ทันทีที่ฉินอู๋ต้าวพูดจบ เสียงหนึ่งก็ดังมาจากฝูงชน“เสด็จพ่อ ลูกขอทำการประลองรอบแรกนี้เองพ่ะย่ะค่ะ”หลังจากสิ้นคำพูด ฉินหยางก็เดินออกมาฉินอู๋ต้าวพยักหน้าช้า ๆ เป็นการอนุญาตขณะนั้น ขุนนางต้าเหยียนเริ่มกระซิบกระซาบกัน“อ๋องซิ่นทรงออกโรงเองเช่นนี้ ไว้ใจได้แน่นอน”“ใช่แล้ว ท่านอ๋องซิ่นทรงเคยเล่าเรียนกับท่านผู้อาวุโสจางจาว ในบรรดาองค์ชาย ความสามารถด้านวรรณกรรมของท่านอ๋องซิ่นโดดเด่นเป็นอย่างมาก”“ถูกต้อง น่าขันที่มู่หรงฟู่กล้าท้าทายวงการวรรณกรรมแห่งต้าเหยียนของพวกเรา ครานี้ท่านอ๋องซิ่นจะต้องทำให้วงการวรรณกรรมต้าเหยียนของเรารุ่งเรืองยิ่งขึ้นไปอย่างแน่นอน”“ท่านอ๋องซิ่นผู้เกรียงไกร!”“...”เมื่อได้ยินคำสรรเสริญเยินยอเหล่านั้น ฉินหยางก็ไพล่มือไว้ข้างหลังพลางมองมู่หรงฟู่ด้วยสีหน้าเย่อหยิ่ง“องค์ชายมู่หรง ท่านอยากแข่งโต้กวีหรือต่อโคลงคู่เล่า?”มู่หรงฟู่ยิ้มหยันและพูดว่า “อะไรก็ได้ มิว่าจะเป็นอะไร ข้าก็รับมือได้ทั้งนั้น”“ได้ เช่นนั้น ท่านก็ฟังให้ดี”ฉินหยางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดเสียงดัง “แด่วันผู้สูงอายุที่กำลังจะมาถึง เช่นนั้นก็แต่งกวีหนึ่งบทโดยใช้หัวข้อวันผู้สูงอายุ!”เขาห
ทว่าอีกฝ่ายกลับมีท่าทีนิ่งเฉยและพูดเสียงเรียบ!“หยาดน้ำฟ้ายามสารทล่วงสู่พงพนา ผืนธาราประกายแสงแวววับ เบญจมาศลาลับกลับใจสลาย ครั้นชีวายังมิวายจงสุขสำราญ ฉลองเทศกาลหวนถึงครั้งเยาว์วัย”หลังจากที่มู่หรงฟู่พูดจบ สถานที่แห่งนี้ก็เปลี่ยนเป็นเงียบสงัดฉินซูขมวดคิ้วอีกครั้ง เขาจำได้แม่นว่ากวีบทนี้ถูกประพันธ์โดยลู่โหยวแห่งราชวงศ์ซ่ง แต่มันออกมาจากปากของมู่หรงฟู่ในอีกโลกหนึ่งได้อย่างไร?ตอนนี้เขานึกสงสัยแม้กระทั่งว่า หากตนคัดลอกบทกวีของราชวงศ์ถังและซ่ง มันคงจะกลายเป็นผลงานของยอดนักกวีผู้มีพรสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ในโลกนี้หากเป็นเช่นนั้น ความได้เปรียบด้านบทกวีในฐานะนักเดินทางทะลุมิติก็จะหมดไปน่ะสิเมื่อคิดได้ดังนั้น ฉินซูก็ลูบคางพลางคิดแผนรับมืออยู่ในใจขณะนั้น ฉินอู๋ต้าวที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรก็มีท่าทีเคร่งขรึมขึ้นมาเห็นได้ชัดว่าไม่มีใครคาดคิดว่ามู่หรงฟู่จะแต่งบทกวีได้เร็วถึงเพียงนี้ รวมถึงตัวเขาด้วยยิ่งไปกว่านั้น บทกวีนี้เป็นการใช้โคลงเจ็ดคำ ซึ่งมีความยากกว่าบทกวีของฉินหยางอย่างมาก เมื่อเห็นว่าบรรดาขุนนางเอาแต่เงียบเป็นเป่าสาก มู่หรงฟู่ก็ประสานหมัดคารวะให้ฉินหยางอย่างภาคภูมิใจ“อ๋องซ
