พ่อบ้านเหรินของโหวผิงหยางยืนอยู่นอกประตู เขาเข้ามาแล้วโค้งคำนับ "หลานฮูหยิน เรื่องนี้จะกังวลไปก็ไรเผล ที่เซี่ยอวี้นก่อกบฏได้รับการยืนยันโดยทั่วไปแล้ว การให้หอต้าหลี่มาสอบสวนคดีนี้เป็นเพียงการขุดค้นคนที่อยู่เบื้องหลัง แม้ว่าจะไม่สามารถตามหาคนๆ นั้นออกมาได้ ทางหอต้าหลี่ก็ต้องทำงานตามขั้นตอน เนื่องจากจวนโหวและจวนองค์หญิงถือเป็นญาติกันจึงแน่นอนว่าต้องมีผลกระทบด้วย วันนี้พระชายาเพียงแต่เรียกท่านโหวและท่านหญิงออกไปเพื่อซักถาม เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้คิดจะทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ ไม่งั้นคงเรียกคนข้างกายของท่านหญิงไปหมดแล้ว"หลานฮูหยินกล่าวว่า "เฮ๊ย ไม่เข้าใจจริงๆ องค์หญิงใหญ่ก็มีฐานะสูงส่งอยู่แล้ว เหตุใดนางจึงอยากก่อกบฏเล่า อีกอย่างพวกอนุภรรยาเหล่านั้นด้วย ข้าได้ยินมาว่ามีคนมากกว่าร้อยคน ส่วนใหญ่ตายไปหมดเลย และเมื่อให้กำเนิดลูกชายก็ฆ่าหมด จะโหดร้ายขนาดนี้ได้อย่างไร"นางอยากจะพูดว่าไม่น่าแปลกใจเลยที่เจียอี้มีลูกไม่ได้ แต่มันรุนแรงเกินไป นางไม่สามารถพูดออกมาได้ จึงแค่คิดอย่างนั้นในใจกรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนองฮูหยินผู้เฒ่าโหวผิงหยางรู้สึกหนาวสั่นในใจ มันช่างเลวร้าย น่ากลัวเหลือเกิน"พ่อบ้าน
หลังจากที่ซ่งซีซีจากไป โหวผิงหยางก็ค่อยๆ กลับมามีสติอีกครั้งหลังจากมึนงงมาเป็นเวลานาน ดวงตาของเขาแดงก่ำ เขาคว้าคอเสื้อของเจียอี้ ยกมือขึ้นแล้วตบหน้านางอย่างแรงเจียอี้ตะโกนอย่างบ้าคลั่ง "เจ้ากล้าตีข้าเหรอ เจ้ากล้าตียังไง ไอ้ขี้ขลาด!"โหวผิงหยางทำหน้าน่ากลัว เป็นครั้งแราที่เขาจะวางอำนาจผู้เป็นสามี "ข้าไม่เพียงต้องการตบหน้าเจ้าเท่านั้น ข้าจะหย่ากับเจ้าด้วย""หย่าเหรอ?" เจียอี้หยุดชะงักครู่หนึ่ง ใบหน้าของนางมืดมนอย่างน่ากลัว "พูดอีกครั้งสิ""ผู้หญิงที่เลวทรามอย่างเจ้า ข้าไม่ขับไล่เจ้าออก แล้วยังเก็บไว้ให้เจ้ามาทำร้ายคนของจวนโหวผิงหยางของข้าหรือไง"กาน้ำชากระแทกหัวของโหวผิงหยางอย่างแรง และได้ยินแต่เสียงดังก้อง จากนั้นเครื่องปั้นดินเผานั้นก็แตกลงกับพื้นโหวผิงหยางโซเซไปสองก้าวและมองเจียอี้ที่มีท่าทางบ้าคลั่งอย่างไม่อยากเชื่อ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าโกลกำลังหมุม และเลือดไหลออกมาจากหัว"ท่านโหว!" เมื่อเห็นเช่นนี้ คนรับใช้ก็รีบวิ่งเข้าไปช่วยพยุงโหวผิงหยางพลางตะโกนเสียงดัง "คนใช้ ตามหาหมอประจำจวนเร็วเข้า!""หย่ากับข้าหรือ ขับไล่ข้าออกงั้นเหรอ งั้นข้าก็จะสู้กับเจ้า" ท่านหญิงเจียอี้มองชายท
