ฮูหยินผู้เฒ่าโรคกำเริบทำให้ที่จวนวุ่นวายไปหมด สุดท้ายก็ต้องตามหาหมอหลวงมาช่วยรักษาอาการของนางให้คงที่ชั่วคราวหมอหลวงพูดกับจ้านเป่ยว่างว่า "ข้าเคยมารักษาให้ฮูหยินผู้เฒ่ามาก่อน แต่ทักษะทางการแพทย์ของข้าไม่ดีเอง หมอที่ดีที่สุดในเมืองหลวงในการรักษาโรคหัวใจคือหมอมหัศจรรย์ดัน และยาดันเสวี่ยของเขาเป็นยาที่ช่วยชีวิตฮูหยินผู้เฒ่าได้ ยามนี้ข้าทำแต่แค่ช่วยควบคุมอาการของนางได้ เพราะนางทานยาดันเสวี่ยมาเป็นเวลาหนึ่งปีแล้ว และฤทธิ์ยายังอยู่ แต่หากต่อไปกำเริบอีก ข้าคงหมดหนทางแล้วขอรับ"หลังจากพูดอย่างนั้น หมอหลวงก็บอกลาและจากไปดวงตาของจ้านเป่ยว่างแดงก่ำด้วยความโกรธ เขาไปเรียนเชิญหมอมหัศจรรย์ดันด้วยตัวเองในคืนนี้ แต่หมอมหัศจรรย์ดันไม่ยอมพบเขาเลยด้วยซ้ำเขารู้ว่าซ่งซีซีใช้สิ่งนี้เพื่อบังคับให้เขาเลิกแต่งงานกับยี่ฝาง วิธีนี้แย่มากและน่ารังเกียจจริงๆ ที่จะใช้ชีวิตของท่านแม่มาบีบเขาเขาเดินตรงไปที่เรือนเหวินซี แล้วเตะประตูให้เปิดออกซ่งซีซียังไม่ได้นอน และกำลังเขียนหนังสืออยู่ใต้ตะเกียง นางขมวดคิ้วเมื่อเห็นเขามาด้วยความโกรธทั่วตัวเขา เห็นได้ชัดว่าเขามาเอาเรื่อง"แม่นม เป่าจู พวกเจ้าออกไปก่อน!""พ
แสงไฟในห้องของฮูหยินผู้เฒ่าเปิดอยู่ตลอดทั้งคืนเมื่อจ้านเป่ยว่างเสนอว่าจะหย่ากับภรรยา ท่านพ่อของเขาเป็นคนแรกที่ไม่เห็นด้วย "ถ้าเจ้าหย่ากับนาง ขุนนางตักเตือนจะเข้ามายุ่งเรื่องนี้อย่างแน่นอน การทำเช่นนี้ก็เท่ากับทำลายอนาคตของเจ้าเองอย่างไม่ต้องสงสัย"พี่ชายคนโต จ้านเป่ยชิงยังกล่าวอีกว่า "น้องชายรอง ท่านพ่อพูดถูก เจ้าลองคิดดูสิว่ามีทหารในกองทัพตั้งเท่าไรที่เป็นลูกน้องเก่าของพ่อนาง? ที่เจ้าสามารถบรรลุความสำเร็จได้ในครั้งนี้เป็นเพราะมีพวกเขาที่ช่วยเหลือเจ้า หากเจ้าสูญเสียการสนับสนุนของพวกเขา เจ้าคงอยู่ไม่มั่นคงในกองทัพนะ""แต่ข้าทนไม่ไหวที่นางใช้ความปลอดภัยของท่านแม่มาคุกคามข้า!" ใบหน้าของจ้านเป่ยว่างเย็นชามากฮูหยินผู้เฒ่ามีสติกลับมาแล้ว แต่ความเจ็บปวดเมื่อกี้นี้ ทำให้นางเกลียดซ่งซีซีมาก ทันใดนั้นนางก็นึกถึงอะไรขึ้นมาจึงเงยหน้าขึ้นทันทีและพูดด้วยน้ำเสียงหยาบว่า "หย่า หย่ากับนาง หากนางถูกเราไล่ออก สินเดิมก็หย่าคิดจะเอากลับเลย"จ้านเป่ยว่างกล่าวว่า "ข้าไม่คิดจะเอาสินเดิมของนาง!""ทำไมจะไม่เอาล่ะ ในเมื่อนางถูกไล่ออก สินเดิมย่อมจะตกเป็นของจวนแม่ทัพเรา" ฮูหยินผู้เฒ่าลูบหน้าอกของนาง เพราะย
