หลังจากที่รับลิลิธเป็นพวกแล้ว พวกกรก็เริ่มออกเดินทางกลับเมืองหลวงในทันที ซึ่งก็ถือว่าโชคดีไม่น้อย ที่เวลามาของขบวนรถม้าในรอบต่อไปคืออีก 30 นาทีพอดี พอพวกกรไปบอกลาเถ้าแก่ที่รู้จักกับเรเชลแล้ว พวกกรก็ไปรอขึ้นรถม้าต่อในทันที ในระหว่างการเดินทาง พวกกรทุกคนต่างก็ไม่มีอะไรทำ ได้แต่นั่งมองวิวทิวทัศน์นอกตัวรถม้า โดยตำแหน่งที่นั่งแบ่งเป็นสองซีก คือ กร มีอา เมอร์ลิน และซาช่า กับอีกฟากคือ ชาลอต เรเชลและลิลิธ อนึ่ง เนื่องด้วยเป็นเพราะขนาดรถม้าที่บรรทุกได้แค่ 8 คนต่อเล่มเกวียน และจำนวนคนเดินทางไปเมืองหลวงในครั้งนี้ มีเพียง 12 คนเท่านั้น พวกกรเลยได้ยึดเกวียนหนึ่งเล่มเป็นของพวกตนไปโดยปริยาย (แม้จะต้องติดสินบนเล็กๆน้อยๆก็ตามที)〝 เฮ้อ! สุดท้ายก็ไม่ได้พักจนได้แฮะ 〞กรพูดขึ้นมาเพื่อทำลายความเงียบ และเพราะเห็นว่าทุกคนยังวางตัวกันไม่ถูกเมื่อลิลิธมาร่วมก๊กด้วย〝 ดีแล้วไม่ใช่รึไง ฉันไม่อยากพักอยู่ในเมืองแบบนั้นหรอกนะ... อ๊ะ! แต่ไม่ได้หมายความว่าที่พักของเถ้าแก่ไม่ดีหรอกนะ 〞เมอร์ลินตอบกลับกรในทันทีเพราะอ่านบรรยากาศออก แต่ก็เพราะพูดมากเกินไปเลยตอบเป็นเชิงขอโทษเรเชล〝 ไม่หรอ
หลังจากที่นอนหลับอย่างเต็มอิ่ม พวกเราก็ลงไปกินข้าวเช้า อาบน้ำ ทำกิจวัตรตามที่เคยทำ...ทั้งที่เมื่อวานวางแผนไว้ว่าจะไปหาคุณโรนี่ก่อนแท้ๆเชียว แต่สุดท้ายก็เลื่อนมาวันนี้แทนจนได้... ก็ทุกคนเพิ่งกลับมาจากการเดินทางนี่นา...จะชาลอตหรือซาช่า... มีอาก็ด้วย พอนอนเตียงปุ๊บก็หลับปุ๋ยไปเลยพูดถึงเรื่องนอน ดูเหมือนลิลิธจะไม่จำเป็นต้องนอน ก็ใช้ชีวิตได้ต่อเนื่องถึงหนึ่งสัปดาห์ในสภาพเต็มร้อยเลยหล่ะนะ... แต่เอาเถอะสุดท้ายพอเห็นคนอื่นนอน เธอเองก็อดนอนไม่ได้เหมือนกันนั่นแหล่ะแล้วจากที่วางแผนไว้... พอไปหาคุณโรนี่เสร็จ แผนต่อไปก็คือ การหาเบาะแส... และที่เราเล็งไว้คือ พวกทหารส่วนพระองค์นี่แหล่ะคุณโรนี่เคยพูดไว้ว่าไม่ควรไปแตะต้องซุ่มซี่ซุ่มห้า เพราะคนร้ายที่ชักใยจะไหวตัวทัน...แต่ถ้าเราดึงข้อมูลมาได้โดยที่พวกทหารไม่รู้ตัวได้ มันก็เป็นอีกเรื่องนึง...ก่อนที่จะออกจากห้องก็เลยบ่งทีมแยกกันไปหาข้อมูลอ่ะนะลิลิธไปกับชาลอต... เมอร์ลินไปกับซาช่า ก็แหงหล่ะ จะให้ซาช่ากับลิลิธไปด้วยกันตอนนี้มันยังเร็วเกินไปนี่นา...แล้วสุดท้ายก็คือ เรากับมีอา...ดันเจี้ยนที่อยู่รอบๆเมืองหลวง ซึ่งเป็นที่เกิดเหตุก็มีอยู่ราวๆ 10 จาก 1