ทั้งสองเข้าไปในวังด้วยรถม้า ตั้งแต่เกิดคดีกบฏ ทั้งสองคนก็ยุ่งมาก พอกลับจวนไม่ได้พูดคุยอะไรก็เผลอหลับไปเลยบนรถม้า เซี่ยหลูโม่กอดซ่งซีซีไว้ในอ้อมแขนของเขาแล้วพูดว่า "ข้าต้องบอกอะไรบางอย่างกับเจ้าล่วงหน้าก่อน เผื่อเจ้าจะผิดหวัง""ข้ารู้ว่าท่านกำลังจะพูดอะไรฮ่องเต้จะไม่ประหารชีวิตเซี่ยอวี้น ใช่ไหม?" ซ่งซีซีโน้มตัวพิงหน้าอกกว้างของเขา เปลือกตาของนางเริ่มปิดลง นางไม่รู้สึกเหนื่อยจากการต่อสู้ที่ใช้กำลัง แต่การยุ่งกับงานต่างๆ พวกนี้ ต้องไปสอบสวนกับทุกตระกูล ยังต้องเฟังคำประชดประชนด้วย พอเจอกับคนที่หยิ่ง มันเหนื่อยทั้งกายและใจเลยเซี่ยหลูโม่วิเคราะห์ "ข้าเคยพูดถึงอ๋องเยี่ยน แต่เขาไม่ได้ให้เจ้าไปตรวจสอบอ๋องเยี่ยน ด้วยความสงสัยของเขาจะไม่สอบสวนอ๋องเยี่ยนได้อย่างไร ข้าเดาว่าต้องส่งคนอื่นไปสอบสวนแล้ว กลุ่มคนนั้น ข้าเดาว่าก็คือองครักษ์รักษาพระองค์และองครักษ์ลับ คนเหล่านี้ไม่ได้อยู่ภายใต้การบริหารของเจ้า แม้ว่าองครักษ์รักษาพระองค์บอกว่าให้เจ้าบริหารแต่มันก็ปค่ในนาม ก่อนที่ทุกอย่างจะชัดเจน เขาไม่มีื่งประหารชีวิตเซี่ยอวี้น อีกอย่างต้องการให้เซี่ยอวี้นมีชีวิตอยู่ เพื่อให้อ๋องเยี่ยนจะนั่งไม่ติดที่ตลอ
จักรพรรดิ์ซูชิงถามซ่งซีซีอีกครั้งว่า "ได้สอบสวนอะไรมาบ้างจากตระกูลขุนนางที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจวนองค์หญิง"ซ่งซีซีกล่าวตามความจริง "ทูลฝ่าบาท ยังสอบสวนไม่เสร็จเพค่ะ จนถึงบัดนี้แค่พบว่าที่จวนโหวซิงหนิงมีบุตรีอนุของฝู้หม่ากู้ หลังจากสอบสวนก็พบว่าบุตรีอนุคนนี้ไม่ได้ทำภารกิจใดๆ เพราะหลังจากที่นางแต่เข้าจวนโหวซิงหนิงในวันที่สอง มารดาผู้ให้กำเนิดของนางก็เสียชีวิต เซี่ยอวี้นจึงไม่สามารถควบคุมนางได้ อีกอย่างนางได้รับความโปรดปรานอย่างลึกซึ้งจากซื่อจื่อของโหวซิงหนิง นางเลยได้พ้นจากจวนองค์หญิงใหญ่"แสงอันคมชัดฉายแวววาวในดวงตาจักรพรรดิ์ซูชิง "มีใครในจวนโหวซิงหนิงโหวรู้ตัวตนของนางบ้างไหม?""ทูลฝ่าบาท ทุกคนในจวนโหวซิงหนิงบอกว่าไม่รู้ ยังถามคนรับใช้ในคจวนด้วยและบอกว่าหลังจากอนุคนนี้แต่งเข้าไปก็แทบไม่เคยออกไปข้างนอกเลย"จักรพรรดิ์ซูชิงพูดว่า "แล้วอนุกู้ยังอยู่ในจวนโหวไหม?""นางให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งและบุตรสาวคนหนึ่งหลังจากแต่งงาน ยังไม่ได้หย่า แต่ถูกส่งไปที่สำนักแม่ชีเพื่อหาคนมาดูแลนาง"จักรพรรดิ์ซูชิงกล่าวว่า "จวนโหวซิงหนิงไม่ควรใจง่าย ส่งคนไปจับตาดูพวกเขาและตรวจสอบว่าพวกเขาเคยติดต่อกับผู