จ้านเป่ยว่างรีบหยุดนางไว้ "ท่านแม่ ท่านฟังข้านะ สินเดิมของนางข้าไม่เอา"ฮูหยินผู้เฒ่าพูดด้วยความโกรธ "เจ้านี่โง่มากจริงๆ ลูกโง่เอ๊ย นางรังแกเรา เจนเราตกอยู่ในสภาพแบบไหนแล้ว เจ้ายังใจอ่อนกับนาง นางต้องการชีวิตของแม่ของเจ้านะ!"จ้านเป่ยว่างตั้งใจแน่วแน่ว่า "ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ชายใหญ่ การยึดสินเดิมของนางมิใช่การกระทำของลูกผู้ชาย พรุ่งนี้ขอให้ท่านพ่อและพี่ชายใหญ่เชิญหัวหน้าทั้งสองตระกูลมา และแม่สื่อที่จะเป็นผู้จับคู่ในวันนั้นเพื่อเป็นพยานให้ ส่วนเพื่อบ้านต่างๆ ก็เรียกสักสองสามคนเพื่อทำตามขนบธรรมเนียมก็เท่านั้น""คนที่เป็นแม่สื่อของพวกเจ้า เป็นพระชายาอ๋องเยี่ยน" จ้านจี้ขมวดคิ้ว "พระชายาอ๋องเยี่ยนเป็นลูกพี่ลูกน้องของนางซ่งและเป็นน้าของซ่งซีซี"ฮูหยินผู้เฒ่าพูดว่า "ถ้าอย่างนั้นก็อย่าไปเชิญนาง ไปหาแม่สื่อที่มาทำพิธีให้คนนั้น ข้าจำได้ว่าได้รับเชิญจากซีฟาง"พระชายาอ๋องเยี่ยนมีสุขภาพย่ำแย่ ดังนั้นจวนอ๋องเยี่ยนเลยมอบให้พระชายารองจัดการหมด แม้ว่าจวนแม่ทัพจะไม่เกรงกลัวพระชายาอ๋องเยี่ยนที่ไม่ได้ที่โปรดและไร้บุตรด้วย แต่ก็ยังพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่สร้างปัญหากับราชวงศ์จ้านเป่ยว่างกล่าวว่า "ให
ยี่ฝางครุ่นคิด โดยชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียในใจของตัวเองการหย่าร้างกับภรรยาย่อมส่งผลเสียมากกว่าผลดี ไม่ใช่ว่านางไม่ให้ความสำคัญกับฐานะภรรยาเอก แต่การหย่าในตอนนี้จะเป็นอุปสรรคต่ออนาคตของพวกเขาอนาคตของนางเองมีความสำคัญมากโดยธรรมชาติเพียงแต่ว่า คนนั้นคือซ่งซีซี เมื่อพบนางในวันนั้น และเห็นรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ของนาง ก็เกิดความรู้สึกไม่สบายใจมากนี่เป็นรูปลักษณ์ที่เหมือนนังจิ้งจอกซึ่งสามารถหลอกล่อผู้คนได้ง่ายเสมอ ไม่อน่ว่าจ้านเป่ยว่างจะตกหลุมรักนางอีกครั้งในอนาคตหลังจากที่เขาหย่ากับนาง ตัวเองก็กลายเป็นภรรยาเอกทันทีที่แต่งงาน สิ่งที่ทำให้ท่านพ่อของนางไม่พอใจในตอนแรกคือภรรยาที่เท่าเทียมกันก็เป็นอนุภรรยาด้วย เมื่อนางเป็นภรรยาเอกท่านพ่อของนางไม่มีเหตุผลที่จะไม่พอใจอีกเลยอีกอย่าง มีใครบ้างที่ไม่อยากเป็นภรรยาเอกล่ะ? เหตุผลที่นางตกลงกันก่อนหน้านี้คือนางไม่มีทางเลือก เพราะความรักของทั้งคู่เกิดขึ้นหลังจากที่เขาแต่งงานแล้ว โชคดีที่พวกเขายังไม่ได้ร่วมรักกันนอกจากนี้ หญิงสาวที่บอบบางและอ่อนแอจากตระกูลขุนนางคนหนึ่งนางมีความมั่นใจในตัวว่าสามรถควบคุมอีกฝ่ายได้ แล้วเป็นนายหญิงของครอบครัวแล้วทำไม
