Pream Part . ฉันนอนหอบหายใจเหมือนวิ่งมาหลายกิโล ลืมตามองร่างสูงใหญ่ที่เดินไม่ใส่กางเกงไปหยิบทิชชู่มาเช็ดสิ่งที่เขาปลดปล่อยไว้บนร่างกายของฉันออกให้จนสะอาด ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มทั้งสองข้างให้ฉัน ถามว่าทำไมฉันถึงนอนเปลือยเปล่าอยู่แบบนี้ไม่ยอมลุกไปใส่เสื้อผ้าดี ๆ ไม่ใช่ว่าฉันไม่อาย แต่ฉันไม่มีแรงจะลุก เซ็กส์เมื่อกี้คริสสุขสมไปรอบเดียว แต่ฉันตั้งสี่ครั้ง...สี่ครั้งภายในเวลาสามสิบห้านาที บอกเลยว่าตอนนี้มือสั่นขาสั่นสุด ๆ อายแค่ไหนก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนให้คริสบริการทำความสะอาด รวมถึงติดกระดุมชุดนอนให้อยู่แบบนี้ “เหนื่อยไหม” “นิดหน่อย” อันที่จริงไม่นิด แต่ในความเหนื่อยนั้นก็มีความสุขอยู่ด้วย ถือว่าทดแทนกันไปก็แล้วกัน “อีกสิบนาทีเจ็ดโมง ฉันจะไปอุ่นข้าว เธอนอนพักก่อนนะ เจ็ดโมงค่อยออกไป” คริสลูบผมฉันเหมือนผู้ใหญ่เอ็นดูเด็ก เขาคงรู้ว่าฉันโกหกเขา และดูออกว่าฉันเหนื่อยมากแค่ไหน แน่สิ...ฉันไม่ได้แข็งแกร่งแบบเขานี่ “ขอบคุณนะลูกที่วันนี้ไม่แกล้งพ่ออีก” คริสก้มลงจูบท้องฉันเบา ๆ ทั้งสองข้าง ก่อนที่เขาจะเคลื่อนตัวมาจูบหน้าผากฉันเหมือนกลัวว่าฉันจะอิจฉาลูกยังไงยังงั้น
Pream Part . “ผู้ชายนี่มันห่วยเหมือนกันทั้งโลกเลยไหม” เสียงตะโกนที่ดังขึ้นทำให้คริสที่กำลังยกน้ำออกมาให้แขกชะงักกึก ฉันหันไปส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้เขา คริสเองก็ได้แต่ส่งยิ้มกลับมาว่าไม่เป็นไร “ใจเย็น ๆ ก่อน เป็นอะไร มาถึงก็หัวฟัดหัวเหวี่ยงไม่หยุด” ฉันลูบหลังของเพื่อน เมื่อเช้าที่แซนดี้โทรมาฉันคุยได้ไม่นานนัก เลยนัดว่าจะไปหาแซนดี้ที่บ้านในตอนเย็น แต่แซนดี้บอกว่าจะมาหาเองเมื่อเลิกงาน พอมาถึงเธอก็หน้าบึ้งไม่หยุด แถมยังด่าผู้ชายเสียงดังจนคริสสะดุ้งแล้วสะดุ้งอีกเพราะเป็นผู้ชายคนเดียวในบ้าน “ตั้งแต่กลับมาจากไทย ฉันเดตกับผู้ชายสามคน สามคนแล้วนะที่ผลสุดท้ายมันก็ออกมาเป็นแบบเดิม เจ้าชู้! มั่ว! ไม่รู้จักพอ!! ผู้ชายมันก็ชั่วเหมือนกันทั้งโลกนั่นแหละ!” “เดี๋ยวก่อนนะ” ฉันรีบยกมือห้ามให้แซนดี้หยุดพูด เพราะมีคำถามที่คาใจอยู่ “เธอบอกว่าเดตกับผู้ชายมาสามคนแล้ว?” “อือ” “ภายในเวลาไม่ถึงสองเดือนนี่นะ?” “ใช่ คนแรกเดตได้อาทิตย์เดียวก็จับได้ว่าเขามีแฟนอยู่แล้ว คนที่สองเดตได้สามวัน ออกเดตครั้งแรกเขาก็หวังจะลากฉันขึ้นห้องอย่างเดียว ฉันไม่ชอบ ส่วนคนสุดท้ายฉันเดตด้วยเกือบเดือน เกือบเดือนเลยนะ!” แซนดี้เริ่มอารม
