห์ข
Chris Part . ข้อดีของความรักที่ไม่ได้เริ่มจากร้อย คือเวลาผ่านไปมันจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด . เช้าวันเสาร์ วันนี้พอใจและพีทไปนอนที่บ้านพ่อและแม่ของพรีม ส่วนน้องพอร์ชก็ไปนอนที่บ้านของป๊ากับหม่าม้า เท่ากับว่าวันนี้เราสองคนจะได้ใช้ชีวิตด้วยกันแบบที่ไม่มีลูกอยู่ด้วย ผมรักลูกมากนะ แต่เพราะผมกับพรีมแต่งงานกันตอนที่พรีมท้องแล้ว เพราะฉะนั้นมันน้อยมากจริง ๆ ที่เราจะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสองแบบนี้ เพราะฉะนั้นวันนี้ผมเลยจะเก็บเกี่ยวช่วงเวลานี้ไว้ให้มากที่สุด ผมมองคนขี้เซาที่ยังหลับอยู่ เมื่อคืนพรีมนั่งคิดงานจนดึกดื่น ผมรอจนหลับไปเลยไม่รู้ว่าพรีมเข้านอนตอนไหน แต่ดูจากขอบตาที่คล้ำลงเล็กน้อยก็ทำให้รู้ว่าคงดึกพอสมควร ช่วงนี้พรีมกำลังจะเปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่ พรีมเลยทำงานหนักกว่าปกติ ไหนจะต้องเลี้ยงลูกที่ยังเล็กทั้งสามคนอีก เราสองคนไม่ได้มีเวลาพูดคุยหรือสวีทกันเลย สองเดือนแล้วมั้ง เมคเลิฟครั้งล่าสุดของเรา ผมก้มลงไปหอมแก้มนิ่มเบา ๆ โดยที่ไม่รบกวนคนที่นอนหลับสบายอยู่ ก่อนจะค่อย ๆ ย่องลงจากเตียงและเดินออกมาที่สวนหน้าบ้าน ออสก้าพอเห็นผมปุ๊ปมันก็รีบวิ่งหน้าตั้งมาทันที “โฮ่ง!” “
เวลาเดินเร็วจนใจหาย เผลอแปปเดียวพอใจและพีทก็ต้องเข้าโรงเรียนแล้ว คริสปรึกษากับพรีมค่อนข้างจริงจังสำหรับเรื่องนี้ ทั้งอายุที่ควรให้ลูกเข้าอนุบาลหนึ่ง หรือโรงเรียนที่จะให้ลูกเรียน แต่ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่าช่วงสามถึงห้าขวบจะหาครูมาสอนเด็ก ๆ ที่บ้านเพื่อเตรียมตัวก่อนเข้าโรงเรียนจริง และให้ลูกเริ่มเข้าอนุบาลหนึ่งตอนห้าขวบ คริสเครียดหนักกว่าใครเพื่อน เพราะเขาเคยอ่านเจอมาว่าถ้าส่งลูกเข้าเรียนเร็วไปก็ไม่ดี เด็ก ๆ จะยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ครูก็ไม่ใช่พ่อแม่ที่จะรักและดูแลเด็กได้ดีเท่ากับพ่อแม่แท้ ๆ เขาปรึกษากับพรีม พ่อแม่ของพรีม พ่อแม่ของตัวเอง รวมถึงเพื่อน ๆ ในกลุ่มอยู่หลายเดือน และสุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่าห้าขวบคือช่วงเวลาที่ดีที่สุด ส่วนโรงเรียนเนตั้นเป็นคนแนะนำมา ซึ่งพอได้เข้าไปเดินดูและพูดคุยกับครูหลาย ๆ ครั้งก็ทำให้เขารู้สึกพอใจมากกับโรงเรียนนี้ เมื่อได้โรงเรียนที่ถูกใจแล้วเขาก็สมัครให้ลูกเสร็จสรรพ เพียงไม่นานก็ถึงวันแรกที่ลูก ๆ ต้องไปเรียน เช้าแรกของการพาลูกไปโรงเรียนวุ่นวายเสมอ เขาได้รู้ซึ้งถึงการเป็นพ่อจริง ๆ เมื่อตอนที่ลูกงอแงไม่ยอมตื่นนี่แหละ “พอใจขา ตื่นได้แล้วลูก” “...” เงียบ ไ