เพราะพวกเขาพบว่าคนที่พูดเมื่อครู่คือฉินซู!“มิใช่กระมัง องค์รัชทายาททรงต่อโคลงคู่ได้ด้วยหรือ?”“ล้อกันเล่นแล้ว ท่านอ๋องซิ่นที่ทรงมีความรู้มากมายยังทำมิได้ คงมิต้องพูดถึงองค์รัชทายาทหรอก”“นั่นสิ ข้าคิดว่าองค์รัชทายาททรงเพียงต้องการเรียกร้องความสนใจเท่านั้น จะต่อโคลงได้อย่างไร?”“เฮ้อ ทั้ง ๆ ที่ต่อโคลงมิเป็น แต่กลับตรัสอย่างโอ้อวด คนอื่นเขาจะมิหัวเราะเยาะเอารึ”เป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ขุนนางทุกคนพากันทอดถอนใจฉินหยางมองไปที่ฉินซูด้วยความดูถูกเหลือคณา!“เสด็จพี่รัชทายาท กระหม่อมคิดโคลงคู่ต่อไปมิออก แต่ท่านตรัสว่าท่านทำได้อย่างนั้นหรือ? นี่ท่านมั่นใจเกินไป หรือหยิ่งยโสเกินไปกันแน่พ่ะย่ะค่ะ?”ฉินซูตอบอย่างมิไว้หน้า “การที่เจ้าไร้ความสามารถนั้นมิได้หมายความว่าข้าเป็นเหมือนเจ้าที่แม้แต่โคลงคู่ง่าย ๆ เช่นนี้ก็ยังต่อมิได้ ราชวงศ์ต้าเหยียนของเราต้องขายหน้าเป็นอย่างมากก็เพราะเจ้า”ฉินหยางพูดด้วยความโกรธ “องค์รัชทายาททรงโอ้อวดเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ เอาเถอะ ท่านตรัสว่าต่อโคลงได้ใช่หรือไม่? เช่นนั้นก็ทำเลยสิ หากท่านทำมิได้ กระหม่อมก็อยากจะเห็นนักว่าท่านจะอธิบายกับเสด็จพ่อว่าอย่างไร!”ฉินอู๋ต้
ฉินซูไพล่มือไว้ด้านหลังพลางยิ้มเยาะ “อะไรกัน ข้าต่อโคลงคู่ที่สองได้แต่เจ้ากลับบอกว่าข้าได้รับการชี้แนะจากผู้อื่น เจ้าคิดจะโกงกันหรือไร?”มู่หรงฟู่แค่นเสียงเบา “ท่านต่างหากที่โกง ขุนนางบุ๋นบู๊ทุกคนในราชวงศ์ของท่านมีใครที่มิรู้บ้าง ต้องให้ข้าพูดมากกว่านี้หรือไม่? พวกเขาต่อโคลงมิได้ แต่ท่านกลับทำได้ แสดงว่าท่านมีความสามารถมากกว่าขุนนางเหล่านั้นรึ? หึ ๆ พูดมาได้ว่าท่านคิดเอง คงจะมีคนเชื่อกระมัง?”ฉินหยางยิ้มเย้ยพลางพูดอย่างปรีดาบนความทุกข์ของผู้อื่น “องค์รัชทายาท แม้ท่านจะต่อโคลงคู่ที่สองได้ แต่ท่านก็ต้องอธิบายให้ดี องค์รัชทายาท มิเช่นนั้นราชวงศ์ต้าเหยียนของเราจะต้องขายหน้าเพราะท่านนะพ่ะย่ะค่ะ”เขาใช้คำพูดเมื่อครู่ของฉินซูตอกกลับไปอย่างมิไว้หน้าแต่ทันทีที่พูดจบ เขาก็ถูกฉินอู๋ต้าวถลึงตาใส่เขากลัวมากจนใจสั่น และรีบหุบรอยยิ้มปรีดาพลางก้มหน้าลงฉินซูพูดโดยมิเปลี่ยนสีหน้า “ข้าจะมีความรู้ความสามารถจริง ๆ หรือไม่ ข้อเท็จจริงย่อมเป็นตัวพิสูจน์ หยุดพูดไร้สาระให้เสียเวลา ข้าต่อโคลงคู่แรกของทเจ้าไปแล้ว คราวนี้ถึงตาที่ข้าเป็นฝ่ายเริ่มใช่หรือไม่?”มู่หรงฟู่แค่นเสียงเย็นอย่างมิยอมอ่อนข้อ “มาสิ
หวังฉือตุลาการศาลต้าหลี่มิค่อยอยากเชื่อสักเท่าไรเขาพึมพำ “มิจริงน่า เฉิงจืออี้เป็นผู้อาวุโสแห่งสำนักหอสมุดหลวงเป่ยเยี่ยน ทั้งยังเป็นผู้นำในวงการวรรณกรรมเป่ยเยี่ยน แต่กลับต่อโคลงคู่แรกขององค์รัชทายาทมิได้น่ะหรือ?”“คาดมิถึงเลยว่าท่านผู้อาวุโสเฉิงจะยอมแพ้ มิพูดมิได้ว่าองค์รัชทายาททรงยอดเยี่ยมจริง ๆ!”“นั่นสิ เมื่อก่อนข้าก็คิดว่าองค์รัชทายาททรงใช้ชีวิตอย่างไร้ซึ่งความทะเยอทะยาน แต่คาดมิถึงว่าพระองค์เป็นคนมีความสามารถคนหนึ่ง แต่เพียงมิไแสดงออก ทว่าเมื่อคนได้เห็นได้รู้กลับเป็นต้องตะลึงงัน!”