〝 มาสาย! 〞 พอกรมาถึงห้องพักก็เป็นเวลา 4 โมงครึ่ง... เมอร์ลินที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนขอบเตียงจึงได้กอดอกและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด นั่นเพราะเวลานัดจริงๆคือ 30 นาทีที่แล้วนั่นเอง... กรและมีอาที่รู้ว่าตัวเองมาสายจึงรีบขอโทษทันที〝 ขะ ขอโทษทีเมอร์ลิน 〞〝 ขอโทษนะเมอร์ลิน! 〞 กรที่พูดอย่างเหนื่อยหอบ และมีอาที่ขอโทษพลางโค้งตัว... เมื่อเห็นภาพแบบนั้นเมอร์ลินที่ยังคงขมวดคิ้วกอดอกอยู่ก็เริ่มใจเย็นลง และถอนหายใจออกมาราวกับเปลี่ยนอารมณ์ พร้อมๆกับสายตาแบบแปลกๆของชาลอต ซาช่าและลิลิตที่มองมาทางพวกกร... และในขณะที่กรกำลังคิดว่าเมอร์ลินและสาวๆทุกคนโกรธเพราะกรมาสาย เมอร์ลินก็เริ่มเกริ่นขึ้นมา นั่นจึงทำให้กรตระหนักได้ว่าพวกเธอไม่ได้โมโหกรเรื่องนั้น...〝 รู้อะไรไหม... ระบบปาร์ตี้หน่ะ มันทำให้รู้ตำแหน่งของทุกคนในปาร์ตี้ด้วยนะ... เหมือนกับเรดาร์นั่นแหล่ะ? 〞〝 เอ๋? 〞กรและมีอาเบิกตาขึ้นมาพร้อมกัน เมื่อได้ยินเมอร์ลินพูดแบบนั้นออกมา... ทั้งสองคนมองหน้ากันอย่างเก้อเขินด้วยเรื่องที่ร่วมกันมาเมื่อ 2 ชั่วโมงที่แล้ว... แล้วพอคิดตามที่เมอร์ลินบอก กรและมีอาก
*คำเตือน ภายในตอนมีฉากกระทบกระเทือนอารมณ์บุคคลที่มีอายุน้อยกว่า 18 ปีหรืออารมณ์และจิตใจอ่อนไหวง่าย ไม่ควรอ่านครับ❖❖❖❖❖〝 ขอนอนต่ออีกซักนิดเถอะนะ… 〞ฉันพูดแบบนั้นแล้วก็กลับไปนอนขดตัวอีกครั้งส่วนชาลอต… เมดประจำตัวของฉัน พอเห็นท่าทีไม่สนใจของฉันก็ทำแก้มป่องออกมาแหม่ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สนใจซักหน่อย แต่ขออีกแค่ 5 นาทีก็ยังดีน่า อย่างอนไปเลยนะคนดี...〝 นาย! ท่าน! ค่ะ! 〞ชาลอตตะโกนแบบนั้นออกมาก่อนจะเดินเข้าไปทางกรและดึงผ้าห่มออก〝 วุ้ย! ใจร้ายชะมัดเลยอ่ะชาลอต 〞กรพูดสวนขึ้นมา พร้อมกับลุกจากเตียงมายืนกอดตัวเองโดยที่แกล้งตัวสั่นจากความหนาวไปด้วย〝 ขอทีเถอะค่ะนายท่าน! ที่ฉันทำก็เพื่อนายท่านนะคะ 〞〝 แต่จู่ๆ มาดึงผ้าห่มออกไปมันก็หนาวนะครับผม 〞กรพูดแบบนั้นทั้งที่ยังเดินเนื้อตัวสั่นๆ แล้วก็ไปปิดหน้าต่างที่เปิดอยู่ลงเสีย แต่ชาลอตที่อยู่ใกล้ๆก็กลับถอยหายใจออกมาอีกครั้งเสียอย่างงั้น〝 พูดเป็นเล่นนะคะ... นายท่านสวมอาภรณ์เวทย์ตอนนอนอยู่ตลอดไม่ใช่เหรอ? แล้วจะไปหนาวได้ยังไงกันคะ 〞อา... ยัยชาลอต ทำลายข้ออ้างในการนอนของฉันไปอีกแล้วไหมหล่ะแหม แต่ก็อย่างว่าหล่ะนะ... เพราะเห็นอย่างงี้ แต่ตอนที่อยู่โรงเร
〝 แก... ยังไม่หายไปอีกเหรอ? 〞 กรที่แม้จะยังสับสน แต่ก็ถามตัวเขาเองอีกคนซึ่งยืนอยู่ตรงข้ามออกไปในทันที ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยแรงอาฆาต เมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟันทั้งน้ำตานั้นของกร ตัวกรสีขาวดำก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจ ก่อนจะตอบกร〝 น่าเสียดายนะ ฉันเป็นคนละคนกับตอนทศกัณฑ์ 〞〝 .....