เดิมทีเป็นคดีผู้ตรวจการเยว่ซานปรักปรำหลี่หลงหลินคิดไม่ถึง กลับทำให้ฝ่าบาทตกพระทัยเสด็จออกจากวัง ยังไม่ต้องพูดว่าสืบคดีด้วยพระองค์เอง ยังเกี่ยวโยงถึงสกุลซูซื้อใจคน วางแผนก่อกบฏอีกด้วยที่ชวนให้คนตกตะลึงที่สุดคือ สกุลซูถึงขั้นยอมรับผิดแล้ว!ภาพตรงหน้าเปลี่ยนแปลงรวดเร็วยิ่งนัก ทำให้คนมีตาไม่พอให้มอง ตกตะลึงอ้าปากค้างหลี่หลงหลินขมวดคิ้วสกุลซูสามารถมาถึงตำแหน่งนี้ได้ ฮูหยินผู้เฒ่าซูย่อมไม่ขาดความดีความชอบ!แม้อายุมากแล้ว แต่กลับคิดคำนวณเรื่องในราชสำนักได้อย่างยอดเยี่ยมเวลาเพียงชั่วครู่ ฮูหยินผู้เฒ่าซูก็สามารถตัดสินชี้ขาด กันตนเองออกไป ให้สกุลซูรับผิดแทนบัดนี้สกุลซู คล้ายเรือหนึ่งลำกำลังฝ่าพายุบนมหาสมุทรที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียว ก็คือหลี่หลงหลิน!หากหลี่หลงหลินล้มลง สกุลซูต้องล่มสลายเป็นแน่!ขอเพียงหลี่หลงหลินไม่ล้ม สกุลซูก็ยังมีหนทางช่วยเหลือ!เพราะเหตุนี้ จึงยอมเสียสละโดยไม่นึกเสียดาย ปกป้องหลี่หลงหลินไว้แล้วสิ่งนี้สำหรับสกุลซู คือผลลัพธ์ดีที่สุด!ยิ่งไปกว่านั้น บุรุษของสกุลซู ล้วนตายเพราะสงครามทั้งหมดแล้ว เหลือเพียงครอบครัวอ้างว้างโดดเดี่ยวฝ่าบาทโง่งมเพียงใด ก็ไม่โอหัง
สิ่งที่หลี่หลงหลินพูดมานั้นเป็นความจริงเพราะตระกูลซูก็ตกอยู่ในวิกฤติใหญ่เช่นกัน แทบไม่สามารถเอาเงินออกมาได้มากมายขนาดนั้นพระพักตร์ของฮ่องเต้หวู่ก็พลันอ่อนลง “เจ้าเป็นคนที่ซื่อสัตย์! แต่ว่าเจ้าไม่คิดหรือว่าหากเจ้าเป็นฝ่ายยอมรับผิด ข้าจะให้อภัยเจ้าง่ายๆ? เจ้าไม่สมควรใช้ความคิดไม่ดีไปซื้อใจคน!”หลี่หลงหลินตะโกนออกมาด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ “เสด็จพ่อ นี่ท่านกำลังใส่ร้ายลูกอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ ลูกไปซื้อใจคนที่ไหนกัน! ไม่ว่าจะในหมู่ประชาชน หรือในกองทัพ ชื่อเสียงของลูกก็เน่าเฟะจนไม่น่าฟังแล้ว!”“ลูกยังได้ยินมาว่าผู้ตรวจการเยว่ซานกล่าวโทษลูก บอกว่าลูกคือคนที่ชั่วร้ายที่สุดในใต้หล้า!”“เสด็จพ่อ ท่านบอกได้หรือไม่ ว่าลูกกำลังซื้อใจคนอยู่หรือเปล่า?” เยว่ซานมีใบหน้าตกตะลึงไม่ว่าใครก็คาดไม่ถึง คำพูดที่ตนใส่ร้ายหลี่หลงหลินนั้น กลับกลายเป็นสิ่งที่เขาใช้เป็นโล่กำบังนี่เรื่องอะไรกัน?ฮ่องเต้หวู่ตะลึงทันที เหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง “ชื่อเสียงของเจ้ามันเน่าเฟะจริงๆ แต่นั่นล้วนเป็นการใส่ร้ายป้ายสีทั้งนั้น ข้าได้ถ่ายทอดราชโองการลงไปเพื่อช่วยบรรเทาความคับข้องใจของเจ้าแล้วมิใช่หรือ...”หลี่หลงหลินก
