สุดท้ายฉันก็จนใจ ไม่กล้าตัดสายด้วย เลยเอาโทรศัพท์มาแนบหู
[เฮ้ย รับแล้ว! เฮ้ย เค้ารับโทรศัพท์กูว่ะไอ้เดี่ยว!] ฉันเอาโทรศัพท์ออกห่างจากหูทันทีที่กดรับสายเสียงตะโกนท่าทางดีใจสุดๆ ของฉลามดุก็ดังขึ้นลั่นโทรศัพท์เหมือนเด็กเวลาที่ได้รถบังคับที่ถูกใจ ก่อนที่เหมือนจะเป็นเสียงของเขาที่ตีกันกับใครสักคน มีเสียงปาข้าวของด้วย จนกระทั่งเสียงทุ้มกลับมาทักอีกครั้ง [ไง]
“อะ... โทรมามีอะไรเหรอ” เสียงของฉันสั่นและเบามาก ฉันได้ยินเขาหัวเราะ แล้วพอฉลามดุตอบกลับมาเท่านั้นแหละ
[คิดถึงจะตาย] ฉันก็... อยู่ดีๆ ก็ตัวชาไปหมดเลย [เราไม่ชอบพิมพ์ข้อความ ชอบคุยต่อหน้ามากกว่าไง]
“...”
[แต่พอเธอกลับห้องเราก็ไม่รู้จะเจอหน้ายังไง ก็เลยโทรหา] ฉันฟังเสียงเขาเงียบๆ เพราะอายจนไม่กล้าที่จะพูดอะไร จนเสียงทุ้มต่ำดูเท่นิดๆ ของเขาดังขึ้นอีก [ไม่นอนเหรอนิ้ง]
“ก็คุณโทรมา...” ฉันพูดเสียงอ่อน แล้วเขาก็หัวเราะในลำคอ
[เฮ้ย เราก็แค่จะมากล่อมเธอนอนไง] เขาพูด [เผื่อจะฝันถึงเราไรงี้]
“มะ... ไม่ฝันหรอก”
[เออก็ได้ ไม่ฝันก็ไม่ฝันวะ] เสียงของเขากลั้วหัวเราะอยู่ตลอดเวลาเหมือนเจ้าตัวมีความสุขมากมาย ก่อนที่เสียงเขาจะห่างออกไปเหมือนกำลังคุยกับเพื่อน [เฮ้ย เหี้ยเดี่ยว มึงเอากีต้าร์กูมานี่]
“...”
[กูจะเล่นให้ว่าที่แฟนกูฟัง] ฉันหน้าร้อนขึ้นมาเมื่อได้ยินเขาตอบเพื่อน ฉันไม่ได้ยินเสียงเพื่อนเขาหรอก แต่ได้ยินเสียงเขาเต็มๆ เลย ว่าที่แฟนอะไรกันน่ะ [เออ อย่าแซว เดี๋ยวกูตบคว่ำ]
“...”
[มึงจะให้หรือไม่ให้ อย่ามาล้อเลียนดิ๊] เขาตวาดด้วย [นิ้งรอนานแล้ว มึงนี่แม่ง...!]
ฉันสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเหมือนปลายสายขว้างอะไรสักอย่างไปหาเพื่อนเขาจนมันกระแทกอะไรก็ไม่รู้เสียงดังมาก เสียงเซ็งแซ่ดังขึ้นอีกหลังจากนั้น เหมือนเขาวางโทรศัพท์แล้วเดินห่างออกไปเอาเรื่องเพื่อนเขาเลย จนกระทั่งฉันได้ยินเสียงเขาเอาโทรศัพท์มาแนบหู มันเป็นเสียงตะกุกตะกัก แล้วก็ไม่รู้ทำไมฉันถึงต้องรอเขากลับมาคุยด้วยนะ ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ
[มาแล้ว] ฉันได้ยินเสียงเขาดีดกีต้าร์คลอเบาๆ แล้วพูดเหมือนเมื่อกี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น [ง่วงนอนยัง]
“เอ่อ...” ฉันตัดสินใจที่จะโกหก “ง่วงแล้วล่ะ”
ที่ไหนกันล่ะ ฉันตาสว่างตั้งแต่เขาโทรมาหาแล้ว
[งั้นเดี๋ยวร้องเพลงกล่อม เอาปะ?]
ฉันนิ่งไป
“เล่นกีต้าร์เป็นด้วยเหรอ” ฉันตัดสินใจถามเขาตามที่สงสัย
[เอากีต้าร์มาเล่นขนาดนี้คงเล่นไม่เป็นมั้ง] ฉันชะงักไปเมื่อเขากวนประสาท แล้วไม่ได้ตอบอะไรกลับไปจนเขาต้องพูดขึ้นมาอีก [โทษที ไม่แกล้งล่ะ โกรธเหรอ]
“กะ... ก็ไม่ได้โกรธค่ะ”
[โอเค ไม่ได้โกรธก็ไม่ได้โกรธ]
เขาว่าง่ายจังนะ
[เพลงไรดี] พอเห็นว่าฉันเงียบไป อีกฝ่ายก็พูดเหมือนกำลังถามตัวเอง แล้วก็เริ่มดีดกีต้าร์คลอขึ้นมาเบาๆ เป็นเพลงจังหวะช้าๆ ในขณะที่จะพึมพำในลำคอ แต่ฉันกลับได้ยิน [ไม่กล้าร้องว่ะ... ช่วงนี้ไม่ได้วอร์มเสียงเลย เพี้ยนสะเด็ด]
ฉันเกือบจะหลุดขำ แต่ก็กลั้นเอาไว้ทัน
“...”
[อย่าเงียบดิวะเธอ แนะเพลงหน่อย]
“เอ่อ... เพลงอะไรก็ได้จ้ะ”
[เพลงนี้มั้ย] เขาโพล่งแทรกขึ้นมา แล้วเริ่มเล่นเพลงที่ฉันไม่รู้จัก ฉันค่อยๆ ล้มตัวลงนอนเบาๆ เพราะกลัวจะทำส้มหวานตื่น แล้วฟังเสียงกีต้าร์ที่เขาเล่น ถือว่าใช้ได้เลยล่ะ ในขณะที่ฉันจะค่อยๆ หลับตาลง [... ดีมั้ย]
ฉันได้ยินเสียงเขานะ แต่ฉันเริ่มง่วงแล้วล่ะ
[นิ้ง หลับยังวะเนี่ย เงียบเลย]
“... อื้อ” ฉันครางกลับไป แล้วเขาก็หัวเราะกลับมา
[เสียงตอนเธอละเมอน่าจับฟัดจังอ่ะ]
ฉันได้ยินเขาพูดเรื่องน่าอายด้วย แต่ฉันไม่มีอารมณ์จะมาโวยวายเขาแล้ว ตาของฉันหนักอึ้ง ในขณะที่จะได้ยินเสียงเขาดังก้องอยู่ในหู ฉลามดุเรียกชื่อฉันอยู่สองสามครั้ง
ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลงไปซะดื้อๆ
[พาร์ท : ฉลามดุ]
อะไรวะ เงียบเลย
นิ้งหลับไปแล้ว?
