ฉันตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น
ก่อนที่จะต้องเด้งตัวขึ้นมาเพราะลืมไปว่าโทรสายกับฉลามดุค้างไว้ พอกดเปิดโทรศัพท์ดูฉันก็ต้องเบิกตากว้าง
สายยังไม่ถูกกดวางเลยอ่ะ! นี่ฉันโทรคุยกับเขาทั้งคืนเลยเหรอ
แต่ฉันจำได้ว่าฉันหลับไปก่อนนะ แล้ว... แล้วเขาก็ไม่ยอมกดวางงั้นเหรอ
พอคิดได้แบบนั้นฉันก็รีบเอาโทรศัพท์แนบหูว่าเขาจะยังตื่นอยู่มั้ย มองไปที่นาฬิกาเล็กๆ บนโต๊ะข้างหัวเตียงก็เห็นว่านี่มันแปดโมงกว่าๆ แล้ว ส้มหวานยังไม่ตื่นเลย ขี้เซาจริงๆ
“ฮะ... ฮัลโหล” ฉันตัดสินใจโพล่งขึ้นมาในสายอย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วก็ได้ยินเสียงเขากรน เอ่อ...
[... งืม] เขาละเมอด้วยอ่ะ [อยากเจอ...]
“...!”
[เมื่อไรจะได้เจอ] ฉันหน้าร้อนไปหมด เขาพูดเหมือนเขาตื่นอยู่เลย แต่ฉันว่าเขาละเมอนะ เสียงฉลามดุดูอู้อี้มากเลยอ่ะ [... เช้ายังเนี่ย]
ฉันเงียบ ไม่ยอมพูดอะไรจนกระทั่งได้ยินเสียงอะไรสักอย่างดังโครม ในขณะที่เสียงละเมอของคนในสายจะกลายเป็นเสียงตวาดลั่น
[ห่าเดี่ยว! มึงถีบกูอีกแล้วนะ ละเมอทีไรถีบกูตลอด กูไม่ใช่กระสอบทรายนะไอ้เหี้...!!]
ติ๊ด
ฉันรีบกดวางสายทันทีเมื่อรู้ว่าเขาตื่นแล้วแถมสบถเสียงดังด้วย ไม่อยากให้เขารู้ตัวว่าฉันแอบฟังอยู่ แล้วรีบวางโทรศัพท์ไปยังที่เดิม
แต่... โอ้ย
ฉันเอาหน้าซุกไปกับหมอนแล้วส่ายหน้าไปมาอยู่คนเดียว
ทำไมเขาถึงไม่วางนะ แล้วฉันได้ส่งเสียงกรนหรือน้ำลายยืดให้เขาได้ยินมั้ยเนี่ย น่าอายจริงๆ เลย แล้วดันไปหลับใส่สายเขาอีก
หวังว่าเขาคงจะไม่มาดักรอฉันที่หน้ามหาวิทยาลัยนะ ไม่งั้นฉันคงไม่กล้าสบตาเขาอีกเลยแน่ๆ
ฉันเอาหน้าซุกอยู่กับหมอนจนพอใจ ก่อนที่จะลุกขึ้นไปคว้าชุดนักศึกษา วันนี้ฉันมีเรียนตอนเที่ยงตรง ส้มหวานก็เหมือนกัน ฉันก็เลยเดินไปเขย่าตัวร่างเล็กที่นอนอุดอู้อยู่บนเตียง แต่ก็เห็นว่าเธอนอนทำตาแป๋วอยู่ในผ้าห่ม
พอเธอเห็นหน้าฉันเธอก็ยิ้มกรุ้มกริ่มออกมาทันที
“นิ้งจ๋า รู้นะว่าเมื่อคืนโทรคุยกับใครอ่ะ” ฉันหน้าร้อนวูบขึ้นมาทันที ในขณะที่เธอจะหัวเราะคิกคัก “ความจริงส้มตื่นนานแล้วล่ะ แต่อยากรู้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น”
“ส้ม!”
“เขาไม่ยอมวางสายเลยอ่ะ หมอนี่ท่าทางจะหลงนิ้งหัวปักหัวปำเลยนะเนี่ย”
“พะ... พูดอะไรเนี่ย ไปอาบน้ำเลย ส้มอาบน้ำนานกว่านิ้งนะ” ฉันพยายามเปลี่ยนเรื่อง แล้วเดินไปดันๆ หลังให้เธอลุกขึ้น แต่ดูที่ส้มพูดออกมาสิ
“โอเคๆ เดี๋ยวส้มหวานจะรีบไปอาบน้ำแล้วพาน้องนิ้งไปมหาลัยนะ เผื่อพี่หลามจะดักรออยู่”
“ส้ม!”
น้องนิ้ง... เอ้ย คะนิ้งจะไม่ทนแล้วนะ ฮือ
[พาร์ท : ฉลามดุ]
อ้าว นิ้งตัดสายเหรอวะ
ตัดสายตอนแปดโมงสิบห้า ทำไมนิ้งตื่นเช้า?
ถ้าจะถามว่าผมตื่นมาทำไมเวลานี้ แล้วรู้ได้ไงว่าเธอตัดสาย ก็เพราะเมื่อเช้าไอ้เหี้ยเดี่ยวมันถีบผมตกเตียงไง ไอ้นี่เวลาละเมอๆ ทีไรผมเจ็บตัวตลอด ประเด็นคือช่วงนี้มันชอบมาอาศัยนอนห้องผมอีก ทีนี้ผมเลยตาสว่างเลย ทั้งๆ ที่วันนี้ผมไม่มีเรียน
แต่ก็ดี เพราะผมตื่นเวลาเดียวกับผู้หญิงที่ชอบ เรื่องเล็กๆ แต่ฟินยิ่งกว่าฟินอีกกู
ไหนๆ นิ้งก็ตื่นล่ะ ผมทักไลน์ไปดีมั้ยวะ
หรือไปดักรอที่มหาลัยเลยดี?