ก่อนหน้านี้ หลี่หลงหลินเคยพูดเอาไว้ว่าเขาจะขายคฤหาสน์ของเจ้าหก แล้วเอาเงินนี้ไปทำกิจการ และถือว่าเป็นของตนด้วยสองส่วนฮ่องเต้หวู่แค่เห็นว่ามันเป็นเรื่องล้อเล่น ไม่ได้ถือเป็นจริงเป็นจังกับเรื่องนี้ เขาทิ้งเรื่องนี้เอาไว้เบื้องหลัง จนลืมมันไปหมดแล้วเมื่อหลี่หลงหลินเตือนเช่นนี้ ในที่สุดฮ่องเต้หวู่ก็นึกขึ้นมาได้ด้วยสีหน้าเข้าใจหลี่หลงหลินกล่าวต่อ “ลูกพยายามซื้อใจคนจริงๆ! แต่ไม่ใช่เพื่อตัวลูก และไม่ใช่เพื่อตระกูลซู หรือไม่ใช่แม้แต่ราชสำนัก แต่เพื่อเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ...”เมื่อฮ่องเต้หวู่ได้ยินอย่างนั้น เขาก็รู้สึกดีใจเกินคาด ก่อนจะชื่นชม “เจ้าเก้า ความกตัญญูของเจ้ามันช่างน่ายกย่องจริงๆ! ข้าตำหนิเจ้าผิดไปแล้ว! ชีวิตนี้ ข้ามีชื่อเสียงนับไม่ถ้วน แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่ข้าถูกชาวบ้านเรียกว่าผู้ใจบุญหลี่! รู้สึกว่าไม่เลวเลยนะ… ”ฮ่องเต้หวู่เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน สิ่งที่เขาสนใจมากที่สุดก็คือชื่อเสียงของตัวเอง!โดยเฉพาะชื่อเสียงของตัวเองในเหล่าราษฎรชื่อเสียงของหลี่หลงหลินนั้นแย่มากจริงๆแต่ของฮ่องเต้หวู่ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันนักเป็นคนใช้ทรัพยากรอย่างไม่ยับยั้งชั่งใจ ไม่ฟังความคิดเห
แล้วก็ยังมีกลุ่มขุนนางที่อยู่เบื้องหลังเขา คอยควบคุมการเมืองในราชสำนัก บีบบังคับเจตนาฮ่องเต้!ช่างร้ายกาจจริงๆ!ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้ว “หรือว่า พวกเจ้าอยากบีบบังคับข้า...?”ตู้เหวินหยวนก็เอ่ยว่า “เยว่ซานผิดพลาดในหน้าที่จริงๆ! ในเมื่อฝ่าบาทยืนกรานที่จะลงโทษ มิสู้ออกราชโองการตักเตือนเขา แล้วหักเงินเดือนเขาอีกหนึ่งปี สั่งให้เขาปรับปรุงตัว เพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่ผู้อื่นล่ะพ่ะย่ะค่ะ!” บรรดาข้าราชบริพารต่างก็เอ่ยเห็นด้วยฮ่องเต้หวู่มองไปที่หลี่หลงหลิน “เจ้าเก้า เจ้าคิดอย่างไร?”หลี่หลงหลินเงียบไป แต่ในใจเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันขมขื่นตักเตือน ก็คือการตำหนิเยว่ซานเป็นผู้ตรวจการ เดิมทีก็ทำหน้าที่พูดตรงไปตรงมา ด่าฮ่องเต้ในทางที่ผิด เพื่อได้รับชื่อเสียงหากฮ่องเต้หวู่มีพระราชโองการตักเตือน สำหรับเยว่ซานแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่ใช่การด่า แต่เป็นการชื่นชมด้วยไม่ว่าจะเป็นในหมู่ประชาชนทั่วไปหรือราชสำนัก เยว่ซานจะมีชื่อเสียงโด่งดัง โชคดีหน่อยก็อาจจะมีชื่อเสียงอยู่ในประวัติศาสตร์ส่วนโทษปรับเงินเดือนหนึ่งปีนั้นก็ยิ่งน่าขำสิ้นดีผู้ตรวจการเป็นขุนนางขั้นห้า หนึ่งปีมีเงินเดือนเท่าไหร่?เยว่ซานพึ่งพาการทำ