“เล่นเพลงอะไรของมึงเนี่ยไอ้หลาม เลี่ยน” ผมผละจากโทรศัพท์ไปยังหน้าไอ้เดี่ยว มันเป็นเพื่อนรักเพื่อนตายของผมเอง รักกันมาก แต่ดูมันพูดกับกูดิ ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ ผมจะเอากีต้าร์มาเล่นให้นิ้งฟังเผื่อได้คะแนนหัวใจ แต่มันก็กวนส้นอยู่ได้ “มัวแต่คุยกับแฟน ลืมเพื่อนเลยนะมึง”
“หลับไปล่ะ” ผมพูดสั้นๆ แล้วตัดสินใจไม่ตัดสาย คืออาจฟังดูโรคจิตนิดหน่อย แต่ผมอยากฟังเสียงหายใจของเธอตอนนอนไง “ผู้หญิงอะไรน่ารักชิบหายเลย”
“มึงจะพูดว่าน่าปล้ำว่างั้นเหอะ”
“ไอ้เหี้ย” ผมทำสีหน้าถมึงทึง แต่ในใจก็คิดงั้น ถึงมันจะดูคิดถลำลึกไปนิด “โคตรเซ็ง นิ้งนอนเร็วกว่าที่กูคิดอ่ะ กูกะจะคุยนานๆ”
อันนี้จากใจจริง ผมอุตส่าห์หน้าด้านโทรไปหาเธอทั้งๆ ที่เพิ่งคุยกันวันแรก ถึงจะตกใจที่นิ้งรับสายก็เหอะ แต่ก็ดีแล้วไง เธออาจมีใจให้ผมนิดๆ แล้วก็ได้
ผมคิดแล้วถอดเสื้อเปลี่ยนเป็นเสื้อกล้ามที่ผมมักใส่นอนเป็นประจำ แล้วคว้าโทรศัพท์ขึ้นไปล้มตัวนอนบนเตียง หาหูฟังด้วย จะได้ฟังเธอตอนหลับ นี่ถ้าตอนนี้คนที่นอนอยู่ข้างๆ ผมไม่ใช่ไอ้เดี่ยวแต่เป็นคะนิ้งล่ะก็ ผมคงนอนหลับฝันดีแน่ๆ
“มึงเคยอินดี้นึกอยากฟังเพลงก่อนนอนด้วยเหรอวะ” เพื่อนรักชิบหายมองหน้าผมในขณะที่มันนอนเล่น GTA V อยู่ ผมไหวไหล่ แล้วเสียบหูฟังอย่างรวดเร็ว
“กูจะฟังเสียงหายใจนิ้งตอนนอน” มันทำหน้าขยะแขยงทันทีที่ผมพูดจบ
“ไอ้หลาม ไอ้วิตถารโรคจิต”
“กูจะไม่ตัดสายแน่”
“ไอ้กาเมสุมิจฉา”
“เออ รู้ว่าเคยบวช แต่ไม่อยากฟัง” ผมทำสีหน้าหาเรื่องเพื่อบอกว่าผมเอาจริง ไอ้เดี่ยวก็เลยยักไหล่อย่างกวนประสาทแล้วยอมสงบปากสงบคำเล่นเกมต่อไปเงียบๆ แต่โดยดี
ผมหันไปใจจดใจจ่อกับสายของคะนิ้งต่อ แล้วผมก็ได้ยินเสียงหายใจของเธอดังเล็ดลอดเข้ามา มันเหมือนเสียงลมว่ะ แผ่วๆ น่ารักๆ พูดแล้วก็อยากให้คนที่นอนอยู่ข้างๆ เป็นเธอจริงๆ เลยว่ะ เชื่อดิ ผมจะจับหอมซ้ายหอมขวา ซบจนข้ามคืน
พูดแล้วก็นึกถึงตอนที่เจอเธอวันแรก
คือวันนั้นผมมีเรื่องไง สะสางกับอริเก่าที่เทคนิกฝั่งตรงข้ามเล็กน้อย ตะลุมบอนกันเสร็จอะไรเสร็จก็เดินกลับบ้านเพราะผมไม่ได้เอามอเตอร์ไซค์ลูกรักผมมาด้วย ผมจำได้ว่าผมเห็นเธอเดินกลับบ้านกับเพื่อน ก็เห็นเธอเดินแค่กับยัยคนนั้นคนเดียวนั่นแหละ คือรู้อะไรมั้ย ตอนที่เธอเดินผ่านผมแล้วมันเป็นจังหวะที่เธอคุยอะไรไม่รู้แล้วหัวเราะ
เชื่อมั้ย นาทีนั้นเหมือนเห็นตุ๊กตาเดินได้ ถึงสภาพตอนนั้นจะร่อแร่ แต่ก็แทบละลาย
ผู้หญิงอะไรวะ น่ารักขยี้ใจสิ้นดี
แล้วตั้งแต่วันนั้นผมก็แอบมาด้อมๆ มองๆ เธอแถวๆ หน้ามหาลัยอยู่บ่อยๆ คือเข้าใจฟิลรักแรกพบมั้ย แบบเห็นแล้วคิดเลยว่าคนนี้แหละแม่ของลูกในอนาคต ผมมองเธอมาประมาณเดือนกว่าๆ โดยที่เธอไม่รู้ตัว จนวันนี้ไม่รู้เกิดความกล้าเหี้ยอะไรขึ้นมาถึงไปยืนดักอยู่ในมหาลัย แล้วตัดสินใจเรียกชื่อเธอ จนกระทั่งมาขอเบอร์ (แบบบีบบังคับนิดๆ)
พอได้คุยผมก็ยิ่งรักยิ่งหลงเข้าไปอีก แล้วพอเธอหลับไปทั้งๆ ที่คุยกับผมนะ
คือเหมือนเธอแม่งไว้ใจผมอ่ะ เหี้ย เขินว่ะ คิดเองเขินเอง
ผมหลงรักผู้หญิงคนหนึ่งแบบโงหัวไม่ขึ้นแค่เพราะเห็นเธอยิ้ม แค่นิ้งมายืนอยู่ตรงหน้า ผมแม่งก็อยากจะดิ้นตรงหน้าเธอเลย
อย่า... อย่าให้เจออีกทีนะเว้ย
น่ารักขนาดนี้ ถ้าจีบไม่ติด ไม่ได้คบเป็นแฟนคงเสียชาติเกิด
[จบพาร์ท : ฉลามดุ]
ฉันตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้นก่อนที่จะต้องเด้งตัวขึ้นมาเพราะลืมไปว่าโทรสายกับฉลามดุค้างไว้ พอกดเปิดโทรศัพท์ดูฉันก็ต้องเบิกตากว้างสายยังไม่ถูกกดวางเลยอ่ะ! นี่ฉันโทรคุยกับเขาทั้งคืนเลยเหรอแต่ฉันจำได้ว่าฉันหลับไปก่อนนะ แล้ว... แล้วเขาก็ไม่ยอมกดวางงั้นเหรอพอคิดได้แบบนั้นฉันก็รีบเอาโทรศัพท์แนบหูว่าเขาจะยังตื่นอยู่มั้ย มองไปที่นาฬิกาเล็กๆ บนโต๊ะข้างหัวเตียงก็เห็นว่านี่มันแปดโมงกว่าๆ แล้ว ส้มหวานยังไม่ตื่นเลย ขี้เซาจริงๆ“ฮะ... ฮัลโหล” ฉันตัดสินใจโพล่งขึ้นมาในสายอย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วก็ได้ยินเสียงเขากรน เอ่อ...[... งืม] เขาละเมอด้วยอ่ะ [อยากเจอ...]“...!”[เมื่อไรจะได้เจอ] ฉันหน้าร้อนไปหมด เขาพูดเหมือนเขาตื่นอยู่เลย แต่ฉันว่าเขาละเมอนะ เสียงฉลามดุดูอู้อี้มากเลยอ่ะ [... เช้ายังเนี่ย]ฉันเงียบ ไม่ยอมพูดอะไรจนกระทั่งได้ยินเสียงอะไรสักอย่างดังโครม ในขณะที่เสียงละเมอของคนในสายจะกลายเป็นเสียงตวาดลั่น[ห่าเดี่ยว! มึงถีบกูอีกแล้วนะ ละเมอทีไรถีบกูตลอด กูไม่ใช่กระสอบทรายนะไอ้เหี้...!!]ติ๊ดฉันรีบกดวางสายทันทีเมื่อรู้ว่าเขาตื่นแล้วแถมสบถเสียงดังด้วย ไม่อยากให้เขารู้ตัวว่าฉันแอบฟังอยู่ แล้วรีบวางโ
มีความรู้สึกว่าคิ้วขวากระตุกอยู่ตลอดเวลาเลยอ่ะไม่รู้ว่านี่เป็นลางร้ายหรืออะไรรึเปล่านะ แต่รู้สึกไม่ดีเลย“นิ้ง จะกลับหอเลยหรือไปหาอะไรกินก่อนดี มีเรียนอีกทีตั้งสี่โมงแน่ะ”ฉันหันไปมองส้มหวานที่เก็บชีทเรียนใส่กระเป๋าสะพายอย่างไม่รีบร้อน หลังจากเรียนคลาสแรกของวันจบฉันกับส้มหวานก็ลงมานั่งคุยเล่นกันที่โต๊ะม้าหินอ่อนตัวประจำ เหลือเวลาอีกตั้งเยอะแยะกว่าที่จะเรียนคลาสต่อไป ฉันเลยสลัดความคิดเรื่องลางร้ายอะไรนั่นออกไปแล้วเริ่มครุ่นคิดฉันเองก็ยังไม่อยากกลับไปนอนที่หอด้วย เพราะอย่างนั้น“นิ้งอยากกินนมปั่นอ่ะ”“บังเอิญจัง! ส้มก็อยากกิน” ส้มหวานมีสีหน้าเปี่ยมสุขที่เจอคนที่ใจตรงกัน ในขณะที่จะกอดคอฉันแล้วลากให้เดินไปยังหน้ามหาวิทยาลัยด้วยกัน “แล้วเดี๋ยวแวะร้านเค้กหน้ามหาลัยกันด้วยดีกว่า อยากกินชอตเค้กอ่ะ”“กินเยอะๆ เดี๋ยวอ้วนนะส้ม”“ไม่สนอ่ะ ยังไงก็ยังสวยอยู่ดี” ฉันหัวเราะกับมุขตลกของเธอและยอมรับว่าเป็นความจริง เพราะส้มเป็นคนสวยและน่ารัก ในขณะที่จะเดินคุยกันไปเรื่อยๆ จนออกนอกประตูมหาลัย แต่ก็ยังไม่วาย...“เอ้ย นิ้ง” ส้มหวานกระตุกแขนฉันให้หันไปมองด้านซ้าย แล้วฉันก็ตกใจเมื่อเห็นคนที่นั่งสูบบุหรี่บนร
“พี่ฉลาม? พี่ฉลามใช่มั้ย!” เพื่อนทุกคนของเด็กคนนี้มีสีหน้าตกใจ ไม่เว้นแม้แต่คนที่ดูท่าทางเป็นหัวโจกด้วย แม้แต่ฉันเองก็ตกใจเหมือนกัน “ผมมองตั้งนานนึกว่าใคร พี่ฉลามนี่เอง วันก่อนผมไปเจอพี่เดี่ยวมาด้วย ไม่คิดว่าชาตินี้จะมีบุญได้เจอไอดอลตัวเป็นๆ”“ว่าไงนะ” ฉลามดุเบิกตากว้าง เหมือนเขาเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน“ห่าโอ มึงพูดอะไรวะ”“นี่มึงไม่รู้จักพี่ฉลามดุเหรอวะ!” เด็กที่ชื่อโอตบหัวเพื่อนอีกคนที่ถูกฉลามดุดึงคอเสื้อค้างไว้ ในขณะที่เด็กคนนั้นก็ทำตาโตสุดๆ เหมือนเพิ่งนึกออกเหมือนกัน“พี่ฉลามดุที่เป็นคู่หูกับพี่เดี่ยวบางซิ่ง แล้วก็เคยไปถล่มพวกกลุ่มสมิงดำที่โคตรดังคนนั้นอ่ะนะ!!”“เฮ้ย ใช่เหรอวะ คนดังเลยนี่หว่า”“พี่ฉลามผมนี่ FC พวกพี่เลยนะครับ!”เหมือนทุกอย่างจะพลิกจากหลังมือเป็นหน้ามือหลายตลบ ฉันตาลายและงุนงง ไม่เข้าใจสิ่งที่เด็กพวกนั้นพูดเลยแม้แต่นิด แต่พอหันไปมองผู้ชายคนที่ถูกพูดถึง เขาเองก็หูแดงแถมเริ่มเกาท้ายทอยนิดๆ ด้วยเอ่อ นี่เขาเขินเหรอ?“... ก็นิดหน่อย” เขินจริงๆ ด้วยอ่ะ “ว่าแต่พวกมึงเป็นใคร ยังเด็กอยู่เลยนี่”“พี่ไม่น่าจะรู้จักหรอกครับ พวกผมเรียน ปวช. ปีหนึ่งกำลังห้าวเป้งเลย แต่ได้ยินชื่