เซี่ยหลูโม่เห็นด้วยกับการกระทำของนาง จะว่าไป ล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ดึงไปเกี่ยวข้องด้วยนับตั้งแต่วันที่พวกนางเกิดมา ก็ถูกกำหนดว่าจะโดนหลอกใช้จากจุดนี้สามารถพิสูจน์ได้ว่าความคิดกบฏขององค์หญิงใหญ่มีมาหลายปีแล้วเซี่ยอวี้นบอกว่าเขาเป็นผู้บงการของการกบฏ ฮ่องเต้จะไม่เชื่อและขุนนางต่างๆ ในราชสำนักก็ไม่มีคนเชื่อเช่นกัน"ในเมื่อปกป้องพวกนางไว้แล้ว ก็ต้องจับตาดูพวกนางเอาไว้ด้วย เพราะถึงยังไงบางคนอยู่ในตระกูลชั้นสูงมานานหลายปีแล้ว และรู้จุดอ่อนของพวกเขาทุกคน จะปล่อยให้พวกนางถูกหลอกใช้อีกไม่ได้""ไม่ต้องกังวล ข้ารู้ด้วย" ซ่งซีซีกล่าวพระราชโองการมาถึงจวนโหวผิงหยาง ปลดตำแหน่งท่านหญิงเจียอี้ออก ยึดทรัพย์สินของนางคืน ไม่ได้รับเงินเดือนสตรีฝ่ายใน ลดตำแหน่งให้เป็นสามัญชน และไม่สามารถมียศได้อีก กล่าวอีกนัยหนึ่งแม้ว่าในที่สุดจะได้รับการยืนยันนางไม่ได้สั่งให้ฆ่าใครจริงๆ งั้นโหวผิงหยางก็ไม่สามารถไปขอยศให้นางหากหลังจากการสอบสวนแล้ว นางได้ฆ่าหรือสั่งคนอื่นไปฆ่าคนจะถูกจัดการตามกฎหมายเป็นอู๋ต้าปั้นที่ไปที่จวนโหวผิงหยางเพื่อประกาศกฤษฎีกา ท่านหญิงเจียอี้รีบวิ่งไปชนอู๋ต้าปั้นอย่างบ้าคลั่งและตะโกนว่า
ในจวนเสนาบดีกั๋วกงเว่ย ผู้ชายที่มีตำแหน่งข้าราชการได้ออกไปหมดเลย คนที่ไม่มีงานถูกเสนาบดีกั๋วกงเว่ยเรียกให้มารวมตัวที่ห้องโถงหลัก ซึ่งพวกเขาฟังเสียงเคาะประตูเป็นระยะๆตลอดชีวิตของเขา อารมณ์ต่างๆ ก็แสดงอยู่บนใบหน้าอย่างชัดเจน และเขาไม่เคยซ่อนมันไว้ เขาเป็นถึงเสนาบดีกั๋วกงเว่ยผู้ยิ่งใหญ่ และยศถาบรรดาศักดิ์นี้เขาได้มาด้วยความพยายามของตนเอง แม้ว่าลูกหลานของเขาจะได้รับข้าราชการ แต่ก็มีระดับงานไม่สูงนัก ไม่ทำให้คนอื่นอิจฉาริษยาขณะเดียวกันจะไม่กระตุ้นความสงสัยจากฮ่องเต้ดังนั้น ตราบใดที่เขาไม่ทำร้ายผู้ใดถึงชีวิต ก็ไม่มีใครกล้ามาทำตัวเย่อหยิ่งต่อหน้าเขา ผู้บัญชาการของกองทัพซวนเจียอะไรกัน เขาแค่ยอมรับกองทัพซวนเจีย ส่วนผู้บัญชาการก็แค่เศษขยะเท่านั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง เสนาบดีกั๋วกงเว่ยหยิบถ้วยชาขึ้นมาแล้วเป่าช้าๆ เขามองไปที่ลูกๆ และหลานๆ ที่เป็นกังวลแล้วพูดว่า "ไม่ต้องไปสน ปล่อยให้พวกเขาเคาะต่อไป""ท่านพ่อ ไม่เหมาะที่ปล่อยให้พวกเขาอยู่หน้าประตูสินะ ไม่ว่ายังไงนางมาทำงานตามคำสั่งจากฮ่องเต้นะ" เว่ยลี่หมิน ลูกชายคนโตของเสนาบดีกั๋วกงเว่ยถามอย่างระมัดระวังเว่ยลี่หมินเป็นขุนนางทหารด้วย
เสนาบดีกั๋วกงเว่ยมักจะเชื่อฟังคำพูดของเขามากที่สุด และความคิดของเขาก็ตรงกันกับเสนาบดีกั๋วกงเว่ยเอง เสนาบดีกั๋วกงเว่ยก็คิดเช่นนั้น และถึงขนาดพูดคำพูดพวกนี้มาก่อนทันทีที่นายสี่กล่าวเช่นนี้ ทุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วย หลักๆ เป็นเพราะเสนาบดีกั๋วกงเว่ยเห็นด้วยก่อน เขามักจะชื่นชมบุตรชายคนนี้โดยตรงการคัดค้านของซื่อจื่อเว่ยดูเหมือนจะไร้น้ำหนักเล็กน้อย