เยว่ซานเป็นบัณฑิตอ่อนแอ ร่างกายผ่ายผอมแม้ว่าฮ่องเต้หวู่จะอายุมาก แต่ในกองทัพเวลานั้น เขากลับผู้นำกองทัพที่กล้าหาญไปต่อสู้กับศัตรูนับหมื่นการบริหารบ้านเมืองของฮ่องเต้หวู่อาจจะดูเลอะเลือนไปจริงๆแต่วรยุทธ์ของเขากลับโดดเด่นมากไม่อย่างนั้นจะมีชื่อฮ่องเต้หวู่ได้อย่างไร?การเตะครั้งนี้ เหมือนกับถล่มภูเขา รุนแรงไร้ที่เปรียบ!ฮ่องเต้หวู่กระตุ้นเจตนาสังหาร ลงมืออย่างไร้ความปรานี ออกแรงอย่างเต็มที่!แกรก...เสียงกระดูกแตกนี้ดังมาจากหน้าอกของเยว่ซาน!ชั่วขณะต่อมา ร่างกายของเขาก็เหมือนกับว่าวที่เชือกขาด ปลิวออกไปหลายจั้ง!ปัง!ศีรษะของเยว่ซานก็กระแทกกับกำแพงอาคารอย่างรุนแรง จนเลือดไหลออกมาร่างกายของเขาเหมือนกับโคลน อ่อนตัวทรุดลงบนพื้น ไม่มีเสียงหายใจแม้แต่นิดเดียวการกระทำของฮ่องเต้หวู่ กะทันหันเกินไปทุกคนต่างก็ไม่ทันได้ตอบสนองหลี่หลงหลินสูดหายใจเข้าลึกๆพ่อที่ไร้ประโยชน์ผู้นี้ของเขา มิน่าล่ะถึงได้ชื่อว่าฮ่องเต้หวู่นี่มันปีศาจชัดๆ!หากเข้าร่วมสงครามฆ่าศัตรู ฮ่องเต้หวู่จะเป็นแม่ทัพที่สามารถกวาดล้างกองทัพนับพันได้อย่างแน่นอนน่าเสียดายที่เขาเป็นฮ่องเต้!สิ่งที่สำคัญที่สุดข
องค์ชายเก้าก็ใช้กฎของบรรพบุรุษมาล้างความผิดให้ฮ่องเต้เช่นเดียวกันใช้คำพูดของอีกฝ่าย มาลบล้างคำพูดของอีกฝ่าย!หากพวกเขายังยืนกรานที่จะลงโทษฮ่องเต้ ก็เท่ากับเป็นการฝ่าฝืนกฎของบรรพบุรุษ “นี่...”ตู้เหวินหยวนตะลึงงันแล้ว ในหัวพยายามนึกบทบัญญัติของกฎบรรพบุรุษในสมองของเขาอย่างหนัก แต่ก็ไม่ได้อะไรเลยขุนนางคนอื่นๆ ต่างก็ตะลึงจนตัวแข็งทื่อ ชั่วขณะนั้นก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีฮ่องเต้หวู่ตรัสว่า “สิ่งที่เจ้าเก้าพูดมาก็สมเหตุสมผล! ในเมื่อข้าไม่ได้ฝ่าฝืนกฎของบรรพบุรุษ ข้าก็ไม่มีความผิด! อย่างไร ข้าก็พลั้งมือตีขุนนางตาย ในหลักศีลธรรมถือว่าเป็นเรื่องไม่ดี!” “ข้าจะออกฎีกาสะท้อนตัวเอง ประกาศให้ใต้หล้ารู้!”“เอาศพของเยว่ซานออกไป แล้วฝังตามพิธีกรรมของแคว้น ดูแลครอบครัวของเขาให้ดี!”เมื่อคำพูดของฮ่องเต้หวู่พูดมาถึงจุดนี้ตู้เหวินหยวนและขุนนางทุกคนก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกคนตายไปแล้วอย่างไรก็ฟื้นคืนชีพไม่ได้เยว่ซานตายไปแล้ว หากพวกเขายังจะสร้างปัญหาต่อไป มันจะมีผลลัพธ์อะไรเกิดขึ้น?หรือว่าต้องให้ฮ่องเต้หวู่ฆ่าคนแล้วชดใช้ด้วยชีวิตหรือ?ช่างตลกสิ้นดี!ต้าเซี่ยปฏิบัติต่อขุนนางเป็นอย่างดี โทษที่