Chris Part . ผมนอนไม่หลับ แม้ว่าไฟลท์จะยาวนานถึงสิบชั่วโมงผมก็นอนไม่หลับ ทั้งห่วงคนที่ประเทศไทย และห่วงคนที่รออยู่ที่ออสเตรเลีย หลังจากที่พรีมเรียกสติผมกลับมาได้ ทั้งพรีมและผมก็รีบหาไฟลท์ที่เร็วที่สุด ผมได้ไฟลท์ในคืนนั้นเลย แต่พรีมไม่สามารถเดินทางมาด้วยได้ ทั้งเรื่องงานและสุขภาพ ผมเลยต้องกลับไทยคนเดียวทั้ง ๆ ที่ห่วงหน้าพะวงหลังอยู่แบบนี้ ผมฝากพรีมไว้กับแซนดี้ แซนดี้รับปากว่าจะดูแลพรีมให้ดีที่สุด มันไม่ได้สบายใจเท่าผมดูแลพรีมเองหรอก แต่ผมก็ทิ้งป๊าไม่ได้เหมือนกัน ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นยังไงบ้าง เมื่อเครื่องแลนดิ้งผมก็ทำทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว เพียงไม่นานผมก็ขึ้นมาอยู่บนแท็กซี่เพื่อเดินทางไปโรงพยาบาล ระหว่างทางผมหยิบมือถือขึ้นมา ก่อนจะส่งข้อความไปให้พรีมที่คงกังวลอยู่เหมือนกัน . Chris : ถึงแล้วนะ อยู่บนแท็กซี่ กำลังไปหาป๊า Pream : ดูแลตัวเองด้วยนะ ฝากขอโทษป๊ากับม้าด้วยที่ฉันกลับไปด้วยไม่ได้ Chris : ไม่ต้องกังวลทางนี้หรอก เธอดูแลตัวเองให้ดีก็พอ Chris : ฉันถึงโรงพยาบาลแล้ว ไว้เยี่ยมป๊าเสร็จจะมาบอกว่าท่านเป็นยังไงบ้าง Chris : ดูแลตัวเองด้วยนะ อย่าลืมกินยารู้ไหม Pream : อืม นายก็เหม
Pream Part . “จะนอนก็ต้องส่งข้อความรายงานสามีด้วยเหรอ” คำพูดหยอกล้อที่ไม่จริงจังของแซนดี้ทำให้ฉันหันกลับไปมอง ก่อนจะส่งยิ้มกว้างให้อีกฝ่าย “ก็ต้องส่งสิ คริสเขาให้รายงานตัวตลอด เขาบอกว่าเป็นห่วงน่ะ” “จ้ะ” แซนดี้เบ้ปาก ก่อนจะทิ้งตัวลงนอน ฉันยังไม่ได้บอกใช่ไหมว่าช่วงนี้แซนดี้มานอนที่บ้านฉัน นอนด้วยกันเลยเพราะว่าถ้าเกิดฉันมีปัญหาในตอนดึก ๆ จะได้ช่วยได้ทัน ตอนนี้ฉันท้องได้ยี่สิบแปดสัปดาห์แล้ว ท้องใหญ่จนอุ้ยอ้ายไปหมด เลยไม่ปฏิเสธความหวังดีของแซนดี้ มีคนช่วยยังไงก็ดีกว่าอยู่คนเดียวแล้วมีปัญหาล่ะนะ ฉันทิ้งตัวลงนอนบ้าง สี่ทุ่มแล้ว วันนี้ฉันนอนดึกกว่าปกติด้วยซ้ำเพราะมัวแต่เคลียร์งาน อันที่จริงตั้งแต่ไม่มีคริสฉันก็นอนดึกขึ้น แซนดี้คอยห้ามแล้วแต่ทำอะไรมากไม่ได้ คนเดียวที่ฉันยอมคงมีแต่คริสนั่นแหละ พูดแล้วก็อดคิดถึงไม่ได้ ที่ฉันส่งไปหาคริสว่าคิดถึงคือฉันคิดถึงเขาจริง ๆ กว่าห้าสัปดาห์แล้วที่ไม่มีคริสอยู่ด้วย ไม่มีจูบตอนเช้าและก่อนนอน ไม่มีอาหารฝีมือเขา ไม่มีอ้อมกอดจากเขา ฉันกำลังรู้สึกว่าตัวเองเคยชินกับการมีคริสมากเกินไป ถ้าวันหนึ่งไม่มีเขาแล้วฉันจะทำยังไงดี “ไร้สาระ” ฉันส่ายหัว บ่นตัวเองที่ค
Pream Part . “ตอนนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วครับ แต่ต้องพยายามให้คนไข้พักผ่อนให้มาก ๆ ยิ่งตั้งครรภ์อยู่แบบนี้ยิ่งต้องดูแลเป็นพิเศษ” ฉันพยายามลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงที่ไม่คุ้นเอาเสียเลย แสงที่ลอดเข้ามาทำให้ตาพร่าไปหมด พยายามปรับสายตาอยู่สักพักก็เริ่มรับแสงได้ “พรีม!” แซนดี้รีบเดินเข้ามาหาเมื่อเห็นว่าฉันขยับตัว “เป็นยังไงบ้าง” “ขอ...