และสุดท้ายมันก็จบลงที่ฉันต้องมานั่งทำแผลให้เขา“แล้วไปทำยังไงให้โดนบาดได้ล่ะ”ฉันถามเขาในขณะที่วางกล่องปฐมพยาบาลอยู่บนหน้าตัก เสียงไม่ค่อยสั่นเท่าไหร่แล้วเพราะตอนนี้ฉันนั่งห่างจากเขามาก เพิ่งเห็นว่าพอเอาแขนเสื้อขึ้นมาต้นแขนของฉลามดุจะเป็นแผลเหมือนโดนมีดบาดเป็นทางยาว เลือดไหลลงมาที่ปากแผลเล็กน้อย แต่ตอนที่เขาพูดกับเด็กพวกนั้นก็ไม่เห็นว่าเขาจะแสดงสีหน้าเจ็บปวดอะไรเลย“ก็...” เขาเว้นวรรค แล้วกุมแผลตัวเองไว้ “ตอนนั้นโมโห”“...”“แล้วก็หวงเธอมากจนเลือดขึ้นหน้าไง” พูดด้วยน้ำเสียงเชิญชวนไม่พอ ยังช้อนตาขึ้นมองฉันด้วยสายตาออดอ้อนด้วย “เจ็บอ่ะเธอ”“แล้ว...” ฉันหน้าแดง แล้วรีบหลบตาเขาทันที “แล้วทำไมตอนนั้นไม่บอกเด็กพวกนั้นไปล่ะ พวกเขาจะได้รับผิดชอบอะไรบ้าง”“เราไม่อยากตัดอนาคตเด็ก” เขาตอบกลับมาทันทีด้วยสีหน้าจริงจัง “แล้วแผลมันก็ไม่ได้ใหญ่มาก พวกมันคงพกมาป้องกันตัว แต่ใช้ผิดวิธีไปหน่อย”“...”“มันยังเรียนอยู่ เราไม่อยากเอาเรื่อง”ฉันมองเขาแล้วเงียบไป นึกเห็นด้วยในใจเลยเลือกที่จะไม่พูดอะไรต่อ แล้วหยิบผ้าก็อซกับพวกอุปกรณ์สำหรับทำแผลสดออกมา แต่ก็นึกได้ว่าเขายังไม่ได้ล้างแผลเลย“ปะ... ไปล้างแผลก่อนส
ฉันเหวอ มองเขาที่ตบที่นั่งที่ยังว่างข้างๆ ด้วยสีหน้าเชิญชวน จะเดินออกจากห้องฉันก็ไม่รู้ทางกลับอยู่ดี และถ้าจะให้ไปนั่งข้างๆ เขาหรือนอนค้างห้องเขาล่ะก็... ฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะถูกทำอะไรบ้าง“แต่... เราเพิ่งคุยกันได้แค่สองวันเอง” ฉันยืนนิ่ง แล้วพูดกับเขาด้วยสีหน้าตื่นกลัว “แถมคุณก็เป็นผู้ชายนะคะ หนูนอนค้างที่นี่ไม่ได้หรอก”“...”“หนูอยากกลับบ้าน”“ไม่เห็นเป็นไรเลย เธอก็ไว้ใจเราดิ” ฉลามดุเลิกคิ้ว ดูเหมือนคำตอบของฉันจะไม่ใช่คำตอบที่เขาอยากฟังเท่าไหร่ ก็ใช่อยู่แล้วล่ะ “นี่มันก็จะเย็นแล้ว เป็นผู้หญิงกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ มันอันตรายไม่ใช่เหรอวะ”“แต่... หนูมีเรียนตอนสี่โมง” ฉันก้มหน้างุด ไม่รู้ว่าจะทำแบบนั้นไปทำไม“ไม่เห็นต้องเรียนเลย ขาดสักคาบจะเป็นไรไป”และเมื่อได้ยินฉลามดุพูดแบบนั้นอย่างไม่แยแส ฉันก็นิ่งอึ้งไปในทันที“...”“เงียบ? เป็นไร” เขาถามแล้วลุกขึ้นทำท่าจะเดินเข้ามาหา แล้ววินาทีนั้นจู่ๆ น้ำตาของฉันก็ร่วงเผาะลงมาด้วยความอึดอัดจนเขาแทบผงะถอยหลัง “เฮ้ย ร้องไห้เหรอนิ้ง”จะเพราะใครอีกล่ะ ก็เขานั่นแหละ“ฮือ นิ้งอยากกลับบ้าน... ให้นิ้งกลับบ้านเถอะนะ” ฉันชอบเรียกชื่อแทนตัวเองเวลาที่อยากจะอ้อ
ผมโมโหมาก ตั้งแต่เริ่มแดกยันจ่ายเงินจนตอนนี้ผมขับรถมาส่งนิ้งที่หน้ามหาลัยก็ยังหงุดหงิดไม่หาย นี่ถ้าไอ้เด็กเสิร์ฟนั่นมันทำมากกว่านั้นนะผมจะไม่ทำอะไรมันหรอก เชื่อดิ แต่จะพังร้านแม่งเลยคะนิ้งยังมีท่าทางงุนงงไม่หาย ตอนที่เธอลงจากรถแล้วส่งหมวกกันน็อคให้ผม ผมพยายามแล้วที่จะไม่หงุดหงิดใส่เธอ แต่ก็เผลอกระชากหมวกกันน็อคมาอย่างรุนแรงนิดหน่อย นิ้งเซไปนิดๆ แล้วผมก็คว้าเอวเธอไว้อย่างเพิ่งรู้สึกตัว“เฮ้ย ขอโทษ” เธอทำหน้าเหวอ ส่วนผมก็ได้แต่ขยี้หัวแรงๆ ในขณะที่จะผละมือออกเมื่อเธอทรงตัวได้แล้วร่างเล็กก็ดันมือผมออก “เราโทรไปหาส้มหวานอะไรนั่นของเธอแล้วนะ เดี๋ยวเพื่อนเธอจะตามมาทีหลัง”ใช่ เพราะโทรศัพท์ของคะนิ้งแบตหมดผมก็เลยอาสาจะโทรหาเพื่อนเธอให้ ถึงแม้ตอนแรกเธอจะมีท่าทีไม่เต็มใจ แต่สุดท้ายเธอก็ไม่มีทางเลือกเลยให้ผมโทรให้อยู่ดีถึงผมจะหงุดหงิด แต่เธอก็คือที่หนึ่งในใจผมนะรู้ตัวไว้ซะด้วย“อะ... โอเค” เธอพยักหน้า “งั้นหนูไปแล้วนะคะ ขอบคุณที่เลี้ยงก๋วยเตี๋ยวค่ะ”เธอพูดขอบคุณเสร็จก็พร้อมจะหมุนตัวหนีเข้ารั้วมหาลัย แล้ววินาทีนั้นผมก็เห็นว่าผู้ชายที่เดินเข้าออกประตูหน้ามหาลัยเอาแต่มองตัวเล็กๆ ที่สมส่วนของคะนิ้