จ้านเป่ยว่างตกตะลึง "แต่ช้าจะเอาสินเดิมของนางได้อย่างไร ข้าเป็นถึงแม่ทัพชั้นสี่ เป็นลูกผู้ชาย จะใช้สินเดิมของสตรีที่ถูกทอดทิ้งได้อย่างไร"ยี่ฝางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันไปมองนาง สีสายตาหนักแน่น "ท่านแม่ของเจ้าต้องกินยาประจำ และยาก็ไม่ใช่ถูกด้วย ความสำเร็จในการออกศึกของเราในครั้งนี้ใช้กับพระราชทานอภิเษกสมรสแล้ว และไม่มีค่าตอบแทนอะไรอีก ถึงแม้ว่าเราเป็นแม่ทัพชั้นสี่ เงินเดือนประจำปีของพวกเราก็มีแค่นั้น ต่อให้ใช้กับจวนหมด ก็คงใช้จ่ายไม่ไหว""อีกอย่าง..." นางรู้สึกน่าละอายใจเล็กน้อยที่จะพูดแบบนี้ จากนั้นจึงรีบเสริมขึ้นว่า "แม้ว่าเราจะสะสมผลงานทางทหารต่อไปในอนาคต แต่มันก็ไม่ใช่ใช้เวลาน้อยๆ ข้าราชการฝ่ายทหารมักจะลำบากหน่อย จะปล่อยให้อาการของท่านแม่เจ้าแย่ลงไม่ได้ ดังนั้น คืนให้ทั้งหมด ไม่ก็ยอมรับการถูกหาว่าเป็นลูกอกตัญญู"จ้านเป่ยว่างไม่ได้คิดว่านางจะพูดแบบนั้น เขาไม่สามารถบอกได้ว่าความรู้สึกในใจของเขาคือความผิดหวังหรือจนใจ แต่ถ้าเขาคิดดูดีๆ แล้ว สิ่งที่ยี่ฝางพูดก็สมเหตุสมผล หวังดีกับเขานางก็กลัวว่าเขาจะถูกกล่าวหาว่าอกตัญญูและจะถูกขุนนางจับผิด จนส่งผลกระทบต่ออนาคตของเขาเมื่อคิดถึงเช่นนี
จ้านจี้รู้ดีว่าซ่งไท่กงเป็นคนใจร้อนและรับมือได้ยาก เลยไม่กล้าทำให้เขาขุ่นเคือง "ท่านผู้เฒ่า อย่ากังวลเลย ที่ข้าเชิญท่านมาที่นี่วันนี้เพื่อจัดการกับเรื่องของเด็กสองคนอย่างชัดเจน โปรดอย่า ใจร้อน"ซ่งซื่ออันก็ปลอบโยนปู่ของเขาและพูดว่า "เดี๋ยวรอซีเอ๋อร์ออกมา เราค่อยถามนาง จะปล่อยให้ครอบครัวของพวกเขาได้ตัดสินใจในทุกสิ่งหมดไม่ได้อยู่แล้ว"ซ่งไท่กงพูดด้วยความโกรธ "ไม่ว่าอย่างอื่นเลย แค่มองจากจ้านเป่ยว่างที่ออกเดินทางทำศึกมาหนึ่งปีนี้ ซีเอ๋อร์ของเรารอเขามาหนึ่งปีเต็มๆ แถมดูแลพ่อแม่สามี ดีต่อญาติพี่น้องในบ้าน จัดการเรื่องในบ้าน เขาก็ไม่ควรรังแกนางเช่นนี้""ท่านผู้เฒ่าใจเย็นๆ ก่อนนะ รอจนกว่าทุกคนมาครบแล้วค่อยว่ากันก็ไม่สายไปนะ" จ้านเป่ยว่างกล่าวอย่างสงบเขาไม่กล้าเชิญเพื่อนบ้านมาเข้าร่วม เพื่อนบ้านของจวนแม่ทัพเป็นขุนนางทั้งนั้น หากเรียนเชิญขุนนางมาเป็นพยานที่เจาจะหย่า มันก็ส่งผลเสียต่ออนาคตของเขาเดิมที จ้านเป่ยว่างอยากเชิญขุนนางที่ดูแลทะเบียนบ้านมาประทับตราหนังสือหย่า แต่เขาก็คิดว่าหลังจากลงนามในหนังสือหย่าแล้ว เขาจะไปส่งไปที่สำนักรัฐด้วยตัวเอง และไม่ต้องการให้คนจำนวนมากไปรู้เรื่องนี้ส่ว