น้ำ” ฉันบอกแซนดี้เสียงแหบ รู้สึกคอแห้งจนเจ็บ เหมือนมีทรายนับพันเม็ดมากองอยู่ในนั้น “นี่น้ำ ค่อย ๆ จิบนะ” ฉันค่อย ๆ จิบน้ำอย่างที่แซนดี้บอก เมื่อรู้สึกพอแล้วก็หันหน้าหนี “เอาอะไรอีกไหม” “ไม่” ฉันส่ายหน้า ก่อนจะมองไปรอบ ๆ “ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” ที่นี่ ที่ฉันพูดถึงหมายถึงโรงพยาบาล เพราะตอนนี้ฉันนอนอยู่ในห้องพิเศษของโรงพยาบาลซักโรงพยาบาลหนึ่ง ฉันจำไม่ได้ว่าตัวเองมาที่นี่ได้ยังไง สิ่งเดียวที่จำได้คือฉันพยายามโทรหาคริสหลายสายแต่คริสไม่รับ “มือถือฉันล่ะ” “อยู่นี่” แซนดี้ชูมือถือที่คุ้นตาของฉันขึ้น ฉันพยายามหยิบ แต่แซนดี้กลับดึงกลับไปเสียก่อน “ทำไม?” “นานแค่ไหนแล้ว” “ห้ะ?” ฉันมองแซนดี้ด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจว่าเธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไร “เธอพูดอะไร ฉ
Chris Part . “ก็มึงไม่ได้รักเขาไง เข้าใจยากตรงไหน” . เควิลพูดพร้อมตักเค้กช็อคโกแลตเข้าปากเคี้ยวตุ้ย ๆ ไม่รู้ว่าทำไมเหล่าชายไม่โสดแบบพวกเราถึงเปลี่ยนสถานที่นัดเจอจากร้านเหล้ามาเป็นคาเฟ่ของหวานแบบนี้ได้ คนที่หน้าบึ้งที่สุดแน่นอนว่าต้องเป็นไอ้เนตั้น แต่ก็มันเองนั่นแหละที่เลือกสถานที่นัดรวมกลุ่มเป็นร้านนี้ สาเหตุเพราะน้องเหมือนฝัน แฟนของมันทำงานพาร์ทไทม์อยู่ที่นี่ ทั้ง ๆ ที่มีแฟนรวยระดับประเทศ แต่เด็กขยันอย่างเหมือนฝันก็ยังทำงานไม่หยุด ผมเห็นแล้วก็ปวดหัวแทนเนตั้นมัน เพราะถ้าผมมีเงินเป็นหมื่นล้านแบบเนตั้น แต่กลับต้องมานั่งมองแฟนตัวเองเดินเสิร์ฟขนมให้ลูกค้าจนขาแข็งแบบนี้ก็คงหัวเสียไม่น้อย พอมีแฟน ใคร ๆ ก็อยากให้แฟนสบายไม่ต้องลำบากตรากตรำอยู่แล้ว “มึงไม่ได้รู้สึกอะไรกับพรีมเลยจริง ๆ เหรอ” เป็นไอ้มาเฟียที่หันกลับมาถาม สีหน้ามันดูเครียดกว่าทุกคน คงเพราะว่าสำหรับมันพรีมก็เป็นเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง ไหนจะเป็นเพื่อนกับนับดาวอีก ที่วันนี้ผมนัดกับเพื่อนมาเจอกัน เป็นเพราะว่าอยากระบายสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจมาซักระยะหนึ่งให้ใครซักคนฟัง แต่เลือกไม่ถูกก็เลยโทรชวนมันมาทั้งสามคนไปเลย ส่วนพบรักผมไม่ได้ชว
Chris Part . ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเวลาสิบชั่วโมงมันจะนานขนาดนี้ . ผมเดินทางมาคนเดียวด้วยไพรเวทเจ็ทของเนตั้น คนอื่น ๆ ทั้งครอบครัวพรีม ครอบครัวผม และเพื่อน ๆ ของผมจะตามมาทีหลังเนื่องจากทุกคนต้องรอทำเรื่องขอวีซ่า โชคดีที่ผมยังมีวีซ่าที่สามารถเข้าออสเตรเลียได้โดยไม่ต้องขอใหม่อยู่ และก่อนที่ผมจะขึ้นเจ็ทมา เนตั้นก็บอกกับผมว่าจะพยายามใช้เส้นสายช่วยให้ทุกคนได้วีซ่าเร็วขึ้น