“การที่บุคคลสำคัญแห่งวงการวรรณกรรมของเป่ยเยี่ยนยอมแพ้ให้ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่า ความรู้ความสามารถขององค์รัชทายาทมิได้ด้อยไปกว่าท่านผู้อาวุโสเฉิงเลย!”“องค์รัชทายาทผู้เกรียงไกร ทรงทำให้แคว้นของเราเรืองรองด้วยบารมีอำนาจ!”เสียงสรรเสริญดังก้องไปทั่วทั้งสถานที่แห่งนั้นอีกครั้งสีหน้าของมู่หรงฟู่และคนอื่น ๆ มิสู้ดีราวกับกินแมลงวันเข้าไปก็มิปานขณะนั้นเฉิงจืออี้ก็พูดขึ้นอีกครั้งเขายกมือคำนับฉินซูและพูดด้วยท่าทีที่มิถ่อมตัวและมิอวดดี “องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน แม้โคลงคู่แรกเมื่อครู่ของท่านจะวิจิต
“ด่านซานไห่ถูกสร้างขึ้นเมื่อปีศักราชหงอู่ที่สิบสี่ในช่วงราชวงศ์หมิง และตั้งอยู่ตรงใจกลางของกำแพงเมืองจีนที่ด่านซานไห่…”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ท่าทางของฉินซูก็เปลี่ยนไปทันที และมีสีหน้าประหลาดใจ!ปีศักราชหงอู่ที่สิบสี่ในช่วงราชวงศ์หมิงคือรัชสมัยของจักรพรรดิจูหยวนจางผู้สถาปนาราชวงศ์หมิงมิใช่หรือ?อีกทั้งข้อมูลของด่านซานไห่ที่ถูกบันทึกไว้ในตำราโบราณนั้นเหมือนกับเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่เขารู้ทุกประการ!แต่เหตุใดหัวหน้าโหรหลวงถึงบอกว่านั่นคือเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อราวหมื่นปีก่อน?หรือว่านับตั้งแต่ราชวงศ์หมิงมาจนถึงบัดนี้ เวลาได้ล่วงเลยมาเป็นหมื่นปีแล้ว?จะเป็นไปได้อย่างไร?!แต่นอกเหนือจากนี้แล้วจะอธิบายอย่างไรให้เข้าใจได้?มันคงเป็นไปมิได้หรอกกระมังที่ประวัติศาสตร์ของทั้งสองโลกจะมีส่วนที่คล้ายคลึงกัน?ยิ่งฉินซูคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าไร ความคิดของเขาก็ยิ่งสับสนวุ่นวายมากขึ้นเท่านั้นขณะนั้นเองเฉิงจืออี้ก็ถอนหายใจยาวและพูดว่า “ท่านหัวหน้าโหรหลวง ข้ารู้ตัวอักษรโบราณมิมากนัก แต่เห็นได้ชัดว่าตำราเล่มนี้บันทึกข้อมูลทางประวัติศาสตร์และอารยธรรมตั้งแต่สมัยโบราณเอาไว้มากมาย มิทราบว่าท่าน
ก่อนที่จะทะลุมิติมาข้าก็ใช้อักษรจีนตัวย่อมาตลอด ตอนนี้เจ้าคิดจะใช้สิ่งนี้มาทำให้ข้าตกที่นั่งลำบากอย่างนั้นรึ?นี่มิใช่ว่าอยากจะทรมานข้าหรือไร!มู่หรงฟู่ที่มิรู้ว่าฉินซูกำลังคิดอะไรอยู่ก็ถามด้วยความสงสัย “ฉินซู ท่านยิ้มอะไร?”ฉินซูยิ้มเยาะและพูดว่า “ข้ายิ้มให้กับความมิรู้ของเจ้าอย่างไรเล่า! ในเมื่อข้ารู้ว่าด่านซานไห่อยู่ที่ใด แน่นอนว่าข้าย่อมรู้ตัวอักษรโบราณเหล่านั้น”พูดจบ เขาก็เปิดตำราไปที่หน้าสามและชี้ไปยังอักษรตัวใหญ่สามคำที่อยู่ด้านบนสุดของหน้ากระดาษทั้งสามคำนี้เป็นอักษรจีนตัวย่ออย่างมิผิดเพี้ยน หากเขามิรู้ก็แปลกแล้วเพียงแต่เขายังข้องใจที่โลกเดิมที่เขาเคยอาศัยอยู่นั้น นับตั้งแต่ราชวงศ์หมิงได้ผ่านไปมิกี่ร้อยปีเท่านั้นเหตุใดในโลกนี้ที่มีราชวงศ์ต้าเหยียน ต้าหมิงถึงได้กลายเป็นแคว้นโบราณที่มีอายุผ่านมาเป็นหมื่นปี?