ซ่งซีซีมองดูเขา ใบหน้าที่สวยงามของนางเผยรอยยิ้มเยาะเย้ย "แม่ทัพยี่ฝาง คิดเข้าข้างข้าจริงๆ ยังเหลือสินเดิมได้ครึ่งหนึ่งไว้ให้ข้า""ไม่ นี่ไม่ใช่จดหมายของยี่ฝาง ไม่ใช่นางเขียน" จ้านเป่ยว่างแต่ตัว จดหมายได้ลงนามในตอนท้าย ดังนั้นการแก้ตัวของเขาจึงไร้ประโยชน์ซ่งซีซีเงยหน้าขึ้นมอง "งั้นเหรอ? งั้นข้าขอถามแม่ทัพสักคำ การหย่าในวันนี้ จะคืนสินเดิมทั้งหมดให้ข้าเอาไปหรือไม่?"ก่อนที่อ่านจดหมายฉบับนี้ จ้านเป่ยว่างคงตอบอย่างแน่นชัดว่าคืนให้หมด แม้ว่าท่านพ่อและท่านแม่จะคัดค้านก็ตามอย่างไรก็ตาม ในเมื่อยี่ฝางเขียนจดหมายและขอให้เก็บสินเดิมไว้ครึ่งหนึ่ง หากเขาไม่ทำตามที่ยี่ฝางบอก ยี่ฝางคงจะผิดหวังมากซ่งซีซียิ้มและพูดว่า "ลังเลเหรอ? ดูเหมือนว่าพวกเจ้าก็ไม่ได้มีศักดิ์สิทธิ์อะไรมากนี่!"เสียงของนางแผ่วเบา แต่ทุกคำพูดกลับแทงใจดำนางรอยยิ้มของนางราวกับดอกไม้ที่บานในต้นฤดูใบไม้ผลิ แต่กลับเย็นชาราวกับน้ำแข็งจ้านเป่ยว่างรู้สึกทั้งละอายใจและรำคาญด้วย แต่พูดไม่ออกสักคำ เขาทำได้เพียงมองดูนางเดินผ่านไปพร้อมกับเยาะเย้ยเมื่อซ่งไท่กงเห็นซ่งซีซี เขาก็ถามทันทีว่า "ซีซี ที่จวนแม่ทัพได้รังแกเจ้าหรือไม่ เจ้าไม
"ห้าส่วน!" จ้านเป่ยว่างที่ยืนอยู่ที่ประตู และชำเลืองมองทุกคนที่อยู่ข้างใน แต่หลับหลบหนีสายตาของซ่งซีซี "สินเดิมของนางจะคืนให้ห้าส่วน หากซ่งไท่กงและท่านลุงซ่งไม่พอใจก็สามารถไปร้องเรียนที่สำนักรัฐ ว่าสิ่งที่ข้าทำนั้นผิดกฏหรือไม่"ซ่งซื่ออันพูดด้วยความโกรธ "ห้าส่วน เจ้ากล้าพูดมากจริงๆ ตอนที่ซีซีแต่งงานดับเจ้า ขบวนสู่ขอที่ยาวเป็นสิบลี้ นั่นมันเงินเท่าไหร่ บ้านไร่ และร้านค้ามากเท่าไร พวกเจ้าโลภมากจริงๆ"จ้านเป่ยว่างจับจดหมายที่ถูกจับจนไม่เป็นท่าในมือแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ข้าบอกแล้ว พวกเจ้าสามารถไปฟ้องร้องได้ ข้าได้เตรียมจดหมายหย่าแล้ว และจะมอบให้พวกเจ้าอ่านก่อน!"เขาส่งสัญญาณให้พ่อบ้านส่งจดหมายหย่า และซ่งซีซีก็เอื้อมมือไปรับพ่อบ้านถอนหายใจเงียบๆ แล้วก้าวถอยหลังไป ฮูหยิงใจดีขนาดนั้น ทำไมต้องหย่ากับนางด้วยเล่า?ซ่งซีซีอ่านดูจดหมายหย่าสักพัก แล้วพบว่าเป็นเขาที่เขียนเองจริงๆ ปีที่ผ่านมานี้นางได้รับจดหมายจากเขามาบ้าง เลยจำลายมือของเขาได้จดหมายหย่านั้นเรียบง่ายมาก แค่กล่าวถึงความอกตัญญูและความอิจฉาริษยาของนางเพียงสั้นๆ และสุดท้ายก็ขออวยพรให้นางได้พบกับคนที่ใช่อีกครั้ง"หวังว่าต่อไปท
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง
ก่อนจะไปยังหนานเจียง ข้าไม่เคยมีแผนการใดในชีวิต ไม่มีเป้าหมาย ไม่เคยมีสิ่งใดที่อยากทำเป็นพิเศษเมื่อยึดหนานเจียงกลับคืนมาแล้วเดินทางกลับสู่เมืองหลวง เสียงโห่ร้องยินดีจากราษฎรทำให้ข้ารู้สึกว่า หากมนุษย์ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายไปวันๆ เช่นนั้นจะไม่สูญเปล่าหรือ?ข้าจึงเริ่มครุ่นคิดถึงความหมายของชีวิตจากการติดตามย่างก้าวของซีซี ข้าก็ได้ทำสิ่งต่างๆ มากมาย ตั้งแต่โรงงานช่างไปจนถึงสถาบันการศึกษาหย่าจวินหญิงมากหลายล้วนประสบชะตาน่าเวทนา และข้ามีความสามารถที่จะช่วยพวกนางได้ ข้าคิดว่า นี่คงเป็นหนึ่งในความหมายของชีวิตว่าเป็น “หนึ่ง” ก็หมายความว่ายังอาจมี “สอง” และ “สาม” ตามมาได้มิใช่ข้าจะโอ้อวดตนเอง แต่เนื้อแท้ของข้าคือคนที่ชังความชั่วโดยสันดานดังนั้น เมื่อได้ยินว่ามีฆาตกรฆ่าคนจำนวนมาก แต่กลับลอยนวลเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ ไม่อาจเอาผิดได้ ข้าย่อมโกรธเคืองนัก ข้าเห็นว่า คนฆ่าย่อมต้องชดใช้ด้วยชีวิตแรกเริ่ม ข้าไม่ได้กระทำการอันใดหุนหันพลันแล่น เพียงแต่เดินตามแนวทางของสำนักเขตจิงจ้าว สืบสาวเรื่องราวต่อไป และส่งมอบหลักฐานที่ได้มาให้แก่เจ้ากรมแห่งสำนักเขตจิงจ้าวจนกระทั่งข้าได้พบกับคดีหนึ่งที
ดอกเหมยบนภูเขาเหม่ยชานบานแล้ว ร่วงโรยแล้วเช่นกันในใจข้าย่อมอดเคืองนางไม่ได้ กลับบ้านไปแล้ว ก็จะทอดทิ้งพวกข้าด้วยหรือ? ไม่นึกถึงน้ำใจไมตรีที่มีต่อกันตลอดหลายปีมานี้เลยหรือ?เฉินเฉินก็ด่านางว่าไร้หัวใจ ไปก็แล้วไป ไยจึงไม่แม้แต่จะส่งจดหมายมาสักฉบับ?นานวันเข้าพวกข้าก็เลิกพูดถึงนางเสียเอง ราวกับว่าการไม่เอ่ยชื่อนางเลย คือการแก้แค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อผู้ละทิ้งพวกข้าต่างก็ตกลงกันไว้ว่า หากนางกลับมายังภูเขาเหม่ยชานอีกครั้ง ไม่ว่าใครก็จะไม่ไปพบนาง ไม่พูดกับนางสักคำ แม้นางจะให้คนส่งจดหมายมา ข้าก็จะไม่ตอบกลับ แม้แต่จะอ่านยังไม่อ่านวันเวลาผ่านไปกลางดาบคมและเงาเย็น พวกข้าทุกคนต่างฝึกฝนวิชาให้แกร่งกล้า ราวกับได้ตกลงกันไว้แล้วว่า หากยังไม่ตาย ก็จะฝึกจนสุดกำลังแม้ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา แต่ข้าย่อมรู้ว่าในใจของทุกคนคิดไม่ต่างกัน ย่อมไม่มีวันเป็น ‘นางที่ยิ้มแย้ม’ ได้อีกแล้ว เพราะเจ้าหวังห้าเล่าว่า ตั้งแต่นางจากเขาลงไป ท่านอาจารย์ก็ไม่เคยยิ้มอีกเลย มีแต่สีหน้าเคร่งเครียดทุกเมื่อเชื่อวันพวกข้าไม่รู้ว่านางประสบเรื่องราวใด แต่ข้าก็ฝึกฝนจนกล้าแข็ง เพียงรอวันที่นางต้องการข้า ดาบในมือย่อมพร้อมชักออกจา