ผมได้แต่ฝากความหวังไว้ที่มันเพราะตอนนี้ผมไม่สามารถจัดการอะไรได้เลย เพิ่งรู้ว่าการมีอำนาจมันดีแบบนี้ก็วันนี้นี่เอง ตอนนี้ผมอยู่คนเดียวและติดต่อใครไม่ได้ คนเดียวที่ได้เจอและได้คุยด้วยคือเนตั้น ผมไม่ได้แวะไปเจอใครก่อนเพราะต้องรีบเดินทางโดยเร็วที่สุด ทำให้ตอนนี้ความคิดของผมดิ่งมากเพราะไม่มีใครคอยดึงไว้ รวมถึงผมไม่มีโอกาสได้รู้ความคืบหน้าอะไรเลยด้วย ไม่รู้ว่าพรีมผ่าตัดเสร็จหรือยัง ไม่รู้ว่าพรีมกับลูกจะปลอดภัยไหม เพราะความ ไม่รู้อะไรเลย นี่แหละ มันเลยยิ่งทำให้ผมกังวลมากกว่าเดิม ก่อนที่จะขึ้นเครื่องผมได้มีโอกาสหยิบมือถือขึ้นมาดู แบตเตอรี่ที่เคยเต็มขึ้นเตือนสีแดง สายที่ไม่ได้รับกว่าห้าร้อยสายจากทั้งเพื่อนผม ทั้งพ่อแม่พรีม
Chris Part . สรุปแล้วพวกเราทั้งสามคนถูกหมอมิเชลขอร้องกึ่งไล่ให้กลับมาพักผ่อนทั้งหมด เพราะพรีมยังไม่ตื่นภายในเร็ว ๆ นี้แน่นอน ยื้อกันอยู่นานสุดท้ายพวกเราก็ยอมกลับ นิโคลัสขับรถมาส่งผมและแซนดี้ที่บ้าน ส่วนตัวเขาก็กลับไปพักผ่อนที่บ้านตัวเองเหมือนกัน แซนดี้เข้าไปอาบน้ำในห้องนอนเล็ก ที่จริงแล้วตอนที่ผมไม่อยู่แซนดี้มานอนที่ห้องนอนใหญ่เพื่อที่จะได้ดูแลพรีมได้สะดวก พอผมกลับมาเธอก็ไปอยู่ที่ห้องเล็กแทนเพื่อความเหมาะสม ผมเสียบที่ชาร์จแบตกับมือถือ รอให้ไฟวิ่งเข้าสักพักก็เปิดเครื่อง ข้อความเด้งขึ้นทันทีว่าเนตั้นพยายามติดต่อผมเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว ผมรีบโทรกลับไปหามันทันทีเผื่อมีอะไรคืบหน้าจากทางนั้น 'คริส' มันรับสายอย่างรวดเร็ว เหมือนว่ากำลังรอผมอยู่ “เนตั้น กูเห็นมึงโทรมา มีอะไรวะ” 'ทางนั้นเป็นไงบ้าง' “พรีมยังไม่ตื่นเลย ลูกคนโตตัวเล็กมากแต่แข็งแรงดี ส่วนอีกคน...” คอผมแห้งผากเมื่อต้องพูดถึงลูกชาย รู้สึกเจ็บปวดหัวใจที่จะต้องเล่าอาการของลูกออกไปให้ใครฟัง “หมอบอกว่า...ต้องรอดูอาการ” 'ทำไม' “หลายเหตุผลเลยว่ะ กูได้แต่หวังว่าเขาจะรอด” 'ใจเย็น ๆ ก่อนคริส' เนตั้นเอ่ยเตือนเมื่อเสียงผมเริ่มสั่น ถ้
Chris Part . ข้อดีของความรักที่ไม่ได้เริ่มจากร้อย คือเวลาผ่านไปมันจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด . เช้าวันเสาร์ วันนี้พอใจและพีทไปนอนที่บ้านพ่อและแม่ของพรีม ส่วนน้องพอร์ชก็ไปนอนที่บ้านของป๊ากับหม่าม้า เท่ากับว่าวันนี้เราสองคนจะได้ใช้ชีวิตด้วยกันแบบที่ไม่มีลูกอยู่ด้วย ผมรักลูกมากนะ แต่เพราะผมกับพรีมแต่งงานกันตอนที่พรีมท้องแล้ว เพราะฉะนั้นมันน้อยมากจริง ๆ ที่เราจะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสองแบบนี้ เพราะฉะนั้นวันนี้ผมเลยจะเก็บเกี่ยวช่วงเวลานี้ไว้ให้มากที่สุด ผมมองคนขี้เซาที่ยังหลับอยู่ เมื่อคืนพรีมนั่งคิดงานจนดึกดื่น