แกเป็นใคร .....ต้องการอะไร 〞เมื่อไม่ได้คำตอบ กรจึงยังคงถามต่อ นั่นทำให้ตัวกรอีกคนหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะพูด〝 นั่นสินะ ก่อนอื่นเรียกฉันว่า『ความมืด』ก็แล้วกัน... ส่วนที่เหลือถึงอยากจะบอกแต่ก็บอกไม่ได้ซะด้วย เอางี้แล้วกัน! ถ้าเล่นด้วยกันอีกซักหน่อย ฉันจะใบ้ให้บ้างก็แล้วกัน... 〞〝 เล่น? 〞 กรถามย้ำเพราะไม่เข้าใจ นั่นทำให้ตัวกรอีกคน... ความมืดยิ้มออกมาอย่างน่ารังเกียจ และนั่นเองที่ทำให้กรเข้าใจ ว่าไอ้ความมืดนี่... ต้องการ『เล่น』ด้วยการส่งเขาลงสู่ลูปนรกนั่นอีกครั้งนั่นเอง เมื่อคิดได้เช่นนั้น กรก็รู้สึกเย็นวูบขึ้นที่หลังในทันที... แต่ก็ยังพยายามทำใจเย็นแล้วก็เช็ดน้ำตาออก ก่อนจะพูดต่อ〝 โทษทีหว่ะ... ฉันไม่ติดกับมุกเดิมเป็นหนที่สองหรอก... ในเมื่อรู้วิธีการแล้วกมันก
หลังจากที่กรตื่นนอนพร้อมกับพวกสาวๆ กรพยายามวางตัวและทำกิจวัตรตามปกติเหมือนที่เคยเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเธอ ชาลอตและซาช่ายังไม่ได้สังเกตกร... คงมีเพียงมีอากับเมอร์ลินที่รู้จักกรมานานที่สุด และลิลิธที่เห็นพลังเวทย์ในตัวกรเปลี่ยนไปเท่านั้นกระมั้งที่สังเกตเห็น❖❖❖❖❖ หลังจากนั้นพวกกรที่เตรียมตัวพร้อมเก็บข้าวของเสร็จแล้ว ก็ลงไปเช็คเอาท์ที่ล็อบบี้โรงแรม〝 ฮ้าว... พี่ชาย อรุณสวัสดิ์ค่า 〞พีน่าที่กำลังจัดการสมุดบัญชีโรงแรมอยู่ ฮาวหวอดใหญ่ ทำให้กรยิ้มเจื่อนๆออกมา〝 เป็นสาวเป็นแซ่หน่ะนอนให้ตรงเวลาด้วยสิ... เอ้านี่กุญแจห้อง 〞〝 โถ่รู้แล้วหล่ะค่า... ก็ป๊ะป๋าไม่อยู่ช่วยงานเลยนี่นา 〞พีน่ารับกุญแจมาแล้วก็ลงข้อมูลปลีกย่อยในสมุดบัญชีด้วยท่าทีเหนื่อยๆก็แน่หล่ะ พ่อเธอเขาไปสืบคดีอยู่นี่นาแต่ดูท่าเรื่องนี้คาลอสจะไม่ได้เล่าให้ฟัง... ก็แน่หล่ะ ใครจะอยากดึงลูกตัวเองมาเกี่ยวด้วยกันหล่ะ〝 อ้อ! แล้วก็พี่ชาย... พอไปถึงโรงแรมสาขาคาลิโอน่า ถ้าออกตอนนี้คิดว่าคงไปถึงประมาณเที่ยงหล่ะนะ... พอถึงแล้วก็ไปบอกชื่อกับพนักงานได้เลย หนูจะเตรียมห้องแบบเดียวกันไว้ให้ที่นั่นนะคะ 〞〝 หืม? บอกเหรอ? เมือง
หลังจากที่กรหลับหรือสลบไป เวลาก็ผ่านไปเกือบ 21 ชั่วโมง ตอนนี้เป็นเวลา 11 นาฬิกาของอีกวัน... กรลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ ราวกับเครื่องจักรที่กำลังวอร์มอัพเครื่อง ทันทีที่กรตื่นขึ้นมา เขาก็พบว่าด้านขวาของเขามีมีอากำลังนอนอยู่ข้างๆและกำลังบีบเสื้อของกรไว้แน่น ส่วนด้านซ้ายไม่มีเมอร์ลินทั้งที่ปกติเป็นที่ของเธอ กลับกันแล้ว... ข้างๆเตียงมีชาลอตและซาช่านั่งกับพื้น โดยใช้พื้นที่ว่างของเมอร์ลินนั้นเป็นที่ฟุบอยู่ ส่วนลิลิธ เธอกำลังนั่งกอดอกอยู่บนเก้าอี้ใกล้กับพวกชาลอต เห็นได้ชัดเลยว่าทั้งสี่คนอยู่ดูอาการกรมาตลอดตั้งแต่ที่กรหลับไปอย่างกะทันหันนั่น แล้วที่หลับไปนี่คงจะเพิ่งไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าเองกระมั้ง ลิลิธที่นั่งผงกหัวอยู่แบบนั้นเป็นหลักฐานได้อย่างดี... ในขณะที่กรคิดแบบนั้น มีอาก็เริ่มตื่นขึ้นจากนิทรา〝 กร... กร!!! 