แต่มันจะดูคุกคามไปปะ ดูเธอก็ยังกลัวๆ ผมตอนเจอกันตัวต่อตัวด้วย ผมอยากให้เธอมองผมกลับมาด้วยความน่ารักมากกว่ามองผมด้วยสายตาหวาดๆ นะ
ยิ่งคิดก็ยิ่งกลายเป็นเรื่องจริงจัง สงสัยว่าผมจะชอบเธอจนโงหัวไม่ขึ้นก็คราวนี้ล่ะ
“ให้ตาย” ผมนั่งทำหน้าเครียดอยู่บนโซฟาเก่าๆ ในห้องตัวเอง ชั่งใจนิดหน่อยก่อนที่จะตัดสินใจโทรหารุ่นพี่ที่เคารพคนหนึ่ง
ไม่นานนักไอ้เฮียก็รับสาย
เฮียที่ผมเคารพรักคนนี้ชื่อเฮียเจ๋ง ชื่อก็โหลๆ ทั่วๆ ไป แต่เฮียเป็นคนที่ใจมาใจกลับ ผมสนิทกันมานาน ผ่านไรกันมาเยอะ แน่นอนว่ากุมความลับกันไว้เยอะเลยยังเลิกคบกันไม่ได้ ด้วยนิสัยคล้ายๆ กันแล้วก็ชอบอะไรเหมือนๆ กัน แถมยังตัดสินใจอะไรรวดเร็วเหมือนกัน เรียกว่าเคารพยิ่งกว่าพี่น้องแท้ๆ
[โทรมาทำห่าไรเวลานี้วะไอ้หลาม เช้าเหี้ยๆ]
“เรื่องสำคัญว่ะเฮีย”
[เออ ทำเสียงหงอยมาเชียวนะมึง ว่ามา]
“เอาจริงนะเฮีย” ผมทำน้ำเสียงจริงจัง ถ้าเป็นเรื่องนิ้งผมไม่เคยเล่นอะไรทั้งนั้น “เฮียว่าผู้หญิงแม่งชอบผู้ชายแบบไหนวะ ที่เข้ามาจีบอ่ะ”
[ถามงี้มึงไปจีบใครมาอีกล่ะ] ผมถอนหายใจหนัก เฮียแม่งพูดเหมือนผมไปจีบผู้หญิงมามากมาย ทั้งๆ ที่ในชีวิตนี้ผมมีแฟนแค่ไม่กี่คนเอง แล้วก็ไม่เคยจีบใครจริงจังเท่าคะนิ้งด้วย
“เด็กมหาลัย XX ใกล้วิทยาลัยเรา ที่เฮียชมว่ามีแต่คนแจ่มๆ บ่อยๆ ไง”
[นั่นไง กูบอกแล้วว่าที่นี่มีดี] ผมได้ยินเสียงเฮียหัวเราะ จำได้อยู่ว่าเฮียมันเคยแนะนำเด็กมหาลัยนี้สมัยผมยัง ปวช. ปีสอง ผมไม่เคยสนเพราะช่วงนั้นหลงสาวเทคนิกเครือเดียวกันจนโงหัวไม่ขึ้น จนวันนี้ได้ประสบพบเจอ
ยังไงน้องนิ้งของผมก็แม่งที่สุดแล้วอ่ะ ไม่อยากมองใครแล้ว
“เออเฮีย บอกกูหน่อย” ผมเร่ง อยากรู้จะตายแล้ว จะได้มีวิธีอื่นมาจีบเธอเผื่อใจร้อนแบบนี้ไม่ได้ผลไง “ผมแม่งอยากได้เค้าเป็นแฟนชิบหาย จะทนไม่ไหวแล้วเนี่ย”
[เออ กูเข้าใจ แต่อย่ารีบ ผู้หญิงไม่ชอบให้ผู้ชายเร่ง] เฮียผมปรามขึ้นมา แล้วผมก็นิ่งไป [เอาจริงๆ กูว่าผู้หญิงแพ้พวกสุภาพบุรุษว่ะ แบบพูดเพราะๆ อบอุ่นกับเขาไรงี้]
พูดเพราะๆ แล้วก็อบอุ่นด้วยเหรอวะ?
แม่งเอ้ย ไม่ใช่ตัวกูเลย
“ไม่มีแบบอื่นเหรอวะเฮีย” ผมตีหน้าเซ็ง “แล้วถ้าผู้หญิงแม่งชอบแต่แนวนั้น ทำไมเมียเฮียถึงมาคบกับเฮียวะ”
[ไอ้เวร กูก็มีดีไง]
“มึงแม่งไม่มีประโยชน์กับกูเลย”
[ว่าไงนะ มึง...!]
ติ๊ด
ผมกดตัดสาย ก่อนที่จะนั่งลูบคางครุ่นคิดอย่างหนัก
“พูดเพราะๆ เหรอวะ” ผมพึมพำ แล้วเดินอาดๆ ไปยืนหน้ากระจกเกือบเท่าตัวที่อยู่หน้าห้องครัว แล้วฉีกยิ้มเหมือนมันเป็นคะนิ้ง “ดีครับนิ้ง”
ผมรู้สึกอยากจะอ้วกว่ะ
แต่เพื่อนิ้ง
“วันนี้ก็สวยอีกแล้วนะครับ อยากฟัด... เฮ้ย ไม่ได้ดิ” ผมขยี้หัวตัวเอง แล้วเปลี่ยนคำใหม่ “อยากพาไปดูหนังจัง”
ดูหนังเหรอ? เชยชิบหายเลยว่ะ นั่นมันเก่าแล้ว
“อยากพาเธอไปดูมวยคู่เอกวันพรุ่งนี้อ่ะ สนุกนะ นิ้งต้องลองดูสักแมทซ์”
อันนี้ก็กิจกรรมแมนๆ คุยกันไปอีก ผู้หญิงที่ไหนเขาดูมวยบ้างวะ!