รถม้าค่อยๆ แล่นไปข้างหน้าเว่ยซวินเป็นคนบังคับรถม้าอยู่ด้านหน้าด้วยตัวเองในรถม้า หลี่หลงหลินและฮ่องเต้หวู่มองหน้ากัน“เจ้าเก้า!”ฮ่องเต้หวู่เอ่ยชื่นชม “เจ้าทำดีมาก...”หลี่หลงหลินรออยู่นานมาก แต่ฮ่องเต้หวู่ก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะพูดต่อดีมาก?นี่จบแล้วหรือ?ต่อไปควรจะให้รางวัลไม่ใช่หรือ?แค่ตำชมเบาๆ หนึ่งประโยค มันจะมีประโยชน์อันใด!ช่วยเอาอะไรที่มันจับต้องได้มาสักหน่อยไม่ได้หรือ?เงินทองเครื่องประดับ แต่งตั้งยศถาบรรดาศักดิ์ หรืออะไรก็ได้ ข้าไม่เรื่องมาก!อย่างที่คาดเอาไว้ ฮ่องเต้หวู่ให้ตายอย่างไรก็ไม่พูดออกมาหลี่หลงหลินจนใจเล็กน้อย จึงได้แต่เป็นฝ่ายเอ่ยว่า “นี่เป็นสิ่งที่ลูกสมควรทำพ่ะย่ะค่ะ! ไม่ทราบว่าเสด็จพ่อเรียกลูกมา มีสิ่งใดจะตรัสหรือพ่ะย่ะค่ะ?”ฮ่องเต้หวู่ดูเขินอายเล็กน้อย ก่อนจะตรัสด้วยใบหน้าแดงเรื่อ “เจ้าบอกว่ากิจการของเจ้า เป็นของข้าสองส่วนใช่หรือไม่?”หลี่หลงหลินพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ ลูกพูดเช่นนั้น”ฮ่องเต้หวู่ตรัสว่า “แล้วสองส่วนนี้ จะให้เงินข้าได้เท่าไหร่?”เมื่อหลี่หลงหลินได้ยินเช่นนั้น เขาก็สบถในใจทันทีให้ตายเถอะ ไม่ให้รางวัลข้าก็ไม่เป็นไร แต่นี่ยังคิดจะเอ
“เพราะเหตุนี้ ข้าก็เลยคิดที่จะแต่งตั้งเจ้าเป็นราชทูต ประทานดาบซ่างฟางให้เจ้าไปสืบราชการลับ กวาดต้อนพวกขุนนางทุจริตเหล่านี้! กำลังพรรคพวกของตู้หวินหยวนให้หมด เพื่อให้ใต้หล้ามีอนาคตที่สดใส! เมื่อถึงตอนนั้นที่บุกค้นบ้านและยึดทรัพย์ของตู้เหวินหยวน พวกเราสองคนก็หารครึ่งกัน”คำพูดของฮ่องเต้หวู่นั้น พูดได้อย่างชอบธรรมและจริงจังแต่หลี่หลงหลินเหมือนถูกโจมตีอย่างรุนแรงเสด็จพ่อ นี่ท่านประเมินข้าสูงเกินไปหรือไม่?ให้ข้าไปต่อกรกับพวกขุนนางที่มีอำนาจเหลือล้นอย่างนั้นหรือ?นี่อยากจะให้ข้าไปตายหรือไม่?อย่าว่าแต่ข้าเลยแม้แต่ท่าน ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของขุนนางเหล่านี้!ไหนจะดาบซ่างฟางอะไรนั่นอีก!มันจะมีประโยชน์อะไรกัน!ขุนนางพวกนั้นไม่ต้องใช้มีด แค่คำพูดจากปากไม่กี่คำก็ไม่รู้ว่าต้องมีชาวบ้านเท่าไหร่ที่หัวต้องหลุดจากบ่า!“เสด็จพ่อ...”หลี่หลงหลินจึงเอ่ยปฏิเสธ “ลูกแค่ฉลาดเล็กน้อยเท่านั้น! หน้าที่ผู้แทนพระองค์เช่นนี้ ลูกไม่มีความสามารถทำให้สำเร็จจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ แผ่นดินต้าเซี่ยเต็มไปด้วยความสามารถ พระองค์ลองพิจารณาดูคนอื่นก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”ฮ่องเต้หวู่ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “คนอื่นหรือ?