ฟะ... แฟนเหรอ!ฉันทำหน้าเหวอทันทีเมื่อได้ยินเขาพูดเธอไปแบบนั้น พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าคนตัวโตก็กำลังสบตาฉันอยู่เช่นกัน ใบหน้าของเราอยู่ในระยะประชิดเพราะเขากอดฉันไว้แนบไหล่ ฉันเบนสายตาไปที่มือของตัวเองที่ยื้อไหล่ของฉลามดุเอาไว้จากเหตุการณ์กะทันหันเมื่อครู่ แล้วอยู่ดีๆ หน้าก็ร้อนขึ้นมาแฟนอะไรกัน ไม่ใช่สักหน่อย“เอ้ะ เราไม่เห็นรู้เลย” ผู้หญิงคนนั้นหน้าเสียไป ก่อนที่เธอจะหันมามองหน้าฉันอย่างงุนงง “แต่เราไม่เห็นได้ข่าวเลยว่าคะนิ้งดาวคณะอักษรจะมีแฟน”อะ... อะไรน่ะ เธอรู้จักฉันด้วยเหรอ“ดาวคณะ?” ฉลามดุทวนเสียงเข้มทันที ก่อนที่เขาจะก้มลงมามองฉันที่ก้มหน้างุด “จริงเหรอนิ้ง”“อะ... อื้อ” ฉันตอบกลับไปเสียงอ้อมแอ้มอย่างไม่ค่อยอยากจะพูดถึงนัก ฉันไม่ค่อยชอบตำแหน่งนี้มาตั้งแต่แรก พยายามจะขอออกอยู่หลายครั้งแต่ไม่เคยสำเร็จสักที ทั้งๆ ที่ฉันพยายามทำตัวไม่ให้เป็นจุดเด่นมากแล้วนะ เธอก็ยังจำได้อีก“แม่ง...” แต่ที่ผิดคาดกว่าคือฉลามดุดันสบถออกมาเหมือนไม่สบอารมณ์ แล้วกำชับอ้อมแขนแน่นขึ้นท่ามกลางสายตาของทุกคน “งี้คนก็จ้องแต่จะแอ้มเธออ่ะดิ ดีกรีดาวคณะไม่มีใครไม่อยากได้หรอก”ฉันทำหน้างง ส่วนผู้หญิงคนนั้นยังค
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้สองเท้าของฉันก็ยืนอยู่หน้าหอพักของตัวเองแล้วไม่รู้ว่าส้มหวานอยากจับคู่ฉันกับฉลามดุอะไรขนาดนั้น เธอพยายามผลักดันฉันให้ลงไปข้างล่างด้วยตัวเองให้ได้เลย ในขณะที่ตัวเองก็นอนเล่นโน๊ตบุ้คอย่างสบายใจให้ตายสิ นี่ส้มไม่รู้เลยรึไงนะว่าฉันโดนเขาโกรธอยู่น่ะเขาอยู่นั่นแล้ว ตรงลานจอดรถข้างหน้าตึกใกล้ป้อมยามนี่เองฉันเม้มริมฝีปาก ตัดสินใจยืนแอบอยู่ข้างๆ เสาข้างหน้าหออย่างกล้าๆ กลัวๆ เมื่อทันทีที่ลงไปก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งกับรถมอเตอร์ไซค์ที่คุ้นเคย ฉลามดุสูบบุหรี่อีกแล้ว เขานั่งหันเสี้ยวหน้าด้านข้างมาทางที่ฉันยืนอยู่ ร่างสูงเสยผมขึ้น แล้วเริ่มพ่นควันบุหรี่ออกมาอย่างเงียบเชียบฉันค่อยๆ โผล่หน้าออกไป แล้วก็เป็นจังหวะที่ร่างสูงหันมามองทางนี้พอดีทันทีที่เห็นเขาก็กวักมือเรียกฉันให้เดินเข้ามาหา แล้วทิ้งบุหรี่ลงกับพื้นในวินาทีนั้นฉันอึกอักนิดหน่อยเพราะไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะยังโกรธหรือน้อยใจฉันอยู่รึเปล่า แต่พอเดินเข้าไปใกล้ตัวร่างสูงที่นั่งอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์แล้ว ข้อมือของฉันก็ถูกคว้าไปใกล้เขาอีกนิดอย่างไม่ทันตั้งตัว“อะ... ปล่อยนะ” ฉันตกใจและดันเขาออกทันที ในขณะที่เงยหน้ามองฉล
ย้อนไปในเวลาเดียวกัน...[พาร์ท : ฉลามดุ]ผมแทบตาสว่างเมื่อนิ้งโทรมา และตาสว่างเข้าไปอีกเมื่อเธอพูดประโยคนี้[นิ้งรอฉลามนานแล้วนะ] ผมเหมือนหูฝาด ก็เลยหรี่ตาฟังเธอเงียบๆ โดยเลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมาแทน“...”[นึกว่าจะตื่นแล้ว รีบมาหาได้มั้ยคะ]ผมเด้งตัวขึ้นจากเตียงทันที หัวใจเต้นโครมครามไปหมดเมื่อเพิ่งรู้ว่าตัวเองหูไม่ฝาด นิ้งเป็นคนพูดจริงๆ ว่ะ เธอแทนตัวเองว่านิ้ง แถมยังพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนแบบเด็กๆ ด้วยวันนี้มันวันดีอะไรวะ กูตายแล้วเหรอ แต่ทำไมเห็นสวรรค์ชัดจังเลย“... ได้ดิ” ผมสะกดอารมณ์แล้วพยายามควบคุมเสียงให้นิ่งที่สุด ไม่อยากตื่นตูมไปเอง เธออาจจะแค่พูดเฉยๆ ไม่ได้คิดอะไรก็ได้ “เดี๋ยวจะรีบออกไป”[อะ... อื้อ]“ห้ามหนีไปไหนนะ” แต่พอเห็นว่าเธอครางรับสั้นๆ ผมก็รู้สึกโลภขึ้นมา ก็เลยมีข้อต่อรองนิดหน่อย[อื้อ]“ถ้าหนีเราจะไปตามถึงหน้ามหาลัยเลย”[อะ... อื้อ! รีบมาเลยนะ] เสียงเธอแกว่งไปนิดๆ ด้วยว่ะ [ถ้าไม่รีบมานิ้งก็จะไม่รอแล้ว]“...”