Chris Part . สองปีต่อมา . ผมได้แต่คิดว่าบางทีเวลามันก็เดินไวเกินไป เหมือนผมกระพริบตาแค่ครั้งเดียว เวลาก็ล่วงเลยมาสองปีแล้วหลังจากที่ได้ยินคำว่ารักจากพรีม ตอนนี้เราทั้งครอบครัวย้ายกลับมาอยู่ที่ไทยถาวรได้อาทิตย์หนึ่งแล้ว เลยกำหนดที่ควรกลับไปสี่เดือนกว่า เพราะอาชีพของพรีมกำลังเติบโต ผมเลยไม่คิดจะเร่งรัดเธอและเฝ้ารออย่างอดทน พรีมขอเวลาเพิ่มอีกสี่เดือน ผมได้แต่ยิ้มและพยักหน้ารับว่ารอได้ ก็ผมรอเธอมาสองปีแล้ว ทำไมจะรอต่ออีกสี่เดือนไม่ได้ และเมื่อครบสี่เดือนปุ๊ป เราก็ได้ย้ายกลับมาอยู่ที่ประเทศไทยทันที และเนื่องจากความไม่ลงตัวของสองบ้าน ที่อยากให้ผมและพรีมรวมถึงลูก ๆ ไปอยู่ด้วย ผมเลยตัดสินใจสร้างบ้านของตัวเองขึ้นมา และสัญญากับพวกท่านว่าจะพาหลานกลับไปนอนบ้านทุกอาทิตย์สลับกันไป พวกท่านฮึดฮัดนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ยอมตามใจผมและพรีมแต่โดยดี ผมจัดการเรื่องบ้านตั้งแต่ลูกอายุหนึ่งขวบ พรีมให้ผมเป็นคนตัดสนใจเกือบทั้งหมด เพราะผมมีความรู้เรื่องนี้ ส่วนพรีมจะช่วยตัดสินใจแค่บางอย่างเท่านั้น บ้านหลังนี้จึงเป็นบ้านที่ค่อนข้างมีกลิ่นอายของผมอยู่มาก แต่ดูเหมือนว่าพรีมเองก็พอใจกับมันอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะพื้
Pream Part . “ตื่นเต้นไหมพิมมี่” เสียงของนิโคลัสทำให้ฉันละความสนใจจากงานตรงหน้าและหันกลับไปมอง ก่อนจะส่งยิ้มให้เขา “ถ้าบอกว่าไม่เลยค่ะ ฉันไม่รู้สึกตื่นเต้นเลยแม้แต่นิดเดียว แบบนี้บอสจะเชื่อฉันไหมคะ?” “ไม่มีทาง แฟชั่นโชว์แรกของผมตื่นเต้นจนแทบจะเป็นลม คุณจะมาแข็งแกร่งกว่าผมไม่ได้นะ” นิโคลัสตอบกลับขำ ๆ และคำพูดของเขาก็ทำให้ฉันหัวเราะออกมาจนได้ ไม่ว่าเมื่อไหร่นิโคลัสก็มักจะผ่อนคลายความเครียดและความกังวลให้คนอื่นได้เสมอ เขาเก่งเรื่องนี้จริง ๆ “ตื่นเต้นค่ะ แต่ตอนนี้หายตื่นเต้นนิดหนึ่งแล้วเพราะได้คุยกับบอสนี่แหละ” นิโคลัสขำออกมาเสียงดัง ฉันไม่ได้พูดเกินจริงหรืออยากจะยอเขา