หลังผ่านไปหนึ่งชั่วยามหลี่หลงหลินเปิดฝาโอ่งน้ำใหญ่ด้วยใบหน้าลึกลับเหล่าสะใภ้ต่างคาดหวัง เตรียมเป็นพยานความอัศจรรย์ซี้ด!ไอเย็นเสียดแทงกระดูกสายหนึ่งส่งเข้ามา ทำให้เหล่าสะใภ้ไม่เพียงตัวสั่น ภาพเบื้องหน้ายังชวนให้คนตกตะลึงพรึงเพริด!มองเห็นน้ำในโอ่งน้ำใหญ่ทั้งหมดกลายเป็นก้อนน้ำแข็ง เย็นจนคนรู้สึกหนาว!ทุกคนกลับหายใจเย็นเฮือกหนึ่ง หันมองทางหลี่หลงหลินด้วยสายตาตกตะลึงพรึงเพริด สีหน้าเผือดซีด!ใบหน้ากงซูหว่านล้วนคือความตกตะลึง ในสายตาของนางหลี่หลงหลินไม่ต่างอันใดจากตำนานเสกหินให้เป็นทอง เพียงใช้เกลือหมางเซียวก็สามารถทำให้น้ำกลายเป็นน้ำแข็งได้แล้วหรือ? นี่เหลือจะเชื่อเกินไปแล้ว!กงซูหว่านเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “องค์ชาย นี่ทำได้เยี่ยงไร? นี่หรือว่าเป็นวิชาเซียนจริง?”หลี่หลงหลินหยิบถุงเกลือหมางเซียวในมือออกมาและพูดว่า “ตอนผสมเกลือหมางเซียวนี้กับน้ำจะสามารถดูดความร้อนมหาศาลได้ สามารถทำให้อุณหภูมิลดลงจนเหลือศูนย์องศา ดังนั้นภายใต้สถานการณ์เช่นนี้น้ำย่อมกลายเป็นน้ำแข็ง”หลี่หลงหลินไม่ปกปิด เล่าหลักการทั้งหมดให้กงซูหว่านฟัง อย่างไรเสียภายภาคหน้ายังต้องการให้มีคนไปสอนราษฎร์ตงไห่ทำน้ำแข็
ทุกคนล้วนตกตะลึง ไม่เคยได้ยินมาก่อน ทั้งยังไม่เคยพบเห็นแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยได้ยินผู้ใดเอ่ยถึงเจ้าสิ่งนี้ซูเฟิ่งหลิงแปลกใจอยู่บ้าง “องค์ชาย เหตุใดคนสามารถทำน้ำแข็งได้เล่า? ไม่ใช่ขุดมาจากพื้นที่หนาวแดนเหนือหรอกหรือ หรือว่าสามารถทำให้อุณหภูมิของตงไห่ลดลงได้?”ซูเฟิ่งหลิงรู้ว่าน้ำแข็งเป็นผลผลิตของฤดูหนาว แต่นางนึกไม่ออกว่าคนทำน้ำแข็งที่หลี่หลงหลินพูดคือสถานการณ์เช่นไร ในสายตานางมันเป็นเรื่องเพ้อฝัน และไม่มีวันเป็นจริงได้หลี่หลงหลินยิ้มน้อยๆ และพูดว่า “อีกเดี๋ยวเจ้าจะได้รู้”ทุกคนมองหลี่หลงหลินด้วยสายตาตกตะลึง คิดว่าเขาอาจเป็นเทพเซียนกลับชาติมาเกิด หาไม่แล้วจะทำเรื่องชวนให้คนรู้สึกเหลือจะเชื่อได้เยี่ยงไร?หลี่หลงหลินมองซุนชิงไต้และพูดว่า “พี่สะใภ้สาม ไม่รู้ท่านที่นั่นมีเกลือหมางเซียวหรือไม่?”เกลือหมางเซียวหรืออีกชื่อคือดินประสิว เป็นของสำคัญที่หลี่หลงหลินใช้รักษาโรคอยู่ที่ต้าเซี่ย เกลือหมางเซียวมิใช่ของหายาก เพียงแต่ถูกคนนำมาทำเป็นยาระบายขับพิษ ชนิดที่ว่ามีคนนำไปให้สัตว์ใช้แรงกิน สามารถเพิ่มความแข็งของเปลือกไข่ในสัตว์ปีกได้ สามารถพบเห็นได้ทั่วไปและราคาถูกมากซุนชิงไต้มองหลี่หลง