[จะไม่รอจริงๆ นะ]“รู้แล้วครับผม! จะรีบออกไปเดี๋ยวนี้ เลิกทำเสียงแบบนั้น” ผมแทบจะสบถออกมา ใจสั่นไปหมดแล้วตอนนี้ โคตรชอบเสียงแบบนี้ของเธอ แต่ในขณะเดียวกันพอคิดว
[พาร์ท : ฉลามดุ]คืนนี้ผมฝันดีแน่นอน“ยิ้มอะไรของมึง ดูๆ ไปแล้วเหมือนฆาตกรโรคจิต เห็นแล้วคลื่นไส้” ผมหันไปตามต้นเสียง แล้วก็เห็นเจ๊เพทเดินเข้ามาในขณะที่โยนกระป๋องเบียร์ส่งให้ผมหลังจากที่ผมขับจากหอพักของนิ้งและแวะมาที่นี่ “แดกให้หมดนะ กูเลี้ยง”เธอชื่อ ‘เพทาย’ เป็นผู้หญิงคนเดียวในประวัติกาลที่เป็นหัวหน้าเด็กช่างแถวๆ นี้ เธอเป็นเจ๊ใหญ่ของที่นี่ แล้วเผอิญว่าผมรู้จักกับไอ้พัสน้องชายของเจ๊แกด้วยไง ก็เลยแวะมาที่อู่ของมัน อีกอย่างเพราะผมทำงานอยู่ที่นี่เป็นประจำด้วยผมก็แค่อยากรีบมาเอารถไปรับนิ้ง“เออ มีเรื่องดีๆ” ผมตอบแล้วเปิดกระป๋องเบียร์อย่างอารมณ์ดี ส่วนผู้หญิงในชุดหนังแบบโคตรแมนก็เดินมาเคาะรถที่ผมมาเอาสองสามที ก่อนที่เธอจะนั่งลงตรงฝากระโปรงรถ“เรื่องไร ผู้หญิงเหรอ?” ผมฉีกยิ้มกลับไปแทนคำตอบ แล้วเจ๊ก็แค่นหัวเราะ “อยากรู้ว่าครั้งล่าสุดที่มึงยิ้มทุเรศแบบนี้คือตอนไหน ตอนคบกับไอ้พราวปะ?”พราวที่ว่าเป็นแฟนคนก่อนที่ผมเพิ่งเลิกไป เพราะเธอมีคนอื่น แถมคนอื่นที่ว่าก็เป็นคนที่โคตรเหม็นขี้หน้า จำได้ว่าตอนนั้นผมวูบไปหลายอาทิตย์“ก็แค่แฟนเก่า” ผมแค่นหัวเราะตามบ้างแล้วกระดกเบียร์เข้าคอ “เลิกไปจะเป็นชาติ
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้สองเท้าของฉันก็ยืนอยู่หน้าหอพักของตัวเองแล้วไม่รู้ว่าส้มหวานอยากจับคู่ฉันกับฉลามดุอะไรขนาดนั้น เธอพยายามผลักดันฉันให้ลงไปข้างล่างด้วยตัวเองให้ได้เลย ในขณะที่ตัวเองก็นอนเล่นโน๊ตบุ้คอย่างสบายใจให้ตายสิ นี่ส้มไม่รู้เลยรึไงนะว่าฉันโดนเขาโกรธอยู่น่ะเขาอยู่นั่นแล้ว ตรงลานจอดรถข้างหน้าตึกใกล้ป้อมยามนี่เองฉันเม้มริมฝีปาก ตัดสินใจยืนแอบอยู่ข้างๆ เสาข้างหน้าหออย่างกล้าๆ กลัวๆ เมื่อทันทีที่ลงไปก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งกับรถมอเตอร์ไซค์ที่คุ้นเคย ฉลามดุสูบบุหรี่อีกแล้ว เขานั่งหันเสี้ยวหน้าด้านข้างมาทางที่ฉันยืนอยู่ ร่างสูงเสยผมขึ้น แล้วเริ่มพ่นควันบุหรี่ออกมาอย่างเงียบเชียบฉันค่อยๆ โผล่หน้าออกไป แล้วก็เป็นจังหวะที่ร่างสูงหันมามองทางนี้พอดีทันทีที่เห็นเขาก็กวักมือเรียกฉันให้เดินเข้ามาหา แล้วทิ้งบุหรี่ลงกับพื้นในวินาทีนั้นฉันอึกอักนิดหน่อยเพราะไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะยังโกรธหรือน้อยใจฉันอยู่รึเปล่า แต่พอเดินเข้าไปใกล้ตัวร่างสูงที่นั่งอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์แล้ว ข้อมือของฉันก็ถูกคว้าไปใกล้เขาอีกนิดอย่างไม่ทันตั้งตัว“อะ... ปล่อยนะ” ฉันตกใจและดันเขาออกทันที ในขณะที่เงยหน้ามองฉล