ผมรอจนหลับไปเลยไม่รู้ว่าพรีมเข้านอนตอนไหน แต่ดูจากขอบตาที่คล้ำลงเล็กน้อยก็ทำให้รู้ว่าคงดึกพอสมควร ช่วงนี้พรีมกำลังจะเปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่ พรีมเลยทำงานหนักกว่าปกติ ไหนจะต้องเลี้ยงลูกที่ยังเล็กทั้งสามคนอีก เราสองคนไม่ได้มีเวลาพูดคุยหรือสวีทกันเลย สองเดือนแล้วมั้ง เมคเลิฟครั้งล่าสุดของเรา ผมก้มลงไปหอมแก้มนิ่มเบา ๆ โดยที่ไม่รบกวนคนที่นอนหลับสบายอยู่ ก่อนจะค่อย ๆ ย่องลงจากเตียงและเดินออกมาที่สวนหน้าบ้าน ออสก้าพอเห็นผมปุ๊ปมันก็รีบวิ่งหน้าตั้งมาทันที “โฮ่ง!” “
เวลาเดินเร็วจนใจหาย เผลอแปปเดียวพอใจและพีทก็ต้องเข้าโรงเรียนแล้ว คริสปรึกษากับพรีมค่อนข้างจริงจังสำหรับเรื่องนี้ ทั้งอายุที่ควรให้ลูกเข้าอนุบาลหนึ่ง หรือโรงเรียนที่จะให้ลูกเรียน แต่ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่าช่วงสามถึงห้าขวบจะหาครูมาสอนเด็ก ๆ ที่บ้านเพื่อเตรียมตัวก่อนเข้าโรงเรียนจริง และให้ลูกเริ่มเข้าอนุบาลหนึ่งตอนห้าขวบ คริสเครียดหนักกว่าใครเพื่อน เพราะเขาเคยอ่านเจอมาว่าถ้าส่งลูกเข้าเรียนเร็วไปก็ไม่ดี เด็ก ๆ จะยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ครูก็ไม่ใช่พ่อแม่ที่จะรักและดูแลเด็กได้ดีเท่ากับพ่อแม่แท้ ๆ เขาปรึกษากับพรีม พ่อแม่ของพรีม พ่อแม่ของตัวเอง รวมถึงเพื่อน ๆ ในกลุ่มอยู่หลายเดือน และสุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่าห้าขวบคือช่วงเวลาที่ดีที่สุด ส่วนโรงเรียนเนตั้นเป็นคนแนะนำมา ซึ่งพอได้เข้าไปเดินดูและพูดคุยกับครูหลาย ๆ ครั้งก็ทำให้เขารู้สึกพอใจมากกับโรงเรียนนี้ เมื่อได้โรงเรียนที่ถูกใจแล้วเขาก็สมัครให้ลูกเสร็จสรรพ เพียงไม่นานก็ถึงวันแรกที่ลูก ๆ ต้องไปเรียน เช้าแรกของการพาลูกไปโรงเรียนวุ่นวายเสมอ เขาได้รู้ซึ้งถึงการเป็นพ่อจริง ๆ เมื่อตอนที่ลูกงอแงไม่ยอมตื่นนี่แหละ “พอใจขา ตื่นได้แล้วลูก” “...” เงียบ ไ
Chris Part . สองปีต่อมา . ผมได้แต่คิดว่าบางทีเวลามันก็เดินไวเกินไป เหมือนผมกระพริบตาแค่ครั้งเดียว เวลาก็ล่วงเลยมาสองปีแล้วหลังจากที่ได้ยินคำว่ารักจากพรีม ตอนนี้เราทั้งครอบครัวย้ายกลับมาอยู่ที่ไทยถาวรได้อาทิตย์หนึ่งแล้ว เลยกำหนดที่ควรกลับไปสี่เดือนกว่า เพราะอาชีพของพรีมกำลังเติบโต ผมเลยไม่คิดจะเร่งรัดเธอและเฝ้ารออย่างอดทน พรีมขอเวลาเพิ่มอีกสี่เดือน ผมได้แต่ยิ้มและพยักหน้ารับว่ารอได้ ก็ผมรอเธอมาสองปีแล้ว ทำไมจะรอต่ออีกสี่เดือนไม่ได้ และเมื่อครบสี่เดือนปุ๊ป เราก็ได้ย้ายกลับมาอยู่ที่ประเทศไทยทันที และเนื่องจากความไม่ลงตัวของสองบ้าน ที่อยากให้ผมและพรีมรวมถึงลูก ๆ ไปอยู่ด้วย ผมเลยตัดสินใจสร้างบ้านของตัวเองขึ้นมา และสัญญากับพวกท่านว่าจะพาหลานกลับไปนอนบ้านทุกอาทิตย์สลับกันไป