แต่เพราะพอได้คุยกับนิโคลัสฉันก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นจริง ๆ เรายืนคุยกันได้ไม่นานนิโคลัสก็ถูกตามตัว เขาหันมาชูกำปั้นให้ฉันเป็นเชิงว่าให้สู้ ๆ ก่อนจะเดินตามทีมงานไป ฉันหันกลับมาดูชุดที่เตรียมไว้ให้นางแบบใส่อีกครั้ง มองผลงานของตัวเองด้วยความชื่นใจ กว่าเก้าเดือนที่ฉันลงแรงไปกับมัน วันนี้ผลงานของฉันกำลังจะเปิดเผยให้คนอื่นได้เห็นแล้ว แม้คอลเลคชั่นนี้จะเปิดตัวภายใต้แบรนด์ของนิโคลัส แต่นิโคลัสก็ให้เครดิตฉันร้อยเปอร์เซ็นต์ เขาใช
Pream Part . หนึ่งเดือนต่อมา . “น้องพีท หนูจะเอาอะไรคะลูก หืม... มองน้าไม่หยุดเลยนะคะ” ฉันหัวเราะออกมาเมื่อนับดาวเอาแต่ชวนน้องพีทคุยไม่หยุด น้องพีทกลับมาอยู่ที่บ้านได้สามวันแล้ว พอรู้เรื่องทุกคนก็รีบบินมาเยี่ยมหลานทันที ร่างกายของน้องพีทเติบโตขึ้นเร็วมาก จนคิดไม่ถึงว่าเด็กแก้มกลมคนนี้จะเคยเกือบเอาชีวิตไม่รอดมาก่อน ตอนนี้น้องพีทกลายเป็นเด็กสดใสและคุยเก่งอย่างไม่น่าเชื่อ อาจจะเพราะว่าเขาอยู่โรงพยาบาลมาเป็นเวลานาน เวลาเจอคนเยอะ ๆ เลยตื่นเต้นและคอยแต่จะร้องเรียกหาไม่หยุด ในขณะที่พอใจกลับติดแค่พ่อและแม่มากขึ้น ไม่ค่อยเล่นกับคนอื่น ๆ เหมือนตอนแรก ๆ แล้ว ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ใช่... ในที่สุดพอใจกับคริสก็เข้าขากันได้ แม้จะชอบแหย่กันมากกว่ารักกันก็ตาม... แต่ทุกวันนี้คริสสามารถช่วยฉันกล่อมพอใจนอน ช่วยอาบน้ำ และเปลี่ยนผ้าอ้อมให้พอใจได้โดยที่พอใจไม่โยเยแล้ว เขาแบ่งเบาฉันได้เยอะมากเลยทีเดียว ช่วงสองอาทิตย์ก่อนที่น้องพีทจะออกจากโรงพยาบาล หมอมิเชลให้ฉันลองเอาน้องพีทเข้าเต้า เพราะฉันแจ้งกับหมอไปว่าต้องการให้น้องพีทดื่มนมจากเต้าเป็น วันแรก ๆ น้องพีททำไม่เป็นเลย ฝึกกันอยู่หลายวันจนสุดท้า
Chris Part . “ฉันรักเธอ” “เรื่อง...จริงเหรอ” “เรื่องจริง” ผมยืนยันหนักแน่น “ฉันไม่ได้พูดเพื่อให้เธอหายโกรธ ฉันถามตัวเองมาทั้งคืนแล้ว และคำตอบที่ได้ก็อย่างที่ฉันบอกไป ว่าฉันรักเธอ” พรีมเงียบไป เธอมองหน้าผมนิ่ง ๆ ผมเองก็มองเธอกลับไม่คิดจะหลบตา ผมรู้ดีว่าทั้งประวัติที่ผ่านมาของผม และเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อคืนอาจจะทำให้พรีมไม่มั่นใจ แต่ผมไม่เคยโกหกความรู้สึกตัวเอง ผมไม่คิดจะพูดคำว่ารักออกไปเพียงเพื่อให้พรีมหายโกรธ แต่ผมพูด