ขณะนั้นเองก็มีความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขา หรือว่า… เขาเดินทางมายังอนาคตหมื่นปีข้างหน้า?มิฉะนั้น ตำราโบราณนั่นจะใช้อักษรจีนตัวย่อในการจดบันทึกได้อย่างไร?ยิ่งฉินซูคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันมีความเป็นไปได้แต่ในมิช้าเขาก็ตระหนักได้
ก่อนที่ฉินซูจะได้ตอบอะไร ฉินหงก็ชิงพูดก่อนว่า “แน่นอนว่ามิใช่ ผู้ชนะจะเป็นผู้คิดโจทย์ นี่เป็นกฎแบบดั้งเดิม”“ถูกต้อง มีอย่างที่ไหนให้ผู้แพ้เป็นคนคิดโจทย์ มิเคยพบมิเคยเห็น”“พ่ายแพ้ราบคาบเช่นนั้นยังจะกล้ามาขอคิดโจทย์อีก หน้ามิอายเสียจริง”ขุนนางคนอื่น ๆ ต่างพากันพูดสนับสนุนมิแปลกใจที่พวกเขาแย่งสิทธิ์ในการคิดโจทย์ เพราะขอเพียงแค่พวกเขาได้เป็นฝ่ายคิดโจทย์ยาก ๆ ไปตลอด ก็รับประกันได้ว่าพวกเขาจะเป็นฝ่ายชนะเมื่อเห็นว่าทุกคนยังคงโต้เถียงกัน ฉินซูก็โบกมือแล้วพูดว่า “ทุกท่าน คณะทูตเป่ยเยี่ยนเป็นแขกจากแดนไกล เราต้องปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความสุภาพ มิเช่นนั้นพวกเราจะมิดูใจแคบเอาหรือ?”หวังฉือพูดด้วยท่าทีจริงจัง “องค์รัชทายาท แม้จะตรัสเช่นนั้น ทว่ายามนี้พวกเรามิได้เล่นการละเล่นดังเช่นเด็กน้อย หากพ่ายแพ้ วงการวรรณกรรมต้าเหยียนของพวกเราจะต้องอับอายขายหน้านะพ่ะย่ะค่ะ”เนี่ยหงยังกล่าวอีกว่า “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาท ในเมื่อเป่ยเยี่ยนมาเยือนเขตแดนต้าเหยียนของพวกเราแล้วก็ย่อมต้องปฏิบัติตามกฎของพวกเราพ่ะย่ะค่ะ”มู่หรงฟู่แค่นเสียงเย็น “เมื่อครู่องค์รัชทายาทของพวกเจ้าก็บอกเป็นนัย ๆ แล้วมิใช่หรือ
ชิวก่วนกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่า “หาได้มีโจรผู้ร้ายบุกรุกเข้ามาไม่พ่ะย่ะค่ะ หูก่วงเซิงและพวกตายไปโดยไร้สาเหตุ ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีความผิดปกติใด ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“ว่ากระไรนะ? หูก่วงเซิงและพวกตายแล้วรึ?”ฉงชูโม่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าประหลาดใจฉินซูกล่าวอย่างมิสบอารมณ์ว่า “มิใช่แค่พวกเขา แม้แต่กองทัพส่วนตัวห้าหมื่นนายของอ๋องฉู่ก็ถูกคนช่วยออกไปแล้ว”“ว่ากระไรนะเพคะ?”ฉงชูโม่ตกตะลึงอ้าปากค้าง!เมื่อได้สติกลับมา นางก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ด้วยกำลังของอ๋องฉู่เพียงลำพัง ไม่มีทางทำเรื่องเหล่านี้ได้แน่ ดังนั้นเบื้องหลังของเขาต้องมียอดฝีมือคอยช่วยเหลือเป็นแน่เพคะ!”ฉินซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ศพของหูก่วงเซิงและพวกอยู่ที่ใด?”