“หน้าตาก็ดูใจดีนะแต่ข้างในจริงๆใจร้ายฉิบหาย”เมื่อเดินมาถึงทางเลี้ยวเสียงตำหนิที่นุ่มนวลของใครบางคนก็ดังขึ้นก่อนที่พ่อเลี้ยงแสงหล้าจะมองหาที่มาของเสียงจนกระทั่งสายตาปะทะเข้ากับใบหน้าเจ้าเล่ห์ที่ขยับมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าพร้อมฉีกยิ้มให้พ่อเลี้ยงแสงหล้าอย่างยียวนซึ่งมองดูก็รู้ว่าคนๆนี้กำลังตั้งใจกวนประสาทเขาอยู่กลิ่นอายสังหารที่ออกมาจากร่างสูงของคนที่แนะนำตัวเองว่าเป็นตาของเจ้าเด็กหนุ่มคนนั้นทำให้พ่อเลี้ยงแสงหล้าขมวดคิ้วเล็กน้อย ถึงเขาจะไม่ใช่คนที่คลุกคลีอยู่ในวงการนักเลงหัวไม้หรือผู้มีอิทธิพลที่ชอบฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาอย่างใครหลายๆคนที่เขารู้จักกันแต่พ่อเลี้ยงแสงหล้าก็พอจะมองออกว่าผู้ชายตรงหน้านั้นค่อนข้างไม่ธรรมดาและค่อนข้างอันตรายต่อชีวิตของคนที่ตั้งตัวเป็นศัตรู“คิดเองเออเองแล้วก็มากล่าวหาว่าคนอื่นใจร้ายแบบนี้ดูไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่นะครับ”พ่อเลี้ยงแสงหล้าตอบกลับคนตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนที่เขาจะก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างไม่อยากเสียเวลาสนทนากับกฤษฎิ์ที่รีบก้าวตามไปขวางหน้าพ่อเลี้ยงแสงหล้าเอาไว้ทันที“ถ้าคิดว่าไม่ถูกต้องก็มาทำความเข้าใจกันหน่อยเป็นไงครับ ผมก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าความ
“หลับแล้วเหรอคะหลานย่า”เมื่อเข้ามาในห้องพักผู้ป่วยแก้มใสก็ตรงดิ่งเข้าไปหาหลานสาวตัวน้อยที่กำลังนอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงพร้อมกับยื่นมือไปสัมผัสแก้มอวบขาวของแพรไหมอย่างแผ่วเบาใบหน้าสวยใสไร้ริ้วรอยในวัย 47 ปีเผยรอยยิ้มออกมาน้อยๆด้วยความเอ็นดูหลานสาวที่กำลังนอนหลับสนิท“ดื่มนมอิ่มก็หลับปุ๋ยเลย ช่างเป็นเด็กเลี้ยงง่ายจริงๆ”ที่รักที่รับหน้าที่กล่อมเหลนน้อยนอนเอ่ยบอกแก้มใสด้วยรอยยิ้มเช่นกันก่อนที่แก้มใสจะลุกขึ้นมานั่งลงข้างๆมารดาพร้อมกับซบใบหน้าเล็กของเธอลงบนไหล่ของท่านอย่างแสนรัก“ทำไมวันนี้ถึงมาที่นี่ได้ล่ะลูก ไหนเมื่อเช้าแก้มใสบอกแม่ขาว่าจะเข้าบริษัทไปประชุมสรุปกำไรประจำสัปดาห์แล้วทำไมอยู่ ๆถึงมาโผล่ที่โรงพยาบาลได้”ที่รักหรี่ตามองลูกสาวอย่างจับผิดในขณะที่แก้มใสได้แต่ผินหน้าไปทางอื่นเพื่อไม่ให้มารดารู้ว่าเธอแอบหนีงานเพื่อมาสืบข่าวเรื่องปู่ของหม่อนไหม“ช่างเถอะแม่ขาก็ถามไปอย่างนั้นแหละ นิสัยชอบโดดงานของเราแม่ขาชินแล้วล่ะเพราะปกติเราก็ชอบไปโผล่ที่นั่นที่นี่อยู่เรื่อย”ได้ยินดังนั้นแก้มใสก็หันมายิ้มหวานให้มารดาทันทีทำให้ที่รักได้แต่มองลูกสาวอย่างฝากไว้ก่อนก่อนที่เธอจะหันหน้าไปหาสามีที่กำลังนั