〞มีอาที่กำลังสลึมสลือ พอเห็นว่ากรได้สติจนถึงขั้นชันตัวเองขึ้นมานั่งเองได้แล้ว ก็โผเข้าไปกอดรัดคอของกรอย่างแนบแน่นในทันที〝 ฮึก! ฉัน... ฉันนึกว่านายจะไม่ตื่นขึ้นมาแล้วซะอีก 〞มีอาพูดแบบนั้นโดยที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาในอ้อมอกของก
หลังจากที่ได้ยินว่าเจนนี่ถูกลักพาตัว กรก็พาทั้งสองคนเข้ามาสงบสติในห้องเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนแขกท่านอื่น〝 ช่วยบอกรายละเอียดมาที? 〞หลังจากที่จับไมน์กับรีเบคก้านั่งเก้าอี้ กรที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็ถามออกมาโดยที่ทำใจและท่าทางให้นิ่งสงบไว้อยู่〝 คือว่าก่อนหน้านี้ครึ่งชั่วโมง เจนนี่เค้าบอกจะออกไปซื้อของแปปนึงหน่ะค่ะ แต่ไม่เห็นกลับมาซักที... 〞ไมน์พูดออกมาด้วยท่าทีกระหืดกระหอบ รีเบคก้าเลยรับช่วงต่อพร้อมกับหยิบกระดาษแผ่นนึงออกมาด้วย〝 แล้วตอนที่กำลังจะออกไปตามหา ก็เจอเจ้านี่วางอยู่หน้าห้องพักหน่ะค่ะ 〞รีเบคก้าพูดจบก็ยื่นมันให้กับกร พร้อมกับสาวๆที่อยู่ด้านหลังกรได้ขยับเข้ามาใกล้เพื่อดูมันด้วย แล้วกรก็เริ่มอ่านข้อความนั้นในใจ....เพื่อนของพวกเธออยู่กับพวกเราถ้าไม่อยากให้ยัยนี่เป็นอะไรหล่ะก็ เข้ามาใน『ถ้ำหินออบซิเดียน』แค่สองคนซะ…เนื้อหาประมาณนี้แหล่ะ แถมอีกฝ่ายไม่ได้เรียกร้องอะไรเลยด้วย ไม่น่าจะใช่การเรียกค่าไถ่...บอกตรงๆนะ... นี่มันกับดักชัดเลยๆกะล่อทั้งสองคนเข้าไปหาเฉยๆเลยนี่หว่า เป้าหมายคงเป็นทั้งสามคนนั่นแหล่ะหรือว่า... คนร้ายเป็นพวกเดียวกับที่จัดการคุณแมซอืม... เป็นไปไ
“ ทุกคนคะ... ความรัก คืออะไรเหรอคะ? ”“ “ “ เอ๋!? ” ” ” สิ่งที่เฮเลน่าถามออกมากลางห้องรับรองเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนหันมามองเป็นสายตาเดียวกัน แต่กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้หญิงสาวผู้ไร้อารมณ์คนนี้ตื่นตระหนก แม้จะมีคนมากถึง 18 คนจ้องเธออยู่ ในมือที่ถือทั้งดินสอและสมุดบันทึกเล่มเล็กเองก็ไม่มีแต่การสั่นไหว อนึ่ง... เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ฟลอร่ากับยูมิน่าลากตัวกรออกไปประมาณ 2 ชม. เห็นจะได้“ เห... ทำไมจู่ ๆ ถึงสนใจเรื่องนั้นกันล่ะ ” คนที่แสดงความสนใจเป็นคนแรกอย่างออกนอกหน้าคือเมอร์ลินเจ้าเดิม