“ตอนนี้อยู่ที่ศาลต้าหลี่พ่ะย่ะค่ะ”“ไปดูกัน”ฉินซูกล่าวจบก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วหวังฉือเห็นเขาออกมาก็คำนับแล้วกำลังจะกล่าวทว่าฉินซูกลับพูดแทรกขึ้นก่อนว่า “ใต้เท้าหวัง ไปกันเถิด ไปศาลต้าหลี่ของท่านด้วยกัน”เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังฉือก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็รีบพยักหน้าหนึ่งชั่วยามต่อมาพวกเขาก็มาถึงศาลต้าหลี่เมื่อมองดูร่างไร้วิญญาณของหูก่วงเซิงและพวก ฉ
ฉงชูโม่พยักหน้าหนักแน่น “ถูกต้องแล้วเพคะ เรื่องนี้มิใช่แค่ข้าน้อยคนเดียวที่เห็นกับตา ทหารทั้งสามทัพหลายนายก็เห็นเช่นกัน”เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของฉินอู๋ต้าวก็มิสู้ดีขึ้นมาทันตาอดีตองค์รัชทายาทสำมะเลเทเมาบัดนี้กลับสร้างคุณงามความดีครั้งยิ่งใหญ่ อีกทั้งวรยุทธ์ก็ยังลึกล้ำเกินหยั่งถึง นี่มัน… เกินความคาดหมายของเขาไปมาก!ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาคิดว่าเบื้องหลังฉินซูต้องมียอดฝีมือคอยชี้แนะแต่จากที่เห็นในเวลานี้ ยอดฝีมือที่ว่านั้น แท้จริงแล้วก็คือฉินซูเองกล่าวคือ ฉินซูมิเพียงแต่มีกลยุทธ์ที่เหนือชั้น แต่วรยุทธ์ก็ยังก้าวเข้าสู่ระดับที่น่าตกตะลึงซ้ำร้ายฉินซูยังจงใจปิดบังวรยุทธ์ของตนอีกด้วย!เมื่อรวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน ความระแวงที่ฉินอู๋ต้าวมีต่อฉินซูก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อเห็นฉินอู๋ต้าวนิ่งอึ้งไป ฉงชูโม่ก็กล่าวต่ออย่างมีนัยแฝงว่า “ฝ่าบาท ข่าวลือเรื่ององค์รัชทายาททรงทักษะยอดเยี่ยม เกรงว่าอีกมินานคงจะแพร่สะพัดไปทั่วหลงเฉิงเพคะแต่ก็ดีเหมือนกันเพคะ เหล่าคนชั่วที่คิดจะลอบสังหารองค์รัชทายาทจะได้ประมาณตนก่อนจะลงมือ เช่นนี้แล้ว ก็จะได้มิต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยขององค์รัชทายาทให้มา
สวี่จิ้นเสนาบดีกรมโยธาธิการกล่าวว่า “องค์รัชทายาท พระองค์ได้นำหนานเยวี่ยทั้งเจ็ดมณฑลสามสิบแปดเมืองมาอยู่ภายใต้ต้าเหยียนของเรา คุณูปการอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ สมควรได้รับการประทานเครื่องยศเก้าประการแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ฉินซูส่ายหน้าเล็กน้อย “ใต้เท้าสวี่ ท่านกล่าวผิดแล้ว มีคำกล่าวว่า ใต้หล้าไพศาลล้วนเป็นแผ่นดินขององค์จักรพรรดิ บนแผ่นดินนี้ล้วนเป็นข้ารองพระบาทขององค์จักรพรรดิ ข้าในฐานะองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน ย่อมถือเอาความผาสุกของราษฎรเป็นภารกิจของตน ทุกสิ่งที่ทำล้วนเป็นหน้าที่”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉินซูก็ประสานมือคำนับฉินอู๋ต้าวอีกครั้ง “เสด็จพ่อ ดังนั้นรางวัลอันยิ่งใหญ่อย่างเครื่องยศเก้าประการนี้ลูกมิกล้ารับไว้จริง ๆ หวังว่าเสด็จพ่อจะทรงเข้าพระทัยพ่ะย่ะค่ะ!