แต่ถึงแม้จะไร้น้ำหนัก แต่เขาก็ยังคงแสดงความคิดเห็นว่า "น้องสี่พูดแบบนี้ก็ผิด กองกำลังเมืองหลวงย่อมมีวิธีจัดการคดีของตัวเองโดยธรรมชาติ ซ่งซีซีเกิดในตระกูลแม่ทัพ และสร้างผลงานทางทหารในเขตหนานเจียงด้วย หากนางไม่มีความสามารถ ฮ่องเต้ก็คงไม่เปิดข้อยกเว้นให้นางในราชวงศ์เราและมอบงานสำคัญให้นาง บวกกับคดีที่นางช่วยจัดการนั้นไม่ใช่คดีธรรมดา แต่เป็นคดีกบฎ จริงๆ แล้ว คำว่าทำงานตามพระราชกฤษฎีกาก็มากพอที่นำเรากลับไปสอบสวนที่หอต้าหลี่ แต่นางไม่ได้ทำเช่นนั้น กลับมาหาเราถึงที่ ขนาดรออยู่ข้างนอกตั้งครึ่งชั่วยาม แสดงว่านางให้เกียรติจวนจวนเสนาบดีกั๋วกงมามากพอแล้ว""อีกอย่าง ท่านพ่อ คดีนี้เกี่ยวข้องกับคนมากมาย และพวกเขาคงไม่ค่อยมีเวลาว่าง ถ้าไม่ใช่จำเป็นจริงๆ พวกเขาค
นายสี่เว่ยลุกขึ้นยืนทันทีและตะโกนใส่องครักษ์ด้านหลังด้วยความโกรธว่า "เกิดอะไรขึ้น? บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าเปิดประตู ใครเปิดประตูให้""ข้าเข้ามาด้วยตัวเอง หลังจากรอครึ่งชั่วยาม พวกเจ้าไม่เพียงแต่ไม่เปิดประตู ยังคิดจะใช้น้ำสกปรกไล่ำวกเรา งั้นข้าก็ต้องทำด้วยวิธีนี้แล้ว"ซ่งซีซีก้าวเข้าไปและมองไปรอบๆ ที่ผู้คนที่อยู่ในนั้น เสนาบดีกั๋วกงมีอายุมากที่สุด รองมาด้วยสองคนที่อยู่ข้างๆ น่าจะเป็นน้องรองน้องสามของเสนาบดีกั๋วกงเว่ย งั้นก็คือคนของบ้านรองและบ้านสามก่อนที่จะมา ซ่งซีซีเคยเห็นภาพเหมือนของผู้คนเข้ารับราชาการของจวนจวนเสนาบดีกั๋วกง ดังนั้นนางจึงจำพวกเขาได้ชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมสีฟ้าด้วยสีหน้ากังวล และมองนางอย่างประหลาดใจนั้นน่าจะคือซื่อจื่อของเสนาบดีกั๋วกงเว่ยชื่อเว่ยลี่หมินซ่งซีซีจำชายที่พูดด้วยความโกรธเมื่อกี้ได้ เว่ยลี่กั๋ว ลูกชายคนที่สี่ของเสนาบดีกั๋วกงเว่ย นางจำเขาได้เพราะเขาเป็นหัวหน้าธุรการของกระทรวงกลาโหม ที่นางมาครั้งนี้ก็เพระเขาและเรื่องอนุภรรยาของเขาที่ชื่อชิงลู่เมื่อเสนาบดีกั๋วกงเว่ยได้ยินว่านางบุกเข้ามาโดยตรง เขาก็ยิ่งโกรธมากขึ้น "เจ้าช่างบังอาจจัง ข้าไม่อนุญาตให้เจ้
ดอกเหมยบนภูเขาเหม่ยชานบานแล้ว ร่วงโรยแล้วเช่นกันในใจข้าย่อมอดเคืองนางไม่ได้ กลับบ้านไปแล้ว ก็จะทอดทิ้งพวกข้าด้วยหรือ? ไม่นึกถึงน้ำใจไมตรีที่มีต่อกันตลอดหลายปีมานี้เลยหรือ?เฉินเฉินก็ด่านางว่าไร้หัวใจ ไปก็แล้วไป ไยจึงไม่แม้แต่จะส่งจดหมายมาสักฉบับ?