เพราะผมรู้ตัวแล้วว่าผมรักเธอจริง ๆ “เธอยังไม่เชื่อว่าฉันรักเธอก็ไม่เป็นไร แต่อย่าพูดเหมือนไม่หวงฉันแบบนี้ได้ไหม ฉันเสียใจนะรู้ไหม” พอเห็นว่าพรีมเริ่มอ่อนลงผมก็ใช้ลูกอ้อนทันที ผมใช้วิธีนี้อ้อนหม่าม้าเวลาทำให้หม่าม้าโกรธอยู่บ่อย ๆ ซึ่งก็พิสูจน์แล้วว่าการพูดด้วยเสียงอ่อน ๆ ทำหน้าตาให้น่าสงสารแบบนี้ ใช้ได้ผลกับหม่าม้าทุกครั้ง รวมถึงพรีมด้วย เพราะตอนนี้พรีมกำลังยิ้มออกมาทั้ง ๆ ที่ตาแดง จมูกแดงจากการร้องไห้ก่อนหน้า แต่เพียงแค่ครู่เดียวเธอก็กลับไปทำหน้านิ่งอีกครั้ง “แล้วนายจะอธิบายเรื่องผู้หญิงคนนั้นยังไง ฉันเห็นรูปที่นายจูบกับเธอด้วย” “อย่าใช้คำว่าฉันจ
Chris Part . “แน่ใจนะว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับลูกสาวเจ้าสัวธันเลยจริง ๆ” “ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอจริง ๆ ครับป๊า ผมสาบานได้” ผมจ้องตาป๊านิ่ง ๆ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ป๊าเองก็มองกลับมาด้วยสายตาเดียวกัน ผ่านไปซักพักจึงพยักหน้าเบา ๆ เป็นเชิงว่าท่านเชื่อในสิ่งที่ผมพูด หลังจากที่พรีมเดินเข้าไปดูพอใจ ผมที่ตั้งใจว่าจะเดินตามพรีมไปก็ถูกหม่าม้าขวางไว้เสียก่อน ผมรู้ว่าหม่าม้าต้องการคำอธิบาย แต่ผมก็อยากเข้าไปอธิบายเรื่องนี้ให้พรีมฟังเหมือนกัน . “ม้า ผมต้องคุยกับพรีม” “ม้ารู้ แต่ตอนนี้หนูพรีมยังไม่พร้อมที่จะรับฟัง ให้เวลาเธอหน่อย” “แต่...” “ฉันเห็นด้วย ถ้าพรีมเดินหนีแบบนี้ไม่ได้แปลว่าเขาไม่อยากฟังหรือไม่อยากคุย แต่พรีมกำลังต้องการเวลาได้ทบทวนตัวเอง ตอนนี้พอใจก็ร้องอยู่ด้วย ค่อยคุยกันเถอะ” “...” “เชื่อฉันสิ ฉันเป็นแม่ของพรีมเขานะ” . สุดท้ายผมยอมจำนนต่อคุณพิมพ์นภา เราทั้งห้าคนย้ายมานั่งคุยกันที่โต๊ะกินข้าว เสียงร้องไห้ของพอใจดังขึ้นเกือบสิบนาที ทุกคนล้วนกังวลเพราะพอใจไม่เคยร้องไห้นานขนาดนี้มาก่อน แต่สุดท้ายเสียงนั้นก็เงียบลง ผมจึงตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผู้ใหญ่ทั้งสี่ฟัง ตั้งแต่ที่ผ