จวนอ๋องตงไห่ ลั่วอวี้จู๋มองเหล่าทหารที่ลำเลียงปลาหวงฮื้อใหญ่เข้ามาในวังทีละคันรถ ในดวงตาเต็มไปด้วยความยินดี “องค์รัชทายาท ท่านช่างยอดเยี่ยมจริงๆ! มีวิธีการจับปลานี้แล้ว ชาวบ้านทะเลตงไห่ทุกครัวเรือนก็จะได้กินเนื้อ ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารอีกต่อไป” ความกังวลก่อนหน้านี้ของลั่วอวี้จู๋มลายหายไปสิ้น ขอเพียงชาวบ้านมีกินมีใช้ ก็จะไม่เกิดเรื่องราววุ่นวายขึ้นอีก ทุกคนอยู่อย่างสงบสุข ทะเลตงไห่ก็จะปรองดองสามัคคี การก่อกบฏก็จะสงบลงไปเอง มิเช่นนั้นหากมีคนชั่วก่อความวุ่นวาย คอยขัดขวางอยู่เบื้องหลัง สุดท้ายผู้ที่ได้รับผลกระทบก็คือเหล่าชาวบ้านอยู่ดี ซุนชิงไต้จ้องมองปลาหวงฮื้อใหญ่รถแล้วรถเล่าตาไม่กะพริบ น้ำลายไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้: “ปลาหวงฮื้อใหญ่นี้ทั้งอ้วนทั้งอร่อย ชาวทะเลตงไห่คราวนี้จะได้ลิ้มรสของอร่อยแล้ว!” หลังจากได้ปลาหวงฮื้อใหญ่กลับมา ซุนชิงไต้ก็ลงครัวด้วยตนเอง ไม่ว่าจะทอด ผัด ต้ม ตุ๋น ล้วนเป็นรสเลิศแห่งโลกมนุษย์ เพียงแต่หากปลาหวงฮื้อใหญ่ไม่ได้รับการเก็บรักษาที่ดี ด้วยอุณหภูมิของทะเลตงไห่ในตอนนี้ ยิ่งปลาอ้วนเท่าใด ปริมาณโปรตีนในตัวก็ยิ่งสูง อัตราการเน่าเสียก็ยิ่งเร็วขึ้นเท่านั้น
“เปิดยุ้งฉางแจกข้าวหรือขอรับ?” พ่อบ้านชราประหลาดใจอย่างยิ่ง ข้าวสารเหล่านี้ซื้อมาเป็นพิเศษเพื่อปั่นราคา หลายวันก่อนหลู่จงหมิงเพิ่งจะกำชับไว้ว่า หากไม่มีคำสั่งของตน ห้ามผู้ใดเปิดฉางข้าวเป็นอันขาด เพียงไม่กี่วัน สถานการณ์ก็พลิกผัน การเปลี่ยนแปลงรวดเร็วจนน่าตกใจ ทำให้คนตั้งตัวไม่ติด พ่อบ้านยังไม่เข้าใจเจตนาของหลู่จงหมิง หลู่จงหมิงเอ่ยเสียงเข้ม: “ฉวยโอกาสตอนที่พวกตระกูลขุนนางยังไม่เริ่มเทขายข้าวสารในมือ ชิงลงมือก่อนได้เปรียบ! มิฉะนั้นราคาจะยิ่งต่ำลงไปอีก!” “บัดนี้จงนำข้าวสารในมือพวกเราทั้งหมดเทขายออกไปในราคาต่ำสุด! ขอเพียงขายออกไปได้ จะต่ำเพียงใดก็ได้!” หลู่จงหมิงกลัวสถานการณ์เช่นนี้ที่สุด หลี่หลงหลินสอนชาวบ้านจับปลา ไม่เพียงแต่ได้ใจประชาชน แต่ยังแก้ปัญหาเรื่องอาหารที่คับขันได้อีกด้วย สุดท้าย ก็เหลือเพียงตนเองที่ขาดทุนย่อยยับไม่เหลือแม้แต่กางเกงใน หลู่จงหมิงเอ่ยเสียงเข้ม: “ไม่ได้! ข้าจะไปขายข้าวด้วยตนเอง!” ผู้ได้ใจประชาชนย่อมได้ครอบครองแผ่นดิน ในความคิดของหลู่จงหมิง บัดนี้ขอเพียงยอมขายข้าวให้ชาวบ้าน ก็จะเป็นผู้ช่วยให้รอดในใจของชาวบ้านแล้วแม้ว่าจะช้ากว่าหลี่หลงหลิ
หญิงชรามองสุ่ยเซิง เอ่ยอย่างจริงจัง: “สุ่ยเซิง เจ้าบอกความจริงกับแม่มา เจ้าไปลักขโมยปลาของผู้อื่นมาพร้อมกับเถี่ยจู้ใช่หรือไม่?” ในความคิดของหญิงชรา หากไม่ใช่การลักขโมย วันเดียวจะหาปลาได้มากมายเช่นนี้ได้อย่างไร? สุ่ยเซิงยิ้มแล้วชี้ไปยังชาวประมงที่บรรทุกปลาเต็มลำกลับมา: “ท่านแม่! ลูกจะไปลักขโมยปลาของผู้อื่นได้อย่างไร ปลาเหล่านี้ล้วนจับมาได้จากทะเลตามวิธีที่องค์รัชทายาททรงสอนด้วยพระองค์เอง ท่านดูสิ ทุกคนก็จับมาได้ไม่น้อย” หญิงชรามองไป พบว่าชาวประมงที่กลับมาต่างก็มีปลาหวงฮื้อใหญ่ติดมือมาไม่มากก็น้อย