เออ แต่ก็ไม่แน่ แต่สำหรับนิ้ง ใสๆ อย่างนั้นคงไม่มีโมเม้นต์นี้แน่ๆ
“ดูมายลิตเติ้ลโพนี่ห้องเรามั้ย ห้องเรามีเน็ตฟลิกซ์ ดูได้”
ก็เหี้ยล่ะ
“ทำไมไม่ได้เรื่องสักอย่างเลยวะ” ผมเกาท้ายทอยตัวเองอย่างหัวเสีย แล้วเดินไปดูนาฬิกา ตอนนี้สิบโมงกว่าๆ ล่ะ ผมไม่รู้ว่าวันนี้นิ้งมีเรียนตอนไหน ไม่รู้อะไรสักอย่างเลยว่ะ ไม่ได้ถาม แล้วเธอก็ไม่คิดที่จะบอกด้วย แล้วอย่างงี้จะได้เจอกันมั้ยวะเนี่ยวันนี้
ผมทำหน้าตาเบื่อโลกแล้วคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำ ไอ้เดี่ยวยังนอนคว่ำหน้ากรนสนั่นโลกอยู่ นอนหรือตายก็ไม่รู้แม่ง แต่ผมรีบอาบน้ำแล้วรีบออกดีกว่า จะได้มีเวลากินข้าวแล้วไปดักรอว่าที่แฟนในอนาคต จะอยู่หรือไม่อยู่ก็ช่างเหอะ ผมก็แค่อยากไปรอเธอ ถึงเธอไม่มีเรียนเวลานั้นผมค่อยไปรอใต้หอเธอก็ได้ (ถ้าเดาไม่ผิดน่าจะเป็นหอหญิงใกล้มหาลัย ที่มีป้ายรถสองแถวอยู่ติดถนน)
เผื่อตัวผู้แถวๆ นั้นจะได้รู้ด้วยไง ว่าคะนิ้งอ่ะ ผมจองแล้ว
[จบพาร์ท : ฉลามดุ]
มีความรู้สึกว่าคิ้วขวากระตุกอยู่ตลอดเวลาเลยอ่ะไม่รู้ว่านี่เป็นลางร้ายหรืออะไรรึเปล่านะ แต่รู้สึกไม่ดีเลย“นิ้ง จะกลับหอเลยหรือไปหาอะไรกินก่อนดี มีเรียนอีกทีตั้งสี่โมงแน่ะ”ฉันหันไปมองส้มหวานที่เก็บชีทเรียนใส่กระเป๋าสะพายอย่างไม่รีบร้อน หลังจากเรียนคลาสแรกของวันจบฉันกับส้มหวานก็ลงมานั่งคุยเล่นกันที่โต๊ะม้าหินอ่อนตัวประจำ เหลือเวลาอีกตั้งเยอะแยะกว่าที่จะเรียนคลาสต่อไป ฉันเลยสลัดความคิดเรื่องลางร้ายอะไรนั่นออกไปแล้วเริ่มครุ่นคิดฉันเองก็ยังไม่อยากกลับไปนอนที่หอด้วย เพราะอย่างนั้น“นิ้งอยากกินนมปั่นอ่ะ”“บังเอิญจัง! ส้มก็อยากกิน” ส้มหวานมีสีหน้าเปี่ยมสุขที่เจอคนที่ใจตรงกัน ในขณะที่จะกอดคอฉันแล้วลากให้เดินไปยังหน้ามหาวิทยาลัยด้วยกัน “แล้วเดี๋ยวแวะร้านเค้กหน้ามหาลัยกันด้วยดีกว่า อยากกินชอตเค้กอ่ะ”“กินเยอะๆ เดี๋ยวอ้วนนะส้ม”“ไม่สนอ่ะ ยังไงก็ยังสวยอยู่ดี” ฉันหัวเราะกับมุขตลกของเธอและยอมรับว่าเป็นความจริง เพราะส้มเป็นคนสวยและน่ารัก ในขณะที่จะเดินคุยกันไปเรื่อยๆ จนออกนอกประตูมหาลัย แต่ก็ยังไม่วาย...“เอ้ย นิ้ง” ส้มหวานกระตุกแขนฉันให้หันไปมองด้านซ้าย แล้วฉันก็ตกใจเมื่อเห็นคนที่นั่งสูบบุหรี่บนร
“พี่ฉลาม? พี่ฉลามใช่มั้ย!” เพื่อนทุกคนของเด็กคนนี้มีสีหน้าตกใจ ไม่เว้นแม้แต่คนที่ดูท่าทางเป็นหัวโจกด้วย แม้แต่ฉันเองก็ตกใจเหมือนกัน “ผมมองตั้งนานนึกว่าใคร พี่ฉลามนี่เอง วันก่อนผมไปเจอพี่เดี่ยวมาด้วย ไม่คิดว่าชาตินี้จะมีบุญได้เจอไอดอลตัวเป็นๆ”“ว่าไงนะ” ฉลามดุเบิกตากว้าง เหมือนเขาเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน“ห่าโอ มึงพูดอะไรวะ”“นี่มึงไม่รู้จักพี่ฉลามดุเหรอวะ!” เด็กที่ชื่อโอตบหัวเพื่อนอีกคนที่ถูกฉลามดุดึงคอเสื้อค้างไว้ ในขณะที่เด็กคนนั้นก็ทำตาโตสุดๆ เหมือนเพิ่งนึกออกเหมือนกัน“พี่ฉลามดุที่เป็นคู่หูกับพี่เดี่ยวบางซิ่ง แล้วก็เคยไปถล่มพวกกลุ่มสมิงดำที่โคตรดังคนนั้นอ่ะนะ!!”“เฮ้ย ใช่เหรอวะ คนดังเลยนี่หว่า”“พี่ฉลามผมนี่ FC พวกพี่เลยนะครับ!”เหมือนทุกอย่างจะพลิกจากหลังมือเป็นหน้ามือหลายตลบ ฉันตาลายและงุนงง ไม่เข้าใจสิ่งที่เด็กพวกนั้นพูดเลยแม้แต่นิด แต่พอหันไปมองผู้ชายคนที่ถูกพูดถึง เขาเองก็หูแดงแถมเริ่มเกาท้ายทอยนิดๆ ด้วยเอ่อ นี่เขาเขินเหรอ?“... ก็นิดหน่อย” เขินจริงๆ ด้วยอ่ะ “ว่าแต่พวกมึงเป็นใคร ยังเด็กอยู่เลยนี่”“พี่ไม่น่าจะรู้จักหรอกครับ พวกผมเรียน ปวช. ปีหนึ่งกำลังห้าวเป้งเลย แต่ได้ยินชื่