Chris part . “ทำไมนานจัง” พรีมเอ่ยทักเมื่อผมเดินกลับเข้ามาในบ้าน ผมมองพอใจที่หลับไปแล้ว ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งข้าง ๆ พรีม “เป็นอะไรหรือเปล่า” “ฉันอัปรูปลูกลงไอจีไปแล้ว” “อืม... แล้วทำไมทำหน้าแบบนั้น” พรีมเอื้อมมือมาปัดเส้นผมที่กำลังจะทิ่มตาออกให้ ผมเลยอาศัยจังหวะนั้นเอนหัวพิงไหล่ของเธอ ไม่รู้ทำไมจู่ ๆ ก็อยากอ้อนพรีมขึ้นมาดื้อ ๆ “คนมาคอมเมนต์สงสัยและจับผิดเต็มเลยว่าเธอท้องก่อนแต่ง” ผมถอนหายใจ เลือกเล่าความไม่สบายที่สามารถเล่าได้ให้พรีมฟัง ส่วนอีกเรื่อง...มันยังไม่ถึงเวลา “ขอโทษนะ เรื่องแบบนี้มีแต่เธอที่เสียหายอยู่คนเดียว” “เราคุยกันแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าเราจะรับความจริงให้ได้ ก็ฉันท้องก่อนแต่งจริง ๆ นี่นา ต่อให้คนไม่สงสัยตอนนี้ต่อไปก็ต้องสงสัยอยู่ดี มันไม่มีอะไรที่ปิดได้ตลอดไปหรอกนะ” “ฉันรู้ แต่...” “อีกอย่าง... การที่มีพอใจกับพีทมันไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรเลย ฉันต้องขอบคุณนายด้วยซ้ำ ที่ทำให้ฉันมีลูกน่ารัก ๆ แบบนี้ตั้งสองคน” “พรีม...” ผมหันไปกลับไปมองเธอ พรีมกำลังส่งยิ้มมาให้บาง ๆ พรีมเป็นผู้หญิงหน้าหวานที่มีจิตใจแข็งแกร่งมากจริง ๆ หลายครั้งที่ผมนับถือความเด็ดเดี่ยวของเธอ ตั้งแต่ที่ต
Chris Part . “ถามอะไรหน่อยสิแซนดี้” ผมอาศัยจังหวะที่พรีมกำลังคุยกับคุณพิมพ์นภาอยู่ ดึงตัวแซนดี้ที่แวะมาเยี่ยมออกมาคุยเป็นการส่วนตัวที่สวนหลังบ้าน เพราะผมมีเรื่องที่สงสัยและอยากรู้คำตอบมานานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาสได้ถามเธอ จนตอนนี้อีกสองวันลูกผมก็จะอายุครบหนึ่งเดือนแล้ว และผมไม่อยากปล่อยให้เรื่องมันนานไปมากกว่านี้ “ถามอะไร?" “เรื่องคุณนัญ” แซนดี้ขมวดคิ้ว เหมือนว่าเธอจะจำชื่อคุณนัญไม่ได้ “ผู้หญิงที่เธอกล่าวหาว่าฉันนอกใจพรีมไง” “ฉันไม่ได้กล่าวหา” “แล้วมีหลักฐานหรือไง” เข้าทางผมพอดี เพราะถ้าถามตรง ๆ แซนดี้อาจจะไม่ยอมบอกก็ได้ใครจะไปรู้ ต้องท้าทายแบบนี้แหละ “มีสิ ไม่มีจะพูดได้ยัง ฉันไม่ใช่คนปากพล่อยนะ” “แล้วหลักฐานมันคืออะไรล่ะ” ผมต้อนถามไปเรื่อย ๆ “ก็มีคนส่งคลิปนายกับผู้หญิงคนนั้นมาให้พิมมี่ดูในไอจี ส่งมาแทบจะวันเว้นวันด้วยซ้ำ” “คลิป?” ผมขมวดคิ้ว ทุกครั้งที่ผมกับคุณนัญออกไปคุยงานกันก็มักจะคุยที่โรงแรมเดิม ตรงส่วนที่เป็นคาเฟ่แต่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวระดับหนึ่ง แถมคุณนัญก็มีบอดี้การ์ดตามประกบตลอด ไม่คิดว่าจะมีคนแอบถ่ายคลิปให้ผมได้ แถมส่งให้พรีมเกือบทุกวันอีก แปลว่าคน ๆ นี้ต้องติดตามผมมาซ