เธอที่อ่านหนังสือมาตลอดถึงกับปิดหนังสือในมือแล้วหันมาถามเฮเลน่าอย่างจริงจัง“ ฉันแค่ทำตามคำสั่งของมาสเตอร์เท่านั้นค่ะ ” เฮเลน่าตอบกลับในทันทีอย่างที่ทุกคนคาด แน่นอนว่าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เหมือนกับที่เป็นมาตลอด “จงตามหาความหมายในการใช้ชีวิตของตัวเอง” คำพูดของกรที่เป็นคำสั่งเพียงหนึ่งเดียวซึ่งมอบให้กับเฮเลน่า ในวันที่เฮเลน่าถูกปลดปล่อยจากพันธะทั้งปวงและเป็นอิสระ ทุกคนเองก็อยู่ที่นั่นจึงเข้าใจแม้ไม่ต้องเอ่ยปาก“ แล้ว? ” เมอร์ลินถามย้ำคล้ายกับกำลังสอบปากคำ แต่ในอี
หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นมาตลอดสองวัน(เรื่องที่เจนนี่ ไมน์และรีเบคก้าสุดท้ายก็ตอบตกลงคบกับกรในที่สุด) จนทำให้สถานการณ์ความปั่นป่วนของสาว ๆ รอบตัวกรลดน้อยลงไปครึ่งนึง ...ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ“ “ “ ยินดีด้วย!!! ” ” ” เสียงโห่ร้องแสดงความยินดีดังก้องไปทั่วทั้งบาร์ของโรงแรมอิกดราซิล มาจากเสียงของเหล่านักผจญภัยรวมถึงเพื่อนพ้องของกร ...ส่งไปยังเด็กสาว 3 คนที่กำลังยืนเด่นเป็นสง่ากลางร้าน ประกอบด้วยเจนนี่(ในร่างของเบลนด้า อัลบา) ไมน์และรีเบคก้า ที่กำลังน่าแดงก่ำเพราะความอาย“ พอเถอะน่า มันน่าอายนะ ”“ แหม ๆ เรื่องน่ายินดีแบบนี้ไม่ใช่เรื่องน่าอายซักหน่อยนะฮ้า! ” คาลอสเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งเสียง วี๊ดวิ้ว! คล้ายกับจะกลั่นแกล้งสาว ๆ ที่กำลังบิดตัวไปมาด้วยความเขินอาย กรเห็นแบบนั้นก็เริ่มจะทนไม่ไหวจนต้องก้าวเข้ามาขัดจังหวะ“ เอาล่ะ ๆ แค่พอหอมปากหอมคอก็พอแล้ว... งานเลี้ยงจบแล้ว แยกย้าย ๆ ” กรพูดตัดบทพร้อมกับเดินเข้าไปกลางวงทั้งสามคนก่อนจะดันหลังทั้งสามให้ออกมาจากจุดรวมสายตา กระนั้นก็ไม่วายถูกทุกคนล้อในเชิงประมาณว่า “หึงด้วยเว้ย” ไ
“ แม้นโกรธาราวสิขานล แต่สิ่งที่ผู้อื่นยลต้องเป็นเหมันต์ ”นั่นคือคติประจำตระกูลของฉัน... มีความหมายว่า ต่อให้รู้สึกอย่างไรก็จงแสดงออกมาเสมือนว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้นอย่าให้ใครรู้ว่าโกรธ... อย่าให้ใครรู้ว่ากำลังเศร้า... อย่าให้ใครรู้ว่ากำลังดีใจ...นั่นแหล่ะคือความหมายของมัน และยังเป็น... คุณสมบัติสำคัญขององครักษ์ที่ควรมีสำหรับฉันที่เกิดมาก็ได้รับหน้าที่นั้นเป็นเหมือนชนักติดตัว ถึงจะคิดว่าลำบากก็เถอะแต่ตอนนี้ก็ชินไปแล้วและสิ่งที่ทำให้ฉันสามารถทำมันได้ ก็เพราะรอยยิ้มของคนที่ฉันต้องปกป้อง... รอยยิ้มของไมน์เด็กคนนี้เหมือนกับทุ่งดอกไม้หลากสี ร่าเริงสดใส เริงระบำไปตามเสียงบรรเลงเพลงตามแต่สายลมจะพัดพา