เพียงแต่ ข้ากับซีซีพบกันแทบทุกวัน หากนางไม่มาหาข้าที่สถาบันชื่อเยียน ข้าก็จะไปหานางที่สำนักว่านซง ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงยังคงได้พบหวังเยว่จางอยู่เสมอทว่า ทุกคราที่เขาเห็นข้า ก็จะส่งสายตาเคียดแค้นมาให้ ราวกับข้าเป็นผู้ล่วงเกินเขากระนั้นครั้งหนึ่งข้าทนไม่ไหว เอ่ยถามเขาว่าจะมองเขม่นข้าไปถึงไหน เขากลับว่าข้าเป็นคนแพร่ข่าวลือ ว่าเขาไปเที่ยวหอนางโลมข้าก็โกรธแทบขาดใจ! เขาประพฤติเสียเอง ไม่รู้จักสำนึก กลับมาโทษคนที่บริสุทธิ์ ข้าไม่ได้แพร่ข่าวลือเสียหน่อย!ข้าแค่เล่าเรื่องนี้ให้สหายสนิทของข้าฟัง แล้วจะนับว่าแพร่ข่าวลือได้อย่างไร?ข้าโมโหจนต่อยเขาไปหนึ่งหมัด แล้วก็ประกาศตัดขาดกับเขาเสียเลยต่อมา ซีซีกลับบ้าน ข้าคิดว่าไม่นานนางก็คงกลับมาเช่นเคย แต่ครานี้ นางกลับหายไปเนิ่นนาน มิได้กลับสำนักภูเขาเหม่ยชานอีกเลยข้าไปที่สำนักว่านซงเพื่อถามหา แต่มิมีผู้ใดยอมปริปากแม้แต่คนเดียวด้วยความร้อนใจ ข้าคิดจะพาเฉินเฉินกับมันโถวออกเดินทางไปเมืองหลวงตามหานาง ก่อนออกเดินทาง หวังเยว่จางก็มาหาเราครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นเขามีสีหน้าเคร่งขรึม เขาบอกพวกเราว่า ซีซีมีเรื่องในบ้าน บิดาและพี่ชายล้วนเสียชีวิ
แต่จะว่าไปแล้ว สตรีเช่นข้า ก็เป็นที่โปรดปรานของบุรุษไม่น้อยที่ภูเขาเหม่ยชาน มีบุรุษมากมายชื่นชอบข้า เด็กหนุ่มวัยกำลังขึ้นหนวดอ่อนส่งจดหมายรักให้ข้าเขินๆ อายๆ ส่งมาครั้งแล้วครั้งเล่าข้าก็ไม่เคยเปิดดู ต่อหน้าพวกเขาก็ฉีกมันทิ้งเสียเลยในเมื่อยามนั้น ข้ายังไม่ได้เข้าใจตรรกะของคำปฏิญาณที่ตนตั้งไว้ดีนัก ในใจก็ยังมีคำว่า "ไม่แต่ง" ขวางอยู่เต็มอกข้าฉีกจดหมายรักต่อหน้าพวกเขา ข้ารู้ว่าตนโหดร้าย แต่ขอโทษเถิด ในเมื่อข้าคือสตรีที่ตั้งใจว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องรักใคร่ชั่วชีวิต ข้าย่อมต้องใจแข็ง ไม่ปล่อยให้พวกเขามีแม้แต่นิดเดียวของความหวังร้องไห้เสียในตอนนี้ ยังดีกว่าติดบ่วงในวันหน้า จนเจ็บปวดปานฉีกหัวใจแม้พวกเขาจะบอกหน้าตาเศร้าว่าให้ข้าช่วยส่งจดหมายรักให้ซ่งซีซีก็ตาม ข้าก็ไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อยหึๆ ยังไม่ทันได้เป็นบุรุษเต็มตัว ก็รู้จักใช้เล่ห์กลยั่วยวนหญิงเสียแล้วที่ภูเขาเหม่ยชาน เพื่อนเล่นที่ดีที่สุดของข้าก็คือพวกซีซี หมั่นโถว เฉินเฉิน และกุ้นเอ๋อร์อ้อ เคยมีอยู่ช่วงหนึ่ง ศิษย์พี่ใหญ่ของเฉินเฉินก็มาเล่นกับพวกเราด้วย แต่น่าเสียดาย ต่อมาเขาก็ลงเขาไปผดุงคุณธรรมเสียแล้ว แต่เฉินเฉินบ