เพราะยังคงทำใจไม่ได้ที่จะต้องแยกห่างจากรามสูรคืนนั้นทั้งคืนหม่อนไหมจึงนอนไม่หลับส่งผลให้ร่างกายของเธออ่อนเพลียและครั่นเนื้อ ครั่นตัว คล้ายกำลังจะเป็นไข้ทำให้กฤษฎิ์ที่แวะมาเยี่ยมรามสูรกับหม่อนไหมตามปกติถึงกับสั่งให้เธอนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลต่ออีกสองวันเพื่อรอดูอาการหากเธอมีอาการผิดปกติทีมแพทย์จะได้ทำการรักษาได้ทันท่วงทีส่วนพ่อเลี้ยงแสงหล้าเมื่อทราบข่าวว่าหลานสาวไม่สบายก็รีบเดินทางมาเยี่ยมหม่อนไหมที่โรงพยาบาลทันทีด้วยความเป็นห่วงถึงแม้ในใจจะยังคงโกรธหลานสาวอยู่มากก็ตาม แต่เมื่อเขาได้เห็นใบหน้าที่ซีดเผือดของหม่อนไหมหัวใจที่แข็งกระด้างของพ่อเลี้ยงแสงหล้าก็พลันอ่อนยวบด้วยความสงสาร“หนูหม่อนหลานย่า”ทันทีที่เห็นใบหน้าขาวซีดของหม่อนไหมแม่เลี้ยงเอื้องคำก็รีบเดินเข้ามาหาเธอด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับยื่นมือมากุมมือของหลานสาวเอาไว้ด้วยความสงสาร เพราะอาการป่วยไข้หลังคลอดเคยเกิดขึ้นกับเธอตอนที่คลอดอติรุจน์บิดาของหม่อนไหมซึ่งครั้งนั้นกว่าเอื้องคำจะหายดีและกลับมาแข็งแรงก็กินเวลานานเกือบสองสัปดาห์ทีเดียว“ย่าร้องไห้ทำไมคะหนูหม่อนไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย”เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่อ่อนระโหยของหม่อ
หลังจากที่นอนพักรักษาตัวดูอาการอยู่สองวันเต็มอาการไข้ของหม่อนไหมก็ค่อยๆดีขึ้นตามลำดับโดยไม่มีอาการอื่นแทรกซ้อนทำให้กฤษฎิ์อนุญาตให้หม่อนไหมเดินทางกลับมาพักฟื้นที่ร่างกายที่บ้านโดยที่มีรามสูรคอยดูแลอยู่ไม่ห่างส่วนแพรไหมที่เป็นขวัญใจของคนในบ้านก็มีแม่แก้มใสกับคุณยายที่รักที่คอยช่วยดูแลจนกระทั่งสุขภาพของหม่อนไหมค่อยๆแข็งแรงขึ้นเธอก็กลับมารับบทบาทแม่ลูกอ่อนอย่างเต็มตัว การเลี้ยงแพรไหมนั้นไม่ได้ง่ายเลยแม้แต่น้อยเมื่อบางวันเธอก็ได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มอิ่มแต่บางวันเธอกับรามสูรก็เกือบโต้รุ่งกันทีเดียวเพราะพลังดีดของเด็กหญิงแพรไหมที่ส่งเสียงชวนบิดากับมารดาคุยไม่หยุดทำให้เช้าวันเดินกลับเชียงใหม่ขอบตาของคุณพ่อคุณแม่มือใหม่นั้นได้กลายเป็นหมีแพนด้าไปเสียแล้ว“เมื่อคืนไม่ได้นอนเลยเหรอลูก”แก้มใสเอ่ยถามลูกชายกับลูกสะใภ้ที่พร้อมใจกันพยักหน้ารับคำพูดของเธออย่างพร้อมเพรียงด้วยท่าทางอิดโรยที่แก้มใสมองแวบเดียวก็รู้ว่าทั้งคู่แทบไม่ได้นอนพักผ่อน“หลานแม่แก้มดีดเหลือเกินครับ ตีสองแล้วก็ยังตาใสแป๋วชวนพ่อกับแม่คุยไม่ยอมนอนเลย”รามสูรเอ่ยบอกมารดาด้วยสีหน้าอ่อนเพลียก่อนที่เขาจะหันไปฟัดแก้มลูกสาวตัวน้อยที่ตื่