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหล่าขุนนางระดับสูงก็อุทานด้วยความประหลาดใจอีกครั้งรางวัลอันยิ่งใหญ่เช่นเครื่องยศเก้าประการนี้ องค์รัชทายาทกลับปฏิเสธจริง ๆ หรือ?ต้องเท้าความว่า หากฉินซูในฐานะเป็นองค์รัชทายาทรับรางวัลนี้ ในภายภาคหน้า สถานะความสำคัญของเขาในสายตาของขุนนางและราษฎรแห่งต้าเหยียนก็แทบจะเทียบเท่ากับฉินอู๋ต้าวผู้เป็นองค์จักรพรรดิได้เลยทีเ
ฉงชูโม่กำลังจะกล่าวต่อ แต่กลับสังเกตเห็นว่าฉินซูกำลังส่ายหน้าให้นางเล็กน้อยเมื่อเห็นดังนั้น คิ้วเรียวก็ขมวดเล็กน้อยด้วยความสงสัยจากนั้นเสียงของฉินซูก็ดังขึ้นในหูของนาง “สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว หลักฐานสำคัญหายไป”ฉินซูใช้วิชาแห่งกระแสจิต ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตได้นอกจากฉงชูโม่เมื่อได้ยินถ้อยคำของฉินซู แววตาของฉงชูโม่ก็พลันไหววูบ จากนั้นจึงกล่าวกับฉินอู๋ต้าวว่า “ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยไม่มีสิ่งใดจะกล่าวทูลแล้วเพคะ”เมื่อเห็นเช่นนั้น ฉินอู๋ต้าวก็มองฉงชูโม่ด้วยความสงสัยผาดหนึ่งแล้วหันไปมองฉินซูแทน“องค์รัชทายาท รายงานเรื่องคลังหลวงของหนานเยวี่ยหน่อยซิ”“ลูกน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”ฉินซูประสานมือแล้วพูดต่อ “ทูลเสด็จพ่อ ในการตรวจค้นคลังหลวงของหนานเยวี่ยครั้งนี้ ลูกพบผ้าไหมแพรพรรณสูงค่ามากมายนับมิถ้วน เงินแท้รวมทั้งสิ้นสิบสามล้านกว่าตำลึง ทองคำสองล้านตำลึง เสบียงอาหารก็มีมากถึงเกือบแสนต้านพ่ะย่ะค่ะ”“ลูกได้จัดสรรเงินจำนวนหนึ่งล้านตำลึงจากทั้งหมดในพระนามของเสด็จพ่อ เพื่อใช้เป็นรางวัลแก่ทหารทั้งสามทัพ ส่วนพืชพรรณธัญหารก็ได้สั่งให้คนนำกลับไปเก็บไว้ที่เจียวโจวแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ยังมีอีกเรื่
ฉินอู๋ต้าวผงกศีรษะให้ฉินอวี่เล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “อ๋องฉู่ ในเมื่อชูโม่เข้าใจตัวเจ้าผิดไป เจ้าก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้งเถิด”“ลูกรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”ฉินอวี่ประสานมือคำนับ แล้วกล่าวช้า ๆ ว่า “ชูโม่ ตอนที่ลงใต้ไปยังเจียวโจว ยามนั้นข้าประมาทเลินเล่อ ถูกคนสนิทขโมยตราประจำตัวไป ภายหลังจึงได้ทราบว่าเจ้าคนสารเลวนั่นถูกเติ้งหม่างซื้อตัวไปนานแล้วแม้แต่หูก่วงเซิงและคนอื่น ๆ ก็ยังแปรพักตร์ไปเข้าข้างหนานเยวี่ย กว่าข้าจะรู้ตัวทัพหนานเยวี่ยก็บุกเข้าประตูเมืองเจียวโจวแล้วด้วยความจำเป็น ข้าจึงต้องถอยกลับมาก่อน จากนั้นก็เดินทางทั้งวันทั้งคืน เมื่อกลับมาถึงหลงเฉิงก็รีบทูลเรื่องนี้ให้เสด็จพ่อทรงทราบในทันที”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉงชูโม่ก็แค่นยิ้มหยันทันที “ท่านอ๋องฉู่ ท่านทรงคิดว่าแค่โยนความผิดทั้งหมดไปให้คนสนิทขอท่านแล้วเรื่องก็จะจบลงง่าย ๆ เช่นนั้นหรือ?”ฉินอวี่โต้กลับว่า “สิ่งที่ตัวข้าพูดมาทั้งหมดเป็นความจริง จะเรียกว่าโยนความผิดได้อย่างไร?”ฉงชูโม่มิได้โต้เถียงกับเขาต่อ แต่หันไปกล่าวกับฉินอู๋ต้าวว่า “ฝ่าบาท ที่ทะเลตงไห่ ท่านอ๋องฉู่...”ยังมิทันที่นางจะพูดจบ ขันทีน้อยคนหนึ่งก็วิ่งเข้าม