ข้า...เสิ่นว่านจือคนดีคนเดิม ยังคงอยากจะบ่นอยู่ บ่นถึงบุรุษของข้าหวังเยว่จาง เจ้านี่ช่างสมกับเป็นบุตรของท่านฮูหยินผู้เฒ่าหวังเสียจริงก่อนแต่งงานเราก็ตกลงกันไว้ชัดเจนแล้วว่า ต่อแต่นี้ไปไม่ว่าข้าจะทำสิ่งใด เขาห้ามแทรกแซง ห้ามห้ามปราม และห้ามเข้าร่วมโดยเด็ดขาดผลสุดท้าย เพิ่งแต่งได้ปีเดียว เขาก็ฉีกสัญญาทิ้งหมดสิ้น จะทำด้วยทุกเรื่องตามข้าสิ่งที่ข้าทำนั้น เขาเกี่ยวข้องได้หรือ? ย่อมไม่ได้ สำนักว่านซงมีกฎเข้มงวด อีกทั้งยังมีอาจารย์อาผู้เหี้ยมโหดนั่งประจำอยู่ หากรู้ว่าข้าพาหวังเยว่จางไปตัดหัวคน เกรงว่าจะบดกระดูกข้าเป็นผุยผงไปแล้วแต่เขาว่า เดิมเขาก็เป็นคนในยุทธภพ คนในยุทธภพล้วนถือความสะใจเป็นใหญ่ ทั้งบุญคุณและความแค้น ไม่ว่าเป็นของผู้ใด ก็ล้วนต้องตอบแทนอีกทั้งเราทำอย่างลับๆ สถาบันว่านซงเหมินย่อมไม่รู้เรื่องแต่พี่ห้า ท่านเข้าสังกัดกรมกลาโหมไปแล้วนะ ท่านก็เป็นขุนนางแล้ว จะยังพูดเรื่องยุทธภพสะใจล้างแค้นอะไรอีกเล่า?สิ่งที่ข้าทำ แม้แต่ซ่งซีซีก็ยังไม่รู้ทั้งหมด หรือหากนางรู้ นางก็คงเลือกที่จะปิดหูปิดตาเสีย เพราะว่ามันขัดแย้งกับสถานะ เข้าใจหรือไม่?ข้า...เสิ่นว่านจือ ไม่ย่างกรายเข้าสู่
บางครั้งข้าก็สอนศิษย์ทั้งหลายให้กล้าเผชิญหน้ากับชีวิต กล้าเผชิญหน้ากับความผิดพลาด แต่ตัวข้าเองกลับมิอาจกระทำได้เช่นนั้นหลายปีมานี้ ข้าแทบไม่ได้พบหน้าเขาเลย หากรู้ว่าเขาจะไปที่ใด ข้าย่อมหลีกเลี่ยงไม่ไปเมื่อครั้งที่ข้ายังดื้อดึงอยู่ เคยถูกพี่สะใภ้ตำหนิว่าข้ายังติดหนี้เจ้าสิบเอ็ดฝางอยู่ แต่ในใจข้ากลับไม่ยอมรับนัก ยังรู้สึกน้อยใจอยู่บ้างแต่ตอนนี้เมื่อคิดย้อนกลับไป ข้าน้อยใจไปเพื่ออะไรเล่า? ใครเป็นคนที่ติดหนี้ข้ากัน? ฟ้าดินเมตตาข้าไม่มากพอแล้วหรือ? ทุกสิ่งล้วนเป็นผลจากการกระทำของข้าเองทั้งสิ้นหลายครา ข้าเปิดกระดาษเขียนจดหมาย ตั้งใจจะเขียนถึงเขาเพื่อขอขมาจากใจจริงแต่ยามจับพู่กันลงหมึก พอหมึกหยดลงกระดาษกลับเขียนไม่ออกแม้แต่คำเดียวข้ากลัวว่าจดหมายขอขมานั้นจะดูแปลกประหลาดเกินไป ทำให้ภรรยาของเขาระแวง หรือแม้แต่ทำให้จ้านเป่ยว่างคิดมากแม้ว่าตอนนี้ ข้ากับจ้านเป่ยว่างจะมิได้เป็นสามีภรรยากันจริงๆ แล้วก็ตาม แต่ข้าก็ไม่ต้องการทำลายความสงบเช่นนี้ระหว่างนั้น จ้านเป่ยว่างเคยกลับมาสองสามครั้ง อาจเพราะเห็นกองกระดาษที่ถูกขยำทิ้งในห้องหนังสือของข้า เขาจึงสั่งให้เตรียมเหล้าหนึ่งเหยือก กับกับข้า