และสุดท้ายมันก็จบลงที่ฉันต้องมานั่งทำแผลให้เขา“แล้วไปทำยังไงให้โดนบาดได้ล่ะ”ฉันถามเขาในขณะที่วางกล่องปฐมพยาบาลอยู่บนหน้าตัก เสียงไม่ค่อยสั่นเท่าไหร่แล้วเพราะตอนนี้ฉันนั่งห่างจากเขามาก เพิ่งเห็นว่าพอเอาแขนเสื้อขึ้นมาต้นแขนของฉลามดุจะเป็นแผลเหมือนโดนมีดบาดเป็นทางยาว เลือดไหลลงมาที่ปากแผลเล็กน้อย แต่ตอนที่เขาพูดกับเด็กพวกนั้นก็ไม่เห็นว่าเขาจะแสดงสีหน้าเจ็บปวดอะไรเลย“ก็...” เขาเว้นวรรค แล้วกุมแผลตัวเองไว้ “ตอนนั้นโมโห”“...”“แล้วก็หวงเธอมากจนเลือดขึ้นหน้าไง” พูดด้วยน้ำเสียงเชิญชวนไม่พอ ยังช้อนตาขึ้นมองฉันด้วยสายตาออดอ้อนด้วย “เจ็บอ่ะเธอ”“แล้ว...” ฉันหน้าแดง แล้วรีบหลบตาเขาทันที “แล้วทำไมตอนนั้นไม่บอกเด็กพวกนั้นไปล่ะ พวกเขาจะได้รับผิดชอบอะไรบ้าง”“เราไม่อยากตัดอนาคตเด็ก” เขาตอบกลับมาทันทีด้วยสีหน้าจริงจัง “แล้วแผลมันก็ไม่ได้ใหญ่มาก พวกมันคงพกมาป้องกันตัว แต่ใช้ผิดวิธีไปหน่อย”“...”“มันยังเรียนอยู่ เราไม่อยากเอาเรื่อง”ฉันมองเขาแล้วเงียบไป นึกเห็นด้วยในใจเลยเลือกที่จะไม่พูดอะไรต่อ แล้วหยิบผ้าก็อซกับพวกอุปกรณ์สำหรับทำแผลสดออกมา แต่ก็นึกได้ว่าเขายังไม่ได้ล้างแผลเลย“ปะ... ไปล้างแผลก่อนส
ฉันเหวอ มองเขาที่ตบที่นั่งที่ยังว่างข้างๆ ด้วยสีหน้าเชิญชวน จะเดินออกจากห้องฉันก็ไม่รู้ทางกลับอยู่ดี และถ้าจะให้ไปนั่งข้างๆ เขาหรือนอนค้างห้องเขาล่ะก็... ฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะถูกทำอะไรบ้าง“แต่... เราเพิ่งคุยกันได้แค่สองวันเอง” ฉันยืนนิ่ง แล้วพูดกับเขาด้วยสีหน้าตื่นกลัว “แถมคุณก็เป็นผู้ชายนะคะ หนูนอนค้างที่นี่ไม่ได้หรอก”“...”“หนูอยากกลับบ้าน”“ไม่เห็นเป็นไรเลย เธอก็ไว้ใจเราดิ” ฉลามดุเลิกคิ้ว ดูเหมือนคำตอบของฉันจะไม่ใช่คำตอบที่เขาอยากฟังเท่าไหร่ ก็ใช่อยู่แล้วล่ะ “นี่มันก็จะเย็นแล้ว เป็นผู้หญิงกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ มันอันตรายไม่ใช่เหรอวะ”“แต่... หนูมีเรียนตอนสี่โมง” ฉันก้มหน้างุด ไม่รู้ว่าจะทำแบบนั้นไปทำไม“ไม่เห็นต้องเรียนเลย ขาดสักคาบจะเป็นไรไป”และเมื่อได้ยินฉลามดุพูดแบบนั้นอย่างไม่แยแส ฉันก็นิ่งอึ้งไปในทันที“...”“เงียบ? เป็นไร” เขาถามแล้วลุกขึ้นทำท่าจะเดินเข้ามาหา แล้ววินาทีนั้นจู่ๆ น้ำตาของฉันก็ร่วงเผาะลงมาด้วยความอึดอัดจนเขาแทบผงะถอยหลัง “เฮ้ย ร้องไห้เหรอนิ้ง”จะเพราะใครอีกล่ะ ก็เขานั่นแหละ“ฮือ นิ้งอยากกลับบ้าน... ให้นิ้งกลับบ้านเถอะนะ” ฉันชอบเรียกชื่อแทนตัวเองเวลาที่อยากจะอ้อ
ผมโมโหมาก ตั้งแต่เริ่มแดกยันจ่ายเงินจนตอนนี้ผมขับรถมาส่งนิ้งที่หน้ามหาลัยก็ยังหงุดหงิดไม่หาย นี่ถ้าไอ้เด็กเสิร์ฟนั่นมันทำมากกว่านั้นนะผมจะไม่ทำอะไรมันหรอก เชื่อดิ แต่จะพังร้านแม่งเลยคะนิ้งยังมีท่าทางงุนงงไม่หาย ตอนที่เธอลงจากรถแล้วส่งหมวกกันน็อคให้ผม ผมพยายามแล้วที่จะไม่หงุดหงิดใส่เธอ แต่ก็เผลอกระชากหมวกกันน็อคมาอย่างรุนแรงนิดหน่อย นิ้งเซไปนิดๆ แล้วผมก็คว้าเอวเธอไว้อย่างเพิ่งรู้สึกตัว“เฮ้ย ขอโทษ” เธอทำหน้าเหวอ ส่วนผมก็ได้แต่ขยี้หัวแรงๆ ในขณะที่จะผละมือออกเมื่อเธอทรงตัวได้แล้วร่างเล็กก็ดันมือผมออก “เราโทรไปหาส้มหวานอะไรนั่นของเธอแล้วนะ เดี๋ยวเพื่อนเธอจะตามมาทีหลัง”ใช่ เพราะโทรศัพท์ของคะนิ้งแบตหมดผมก็เลยอาสาจะโทรหาเพื่อนเธอให้ ถึงแม้ตอนแรกเธอจะมีท่าทีไม่เต็มใจ แต่สุดท้ายเธอก็ไม่มีทางเลือกเลยให้ผมโทรให้อยู่ดีถึงผมจะหงุดหงิด แต่เธอก็คือที่หนึ่งในใจผมนะรู้ตัวไว้ซะด้วย“อะ... โอเค” เธอพยักหน้า “งั้นหนูไปแล้วนะคะ ขอบคุณที่เลี้ยงก๋วยเตี๋ยวค่ะ”เธอพูดขอบคุณเสร็จก็พร้อมจะหมุนตัวหนีเข้ารั้วมหาลัย แล้ววินาทีนั้นผมก็เห็นว่าผู้ชายที่เดินเข้าออกประตูหน้ามหาลัยเอาแต่มองตัวเล็กๆ ที่สมส่วนของคะนิ้