นานวันเข้าพวกข้าก็เลิกพูดถึงนางเสียเอง ราวกับว่าการไม่เอ่ยชื่อนางเลย คือการแก้แค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อผู้ละทิ้งพวกข้าต่างก็ตกลงกันไว้ว่า หากนางกลับมายังภูเขาเหม่ยชานอีกครั้ง ไม่ว่าใครก็จะไม่ไปพบนาง ไม่พูดกับนางสักคำ แม้นางจะให้คนส่งจดหมายมา ข้าก็จะไม่ตอบกลับ แม้แต่จะอ่านยังไม่อ่านวันเวลาผ่านไปกลางดาบคมและเงาเย็น พวกข้าทุกคนต่างฝึกฝนวิชาให้แกร่งกล้า ราวกับได้ตกลงกันไว้แล้วว่า หากยังไม่ตาย ก็จะฝึกจนสุดกำลังแม้ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา แต่ข้าย่อมรู้ว่าในใจของทุกคนคิดไม่ต่างกัน ย่อมไม่มีวันเป็น ‘นางที่ยิ้มแย้ม’ ได้อีกแล้ว เพราะเจ้าหวังห้าเล่าว่า ตั้งแต่นางจากเขาลงไป ท่านอาจารย์ก็ไม่เคยยิ้มอีกเลย มีแต่สีหน้าเคร่งเครียดทุกเมื่อเชื่อวันพวกข้าไม่รู้ว่านางประสบเรื่องราวใด แต่ข้าก็ฝึกฝนจนกล้าแข็ง เพียงรอวันที่นางต้องการข้า ดาบในมือย่อมพร้อมชักออกจา
เพียงแต่ ข้ากับซีซีพบกันแทบทุกวัน หากนางไม่มาหาข้าที่สถาบันชื่อเยียน ข้าก็จะไปหานางที่สำนักว่านซง ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงยังคงได้พบหวังเยว่จางอยู่เสมอทว่า ทุกคราที่เขาเห็นข้า ก็จะส่งสายตาเคียดแค้นมาให้ ราวกับข้าเป็นผู้ล่วงเกินเขากระนั้นครั้งหนึ่งข้าทนไม่ไหว เอ่ยถามเขาว่าจะมองเขม่นข้าไปถึงไหน เขากลับว่าข้าเป็นคนแพร่ข่าวลือ ว่าเขาไปเที่ยวหอนางโลมข้าก็โกรธแทบขาดใจ! เขาประพฤติเสียเอง ไม่รู้จักสำนึก กลับมาโทษคนที่บริสุทธิ์ ข้าไม่ได้แพร่ข่าวลือเสียหน่อย!ข้าแค่เล่าเรื่องนี้ให้สหายสนิทของข้าฟัง แล้วจะนับว่าแพร่ข่าวลือได้อย่างไร?ข้าโมโหจนต่อยเขาไปหนึ่งหมัด แล้วก็ประกาศตัดขาดกับเขาเสียเลยต่อมา ซีซีกลับบ้าน ข้าคิดว่าไม่นานนางก็คงกลับมาเช่นเคย แต่ครานี้ นางกลับหายไปเนิ่นนาน มิได้กลับสำนักภูเขาเหม่ยชานอีกเลยข้าไปที่สำนักว่านซงเพื่อถามหา แต่มิมีผู้ใดยอมปริปากแม้แต่คนเดียวด้วยความร้อนใจ ข้าคิดจะพาเฉินเฉินกับมันโถวออกเดินทางไปเมืองหลวงตามหานาง ก่อนออกเดินทาง หวังเยว่จางก็มาหาเราครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นเขามีสีหน้าเคร่งขรึม เขาบอกพวกเราว่า ซีซีมีเรื่องในบ้าน บิดาและพี่ชายล้วนเสียชีวิ
แต่จะว่าไปแล้ว สตรีเช่นข้า ก็เป็นที่โปรดปรานของบุรุษไม่น้อยที่ภูเขาเหม่ยชาน มีบุรุษมากมายชื่นชอบข้า เด็กหนุ่มวัยกำลังขึ้นหนวดอ่อนส่งจดหมายรักให้ข้าเขินๆ อายๆ ส่งมาครั้งแล้วครั้งเล่าข้าก็ไม่เคยเปิดดู ต่อหน้าพวกเขาก็ฉีกมันทิ้งเสียเลยในเมื่อยามนั้น ข้ายังไม่ได้เข้าใจตรรกะของคำปฏิญาณที่ตนตั้งไว้ดีนัก ในใจก็ยังมีคำว่า "ไม่แต่ง" ขวางอยู่เต็มอกข้าฉีกจดหมายรักต่อหน้าพวกเขา ข้ารู้ว่าตนโหดร้าย แต่ขอโทษเถิด ในเมื่อข้าคือสตรีที่ตั้งใจว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องรักใคร่ชั่วชีวิต ข้าย่อมต้องใจแข็ง