เพียงแต่สุ่ยเซิงโชคดีกว่า จับปลาได้มากกว่าเล็กน้อย “องค์รัชทายาททรงสอนพวกเจ้าด้วยพระองค์เองหรือ?” หญิงชรามีสีหน้าลังเล สุ่ยเซิงพยักหน้า ชี้ไปยังท่าเทียบเรือที่ไม่ไกลนัก: “เมื่อวานก็ที่ตรงนั้น องค์รัชทายาทไม่เพียงแต่แบ่งปลาให้พวกเรา ยังทรงสอนวิธีการจับปลาให้พวกเราโดยเฉพาะ ถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้พวกเราอย่างไม่ปิดบัง” ฟุบ! หญิงชราทรุดตัวลงนั่งกับพื้น พนมมือ ดวงตาพร่ามัวด้วยน้ำตา: “สวรรค์มีตา สวรรค์มีตาโดยแท้! ต้าเซี่ยมีองค์รัชทายาทเช่นนี้ วันคืนอันแสนลำบากของพวกเราชาวบ้าน ในที่สุดก็จ
เถี่ยจู้เริ่มเหนื่อยล้า อยากจะโยนไม้ท่อนสองอันในมือทิ้งลงทะเลเสียเดี๋ยวนี้ ไม่อยากเชื่อเรื่องเหลวไหลว่าจะมีโชคหล่นจากฟ้าอีกต่อไป แต่พอนึกถึงรสชาติอันโอชะของปลาหวงฮื้อใหญ่ ก็ทำให้เขายังคงยืนหยัดต่อไปได้ ตึง ตึง ตึง... สุ่ยเซิงพลันหรี่ตาลง ชี้ไปยังที่ไกลๆ แล้วเอ่ยว่า: “ทางนั้นดูเหมือนมีความเคลื่อนไหว!” ทุกคนพลันมีชีวิตชีวาขึ้นมา มองไปยังทิศที่สุ่ยเซิงชี้ ก็เอ่ยอย่างประหลาดใจว่า: “มีคลื่นนี่ หรือว่าลมใหญ่กำลังจะมา?” ไร้ลมไหนเลยจะมีคลื่น เพียงแค่ทะเลมีคลื่นซัดสาดขึ้นมากะทันหัน ก็บ่งบอกว่าอีกไม่นานลมใหญ่จะพัดมาถึง สุ่ยเซิงส่ายหน้า สีหน้าแน่วแน่ แล้วเอ่ยว่า: “ไม่...ไม่ใช่คลื่น แต่เป็นปลา!” “ฝูงปลา!” “ไม่! คือคลื่นปลา!” ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างตกตะลึงตาค้าง ราวกับอยู่ในความฝัน ปลาแหวกว่ายถาโถมเข้ามาหาพวกเขาราวกับกระแสน้ำ นานๆ ครั้งก็จะมีปลาใหญ่กระโดดขึ้นเหนือผิวน้ำ ดุจดังเกลียวคลื่นที่ม้วนตัว สุ่ยเซิงตะโกน: “เร็วเข้า! ตักปลา!” เพียงชั่วพริบตา ฝูงปลาก็เข้ามาล้อมเรือประมงไว้แล้ว เหวี่ยงอวน สาวอวน ทุกคนไม่กล้าลังเลแม้แต่น้อย ต่างกลั้นหายใจรวบรวมสมาธิ ออกเรี่ยวแรงทั้
รุ่งเช้า ณ ท่าเทียบเรือตงไห่ อรุณรุ่งตะวันออกฉาย แสงทองสาดส่องนภา เหล่าชาวประมงต่างแย่งกันเข็นเรือประมงลงสู่ทะเล ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังต่ออนาคต “ท่านแม่ ไม่ต้องมาส่งแล้ว ข้าไปกับเถี่ยจู้ไม่เป็นอันใดหรอก วางใจเถิด” สุ่ยเซิงเอ่ยลามารดา วิ่งเหยาะๆ มายังท่าเทียบเรือ ขึ้นเรือประมงไปพร้อมกับเถี่ยจู้และชาวประมงเพื่อนบ้านอีกสองสามคน “สุ่ยเซิง เร็วเข้าสิ เหลือแค่เจ้าแล้ว!” สุ่ยเซิงยิ้มซื่อๆ พลางล้วงห่อกระดาษเคลือบน้ำมันสองห่อออกมาจากอกเสื้อ ส่งให้เถี่ยจู้ เถี่ยจู้สงสัยเล็กน้อย: “นี่คืออันใด?” สุ่ยเซิงยิ้มแล้วเอ่ยว่า: “นี่เป็นสิ่งที่ท่านแม่ยัดเยียดให้ข้าตอนจะออกมา บอกว่าเป็นปลาทอดกรอบที่ทำจากปลาหวงฮื้อใหญ่เมื่อวานนี้ เก็บไว้หลายวันก็ไม่เสีย ให้พวกเราเอาไว้กินเป็นเสบียงแห้งในทะเล” เถี่ยจู้ทำหน้าอิจฉา: “สุ่ยเซิง ท่านแม่ของเจ้าช่างรอบคอบนัก ยังเตรียมเสบียงแห้งให้เจ้าด้วย แต่ว่าปลาที่องค์รัชทายาทแจกเมื่อวานหอมจริงๆ! เมื่อวานข้ากินไปตั้งสามตัว ทำเอาท้องที่หิวมาหลายวันของข้าอิ่มแปล้ไปเลย” คนอื่นๆ ที่มาด้วยกันต่างพูดคุยถึงวิธีการปรุงปลาหวงฮื้อใหญ่กันเซ็งแซ่ ทุกคนต่างบอกเป็นเส