พวกท่านฮึดฮัดนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ยอมตามใจผมและพรีมแต่โดยดี ผมจัดการเรื่องบ้านตั้งแต่ลูกอายุหนึ่งขวบ พรีมให้ผมเป็นคนตัดสนใจเกือบทั้งหมด เพราะผมมีความรู้เรื่องนี้ ส่วนพรีมจะช่วยตัดสินใจแค่บางอย่างเท่านั้น บ้านหลังนี้จึงเป็นบ้านที่ค่อนข้างมีกลิ่นอายของผมอยู่มาก แต่ดูเหมือนว่าพรีมเองก็พอใจกับมันอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะพื้
Pream Part . “ตื่นเต้นไหมพิมมี่” เสียงของนิโคลัสทำให้ฉันละความสนใจจากงานตรงหน้าและหันกลับไปมอง ก่อนจะส่งยิ้มให้เขา “ถ้าบอกว่าไม่เลยค่ะ ฉันไม่รู้สึกตื่นเต้นเลยแม้แต่นิดเดียว แบบนี้บอสจะเชื่อฉันไหมคะ?” “ไม่มีทาง แฟชั่นโชว์แรกของผมตื่นเต้นจนแทบจะเป็นลม คุณจะมาแข็งแกร่งกว่าผมไม่ได้นะ” นิโคลัสตอบกลับขำ ๆ และคำพูดของเขาก็ทำให้ฉันหัวเราะออกมาจนได้ ไม่ว่าเมื่อไหร่นิโคลัสก็มักจะผ่อนคลายความเครียดและความกังวลให้คนอื่นได้เสมอ เขาเก่งเรื่องนี้จริง ๆ “ตื่นเต้นค่ะ แต่ตอนนี้หายตื่นเต้นนิดหนึ่งแล้วเพราะได้คุยกับบอสนี่แหละ” นิโคลัสขำออกมาเสียงดัง ฉันไม่ได้พูดเกินจริงหรืออยากจะยอเขา แต่เพราะพอได้คุยกับนิโคลัสฉันก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นจริง ๆ เรายืนคุยกันได้ไม่นานนิโคลัสก็ถูกตามตัว เขาหันมาชูกำปั้นให้ฉันเป็นเชิงว่าให้สู้ ๆ ก่อนจะเดินตามทีมงานไป ฉันหันกลับมาดูชุดที่เตรียมไว้ให้นางแบบใส่อีกครั้ง มองผลงานของตัวเองด้วยความชื่นใจ กว่าเก้าเดือนที่ฉันลงแรงไปกับมัน วันนี้ผลงานของฉันกำลังจะเปิดเผยให้คนอื่นได้เห็นแล้ว แม้คอลเลคชั่นนี้จะเปิดตัวภายใต้แบรนด์ของนิโคลัส แต่นิโคลัสก็ให้เครดิตฉันร้อยเปอร์เซ็นต์ เขาใช
Pream Part . หนึ่งเดือนต่อมา . “น้องพีท หนูจะเอาอะไรคะลูก หืม... มองน้าไม่หยุดเลยนะคะ” ฉันหัวเราะออกมาเมื่อนับดาวเอาแต่ชวนน้องพีทคุยไม่หยุด น้องพีทกลับมาอยู่ที่บ้านได้สามวันแล้ว พอรู้เรื่องทุกคนก็รีบบินมาเยี่ยมหลานทันที ร่างกายของน้องพีทเติบโตขึ้นเร็วมาก จนคิดไม่ถึงว่าเด็กแก้มกลมคนนี้จะเคยเกือบเอาชีวิตไม่รอดมาก่อน ตอนนี้น้องพีทกลายเป็นเด็กสดใสและคุยเก่งอย่างไม่น่าเชื่อ อาจจะเพราะว่าเขาอยู่โรงพยาบาลมาเป็นเวลานาน เวลาเจอคนเยอะ ๆ เลยตื่นเต้นและคอยแต่จะร้องเรียกหาไม่หยุด ในขณะที่พอใจกลับติดแค่พ่อและแม่มากขึ้น ไม่ค่อยเล่นกับคนอื่น ๆ เหมือนตอนแรก ๆ แล้ว ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ใช่... ในที่สุดพอใจกับคริสก็เข้าขากันได้ แม้จะชอบแหย่กันมากกว่ารักกันก็ตาม... แต่ทุกวันนี้คริสสามารถช่วยฉันกล่อมพอใจนอน ช่วยอาบน้ำ และเปลี่ยนผ้าอ้อมให้พอใจได้โดยที่พอใจไม่โยเยแล้ว เขาแบ่งเบาฉันได้เยอะมากเลยทีเดียว ช่วงสองอาทิตย์ก่อนที่น้องพีทจะออกจากโรงพยาบาล หมอมิเชลให้ฉันลองเอาน้องพีทเข้าเต้า เพราะฉันแจ้งกับหมอไปว่าต้องการให้น้องพีทดื่มนมจากเต้าเป็น วันแรก ๆ น้องพีททำไม่เป็นเลย ฝึกกันอยู่หลายวันจนสุดท้า