ไม่ปล่อยให้พวกเขามีแม้แต่นิดเดียวของความหวังร้องไห้เสียในตอนนี้ ยังดีกว่าติดบ่วงในวันหน้า จนเจ็บปวดปานฉีกหัวใจแม้พวกเขาจะบอกหน้าตาเศร้าว่าให้ข้าช่วยส่งจดหมายรักให้ซ่งซีซีก็ตาม ข้าก็ไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อยหึๆ ยังไม่ทันได้เป็นบุรุษเต็มตัว ก็รู้จักใช้เล่ห์กลยั่วยวนหญิงเสียแล้วที่ภูเขาเหม่ยชาน เพื่อนเล่นที่ดีที่สุดของข้าก็คือพวกซีซี หมั่นโถว เฉินเฉิน และกุ้นเอ๋อร์อ้อ เคยมีอยู่ช่วงหนึ่ง ศิษย์พี่ใหญ่ของเฉินเฉินก็มาเล่นกับพวกเราด้วย แต่น่าเสียดาย ต่อมาเขาก็ลงเขาไปผดุงคุณธรรมเสียแล้ว แต่เฉินเฉินบ
ข้า...เสิ่นว่านจือคนดีคนเดิม ยังคงอยากจะบ่นอยู่ บ่นถึงบุรุษของข้าหวังเยว่จาง เจ้านี่ช่างสมกับเป็นบุตรของท่านฮูหยินผู้เฒ่าหวังเสียจริงก่อนแต่งงานเราก็ตกลงกันไว้ชัดเจนแล้วว่า ต่อแต่นี้ไปไม่ว่าข้าจะทำสิ่งใด เขาห้ามแทรกแซง ห้ามห้ามปราม และห้ามเข้าร่วมโดยเด็ดขาดผลสุดท้าย เพิ่งแต่งได้ปีเดียว เขาก็ฉีกสัญญาทิ้งหมดสิ้น จะทำด้วยทุกเรื่องตามข้าสิ่งที่ข้าทำนั้น เขาเกี่ยวข้องได้หรือ? ย่อมไม่ได้ สำนักว่านซงมีกฎเข้มงวด อีกทั้งยังมีอาจารย์อาผู้เหี้ยมโหดนั่งประจำอยู่ หากรู้ว่าข้าพาหวังเยว่จางไปตัดหัวคน เกรงว่าจะบดกระดูกข้าเป็นผุยผงไปแล้วแต่เขาว่า เดิมเขาก็เป็นคนในยุทธภพ คนในยุทธภพล้วนถือความสะใจเป็นใหญ่ ทั้งบุญคุณและความแค้น ไม่ว่าเป็นของผู้ใด ก็ล้วนต้องตอบแทนอีกทั้งเราทำอย่างลับๆ สถาบันว่านซงเหมินย่อมไม่รู้เรื่องแต่พี่ห้า ท่านเข้าสังกัดกรมกลาโหมไปแล้วนะ ท่านก็เป็นขุนนางแล้ว จะยังพูดเรื่องยุทธภพสะใจล้างแค้นอะไรอีกเล่า?สิ่งที่ข้าทำ แม้แต่ซ่งซีซีก็ยังไม่รู้ทั้งหมด หรือหากนางรู้ นางก็คงเลือกที่จะปิดหูปิดตาเสีย เพราะว่ามันขัดแย้งกับสถานะ เข้าใจหรือไม่?ข้า...เสิ่นว่านจือ ไม่ย่างกรายเข้าสู่
บางครั้งข้าก็สอนศิษย์ทั้งหลายให้กล้าเผชิญหน้ากับชีวิต กล้าเผชิญหน้ากับความผิดพลาด แต่ตัวข้าเองกลับมิอาจกระทำได้เช่นนั้นหลายปีมานี้ ข้าแทบไม่ได้พบหน้าเขาเลย หากรู้ว่าเขาจะไปที่ใด ข้าย่อมหลีกเลี่ยงไม่ไปเมื่อครั้งที่ข้ายังดื้อดึงอยู่ เคยถูกพี่สะใภ้ตำหนิว่าข้ายังติดหนี้เจ้าสิบเอ็ดฝางอยู่ แต่ในใจข้ากลับไม่ยอมรับนัก ยังรู้สึกน้อยใจอยู่บ้างแต่ตอนนี้เมื่อคิดย้อนกลับไป ข้าน้อยใจไปเพื่ออะไรเล่า? ใครเป็นคนที่ติดหนี้ข้ากัน? ฟ้าดินเมตตาข้าไม่มากพอแล้วหรือ? ทุกสิ่งล้วนเป็นผลจากการกระทำของข้าเองทั้งสิ้นหลายครา ข้าเปิดกระดาษเขียนจดหมาย ตั้งใจจะเขียนถึงเขาเพื่อขอขมาจากใจจริงแต่ยามจับพู่กันลงหมึก พอหมึกหยดลงกระดาษกลับเขียนไม่ออกแม้แต่คำเดียวข้ากลัวว่าจดหมายขอขมานั้นจะดูแปลกประหลาดเกินไป ทำให้ภรรยาของเขาระแวง หรือแม้แต่ทำให้จ้านเป่ยว่างคิดมากแม้ว่าตอนนี้ ข้ากับจ้านเป่ยว่างจะมิได้เป็นสามีภรรยากันจริงๆ แล้วก็ตาม แต่ข้าก็ไม่ต้องการทำลายความสงบเช่นนี้ระหว่างนั้น จ้านเป่ยว่างเคยกลับมาสองสามครั้ง อาจเพราะเห็นกองกระดาษที่ถูกขยำทิ้งในห้องหนังสือของข้า เขาจึงสั่งให้เตรียมเหล้าหนึ่งเหยือก กับกับข้า