เป็นเด็กที่ชอบเรื่องสนุกสนาน ฉันถึงอยู่ด้วยไม่มีเบื่อ ถึงจะไม่แสดงออกก็เถอะเพราะยังไงการเก็บความรู้สึกสุขไว้ในใจไม่ให้แสดงออกมา มันง่ายกว่าการกักเก็บความทุกข์ไว้ในอกคนระดับเลยแต่ถึงคิดแบบนั้น เดิมทีตัวฉันก็ไม่ได้เป็นคนคิดอะไรมากอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเจอสถานการณ์แบบไหนก็พร้อมรับมือได้หมด และต่อให้ต้องสละชีวิตเพื่อปกป้องไมน์ก็ไม่รู้สึกเสียใจแม้แต่น้อยเพราะงั้นความรู้สึกทุกข์ใจจึงไม่ค่อยมี หรือไม่ก
ตั้งแต่ตอนเด็ก ตัวฉันที่เป็นเจ้าหญิงก็ได้แต่อยู่ในปราสาทตามคำบอกกล่าวของคุณพ่อแต่มันก็ไม่ได้แย่นักหรอก เพราะอย่างน้อยฉันก็มีเพื่อนเล่นอยู่ คน ๆ นั้นก็คือรีเบคก้าที่เป็นเพื่อนอายุเท่ากันของฉัน คอยดูแลและเล่นด้วยกันมาตลอดตั้งแต่ที่จำได้แล้วและสิ่งที่ใช้ฆ่าเวลาอีกอย่างคือ หนังสือนิทานในห้องสมุดสำหรับเด็กผู้หญิงอย่างฉัน นิทานทั้งหมดเต็มไปด้วยเรื่องราวที่ไม่เคยพบเคยเห็น โดยเฉพาะฉันที่ไม่เคยออกไปนอกตัวปราสาท เพราะแม้แต่การเดินทางฉันยังต้องปิดบังใบหน้าเอาไว้เลย แต่ตอนนั้นฉันยังเด็กถึงไม่รู้สึกว่าแปลกอะไรน่าตลกดี ที่สิ่งที่สอนให้ฉันรู้จักโลกภายนอกคือหนังสือเหล่านั้นที่อยู่ข้างกายมาตลอดความลึกลับอันน่าพิศวง มอนสเตอร์น่ากลัว ความงดงามของธรรมชาติ วิถีชีวิตของผู้คน เรื่องราวทั้งหมดที่ร้อยเรียงทำให้ฉันจินตนาการภาพฝันของโลกภายนอกไว้อย่างสวยงาม และหวังว่าซักวันจะได้ออกไปและในวันหนึ่ง ฉันก็ได้รู้จักอาชีพที่เรียกว่า ‘นักผจญภัย’อาชีพที่สามารถไปได้ทุกที่ที่อยากไป ทำได้ทุกสิ่งที่ต้องการ แสวงหาทุกสิ่งด้วยตัวเองกับพวกพ้องที่ไว้ใจได้แต่ถ้าจะว่ากันตามตรง เนื้อหาของมันก็ไม่ต่างจากนิทานทั่วไปที่มีพระเอ
ตั้งแต่ที่จำความได้ ตัวฉันก็ตระหนักได้แต่คุณค่าของตัวเอง ว่าเป็นแค่เครื่องมือฉันจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าคนที่คลอดฉันออกมาเป็นใครสิ่งเดียวที่จำได้ มีแต่ใบหน้าโกรธเกรี้ยวที่ใช้ฝึกหัดเฆี่ยนตี แปรเปลี่ยนเด็กสาวบริสุทธิ์ให้เป็นมือสังหารถูกกระทำเหมือนเป็นของเล่น... นอกจากจะช่วงชิงความบริสุทธิ์ในฐานะผู้หญิงของฉันไป ทั้งยังมอบคำสั่งมากมายที่ทำให้มือของฉันต้องเปื้อนเลือดตัวฉันในตอนนั้นไม่ได้ตระหนักว่ามันเป็นเรื่องแปลกแม้แต่น้อย ก็เครื่องมือมันคิดเองไม่ได้นี่นาก่อนที่จะได้เจอกับไมน์และรีเบคก้า...การได้ใช้ชีวิตแฝงตัวกับพวกเธอในฐานะผู้สังเกตการณ์จากภายในทำให้เราเริ่มซึมซับความคิดและความรู้สึกของพวกเธอเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆรอยยิ้มจอมปลอมเริ่มที่จะแปรเปลี่ยนเป็นของจริง สีหน้าที่ปั้นยิ้มกลายเป็นฉีกออกกว้างอย่างจริงใจ คนที่ทำให้ฉันตระหนักว่าตัวเองไม่ใช่เครื่องมือก็คือเพื่อนรักของฉันทั้งสองคนแต่ก็เป็นเวลาเดียวกับที่ฉันคิดว่า... มันสายไปแล้วถึงจะรู้ไปแล้วว่าทางที่ตัวเองเดินมาจนถึงตอนนี้เป็นทางที่ผิด แต่ในเมื่อมันเดินมาแล้วก็มีแต่ต้องทำใจ แต่เพราะทำใจไม่ได้ถึงได้ทรมานจนอยากหนีไปให้พ้น ๆฟางเส้นสุดท้าย