“นึกมิถึงว่าเขาจะหนีรอดไปได้ เขาก็มีฝีมือเหมือนกันนี่ ดูท่าทางจะเตรียมการมาอย่างดีเชียว”“องค์รัชทายาท เมื่อกลับถึงหลงเฉิงแล้วเข้าเฝ้าฝ่าบาท จะทูลเรื่องที่อ๋องฉู่สมคบคิดก่อกบฏหรือไม่เพคะ?”“ทูลสิ ต้องทูลอยู่แล้ว ตอนนี้พวกเรามีทั้งพยานบุคคลและพยานวัตถุ ยิ่งกว่านั้นการที่เขาสมคบคิดก่อกบฏก็เป็นความจริง อย่างไรก็ต้องทูล”“แต่ยามนี้อ๋องฉู่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ด้วยนิสัยระแวดระวังของฝ่าบาท เกรงว่าพระองค์จะมิทรงเชื่อพวกเราเต็มร้อยกระมังเพคะ”ฉินซูกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “หลังจากเรื่องของอ๋องฉู่แดงขึ้นมา เขาก็หายตัวไป นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นการหนีความผิด พวกเรากราบทูลตามความจริง บวกกับคำให้การของเหล่าคนสนิทของอ๋องฉู่และทหารห้าหมื่นนายที่ไม่มีรายชื่อในทะเบียน ก็เพียงพอที่จะตัดสินความผิดของอ๋องฉู่ได้แล้ว”“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น กองทัพส่วนตัวห้าหมื่นคนนั้น หม่อมฉันให้พวกตงฟางไป๋นำทางกลับหลงเฉิงล่วงหน้าไปแล้วเพคะ”ฉงชูโม่พูดพลางรู้สึกกระวนกระวายใจแปลก ๆจากนั้น พวกเขาก็พักค้างคืนที่เมืองหลงโย่วก่อนนอน ฉินซูสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังมหาศาลที่แผ่ออกมาจากห้องฝั่งตรงข้ามที่นั่นคือห้องของจีอันด้วยคว
เซวียหมิงมองไปยังทิศทางที่ฉินซูและพรรคพวกจากไปพลางพึมพำกับตัวเอง“คิดมิถึงเลยว่าจะได้เจอกับคนที่สามารถกลืนกินปราณเลือดอาถรรพ์ได้ จีอันหรือ? ข้าจะจำเจ้าเอาไว้!”“แล้วก็ฉินซู เจ้าคอยข้าก่อนเถอะ สักวันข้าจะทำให้เจ้าทุกข์ทรมานจนอยู่ต่อมิไหว จะตายก็มิได้!”“แค่นี้ก็น่าจะพอให้ข้าใช้แล้ว”เขาพูดพลางมองลูกแก้วสีแดงอมม่วงในมือภายในลูกแก้วนั้นคือปราณเลือดอาถรรพ์จุดประสงค์ของการเดินทางครั้งนี้ของเขาคือต้องการหามหาปุโรหิตแห่งสำนักจันทราโรหิต เพื่อขอยืมปราณเลือดอาถรรพ์มาใช้แต่เมื่อเข้าใกล้บริเวณนี้ ก็เห็นเฉินซีถูกฉงชูโม่ล่อลวงไปแล้ว ส่วนสาวกของสำนักจันทราโรหิตก็บาดเจ็บล้มตายกันเป็นเบือ เขาจึงฉวยโอกาสจัดการสาวกที่เหลือของสำนักจันทราโรหิต จากนั้นก็เข้าไปในถ้ำจนได้พบกับแท่นบูชาต่อมาก็ฉวยโอกาสที่ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยมิทันระวังจัดการอีกฝ่ายจนสลบไป และเก็บรวบรวมปราณเลือดอาถรรพ์เหล่านี้ได้อย่างง่ายดายจากนั้นเซวียหมิงก็หันหลังเดินออกจากที่นี่ไปเช่นกันขณะที่เขาเดินผ่านป่าแห่งหนึ่ง จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าเท้าเหยียบเข้ากับบางสิ่งบางอย่างเมื่อก้มลงมอง ก็พบว่าเป็นขลุ่ยกระดูกสีขาวบริสุทธิ์เขายกมันขึ้นมาด