ข้ามาอยู่ชายแดนเฉิงหลิงได้หนึ่งเดือนแล้ว ก็กำลังครุ่นคิดว่าจะทำสิ่งใดดีในนามแล้ว ข้าคือภรรยาของจ้านเป่ยว่าง ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรากลับมีน้อยนัก เขามักพำนักอยู่ในค่ายทหาร มีเพียงบางครั้งที่กลับมามองข้าสองสามตาด้วยเหตุนี้ ข้าจึงมีเวลาว่างมากมาย พอจะทำกิจการเล็กๆ ได้ชายแดนเฉิงหลิงนั้นต่างจากที่ข้าคาดไว้เล็กน้อย เดิมทีข้าคิดว่าดินแดนชายขอบย่อมแร้นแค้น ขาดแคลนสิ่งของ แต่เหนือความคาดหมาย ที่นี่แทบจะมีทุกอย่างขาย ยกเว้นเพียงเครื่องประดับล้ำค่าและผ้าไหมชั้นดีจากแคว้นสู่เท่านั้นสิ่งเหล่านี้ก็หาใช่ว่าไม่มีไม่ เพียงแต่ว่าหลังจากพ่อค้าเดินทางนำมาถึงแล้ว ก็มักเก็บไว้รอส่งไปขายแก่พวกขุนนางมั่งคั่งในซีจิงชาวบ้านที่ชายแดนเฉิงหลิงซื้อเครื่องประดับเพียงเพื่อความสวยงาม ไม่ได้ใส่ใจว่าล้ำค่าหรือไม่ข้ากำลังตรองว่าจะค้าขายสิ่งใดดี เพียงแต่ไม่ว่าคิดจะค้าขายอะไร สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือต้องซื้อร้านก่อนมิใช่หรือ?ดังนั้น ข้าจึงพาบ่าวชายและสาวใช้เดินไปตามตรอกซอกซอย ค้นหาร้านค้าที่เหมาะสมการมาครั้งนี้ พี่สะใภ้ใหญ่ให้เงินติดตัวข้ามาด้วย พี่สะใภ้รองกับว่านจือก็ให้มาบ้าง รวมกับเงินที่ข้าเก็บไว้เอง ที
นายท่านป๋ออันถูกหวังเยว่จางเหน็บแนมอยู่ไม่น้อย ท้ายที่สุดก็ยอมปล่อยเส้าหมิ่นออกมา ให้เส้าหมิ่นไปขอความเห็นใจ ถึงได้ช่วยชีวิตคุณชายเส้าเอาไว้เรื่องราวคลี่คลาย พวกเขาก็กล่าวขอบคุณหวังเยว่จางอย่างสุดซึ้ง แม้จะรู้ว่าถูกจงใจบีบไว้ แต่จะทำเช่นไรได้เล่า ใครใช้ให้บุตรชายของตนประพฤติผิด ไร้คุณธรรม ถูกจับได้คาหนังคาเขาเล่า?เส้าหมิ่นรู้ว่ามารดาของตนเคยกลั่นแกล้งเสี่ยวอวี่ เขาจึงอดทนไว้ก่อน รอจนแต่งงานแล้วจึงกล่าวขอแยกเรือนทันทีเขามิได้ทะเลาะกับทางบ้าน เพราะราชสำนักแคว้นซางสอบคุณธรรมข้าราชการเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณธรรมแห่งความกตัญญู หากมีตราบาปว่าอกตัญญู วันหน้าอย่าหวังจะยืนหยัดในวงราชการเหตุผลที่เขาขอแยกเรือนก็สมเหตุสมผล กล่าวว่าสำคัญต่ออนาคต การสอบใกล้เข้ามาแล้ว คนในเรือนมากเกินไปย่อมรบกวนสมาธิ หากแยกเรือนไปจะได้เตรียมสอบอย่างสงบเพราะเขาเป็นบุตรที่กตัญญูมาโดยตลอด อีกทั้งฮูหยินเส้าเพิ่งก่อเรื่องใหญ่ขึ้นมา รู้ดีว่าเบื้องหลังของหวังจืออวี่มั่นคงนัก จึงมิได้ขัดขวางมากนัก อนุญาตให้พวกเขาแยกเรือนไปเรื่องนี้ถูกจัดการอย่างเงียบเชียบ มิได้ก่อผลกระทบอันใด ไม่มีผู้ใดเอ่ยคำซุบซิบนินทาเด