ฟะ... แฟนเหรอ!ฉันทำหน้าเหวอทันทีเมื่อได้ยินเขาพูดเธอไปแบบนั้น พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าคนตัวโตก็กำลังสบตาฉันอยู่เช่นกัน ใบหน้าของเราอยู่ในระยะประชิดเพราะเขากอดฉันไว้แนบไหล่ ฉันเบนสายตาไปที่มือของตัวเองที่ยื้อไหล่ของฉลามดุเอาไว้จากเหตุการณ์กะทันหันเมื่อครู่ แล้วอยู่ดีๆ หน้าก็ร้อนขึ้นมาแฟนอะไรกัน ไม่ใช่สักหน่อย“เอ้ะ เราไม่เห็นรู้เลย” ผู้หญิงคนนั้นหน้าเสียไป ก่อนที่เธอจะหันมามองหน้าฉันอย่างงุนงง “แต่เราไม่เห็นได้ข่าวเลยว่าคะนิ้งดาวคณะอักษรจะมีแฟน”อะ... อะไรน่ะ เธอรู้จักฉันด้วยเหรอ“ดาวคณะ?” ฉลามดุทวนเสียงเข้มทันที ก่อนที่เขาจะก้มลงมามองฉันที่ก้มหน้างุด “จริงเหรอนิ้ง”“อะ... อื้อ” ฉันตอบกลับไปเสียงอ้อมแอ้มอย่างไม่ค่อยอยากจะพูดถึงนัก ฉันไม่ค่อยชอบตำแหน่งนี้มาตั้งแต่แรก พยายามจะขอออกอยู่หลายครั้งแต่ไม่เคยสำเร็จสักที ทั้งๆ ที่ฉันพยายามทำตัวไม่ให้เป็นจุดเด่นมากแล้วนะ เธอก็ยังจำได้อีก“แม่ง...” แต่ที่ผิดคาดกว่าคือฉลามดุดันสบถออกมาเหมือนไม่สบอารมณ์ แล้วกำชับอ้อมแขนแน่นขึ้นท่ามกลางสายตาของทุกคน “งี้คนก็จ้องแต่จะแอ้มเธออ่ะดิ ดีกรีดาวคณะไม่มีใครไม่อยากได้หรอก”ฉันทำหน้างง ส่วนผู้หญิงคนนั้นยังค
ผมโมโหมาก ตั้งแต่เริ่มแดกยันจ่ายเงินจนตอนนี้ผมขับรถมาส่งนิ้งที่หน้ามหาลัยก็ยังหงุดหงิดไม่หาย นี่ถ้าไอ้เด็กเสิร์ฟนั่นมันทำมากกว่านั้นนะผมจะไม่ทำอะไรมันหรอก เชื่อดิ แต่จะพังร้านแม่งเลยคะนิ้งยังมีท่าทางงุนงงไม่หาย ตอนที่เธอลงจากรถแล้วส่งหมวกกันน็อคให้ผม ผมพยายามแล้วที่จะไม่หงุดหงิดใส่เธอ แต่ก็เผลอกระชากหมวกกันน็อคมาอย่างรุนแรงนิดหน่อย นิ้งเซไปนิดๆ แล้วผมก็คว้าเอวเธอไว้อย่างเพิ่งรู้สึกตัว“เฮ้ย ขอโทษ” เธอทำหน้าเหวอ ส่วนผมก็ได้แต่ขยี้หัวแรงๆ ในขณะที่จะผละมือออกเมื่อเธอทรงตัวได้แล้วร่างเล็กก็ดันมือผมออก “เราโทรไปหาส้มหวานอะไรนั่นของเธอแล้วนะ เดี๋ยวเพื่อนเธอจะตามมาทีหลัง”ใช่ เพราะโทรศัพท์ของคะนิ้งแบตหมดผมก็เลยอาสาจะโทรหาเพื่อนเธอให้ ถึงแม้ตอนแรกเธอจะมีท่าทีไม่เต็มใจ แต่สุดท้ายเธอก็ไม่มีทางเลือกเลยให้ผมโทรให้อยู่ดีถึงผมจะหงุดหงิด แต่เธอก็คือที่หนึ่งในใจผมนะรู้ตัวไว้ซะด้วย“อะ... โอเค” เธอพยักหน้า “งั้นหนูไปแล้วนะคะ ขอบคุณที่เลี้ยงก๋วยเตี๋ยวค่ะ”เธอพูดขอบคุณเสร็จก็พร้อมจะหมุนตัวหนีเข้ารั้วมหาลัย แล้ววินาทีนั้นผมก็เห็นว่าผู้ชายที่เดินเข้าออกประตูหน้ามหาลัยเอาแต่มองตัวเล็กๆ ที่สมส่วนของคะนิ้
ฉันเหวอ มองเขาที่ตบที่นั่งที่ยังว่างข้างๆ ด้วยสีหน้าเชิญชวน จะเดินออกจากห้องฉันก็ไม่รู้ทางกลับอยู่ดี และถ้าจะให้ไปนั่งข้างๆ เขาหรือนอนค้างห้องเขาล่ะก็... ฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะถูกทำอะไรบ้าง“แต่... เราเพิ่งคุยกันได้แค่สองวันเอง” ฉันยืนนิ่ง แล้วพูดกับเขาด้วยสีหน้าตื่นกลัว “แถมคุณก็เป็นผู้ชายนะคะ หนูนอนค้างที่นี่ไม่ได้หรอก”“...”“หนูอยากกลับบ้าน”“ไม่เห็นเป็นไรเลย เธอก็ไว้ใจเราดิ” ฉลามดุเลิกคิ้ว ดูเหมือนคำตอบของฉันจะไม่ใช่คำตอบที่เขาอยากฟังเท่าไหร่ ก็ใช่อยู่แล้วล่ะ “นี่มันก็จะเย็นแล้ว เป็นผู้หญิงกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ มันอันตรายไม่ใช่เหรอวะ”“แต่... หนูมีเรียนตอนสี่โมง” ฉันก้มหน้างุด ไม่รู้ว่าจะทำแบบนั้นไปทำไม“ไม่เห็นต้องเรียนเลย ขาดสักคาบจะเป็นไรไป”และเมื่อได้ยินฉลามดุพูดแบบนั้นอย่างไม่แยแส ฉันก็นิ่งอึ้งไปในทันที“...”“เงียบ? เป็นไร” เขาถามแล้วลุกขึ้นทำท่าจะเดินเข้ามาหา แล้ววินาทีนั้นจู่ๆ น้ำตาของฉันก็ร่วงเผาะลงมาด้วยความอึดอัดจนเขาแทบผงะถอยหลัง “เฮ้ย ร้องไห้เหรอนิ้ง”จะเพราะใครอีกล่ะ ก็เขานั่นแหละ“ฮือ นิ้งอยากกลับบ้าน... ให้นิ้งกลับบ้านเถอะนะ” ฉันชอบเรียกชื่อแทนตัวเองเวลาที่อยากจะอ้อ