ในเวลานี้ แสงสีเลือดใต้รอยแตกของผนึกได้หายไปหมดจนแล้ว เหลือเพียงความมืดมิดจีอันลูบก้นพลางเดินเข้ามาเขาหยิบกระดาษยันต์สีเหลืองสองแผ่นออกมาจากอกเสื้อแล้วแปะลงบนรอยแตกของผนึกนั้นลงไปจากนั้นก็เดินไปข้าง ๆ ยกก้อนหินขนาดใหญ่กว่าวัวทั้งตัวขึ้นมาวางทับกระดาษยันต์ทั้งสองแผ่นนั้นไว้ฉินซูได้แต่มองตาค้าง ก้อนหินนั้นอย่างน้อยก็หนักสักตันสองตันกระมัง แต่จีอันกลับยกมันขึ้นมาได้ด้วยมือเปล่าเขามองด้วยความสงสัยเต็มใบหน้าแล้วถามว่า “จีอัน ตอนนี้เจ้าอยู่ระดับใด?”“ข้าน้อยมิรู้ อาจารย์มิได้บอกข้าน้อย”“มิจริงน่า? ระดับของตัวเจ้าเอง เจ้าจะมิรู้ได้อย่างไร?”จีอันพยักหน้าอย่างซื่อ ๆ แล้วถามกลับว่า “ปราณบริสุทธิ์ภายในของท่านเข้มข้นและประหลาดถึงเพียงนี้ พระองค์เล่าอยู่ระดับใด?”ฉินซูยักไหล่ “ข้าก็มิแน่ใจ”“หึ มิพูดก็ช่าง ท่านแข็งแกร่งเพียงนี้ อาจารย์คงแก่จนเลอะเลือนแล้ว ถึงให้ข้าน้อยลงใต้มาคุ้มครองท่าน”จีอันบ่นพึมพำแล้วย่อเข่าลง จากนั้นร่างก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าดุจกระสุนปืนใหญ่ ชั่วพริบตาก็กระโจนขึ้นไปข้างบนฉินซูอดสงสัยมิได้ว่า เจ้านี่น่าจะเลือกเส้นทางสายฝึกกาย มิฉะนั้นจะหนังหนาถึงเพียงนี้ได้อย
ท่ามกลางสายตาที่อยากรู้อยากเห็นของฉินซู ร่างของจีอันก็พุ่งลงไปราวกับกระสุนปืนใหญ่ กระแทกเข้ากับพื้นหุบเหวลึกเบื้องล่าง'ปัง' เสียงดังสนั่น พื้นดินถูกกระแทกจนเกิดหลุมขนาดใหญ่แต่จีอันกลับมิได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย!พลันเห็นเขาปีนขึ้นมาจากหลุมแล้วตบ ๆ ปัดฝุ่นออกจากตัวอย่างมิยี่หระราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อเห็นภาพนั้น ฉินซูยกย่องเขาอย่างสุดซึ้ง ถามด้วยความสงสัยว่า “ชูโม่ จีอันผู้นี้หนังหนาไปหน่อยกระมัง? เขาอยู่ระดับใดหรือ?”“หม่อมฉันก็มิแน่ใจ แต่ในบรรดาศิษย์ทั้งเจ็ดคนของหัวหน้าโหรหลวงเขาแข็งแกร่งที่สุดแล้วเพคะ”“เช่นนี้นี่เอง เจ้าอยู่ดูแลตู๋กูโฉ่วเยวี่ยที่นี่ไปนะ ข้าจะลงไปช่วยเขา”ฉินซูพูดจบก็กระโดดลงไปเช่นกันต่างจากจีอัน ฉินซูในยามนี้ราวกับขนนกเบาหวิวที่ลอยลงไปอย่างแผ่วเบาเมื่อมาถึงก้นหุบเหว เขาก็ตกใจเมื่อพบว่าพื้นของแท่นบูชานี้เต็มไปด้วยอักขระเวทสีแดงในยามนี้อักขระเวทเหล่านี้ล้วนเปล่งแสงสีแดงเลือด ทั้งมีเสน่ห์แบบลึกลับและทั้งแปลกประหลาดจีอันมองฉินซูผาดหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ท่านคอยอยู่ตรงนั้น อย่าเข้ามา”พูดจบเขาก็สาวเท้าเข้าไปหาแสงโลหิตนั้นอย่างรวดเร็ว