หลังจากที่ทานมื้อเที่ยงและปะทะคารมกันพอหอมปากหอมคอแล้วพ่อเลี้ยงแสงหล้าก็ให้สิงคำกับฝ้ายคำพากฤษฎิ์และครอบครัวไปยังที่พักที่เขาได้จัดเตรียมเอาไว้ให้ยกเว้นรามสูรกับหม่อนไหมที่พ่อเลี้ยงแสงหล้าเอ่ยปากรั้งไว้เพื่อคุยเรื่องสำคัญที่เป็นหนึ่งในแผนการทดสอบความอดทนของว่าที่หลานเขยอย่างรามสูร“ปู่อยากให้หนูหม่อนพักอยู่ที่ห้องของหนูเหมือนเดิม ส่วนรามสูรก็ให้แยกไปพักกับครอบครัวที่เรือนรับรองปู่จัดห้องเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว”“คุณปู่ว่ายังไงนะครับ”รามสูรเอ่ยถามพ่อเลี้ยงแสงหล้าเสียงดังอย่างลืมตัวด้วยความตกใจหม่อนไหมที่นั่งอยู่ข้างๆรามสูรเองก็เงยหน้ามองผู้เป็นปู่อย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเช่นกัน“คุณปู่คะพี่รามเป็นสามีของหนูหม่อนเป็นพ่อของหนูแพรอยู่ ๆจะให้เราสามคนพ่อแม่ลูกแยกกันอยู่ไม่ใจร้ายเกินไปหน่อยเหรอคะ”หม่อนไหมเอ่ยถามผู้เป็นปู่ด้วยน้ำเสียงตัดพ้อมือของเธอยื่นไปจับมือของรามสูรเอาไว้แน่นอย่างไม่ยินยอมในขณะที่แม่เลี้ยงเอื้องคำมองหลานสาวด้วยความรู้สึกเห็นอกเห็นใจเพราะถึงแม้ความรักของหม่อนไหมกับรามสูรจะก้าวข้ามขั้นตอนประเพณีไทยไปแบบก้าวกระโดด แต่ในเมื่อทั้งคู่มีลูกด้วยกันแล้วแม่เลี้ยงเอื้องคำ
“เอ้กอี๊เอ้กเอ้ก”เสียงไก่ขันในยามเช้าทำให้รามสูรที่กำลังนอนหลับสบายถึงกับสะดุ้งรู้สึกตัวลืมตาตื่นขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศที่ปกคลุมไปด้วยไอหมอก การเคลื่อนไหวของรามสูรแม้จะเป็นเพียงเล็กน้อยแต่กลับทำให้หม่อนไหมที่นอนซบอยู่บนแผงอกแกร่งพลอยสะดุ้งตื่นตามไปด้วยรามสูรรีบเลื่อนมือมาตบเบาๆที่บั้นท้ายงอนงามของหม่อนไหมเพื่อกล่อมให้เธอนอนต่อแต่หม่อนไหมกลับยกมือขึ้นขยี้ตาไปมาเบาๆพร้อมเงยหน้าขึ้นมองสันกรามของรามสูรฝ่าความมืดด้วยความรู้สึกอาลัยอาวรณ์อ้อมกอดอบอุ่นที่กำลังจะจากไป“พี่รามต้องไปแล้วนะคะเดี๋ยวคุณปู่หนูหม่อนมาเห็นจะโดนดุเอา”รามสูรกระซิบชิดใบหูหอมกรุ่นของหม่อนไหมที่ถูไถใบหน้าไปมาบนแผงอกกว้างของเขาก่อนที่เธอจะกอดเอวของรามสูรเอาไว้ไม่ยอมปล่อย“นอนต่ออีกนิดไม่ได้เหรอคะ หนูหม่อนยังอยากนอนกอดพี่รามอยู่เลย”หม่อนไหมเอ่ยคำอ้อนด้วยน้ำเสียงอู้อี้ก่อนที่รามสูรจะประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากมนแผ่วเบาอย่างต้องการเอาใจเมียเด็กที่กำลังงอแงไม่อยากให้เขากลับห้องพัก“รอหน่อยนะคะเด็กดีพี่รามสัญญาว่าอีกไม่นานเราจะได้เข้านอนพร้อมกันและตื่นพร้อมกันเหมือนเดิมแน่นอนค่ะ”น้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยนเอ่ยบอกหม่อนไหมที่มองหน้