ฟะ... แฟนเหรอ!ฉันทำหน้าเหวอทันทีเมื่อได้ยินเขาพูดเธอไปแบบนั้น พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าคนตัวโตก็กำลังสบตาฉันอยู่เช่นกัน ใบหน้าของเราอยู่ในระยะประชิดเพราะเขากอดฉันไว้แนบไหล่ ฉันเบนสายตาไปที่มือของตัวเองที่ยื้อไหล่ของฉลามดุเอาไว้จากเหตุการณ์กะทันหันเมื่อครู่ แล้วอยู่ดีๆ หน้าก็ร้อนขึ้นมาแฟนอะไรกัน ไม่ใช่สักหน่อย“เอ้ะ เราไม่เห็นรู้เลย” ผู้หญิงคนนั้นหน้าเสียไป ก่อนที่เธอจะหันมามองหน้าฉันอย่างงุนงง “แต่เราไม่เห็นได้ข่าวเลยว่าคะนิ้งดาวคณะอักษรจะมีแฟน”อะ... อะไรน่ะ เธอรู้จักฉันด้วยเหรอ“ดาวคณะ?” ฉลามดุทวนเสียงเข้มทันที ก่อนที่เขาจะก้มลงมามองฉันที่ก้มหน้างุด “จริงเหรอนิ้ง”“อะ... อื้อ” ฉันตอบกลับไปเสียงอ้อมแอ้มอย่างไม่ค่อยอยากจะพูดถึงนัก ฉันไม่ค่อยชอบตำแหน่งนี้มาตั้งแต่แรก พยายามจะขอออกอยู่หลายครั้งแต่ไม่เคยสำเร็จสักที ทั้งๆ ที่ฉันพยายามทำตัวไม่ให้เป็นจุดเด่นมากแล้วนะ เธอก็ยังจำได้อีก“แม่ง...” แต่ที่ผิดคาดกว่าคือฉลามดุดันสบถออกมาเหมือนไม่สบอารมณ์ แล้วกำชับอ้อมแขนแน่นขึ้นท่ามกลางสายตาของทุกคน “งี้คนก็จ้องแต่จะแอ้มเธออ่ะดิ ดีกรีดาวคณะไม่มีใครไม่อยากได้หรอก”ฉันทำหน้างง ส่วนผู้หญิงคนนั้นยังค
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้สองเท้าของฉันก็ยืนอยู่หน้าหอพักของตัวเองแล้วไม่รู้ว่าส้มหวานอยากจับคู่ฉันกับฉลามดุอะไรขนาดนั้น เธอพยายามผลักดันฉันให้ลงไปข้างล่างด้วยตัวเองให้ได้เลย ในขณะที่ตัวเองก็นอนเล่นโน๊ตบุ้คอย่างสบายใจให้ตายสิ นี่ส้มไม่รู้เลยรึไงนะว่าฉันโดนเขาโกรธอยู่น่ะเขาอยู่นั่นแล้ว ตรงลานจอดรถข้างหน้าตึกใกล้ป้อมยามนี่เองฉันเม้มริมฝีปาก ตัดสินใจยืนแอบอยู่ข้างๆ เสาข้างหน้าหออย่างกล้าๆ กลัวๆ เมื่อทันทีที่ลงไปก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งกับรถมอเตอร์ไซค์ที่คุ้นเคย ฉลามดุสูบบุหรี่อีกแล้ว เขานั่งหันเสี้ยวหน้าด้านข้างมาทางที่ฉันยืนอยู่ ร่างสูงเสยผมขึ้น แล้วเริ่มพ่นควันบุหรี่ออกมาอย่างเงียบเชียบฉันค่อยๆ โผล่หน้าออกไป แล้วก็เป็นจังหวะที่ร่างสูงหันมามองทางนี้พอดีทันทีที่เห็นเขาก็กวักมือเรียกฉันให้เดินเข้ามาหา แล้วทิ้งบุหรี่ลงกับพื้นในวินาทีนั้นฉันอึกอักนิดหน่อยเพราะไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะยังโกรธหรือน้อยใจฉันอยู่รึเปล่า แต่พอเดินเข้าไปใกล้ตัวร่างสูงที่นั่งอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์แล้ว ข้อมือของฉันก็ถูกคว้าไปใกล้เขาอีกนิดอย่างไม่ทันตั้งตัว“อะ... ปล่อยนะ” ฉันตกใจและดันเขาออกทันที ในขณะที่เงยหน้ามองฉล
[พาร์ท : ฉลามดุ]คืนนี้ผมฝันดีแน่นอน“ยิ้มอะไรของมึง ดูๆ ไปแล้วเหมือนฆาตกรโรคจิต เห็นแล้วคลื่นไส้” ผมหันไปตามต้นเสียง แล้วก็เห็นเจ๊เพทเดินเข้ามาในขณะที่โยนกระป๋องเบียร์ส่งให้ผมหลังจากที่ผมขับจากหอพักของนิ้งและแวะมาที่นี่ “แดกให้หมดนะ กูเลี้ยง”เธอชื่อ ‘เพทาย’ เป็นผู้หญิงคนเดียวในประวัติกาลที่เป็นหัวหน้าเด็กช่างแถวๆ นี้ เธอเป็นเจ๊ใหญ่ของที่นี่ แล้วเผอิญว่าผมรู้จักกับไอ้พัสน้องชายของเจ๊แกด้วยไง ก็เลยแวะมาที่อู่ของมัน อีกอย่างเพราะผมทำงานอยู่ที่นี่เป็นประจำด้วยผมก็แค่อยากรีบมาเอารถไปรับนิ้ง“เออ มีเรื่องดีๆ” ผมตอบแล้วเปิดกระป๋องเบียร์อย่างอารมณ์ดี ส่วนผู้หญิงในชุดหนังแบบโคตรแมนก็เดินมาเคาะรถที่ผมมาเอาสองสามที ก่อนที่เธอจะนั่งลงตรงฝากระโปรงรถ“เรื่องไร ผู้หญิงเหรอ?” ผมฉีกยิ้มกลับไปแทนคำตอบ แล้วเจ๊ก็แค่นหัวเราะ “อยากรู้ว่าครั้งล่าสุดที่มึงยิ้มทุเรศแบบนี้คือตอนไหน ตอนคบกับไอ้พราวปะ?”พราวที่ว่าเป็นแฟนคนก่อนที่ผมเพิ่งเลิกไป เพราะเธอมีคนอื่น แถมคนอื่นที่ว่าก็เป็นคนที่โคตรเหม็นขี้หน้า จำได้ว่าตอนนั้นผมวูบไปหลายอาทิตย์“ก็แค่แฟนเก่า” ผมแค่นหัวเราะตามบ้างแล้วกระดกเบียร์เข้าคอ “เลิกไปจะเป็นชาติ