ตอนนี้เองที่ข้าพึ่งเข้าใจเจตนาของซีซี เส้าฮูหยินนำคนไปก่อเรื่องถึงตระกูลหวังจนเสียหน้า เช่นนั้นก็ต้องไปขอขมาถึงที่นั่นด้วย และใช้เรื่องที่เส้าซื่อจื่อประพฤติตัวต่ำทรามมาจับจุดอ่อนตระกูลเส้า ต่อจากนี้ ต่อให้จืออวี่แต่งเข้ามา พวกเขาก็จะไม่กล้ารังแกอีกทั้งมีคนหนุนหลัง ทั้งมีเรื่องให้ถือไพ่เหนือกว่าแต่วันนี้ข้ามาเพื่อระบายความโกรธ เป้าหมายก็เส้าฮูหยิน ข้าย่อมไม่ยอมจากไปง่ายๆข้ารอจนปี้หมิงกับคนของเขาออกไปหมด จึงกล่าวกับเส้าฮูหยินว่า “เมื่อครู่ได้ยินท่านพูดว่าจวนป๋อเจวี๋ยของพวกท่านเป็นตระกูลขุนนางผู้ดีฟังแล้วช่างน่าขัน ตระกูลขุนนางผู้ดีที่ไหนจะทำเรื่องล่อลวงภรรยาน้อย บุกบ้านผู้อื่นอาละวาดไร้เหตุผล? วันนี้ข้าตั้งใจจะฉีกหน้าตระกูลเส้าให้ขาดเป็นชิ้นๆ อยู่แล้ว แต่เพราะเห็นว่าเส้าหมิ่นรักเสี่ยวอวี่ด้วยใจจริง ข้าจึงไม่อยากทำให้เรื่องเลวร้ายจนเด็กทั้งสองต้องอับอาย แต่เรื่องที่เสี่ยวอวี่ถูกกดขี่ ข้าไม่อาจปล่อยผ่านได้ เด็กคนนี้ข้าเสิ่นว่านจือเลี้ยงดูมาเองกับมือ จะยอมให้ใครรังแกไม่ได้ เจ้าอาศัยว่าตัวเองเป็นจวนป๋อเจวี๋ย ก็เลยกล้ารังแกตระกูลหวังที่ไร้บรรดาศักดิ์ ตอนเจ้ารังแกผู้อื่นก็อย่ามาโทษคนอื่
ดูสีหน้าของคนตระกูลเส้าหลังจากข้าพูดจบแต่ละคำ…แต่ละคนเหมือนถูกสาปกลายเป็นท่อนไม้ ยืนนิ่งไม่ไหวติง ก็รู้แล้วว่าเหล่าขุนนางใหญ่โตในเมืองหลวงล้วนไม่ให้ตระกูลเส้าเข้าสมาคมด้วย แม้แต่เรื่องนี้ก็ไม่รู้เลยด้วยซ้ำข้าฉวยจังหวะที่เส้าฮูหยินยังตกตะลึง กล่าวเย็นชาต่อว่า “ใครไม่รู้ว่านายท่านสามบ้านข้ารักเสี่ยวอวี่ที่สุด? นางถูกทำให้เจ็บช้ำน้ำใจถึงเพียงนี้ นายท่านสามของข้าก็เสียใจแทบคลั่ง ข้าต้องพูดทั้งปลอบทั้งเตือน จึงห้ามเขาไว้ได้ ไม่เช่นนั้น วันนี้เขาคงไปฟ้องไทเฮาไปแล้ว ในเมื่อข้ามาแล้ว เช่นนั้นใครเป็นคนลงมือ ก็ออกมายอมรับโทษเสีย”หวังเยว่จางมีหลายสถานะในเมืองหลวง แต่ที่ผู้คนรู้จักมากที่สุด ก็คือสามีของข้าเสิ่นว่านจือ ศิษย์แห่งสถาบันว่านซงเหมิน เจ้าหน้าที่ฝ่ายคลังยุทโธปกรณ์แห่งกรมทหาร อีกทั้งยังเป็นเจ้าของกิจการหลายแห่งของว่านซงเหมินในเมืองหลวงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับตระกูลหวัง ถูกจงใจทำให้ดูเลือนราง แต่ในยามจำเป็น ก็ย่อมนำมาใช้งานได้ในบรรดาสถานะทั้งจริงทั้งเท็จเหล่านี้ ต่อให้มีผู้สงสัยว่ามีความเกี่ยวพันกับไทเฮา ก็ย่อมไม่มีใครกล้าปฏิเสธ เพราะไทเฮานั้นเคารพอาจารย์เหรินแห่งว่านซงเหมินอย่างย