Chris Part . “ฉันรักเธอ” “เรื่อง...จริงเหรอ” “เรื่องจริง” ผมยืนยันหนักแน่น “ฉันไม่ได้พูดเพื่อให้เธอหายโกรธ ฉันถามตัวเองมาทั้งคืนแล้ว และคำตอบที่ได้ก็อย่างที่ฉันบอกไป ว่าฉันรักเธอ” พรีมเงียบไป เธอมองหน้าผมนิ่ง ๆ ผมเองก็มองเธอกลับไม่คิดจะหลบตา ผมรู้ดีว่าทั้งประวัติที่ผ่านมาของผม และเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อคืนอาจจะทำให้พรีมไม่มั่นใจ แต่ผมไม่เคยโกหกความรู้สึกตัวเอง ผมไม่คิดจะพูดคำว่ารักออกไปเพียงเพื่อให้พรีมหายโกรธ แต่ผมพูด เพราะผมรู้ตัวแล้วว่าผมรักเธอจริง ๆ “เธอยังไม่เชื่อว่าฉันรักเธอก็ไม่เป็นไร แต่อย่าพูดเหมือนไม่หวงฉันแบบนี้ได้ไหม ฉันเสียใจนะรู้ไหม” พอเห็นว่าพรีมเริ่มอ่อนลงผมก็ใช้ลูกอ้อนทันที ผมใช้วิธีนี้อ้อนหม่าม้าเวลาทำให้หม่าม้าโกรธอยู่บ่อย ๆ ซึ่งก็พิสูจน์แล้วว่าการพูดด้วยเสียงอ่อน ๆ ทำหน้าตาให้น่าสงสารแบบนี้ ใช้ได้ผลกับหม่าม้าทุกครั้ง รวมถึงพรีมด้วย เพราะตอนนี้พรีมกำลังยิ้มออกมาทั้ง ๆ ที่ตาแดง จมูกแดงจากการร้องไห้ก่อนหน้า แต่เพียงแค่ครู่เดียวเธอก็กลับไปทำหน้านิ่งอีกครั้ง “แล้วนายจะอธิบายเรื่องผู้หญิงคนนั้นยังไง ฉันเห็นรูปที่นายจูบกับเธอด้วย” “อย่าใช้คำว่าฉันจ
Chris Part . “แน่ใจนะว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับลูกสาวเจ้าสัวธันเลยจริง ๆ” “ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอจริง ๆ ครับป๊า ผมสาบานได้” ผมจ้องตาป๊านิ่ง ๆ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ป๊าเองก็มองกลับมาด้วยสายตาเดียวกัน ผ่านไปซักพักจึงพยักหน้าเบา ๆ เป็นเชิงว่าท่านเชื่อในสิ่งที่ผมพูด หลังจากที่พรีมเดินเข้าไปดูพอใจ ผมที่ตั้งใจว่าจะเดินตามพรีมไปก็ถูกหม่าม้าขวางไว้เสียก่อน ผมรู้ว่าหม่าม้าต้องการคำอธิบาย แต่ผมก็อยากเข้าไปอธิบายเรื่องนี้ให้พรีมฟังเหมือนกัน . “ม้า ผมต้องคุยกับพรีม” “ม้ารู้ แต่ตอนนี้หนูพรีมยังไม่พร้อมที่จะรับฟัง ให้เวลาเธอหน่อย” “แต่...” “ฉันเห็นด้วย ถ้าพรีมเดินหนีแบบนี้ไม่ได้แปลว่าเขาไม่อยากฟังหรือไม่อยากคุย แต่พรีมกำลังต้องการเวลาได้ทบทวนตัวเอง ตอนนี้พอใจก็ร้องอยู่ด้วย ค่อยคุยกันเถอะ” “...” “เชื่อฉันสิ ฉันเป็นแม่ของพรีมเขานะ” . สุดท้ายผมยอมจำนนต่อคุณพิมพ์นภา เราทั้งห้าคนย้ายมานั่งคุยกันที่โต๊ะกินข้าว เสียงร้องไห้ของพอใจดังขึ้นเกือบสิบนาที ทุกคนล้วนกังวลเพราะพอใจไม่เคยร้องไห้นานขนาดนี้มาก่อน แต่สุดท้ายเสียงนั้นก็เงียบลง ผมจึงตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผู้ใหญ่ทั้งสี่ฟัง ตั้งแต่ที่ผ