ข้ามาอยู่ชายแดนเฉิงหลิงได้หนึ่งเดือนแล้ว ก็กำลังครุ่นคิดว่าจะทำสิ่งใดดีในนามแล้ว ข้าคือภรรยาของจ้านเป่ยว่าง ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรากลับมีน้อยนัก เขามักพำนักอยู่ในค่ายทหาร มีเพียงบางครั้งที่กลับมามองข้าสองสามตาด้วยเหตุนี้ ข้าจึงมีเวลาว่างมากมาย พอจะทำกิจการเล็กๆ ได้ชายแดนเฉิงหลิงนั้นต่างจากที่ข้าคาดไว้เล็กน้อย เดิมทีข้าคิดว่าดินแดนชายขอบย่อมแร้นแค้น ขาดแคลนสิ่งของ แต่เหนือความคาดหมาย ที่นี่แทบจะมีทุกอย่างขาย ยกเว้นเพียงเครื่องประดับล้ำค่าและผ้าไหมชั้นดีจากแคว้นสู่เท่านั้นสิ่งเหล่านี้ก็หาใช่ว่าไม่มีไม่ เพียงแต่ว่าหลังจากพ่อค้าเดินทางนำมาถึงแล้ว ก็มักเก็บไว้รอส่งไปขายแก่พวกขุนนางมั่งคั่งในซีจิงชาวบ้านที่ชายแดนเฉิงหลิงซื้อเครื่องประดับเพียงเพื่อความสวยงาม ไม่ได้ใส่ใจว่าล้ำค่าหรือไม่ข้ากำลังตรองว่าจะค้าขายสิ่งใดดี เพียงแต่ไม่ว่าคิดจะค้าขายอะไร สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือต้องซื้อร้านก่อนมิใช่หรือ?ดังนั้น ข้าจึงพาบ่าวชายและสาวใช้เดินไปตามตรอกซอกซอย ค้นหาร้านค้าที่เหมาะสมการมาครั้งนี้ พี่สะใภ้ใหญ่ให้เงินติดตัวข้ามาด้วย พี่สะใภ้รองกับว่านจือก็ให้มาบ้าง รวมกับเงินที่ข้าเก็บไว้เอง ที
นายท่านป๋ออันถูกหวังเยว่จางเหน็บแนมอยู่ไม่น้อย ท้ายที่สุดก็ยอมปล่อยเส้าหมิ่นออกมา ให้เส้าหมิ่นไปขอความเห็นใจ ถึงได้ช่วยชีวิตคุณชายเส้าเอาไว้เรื่องราวคลี่คลาย พวกเขาก็กล่าวขอบคุณหวังเยว่จางอย่างสุดซึ้ง แม้จะรู้ว่าถูกจงใจบีบไว้ แต่จะทำเช่นไรได้เล่า ใครใช้ให้บุตรชายของตนประพฤติผิด ไร้คุณธรรม ถูกจับได้คาหนังคาเขาเล่า?เส้าหมิ่นรู้ว่ามารดาของตนเคยกลั่นแกล้งเสี่ยวอวี่ เขาจึงอดทนไว้ก่อน รอจนแต่งงานแล้วจึงกล่าวขอแยกเรือนทันทีเขามิได้ทะเลาะกับทางบ้าน เพราะราชสำนักแคว้นซางสอบคุณธรรมข้าราชการเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณธรรมแห่งความกตัญญู หากมีตราบาปว่าอกตัญญู วันหน้าอย่าหวังจะยืนหยัดในวงราชการเหตุผลที่เขาขอแยกเรือนก็สมเหตุสมผล กล่าวว่าสำคัญต่ออนาคต การสอบใกล้เข้ามาแล้ว คนในเรือนมากเกินไปย่อมรบกวนสมาธิ หากแยกเรือนไปจะได้เตรียมสอบอย่างสงบเพราะเขาเป็นบุตรที่กตัญญูมาโดยตลอด อีกทั้งฮูหยินเส้าเพิ่งก่อเรื่องใหญ่ขึ้นมา รู้ดีว่าเบื้องหลังของหวังจืออวี่มั่นคงนัก จึงมิได้ขัดขวางมากนัก อนุญาตให้พวกเขาแยกเรือนไปเรื่องนี้ถูกจัดการอย่างเงียบเชียบ มิได้ก่อผลกระทบอันใด ไม่มีผู้ใดเอ่ยคำซุบซิบนินทาเด