ย้อนไปในเวลาเดียวกัน...[พาร์ท : ฉลามดุ]ผมแทบตาสว่างเมื่อนิ้งโทรมา และตาสว่างเข้าไปอีกเมื่อเธอพูดประโยคนี้[นิ้งรอฉลามนานแล้วนะ] ผมเหมือนหูฝาด ก็เลยหรี่ตาฟังเธอเงียบๆ โดยเลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมาแทน“...”[นึกว่าจะตื่นแล้ว รีบมาหาได้มั้ยคะ]ผมเด้งตัวขึ้นจากเตียงทันที หัวใจเต้นโครมครามไปหมดเมื่อเพิ่งรู้ว่าตัวเองหูไม่ฝาด นิ้งเป็นคนพูดจริงๆ ว่ะ เธอแทนตัวเองว่านิ้ง แถมยังพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนแบบเด็กๆ ด้วยวันนี้มันวันดีอะไรวะ กูตายแล้วเหรอ แต่ทำไมเห็นสวรรค์ชัดจังเลย“... ได้ดิ” ผมสะกดอารมณ์แล้วพยายามควบคุมเสียงให้นิ่งที่สุด ไม่อยากตื่นตูมไปเอง เธออาจจะแค่พูดเฉยๆ ไม่ได้คิดอะไรก็ได้ “เดี๋ยวจะรีบออกไป”[อะ... อื้อ]“ห้ามหนีไปไหนนะ” แต่พอเห็นว่าเธอครางรับสั้นๆ ผมก็รู้สึกโลภขึ้นมา ก็เลยมีข้อต่อรองนิดหน่อย[อื้อ]“ถ้าหนีเราจะไปตามถึงหน้ามหาลัยเลย”[อะ... อื้อ! รีบมาเลยนะ] เสียงเธอแกว่งไปนิดๆ ด้วยว่ะ [ถ้าไม่รีบมานิ้งก็จะไม่รอแล้ว]“...”[จะไม่รอจริงๆ นะ]“รู้แล้วครับผม! จะรีบออกไปเดี๋ยวนี้ เลิกทำเสียงแบบนั้น” ผมแทบจะสบถออกมา ใจสั่นไปหมดแล้วตอนนี้ โคตรชอบเสียงแบบนี้ของเธอ แต่ในขณะเดียวกันพอคิดว
[พาร์ท : ฉลามดุ]คืนนี้ผมฝันดีแน่นอน“ยิ้มอะไรของมึง ดูๆ ไปแล้วเหมือนฆาตกรโรคจิต เห็นแล้วคลื่นไส้” ผมหันไปตามต้นเสียง แล้วก็เห็นเจ๊เพทเดินเข้ามาในขณะที่โยนกระป๋องเบียร์ส่งให้ผมหลังจากที่ผมขับจากหอพักของนิ้งและแวะมาที่นี่ “แดกให้หมดนะ กูเลี้ยง”เธอชื่อ ‘เพทาย’ เป็นผู้หญิงคนเดียวในประวัติกาลที่เป็นหัวหน้าเด็กช่างแถวๆ นี้ เธอเป็นเจ๊ใหญ่ของที่นี่ แล้วเผอิญว่าผมรู้จักกับไอ้พัสน้องชายของเจ๊แกด้วยไง ก็เลยแวะมาที่อู่ของมัน อีกอย่างเพราะผมทำงานอยู่ที่นี่เป็นประจำด้วยผมก็แค่อยากรีบมาเอารถไปรับนิ้ง“เออ มีเรื่องดีๆ” ผมตอบแล้วเปิดกระป๋องเบียร์อย่างอารมณ์ดี ส่วนผู้หญิงในชุดหนังแบบโคตรแมนก็เดินมาเคาะรถที่ผมมาเอาสองสามที ก่อนที่เธอจะนั่งลงตรงฝากระโปรงรถ“เรื่องไร ผู้หญิงเหรอ?” ผมฉีกยิ้มกลับไปแทนคำตอบ แล้วเจ๊ก็แค่นหัวเราะ “อยากรู้ว่าครั้งล่าสุดที่มึงยิ้มทุเรศแบบนี้คือตอนไหน ตอนคบกับไอ้พราวปะ?”พราวที่ว่าเป็นแฟนคนก่อนที่ผมเพิ่งเลิกไป เพราะเธอมีคนอื่น แถมคนอื่นที่ว่าก็เป็นคนที่โคตรเหม็นขี้หน้า จำได้ว่าตอนนั้นผมวูบไปหลายอาทิตย์“ก็แค่แฟนเก่า” ผมแค่นหัวเราะตามบ้างแล้วกระดกเบียร์เข้าคอ “เลิกไปจะเป็นชาติ
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้สองเท้าของฉันก็ยืนอยู่หน้าหอพักของตัวเองแล้วไม่รู้ว่าส้มหวานอยากจับคู่ฉันกับฉลามดุอะไรขนาดนั้น เธอพยายามผลักดันฉันให้ลงไปข้างล่างด้วยตัวเองให้ได้เลย ในขณะที่ตัวเองก็นอนเล่นโน๊ตบุ้คอย่างสบายใจให้ตายสิ นี่ส้มไม่รู้เลยรึไงนะว่าฉันโดนเขาโกรธอยู่น่ะเขาอยู่นั่นแล้ว ตรงลานจอดรถข้างหน้าตึกใกล้ป้อมยามนี่เองฉันเม้มริมฝีปาก ตัดสินใจยืนแอบอยู่ข้างๆ เสาข้างหน้าหออย่างกล้าๆ กลัวๆ เมื่อทันทีที่ลงไปก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งกับรถมอเตอร์ไซค์ที่คุ้นเคย ฉลามดุสูบบุหรี่อีกแล้ว เขานั่งหันเสี้ยวหน้าด้านข้างมาทางที่ฉันยืนอยู่ ร่างสูงเสยผมขึ้น แล้วเริ่มพ่นควันบุหรี่ออกมาอย่างเงียบเชียบฉันค่อยๆ โผล่หน้าออกไป แล้วก็เป็นจังหวะที่ร่างสูงหันมามองทางนี้พอดีทันทีที่เห็นเขาก็กวักมือเรียกฉันให้เดินเข้ามาหา แล้วทิ้งบุหรี่ลงกับพื้นในวินาทีนั้นฉันอึกอักนิดหน่อยเพราะไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะยังโกรธหรือน้อยใจฉันอยู่รึเปล่า แต่พอเดินเข้าไปใกล้ตัวร่างสูงที่นั่งอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์แล้ว ข้อมือของฉันก็ถูกคว้าไปใกล้เขาอีกนิดอย่างไม่ทันตั้งตัว“อะ... ปล่อยนะ” ฉันตกใจและดันเขาออกทันที ในขณะที่เงยหน้ามองฉล