Chris part . “ทำไมนานจัง” พรีมเอ่ยทักเมื่อผมเดินกลับเข้ามาในบ้าน ผมมองพอใจที่หลับไปแล้ว ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งข้าง ๆ พรีม “เป็นอะไรหรือเปล่า” “ฉันอัปรูปลูกลงไอจีไปแล้ว” “อืม... แล้วทำไมทำหน้าแบบนั้น” พรีมเอื้อมมือมาปัดเส้นผมที่กำลังจะทิ่มตาออกให้ ผมเลยอาศัยจังหวะนั้นเอนหัวพิงไหล่ของเธอ ไม่รู้ทำไมจู่ ๆ ก็อยากอ้อนพรีมขึ้นมาดื้อ ๆ “คนมาคอมเมนต์สงสัยและจับผิดเต็มเลยว่าเธอท้องก่อนแต่ง” ผมถอนหายใจ เลือกเล่าความไม่สบายที่สามารถเล่าได้ให้พรีมฟัง ส่วนอีกเรื่อง...มันยังไม่ถึงเวลา “ขอโทษนะ เรื่องแบบนี้มีแต่เธอที่เสียหายอยู่คนเดียว” “เราคุยกันแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าเราจะรับความจริงให้ได้ ก็ฉันท้องก่อนแต่งจริง ๆ นี่นา ต่อให้คนไม่สงสัยตอนนี้ต่อไปก็ต้องสงสัยอยู่ดี มันไม่มีอะไรที่ปิดได้ตลอดไปหรอกนะ” “ฉันรู้ แต่...” “อีกอย่าง... การที่มีพอใจกับพีทมันไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรเลย ฉันต้องขอบคุณนายด้วยซ้ำ ที่ทำให้ฉันมีลูกน่ารัก ๆ แบบนี้ตั้งสองคน” “พรีม...” ผมหันไปกลับไปมองเธอ พรีมกำลังส่งยิ้มมาให้บาง ๆ พรีมเป็นผู้หญิงหน้าหวานที่มีจิตใจแข็งแกร่งมากจริง ๆ หลายครั้งที่ผมนับถือความเด็ดเดี่ยวของเธอ ตั้งแต่ที่ต
Chris Part . “ถามอะไรหน่อยสิแซนดี้” ผมอาศัยจังหวะที่พรีมกำลังคุยกับคุณพิมพ์นภาอยู่ ดึงตัวแซนดี้ที่แวะมาเยี่ยมออกมาคุยเป็นการส่วนตัวที่สวนหลังบ้าน เพราะผมมีเรื่องที่สงสัยและอยากรู้คำตอบมานานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาสได้ถามเธอ จนตอนนี้อีกสองวันลูกผมก็จะอายุครบหนึ่งเดือนแล้ว และผมไม่อยากปล่อยให้เรื่องมันนานไปมากกว่านี้ “ถามอะไร?" “เรื่องคุณนัญ” แซนดี้ขมวดคิ้ว เหมือนว่าเธอจะจำชื่อคุณนัญไม่ได้ “ผู้หญิงที่เธอกล่าวหาว่าฉันนอกใจพรีมไง” “ฉันไม่ได้กล่าวหา” “แล้วมีหลักฐานหรือไง” เข้าทางผมพอดี เพราะถ้าถามตรง ๆ แซนดี้อาจจะไม่ยอมบอกก็ได้ใครจะไปรู้ ต้องท้าทายแบบนี้แหละ “มีสิ ไม่มีจะพูดได้ยัง ฉันไม่ใช่คนปากพล่อยนะ” “แล้วหลักฐานมันคืออะไรล่ะ” ผมต้อนถามไปเรื่อย ๆ “ก็มีคนส่งคลิปนายกับผู้หญิงคนนั้นมาให้พิมมี่ดูในไอจี ส่งมาแทบจะวันเว้นวันด้วยซ้ำ” “คลิป?” ผมขมวดคิ้ว ทุกครั้งที่ผมกับคุณนัญออกไปคุยงานกันก็มักจะคุยที่โรงแรมเดิม ตรงส่วนที่เป็นคาเฟ่แต่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวระดับหนึ่ง แถมคุณนัญก็มีบอดี้การ์ดตามประกบตลอด ไม่คิดว่าจะมีคนแอบถ่ายคลิปให้ผมได้ แถมส่งให้พรีมเกือบทุกวันอีก แปลว่าคน ๆ นี้ต้องติดตามผมมาซ