หลังจากที่คอร์ดิเรียเปิดเผยอดีตที่แสนทุกข์ทรมานของเธอให้พวกเราฟัง ทุกคนก็เข้าหาคอร์ดิเรียแบบเป็นกันเองมากขึ้นเยอะเลยทั้งนี้ก็คงเพราะว่าก่อนหน้านี้ทุกคนคงติดใจบุคลิกแปลก ๆ และทัศนคติของคอร์ดิเรียที่มีต่อฉันไม่ค่อยดีนั่นแหล่ะ แต่พอได้รู้สาเหตุก็เหมือนเคลียร์ปัญหาทางใจกันไปแล้วในตัวก็นะ ถ้าถามว่าสนิทกันมากขึ้นถึงขนาดไหนล่ะ... ตอนนี้คอร์ดิเรียเข้ามาเล่นไพ่ด้วยกันกับทุกคนแล้วล่ะหืม? เป็นพัฒนาการที่ช้าเกินไปงั้นเหรอ? ไม่ใช่แบบนั้นหรอก... ในมุมมองของฉัน นี่แหล่ะก้าวสำคัญของคอร์ดิเรีย แถมมีรอยยิ้มแบบที่ไม่เคยเห็นจากคอร์ดิเรียมาก่อนเป็นผลสะท้อน ดูยังไงคอร์ดิเรียก็ดีขึ้นแล้วแน่ ๆ (โล่งอกไปที)นั่นคือในส่วนของปัญหาส่วนตัวของพวกเรา... แต่หลังจากที่ผ่อนคลายกันทั้งกลุ่มก็ต้องมานั่งเลคเชอร์กัน เพราะวันพรุ่งนี้พวกเรา ‘ภาคีโต๊ะจัตุรัส’ ตั้งใจจะเปิดเผยข้อมูลที่มีในมือทั้งหมดร่วมกันในตอนแรกทุกคนก็กังวลอยู่หรอก เพราะนอกจากพี่มารีแล้วทุกคนระวังท่าทีของคนอื่นพอสมควร ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติแหล่ะนะแต่ถึงอย่างงั้นฉันก็ต้องการจะบอกความจริงให้ทุกคนรู้อยู่ดี อย่างที่เคยย้ำไปหลายรอบ ปัญหาที่มีผลกระทบกับทุกคนแบบ
ณ โถงทางเดินอันเงียบสงัดสร้างบรรยากาศขัดตา ด้วยความที่มีชายหญิง 21 คนกระจุกอยู่ในบริเวณเดียวกัน และสาเหตุของสถานการณ์ดังกล่าว คือหญิงสาวในชุดเดรสสีขาวลายลูกไม้ให้บรรยากาศคล้ายกับชุดของเจ้าหญิงในงานเต้นรำ เธอผู้ซึ่งมีเรือนผมสีฟ้าคราม จดจ้องนัยน์ตาสีแดงมายังชายหนุ่มที่เดินนำหน้าสุดถัดจากสาวรับใช้ในวัง ...คือคอร์ดิเรียที่กำลังกอดอกพิงกำแพง รอจังหวะที่กรและพรรคพวกจะเดินผ่าน ซึ่งแน่นอนว่านี่ไม่ใช่เหตุบังเอิญ〝 มีเรื่องจะคุยด้วยน่ะ มาด้วยกันหน่อยได้ไหม 〞 คอร์ดิเรียพูดแบบนั้นในขณะที่ส่งสายตาประหนึ่งอ้อนวอน นั่นเป็นสิ่งที่เธอยังไม่เคยแสดงออกมาต่อหน้าพวกกรเลยแม้แต่ครั้งเดียว นั่นจึงทำให้กรและสาว ๆ ขมวดคิ้วเข้าด้วยกันอย่างจริงจังกลับไป ส่วนสาวใช้ที่ยืนคั่นกลางระหว่างทั้งสองคนก็ได้แต่ยืนงงเป็นไก่ตาแตก ก่อนที่จะตั้งสติแล้วโค้งคำนับให้คอร์ดิเรียหนึ่งหนแล้วย่ำเท้าออกจากที่เกิดเหตุโดยพลัน ทำให้คนที่ยืนประจันหน้าอยู่กับคอร์ดิเรียมีเพียงพวกกรเท่านั้นถึงจะไม่รู้ว่าเรื่องอะไรก็เถอะ แต่แน่นอนอยู่แล้วว่าคำตอบก็คือ〝 ได้สิ... แน่นอนอยู่แล้ว 〞