หลู่จงหมิงไม่เคยเห็นปลามากมายเช่นนี้มาก่อน ช่างเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อเกินไป! เหล่าขุนนางที่อยู่รอบๆ ก็ยืนนิ่งตะลึงงัน พูดไม่ออก “องค์รัชทายาท แจกปลาเถิด!” “พวกเราต้องการกินปลา!” ชาวบ้านชูแขนโห่ร้อง แม้ว่าหลี่หลงหลินจะนำปลาทั้งหมดมากองไว้บนท่าเทียบเรือแล้ว แต่ก็ยังคงให้ทหารตระกูลซูเฝ้าไว้ ยังไม่มีทีท่าว่าจะแจกจ่ายปลาให้แก่ชาวบ้าน หลี่หลงหลินเอ่ยเสียงเข้ม: “ข้าเคยพูดเมื่อใด ว่าจะแจกปลาเหล่านี้ให้เปล่าๆ?” ทุกคนต่างส่งเสียงฮือฮา ชาวบ้านมองหลี่หลงหลินด้วยสีหน้าตกตะลึง ในแววตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ไม่ใช่ว่าหลี่หลงหลินรับปากเองหรอกหรือ ว่าจะทำให้ชาวบ้านได้กินเนื้อกันถ้วนหน้า? บัดนี้เหตุใดจึงกลับคำเล่า? “ทุกคนเห็นหรือไม่? นี่แหละองค์รัชทายาท ปากก็พร่ำบอกว่าจะให้ชาวบ้านได้กินเนื้อ แต่บัดนี้กลับตระบัดสัตย์!” หลู่จงหมิงเดินมาหน้าชาวบ้าน ใบหน้าเต็มไปด้วยการเย้ยหยัน หลู่จงหมิงฉวยโอกาสทันที ไม่อาจปล่อยให้หลี่หลงหลินชนะใจประชาชนไปง่ายๆ เช่นนี้ได้ หลี่หลงหลินเอ่ยเสียงเข้ม: “ข้าพูดเมื่อใดว่าจะไม่ให้ชาวบ้านกินเนื้อ?” หลู่จงหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้ว่าในน้ำเต้าของหลี
ยามเย็น ณ ท่าเรือตงไห่ เรือลำใหญ่ค่อยๆ แล่นเข้าสู่ท่าเรือ บนท่าเทียบเรือมีผู้คนเนืองแน่น ล้วนเป็นชาวบ้านที่มามุงดูเรื่องสนุก ทั้งยังมีขุนนางผู้มีอำนาจไม่น้อยที่มารอสมน้ำหน้าหลี่หลงหลิน หลู่จงหมิงได้ยินว่าวันนี้หลี่หลงหลินออกทะเลไปจับปลา จึงมารออยู่ที่ท่าเทียบเรือตลอดทั้งวัน เพื่อรอที่จะหยามเกียรติหลี่หลงหลิน หลู่จงหมิงมองเรือใหญ่ที่กำลังเทียบท่า ใบหน้าเต็มไปด้วยความดูแคลน: “ยังกล้าคุยโวโอ้อวด ว่าจะทำให้ชาวบ้านได้กินเนื้อกันถ้วนหน้า? ช่างเพ้อฝันลมๆ แล้งๆ ปลาที่จับได้ในทะเลตงไห่แค่นั้น ยังไม่พอให้ตดด้วยซ้ำ!” ขุนนางผู้หนึ่งเอ่ยสมทบ: “พระเชษฐภาดา เดี๋ยวรอตอนที่เอาปลาออกมา พวกเราต้องหยามเกียรติเขาสักครา ต้องระบายความแค้นนี้ให้ได้!” พระเชษฐภาดาแค่นเสียงหัวเราะเย็นชา: “ชาวบ้านมากมายขนาดนี้กำลังจ้องมองอยู่ที่ท่าเรือ ถึงเวลานั้นหากหลี่หลงหลินเอาปลาออกมาไม่ได้ ดูสิว่าเขาจะจัดการอย่างไร!” เรือใหญ่เทียบท่า ชาวบ้านกรูกันเข้ามา ล้อมเรือใหญ่ไว้แน่นขนัด “กลิ่นคาวปลาแรงมาก!” พอชาวบ้านเข้าใกล้เรือใหญ่ กลิ่นคาวปลาก็ปะทะเข้าหน้าทันที “กลิ่นคาวปลาขนาดนี้ ต้องจับปลามาได้มากเท่าใดกัน?”