และสุดท้ายมันก็จบลงที่ฉันต้องมานั่งทำแผลให้เขา“แล้วไปทำยังไงให้โดนบาดได้ล่ะ”ฉันถามเขาในขณะที่วางกล่องปฐมพยาบาลอยู่บนหน้าตัก เสียงไม่ค่อยสั่นเท่าไหร่แล้วเพราะตอนนี้ฉันนั่งห่างจากเขามาก เพิ่งเห็นว่าพอเอาแขนเสื้อขึ้นมาต้นแขนของฉลามดุจะเป็นแผลเหมือนโดนมีดบาดเป็นทางยาว เลือดไหลลงมาที่ปากแผลเล็กน้อย แต่ตอนที่เขาพูดกับเด็กพวกนั้นก็ไม่เห็นว่าเขาจะแสดงสีหน้าเจ็บปวดอะไรเลย“ก็...” เขาเว้นวรรค แล้วกุมแผลตัวเองไว้ “ตอนนั้นโมโห”“...”“แล้วก็หวงเธอมากจนเลือดขึ้นหน้าไง” พูดด้วยน้ำเสียงเชิญชวนไม่พอ ยังช้อนตาขึ้นมองฉันด้วยสายตาออดอ้อนด้วย “เจ็บอ่ะเธอ”“แล้ว...” ฉันหน้าแดง แล้วรีบหลบตาเขาทันที “แล้วทำไมตอนนั้นไม่บอกเด็กพวกนั้นไปล่ะ พวกเขาจะได้รับผิดชอบอะไรบ้าง”“เราไม่อยากตัดอนาคตเด็ก” เขาตอบกลับมาทันทีด้วยสีหน้าจริงจัง “แล้วแผลมันก็ไม่ได้ใหญ่มาก พวกมันคงพกมาป้องกันตัว แต่ใช้ผิดวิธีไปหน่อย”“...”“มันยังเรียนอยู่ เราไม่อยากเอาเรื่อง”ฉันมองเขาแล้วเงียบไป นึกเห็นด้วยในใจเลยเลือกที่จะไม่พูดอะไรต่อ แล้วหยิบผ้าก็อซกับพวกอุปกรณ์สำหรับทำแผลสดออกมา แต่ก็นึกได้ว่าเขายังไม่ได้ล้างแผลเลย“ปะ... ไปล้างแผลก่อนส
“พี่ฉลาม? พี่ฉลามใช่มั้ย!” เพื่อนทุกคนของเด็กคนนี้มีสีหน้าตกใจ ไม่เว้นแม้แต่คนที่ดูท่าทางเป็นหัวโจกด้วย แม้แต่ฉันเองก็ตกใจเหมือนกัน “ผมมองตั้งนานนึกว่าใคร พี่ฉลามนี่เอง วันก่อนผมไปเจอพี่เดี่ยวมาด้วย ไม่คิดว่าชาตินี้จะมีบุญได้เจอไอดอลตัวเป็นๆ”“ว่าไงนะ” ฉลามดุเบิกตากว้าง เหมือนเขาเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน“ห่าโอ มึงพูดอะไรวะ”“นี่มึงไม่รู้จักพี่ฉลามดุเหรอวะ!” เด็กที่ชื่อโอตบหัวเพื่อนอีกคนที่ถูกฉลามดุดึงคอเสื้อค้างไว้ ในขณะที่เด็กคนนั้นก็ทำตาโตสุดๆ เหมือนเพิ่งนึกออกเหมือนกัน“พี่ฉลามดุที่เป็นคู่หูกับพี่เดี่ยวบางซิ่ง แล้วก็เคยไปถล่มพวกกลุ่มสมิงดำที่โคตรดังคนนั้นอ่ะนะ!!”“เฮ้ย ใช่เหรอวะ คนดังเลยนี่หว่า”“พี่ฉลามผมนี่ FC พวกพี่เลยนะครับ!”เหมือนทุกอย่างจะพลิกจากหลังมือเป็นหน้ามือหลายตลบ ฉันตาลายและงุนงง ไม่เข้าใจสิ่งที่เด็กพวกนั้นพูดเลยแม้แต่นิด แต่พอหันไปมองผู้ชายคนที่ถูกพูดถึง เขาเองก็หูแดงแถมเริ่มเกาท้ายทอยนิดๆ ด้วยเอ่อ นี่เขาเขินเหรอ?“... ก็นิดหน่อย” เขินจริงๆ ด้วยอ่ะ “ว่าแต่พวกมึงเป็นใคร ยังเด็กอยู่เลยนี่”“พี่ไม่น่าจะรู้จักหรอกครับ พวกผมเรียน ปวช. ปีหนึ่งกำลังห้าวเป้งเลย แต่ได้ยินชื่
มีความรู้สึกว่าคิ้วขวากระตุกอยู่ตลอดเวลาเลยอ่ะไม่รู้ว่านี่เป็นลางร้ายหรืออะไรรึเปล่านะ แต่รู้สึกไม่ดีเลย“นิ้ง จะกลับหอเลยหรือไปหาอะไรกินก่อนดี มีเรียนอีกทีตั้งสี่โมงแน่ะ”ฉันหันไปมองส้มหวานที่เก็บชีทเรียนใส่กระเป๋าสะพายอย่างไม่รีบร้อน หลังจากเรียนคลาสแรกของวันจบฉันกับส้มหวานก็ลงมานั่งคุยเล่นกันที่โต๊ะม้าหินอ่อนตัวประจำ เหลือเวลาอีกตั้งเยอะแยะกว่าที่จะเรียนคลาสต่อไป ฉันเลยสลัดความคิดเรื่องลางร้ายอะไรนั่นออกไปแล้วเริ่มครุ่นคิดฉันเองก็ยังไม่อยากกลับไปนอนที่หอด้วย เพราะอย่างนั้น“นิ้งอยากกินนมปั่นอ่ะ”“บังเอิญจัง! ส้มก็อยากกิน” ส้มหวานมีสีหน้าเปี่ยมสุขที่เจอคนที่ใจตรงกัน ในขณะที่จะกอดคอฉันแล้วลากให้เดินไปยังหน้ามหาวิทยาลัยด้วยกัน “แล้วเดี๋ยวแวะร้านเค้กหน้ามหาลัยกันด้วยดีกว่า อยากกินชอตเค้กอ่ะ”“กินเยอะๆ เดี๋ยวอ้วนนะส้ม”“ไม่สนอ่ะ ยังไงก็ยังสวยอยู่ดี” ฉันหัวเราะกับมุขตลกของเธอและยอมรับว่าเป็นความจริง เพราะส้มเป็นคนสวยและน่ารัก ในขณะที่จะเดินคุยกันไปเรื่อยๆ จนออกนอกประตูมหาลัย แต่ก็ยังไม่วาย...“เอ้ย นิ้ง” ส้มหวานกระตุกแขนฉันให้หันไปมองด้านซ้าย แล้วฉันก็ตกใจเมื่อเห็นคนที่นั่งสูบบุหรี่บนร