ไข่ในหิน... ความหมายของมันคือ ของมีค่าที่ต้องทะนุถนอมแต่เคยสงสัยกันรึเปล่า ว่าถ้าเกิดไข่มันรู้ว่าตัวเองอยู่ในหินมันจะรู้สึกอึดอัด?ก็ไม่รู้หรอกนะว่าไข่จริง ๆ มันจะคิดยังไง แต่ถ้าเป็นความรู้สึกที่ถูกถนอมไว้ในหินล่ะก็ บอกเลยว่าตอนนี้ไม่มีใครเข้าใจไปมากกว่าฉันแล้วล่ะ เสียงในจิตใจของเด็กหนุ่มรำพึงขึ้นด้วยความสุขเพราะถูกโอบล้อมด้วยความอบอุ่น กระนั้นก็ไม่อาจเมินเฉยต่อสายตาที่ทิ่มแทงเข้ามาได้ สัมผัสในตอนนี้หากจะให้เปรียบก็คงคล้ายกับรสหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้าทว่ากลับมีรสอมขมติดลิ้นเล็ก ๆ นั่นคือเด็กหนุ่มผู้กำลังนั่งอยู่บนโซฟาในห้องที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้ในปราสาทของอาณาจักรซีทนัลทา โดยห้องดังกล่าวมีลักษณะคล้ายกับเป็นห้องประชุมเล็ก ๆ ที่มีโซฟาขนาดใหญ่หลายตัวล้อมเป็นวงกลม พร้อมกับมีโต๊ะเล็กไว้สำหรับวางเครื่องดื่มตั้งอยู่ด้านหน้าของแต่ละตัว แต่แม้จะบอกว่ามีโซฟาและโต๊ะหลายตัว กระนั้นการจัดเรียงก็ถูกแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่หันหน้าเข้าหากันในลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมด้านเท่า เป็นการแบ่งชัดเจนว่าจะมีฝ่ายสนทนาอยู่ถึง 4 ฝ่ายด้วยกัน และแน่นอนว่าประเด็นสำคัญก็คือภายในห้อ
เอาล่ะ หลังจากนี้จะเอายังไงดี หลังจากที่เผยเจตนาของตัวเองที่มีต่อเสือ กรก็เบนสติของตัวเองมาเฝ้าระวังบอสมอนสเตอร์อันมีความแข็งแกร่งในระดับเดียวกับหรือมากกว่าบอสมหาดันเจี้ยนที่เคยเจอมา ดวงตาสีแดงที่จดจ้องลงมา พร้อมด้วยรูปร่างสูงใหญ่คล้ายกับสัตว์อสูรทะเลหลายอย่างรวมกันเป็นที่สุดแห่งความน่าพรั่นพรึงของท้องทะเล และนามของราชาแห่งท้องทะเลตัวนี้ที่แสดงเมื่อกรใช้ออร่าสีเหลืองตรวจสอบคือ ‘อัลติเมท คราเคน’ (Ultimate Kraken) เป็นนามอันย้ำเตือนถึงความเด็ดขาดในความแข็งแกร่งจากในตำนานก๊าซซซซซซ!!!!!!! สัตว์ประหลาดร่างสูงใหญ่ราว 50 เมตรนามคราเคนคำรามก้องท้องฟ้าส่งแรงสะเทือนที่ทำเอาทั้งร่างสั่นสะท้าน เสียงนั้นดังกึกก้องไปถึงอีกฟากของโพ้นทะเล พร้อมกับเปรยตามองลงด้านล่างราวกับเย้ยหยันกรกับเสือที่ตั้งท่าตั้งรับด้วยแขนที่สั่นเล็กน้อย ทั้งเพราะแรงสะเทือนของเสียงคำรามและความหวาดกลัวพลังไม่เหลือพอจะใช้ท่าที่รุนแรงอย่าง Armageddon Spectrum ได้แถมจะให้เปิดใช้ Endless Spectrum Throne ก็ไม่รู้อีกว่ามันจะมีผลกระทบกับทุกคนไปด้วยรึเปล่าตอนนี้ที่ทำได้คงต้องใช้ออร่าที่เหลือยื