ฟะ... แฟนเหรอ!ฉันทำหน้าเหวอทันทีเมื่อได้ยินเขาพูดเธอไปแบบนั้น พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าคนตัวโตก็กำลังสบตาฉันอยู่เช่นกัน ใบหน้าของเราอยู่ในระยะประชิดเพราะเขากอดฉันไว้แนบไหล่ ฉันเบนสายตาไปที่มือของตัวเองที่ยื้อไหล่ของฉลามดุเอาไว้จากเหตุการณ์กะทันหันเมื่อครู่ แล้วอยู่ดีๆ หน้าก็ร้อนขึ้นมาแฟนอะไรกัน ไม่ใช่สักหน่อย“เอ้ะ เราไม่เห็นรู้เลย” ผู้หญิงคนนั้นหน้าเสียไป ก่อนที่เธอจะหันมามองหน้าฉันอย่างงุนงง “แต่เราไม่เห็นได้ข่าวเลยว่าคะนิ้งดาวคณะอักษรจะมีแฟน”อะ... อะไรน่ะ เธอรู้จักฉันด้วยเหรอ“ดาวคณะ?” ฉลามดุทวนเสียงเข้มทันที ก่อนที่เขาจะก้มลงมามองฉันที่ก้มหน้างุด “จริงเหรอนิ้ง”“อะ... อื้อ” ฉันตอบกลับไปเสียงอ้อมแอ้มอย่างไม่ค่อยอยากจะพูดถึงนัก ฉันไม่ค่อยชอบตำแหน่งนี้มาตั้งแต่แรก พยายามจะขอออกอยู่หลายครั้งแต่ไม่เคยสำเร็จสักที ทั้งๆ ที่ฉันพยายามทำตัวไม่ให้เป็นจุดเด่นมากแล้วนะ เธอก็ยังจำได้อีก“แม่ง...” แต่ที่ผิดคาดกว่าคือฉลามดุดันสบถออกมาเหมือนไม่สบอารมณ์ แล้วกำชับอ้อมแขนแน่นขึ้นท่ามกลางสายตาของทุกคน “งี้คนก็จ้องแต่จะแอ้มเธออ่ะดิ ดีกรีดาวคณะไม่มีใครไม่อยากได้หรอก”ฉันทำหน้างง ส่วนผู้หญิงคนนั้นยังค
ผมโมโหมาก ตั้งแต่เริ่มแดกยันจ่ายเงินจนตอนนี้ผมขับรถมาส่งนิ้งที่หน้ามหาลัยก็ยังหงุดหงิดไม่หาย นี่ถ้าไอ้เด็กเสิร์ฟนั่นมันทำมากกว่านั้นนะผมจะไม่ทำอะไรมันหรอก เชื่อดิ แต่จะพังร้านแม่งเลยคะนิ้งยังมีท่าทางงุนงงไม่หาย ตอนที่เธอลงจากรถแล้วส่งหมวกกันน็อคให้ผม ผมพยายามแล้วที่จะไม่หงุดหงิดใส่เธอ แต่ก็เผลอกระชากหมวกกันน็อคมาอย่างรุนแรงนิดหน่อย นิ้งเซไปนิดๆ แล้วผมก็คว้าเอวเธอไว้อย่างเพิ่งรู้สึกตัว“เฮ้ย ขอโทษ” เธอทำหน้าเหวอ ส่วนผมก็ได้แต่ขยี้หัวแรงๆ ในขณะที่จะผละมือออกเมื่อเธอทรงตัวได้แล้วร่างเล็กก็ดันมือผมออก “เราโทรไปหาส้มหวานอะไรนั่นของเธอแล้วนะ เดี๋ยวเพื่อนเธอจะตามมาทีหลัง”ใช่ เพราะโทรศัพท์ของคะนิ้งแบตหมดผมก็เลยอาสาจะโทรหาเพื่อนเธอให้ ถึงแม้ตอนแรกเธอจะมีท่าทีไม่เต็มใจ แต่สุดท้ายเธอก็ไม่มีทางเลือกเลยให้ผมโทรให้อยู่ดีถึงผมจะหงุดหงิด แต่เธอก็คือที่หนึ่งในใจผมนะรู้ตัวไว้ซะด้วย“อะ... โอเค” เธอพยักหน้า “งั้นหนูไปแล้วนะคะ ขอบคุณที่เลี้ยงก๋วยเตี๋ยวค่ะ”เธอพูดขอบคุณเสร็จก็พร้อมจะหมุนตัวหนีเข้ารั้วมหาลัย แล้ววินาทีนั้นผมก็เห็นว่าผู้ชายที่เดินเข้าออกประตูหน้ามหาลัยเอาแต่มองตัวเล็กๆ ที่สมส่วนของคะนิ้
ฉันเหวอ มองเขาที่ตบที่นั่งที่ยังว่างข้างๆ ด้วยสีหน้าเชิญชวน จะเดินออกจากห้องฉันก็ไม่รู้ทางกลับอยู่ดี และถ้าจะให้ไปนั่งข้างๆ เขาหรือนอนค้างห้องเขาล่ะก็... ฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะถูกทำอะไรบ้าง“แต่... เราเพิ่งคุยกันได้แค่สองวันเอง” ฉันยืนนิ่ง แล้วพูดกับเขาด้วยสีหน้าตื่นกลัว “แถมคุณก็เป็นผู้ชายนะคะ หนูนอนค้างที่นี่ไม่ได้หรอก”“...”“หนูอยากกลับบ้าน”“ไม่เห็นเป็นไรเลย เธอก็ไว้ใจเราดิ” ฉลามดุเลิกคิ้ว ดูเหมือนคำตอบของฉันจะไม่ใช่คำตอบที่เขาอยากฟังเท่าไหร่ ก็ใช่อยู่แล้วล่ะ “นี่มันก็จะเย็นแล้ว เป็นผู้หญิงกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ มันอันตรายไม่ใช่เหรอวะ”“แต่... หนูมีเรียนตอนสี่โมง” ฉันก้มหน้างุด ไม่รู้ว่าจะทำแบบนั้นไปทำไม“ไม่เห็นต้องเรียนเลย ขาดสักคาบจะเป็นไรไป”และเมื่อได้ยินฉลามดุพูดแบบนั้นอย่างไม่แยแส ฉันก็นิ่งอึ้งไปในทันที“...”“เงียบ? เป็นไร” เขาถามแล้วลุกขึ้นทำท่าจะเดินเข้ามาหา แล้ววินาทีนั้นจู่ๆ น้ำตาของฉันก็ร่วงเผาะลงมาด้วยความอึดอัดจนเขาแทบผงะถอยหลัง “เฮ้ย ร้องไห้เหรอนิ้ง”จะเพราะใครอีกล่ะ ก็เขานั่นแหละ“ฮือ นิ้งอยากกลับบ้าน... ให้นิ้งกลับบ้านเถอะนะ” ฉันชอบเรียกชื่อแทนตัวเองเวลาที่อยากจะอ้อ