บรรยากาศภายในโฮมสเตย์ของพ่อเลี้ยงแสงหล้านั้นชวนให้รู้สึกผ่อนคลายสบายอารมณ์ไม่น้อยสวนดอกไม้นานาพันธ์ที่กำลังผลิดอกต้อนรับหน้าฝนส่งกลิ่นหอมกระจายไปทั่วบริเวณ สีสันของดอกไม้หลากสีชวนให้ผู้ที่พบเห็นสะดุดตาจนต้องเดินเข้าไปชมความงามของดอกไม้ใกล้ๆด้วยความรู้สึกสดชื่นพร้อมทั้งถ่ายรูปเก็บภาพความสวยงามเหล่านี่เอาไว้ในม้วนฟิล์มที่เปรียบเสมือนกล่องบันทึกความทรงจำของใครหลายๆคนนักท่องเที่ยวที่ตื่นตั้งแต่เช้าค่อยๆทยอยพากันออกจากที่พักเพื่อไปเยี่ยมชมความสวยงามของโฮมสเตย์ที่มีทั้งสวนผักออแกนิคที่เชื่อมต่อกับไร่ผลไม้ขนาดห้าสิบไร่ที่ปลูกไม้ผลเช่น ส้มหลากสายพันธ์ มะปรางหวานฉ่ำ มะยงชิดผลโตๆ อโวคาโดเนื้อนุ่มละมุนลิ้น ลิ้นจี่หอมหวาน ทุเรียนพันธ์หายาก รวมไปถึงสตรอเบอรีสีแดงเนื้อหวาน ซึ่งผลไม้เหล่านี้ล้วนเป็นผลไม้ส่งออกไปขายยังต่างประเทศทั้งสิ้นถัดจากไร่ผลไม้ยังมีไร่นาอีกสี่สิบไร่ที่ปลูกข้าวนาปีแบบขั้นบันไดเอาไว้ให้นักท่องเที่ยวได้เดินเยี่ยมชมบรรยากาศของท้องทุ่งทั้งในยามเช้าและยามเย็น ซึ่งตอนนี้ท้องนานั้นว่างเปล่าไร้ต้นกล้าเพราะอยู่ในช่วงฤดูของการไถ่นาปลูกข้าวและวันนี้พ่อเลี้ยงแสงหล้าก็ตั้งใจพารามสูรมาเรียน
หลังจากที่ได้เรียนรู้วิถีชีวิตของการเป็นชาวนาถึงหนึ่งสัปดาห์เต็มพ่อเลี้ยงแสงหล้าก็พารามสูรเปลี่ยนมาเรียนรู้วิถีชีวิตของการเป็นชาวไร่ซึ่งเป็นหัวใจหลักของบททดสอบในครั้งนี้เพราะการเก็บผลไม้ตามฤดูกาลและส่งออกต่างประเทศคือรายได้หลักของไร่เคียงดาว“ไถนาแล้วก็มาขนขี้วัวทำปุ๋ย นี่มันจงใจแกล้งกันชัดๆ”กฤษฎิ์บ่นพึมพำอยู่เพียงลำพังพร้อมมองดูหลานชายกับลูกเขยที่ช่วยกันขนมูลสัตว์ออกมาจากคอกวัวเพื่อเตรียมทำปุ๋ยหมักชีวภาพเพื่อเก็บไว้ใส่ผักออแกนิคและผลไม้ในไร่“กล่าวหากันเกินไปแล้วนะครับ ผมเปล่าแกล้งสักหน่อย”เสียงที่ดังอยู่ทางด้านหลังทำให้กฤษฎิ์สะดุ้งน้อยๆด้วยความตกใจก่อนที่เขาจะหันมาเผชิญหน้ากับพ่อเลี้ยงแสงหล้าที่ไม่รู้ว่ามาหยุดยืนอยู่ด้านหลังของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้“เปล่าแกล้งตรงไหนไถนาเสร็จก็พามาเดินเข้าๆออกๆคอกวัวเนี่ยนะ” กฤษฎิ์เชิดหน้าต่อว่าพ่อเลี้ยงแสงหล้าด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์“จะมาเป็นหลานเขยชาวไร่ชาวนาอย่างผมก็ต้องเรียนรู้เรื่องพวกนี้ติดตัวเอาไว้หรือถ้าไม่อยากทำแล้วก็เชิญครับ เชิญเก็บข้าวของและออกไปจากที่นี่ได้เลยผมจะได้หาสามีใหม่ให้หลานสาวของผม”จบประโยคสีหน้าของพ่อเลี้ยงแสงหล้าพลั