และสุดท้ายมันก็จบลงที่ฉันต้องมานั่งทำแผลให้เขา“แล้วไปทำยังไงให้โดนบาดได้ล่ะ”ฉันถามเขาในขณะที่วางกล่องปฐมพยาบาลอยู่บนหน้าตัก เสียงไม่ค่อยสั่นเท่าไหร่แล้วเพราะตอนนี้ฉันนั่งห่างจากเขามาก เพิ่งเห็นว่าพอเอาแขนเสื้อขึ้นมาต้นแขนของฉลามดุจะเป็นแผลเหมือนโดนมีดบาดเป็นทางยาว เลือดไหลลงมาที่ปากแผลเล็กน้อย แต่ตอนที่เขาพูดกับเด็กพวกนั้นก็ไม่เห็นว่าเขาจะแสดงสีหน้าเจ็บปวดอะไรเลย“ก็...” เขาเว้นวรรค แล้วกุมแผลตัวเองไว้ “ตอนนั้นโมโห”“...”“แล้วก็หวงเธอมากจนเลือดขึ้นหน้าไง” พูดด้วยน้ำเสียงเชิญชวนไม่พอ ยังช้อนตาขึ้นมองฉันด้วยสายตาออดอ้อนด้วย “เจ็บอ่ะเธอ”“แล้ว...” ฉันหน้าแดง แล้วรีบหลบตาเขาทันที “แล้วทำไมตอนนั้นไม่บอกเด็กพวกนั้นไปล่ะ พวกเขาจะได้รับผิดชอบอะไรบ้าง”“เราไม่อยากตัดอนาคตเด็ก” เขาตอบกลับมาทันทีด้วยสีหน้าจริงจัง “แล้วแผลมันก็ไม่ได้ใหญ่มาก พวกมันคงพกมาป้องกันตัว แต่ใช้ผิดวิธีไปหน่อย”“...”“มันยังเรียนอยู่ เราไม่อยากเอาเรื่อง”ฉันมองเขาแล้วเงียบไป นึกเห็นด้วยในใจเลยเลือกที่จะไม่พูดอะไรต่อ แล้วหยิบผ้าก็อซกับพวกอุปกรณ์สำหรับทำแผลสดออกมา แต่ก็นึกได้ว่าเขายังไม่ได้ล้างแผลเลย“ปะ... ไปล้างแผลก่อนส
“พี่ฉลาม? พี่ฉลามใช่มั้ย!” เพื่อนทุกคนของเด็กคนนี้มีสีหน้าตกใจ ไม่เว้นแม้แต่คนที่ดูท่าทางเป็นหัวโจกด้วย แม้แต่ฉันเองก็ตกใจเหมือนกัน “ผมมองตั้งนานนึกว่าใคร พี่ฉลามนี่เอง วันก่อนผมไปเจอพี่เดี่ยวมาด้วย ไม่คิดว่าชาตินี้จะมีบุญได้เจอไอดอลตัวเป็นๆ”“ว่าไงนะ” ฉลามดุเบิกตากว้าง เหมือนเขาเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน“ห่าโอ มึงพูดอะไรวะ”“นี่มึงไม่รู้จักพี่ฉลามดุเหรอวะ!” เด็กที่ชื่อโอตบหัวเพื่อนอีกคนที่ถูกฉลามดุดึงคอเสื้อค้างไว้ ในขณะที่เด็กคนนั้นก็ทำตาโตสุดๆ เหมือนเพิ่งนึกออกเหมือนกัน“พี่ฉลามดุที่เป็นคู่หูกับพี่เดี่ยวบางซิ่ง แล้วก็เคยไปถล่มพวกกลุ่มสมิงดำที่โคตรดังคนนั้นอ่ะนะ!!”“เฮ้ย ใช่เหรอวะ คนดังเลยนี่หว่า”“พี่ฉลามผมนี่ FC พวกพี่เลยนะครับ!”เหมือนทุกอย่างจะพลิกจากหลังมือเป็นหน้ามือหลายตลบ ฉันตาลายและงุนงง ไม่เข้าใจสิ่งที่เด็กพวกนั้นพูดเลยแม้แต่นิด แต่พอหันไปมองผู้ชายคนที่ถูกพูดถึง เขาเองก็หูแดงแถมเริ่มเกาท้ายทอยนิดๆ ด้วยเอ่อ นี่เขาเขินเหรอ?“... ก็นิดหน่อย” เขินจริงๆ ด้วยอ่ะ “ว่าแต่พวกมึงเป็นใคร ยังเด็กอยู่เลยนี่”“พี่ไม่น่าจะรู้จักหรอกครับ พวกผมเรียน ปวช. ปีหนึ่งกำลังห้าวเป้งเลย แต่ได้ยินชื่
มีความรู้สึกว่าคิ้วขวากระตุกอยู่ตลอดเวลาเลยอ่ะไม่รู้ว่านี่เป็นลางร้ายหรืออะไรรึเปล่านะ แต่รู้สึกไม่ดีเลย“นิ้ง จะกลับหอเลยหรือไปหาอะไรกินก่อนดี มีเรียนอีกทีตั้งสี่โมงแน่ะ”ฉันหันไปมองส้มหวานที่เก็บชีทเรียนใส่กระเป๋าสะพายอย่างไม่รีบร้อน หลังจากเรียนคลาสแรกของวันจบฉันกับส้มหวานก็ลงมานั่งคุยเล่นกันที่โต๊ะม้าหินอ่อนตัวประจำ เหลือเวลาอีกตั้งเยอะแยะกว่าที่จะเรียนคลาสต่อไป ฉันเลยสลัดความคิดเรื่องลางร้ายอะไรนั่นออกไปแล้วเริ่มครุ่นคิดฉันเองก็ยังไม่อยากกลับไปนอนที่หอด้วย เพราะอย่างนั้น“นิ้งอยากกินนมปั่นอ่ะ”“บังเอิญจัง! ส้มก็อยากกิน” ส้มหวานมีสีหน้าเปี่ยมสุขที่เจอคนที่ใจตรงกัน ในขณะที่จะกอดคอฉันแล้วลากให้เดินไปยังหน้ามหาวิทยาลัยด้วยกัน “แล้วเดี๋ยวแวะร้านเค้กหน้ามหาลัยกันด้วยดีกว่า อยากกินชอตเค้กอ่ะ”“กินเยอะๆ เดี๋ยวอ้วนนะส้ม”“ไม่สนอ่ะ ยังไงก็ยังสวยอยู่ดี” ฉันหัวเราะกับมุขตลกของเธอและยอมรับว่าเป็นความจริง เพราะส้มเป็นคนสวยและน่ารัก ในขณะที่จะเดินคุยกันไปเรื่อยๆ จนออกนอกประตูมหาลัย แต่ก็ยังไม่วาย...“เอ้ย นิ้ง” ส้มหวานกระตุกแขนฉันให้หันไปมองด้านซ้าย แล้วฉันก็ตกใจเมื่อเห็นคนที่นั่งสูบบุหรี่บนร