ต่อมา หวังเทียนเฟิงและซูชิงเอ๋อร์เดินเข้ามาที่หนานหูกรุ๊ปด้วยกัน ก่อนจะเดินไปหาหวังยีต๋าคุณลุงที่ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโครงการของหนานหูกรุ๊ปห้องทำงานประธานของหนานหูกรุ๊ปอยู่ที่ชั้นที่ 66 ของตึกใหญ่ หลินเซียวทำตามเนื้อหาข้อความของเหลิ่งซวง ขึ้นลิฟต์ตรงมาถึงชั้นที่ 66 ของตึกใหญ่เลยเมื่อประตูลิฟต์เปิดออก หลินเซียนก็เห็นสาวสวยหน้าตาดี รูปร่างผอมเพรียวหน้าอกอวบอิ่มและบุคลิกท่าทางเด่นสง่ายืนอยู่ที่หน้าประตูลิฟต์สาวสวยคนนี้ก็คือชู๋ยู่หยาน รองประธานหนานหูกรุ๊ปเหลิ่งซวงได้บอกกล่าวกับชู๋ยู่หยานรองประธานของหนานหูกรุ๊ปไว้แล้วตั้งแต่เมื่อคืน ตัวตนของประธานคนใหม่ต้องเก็บเป็นความลับ อย่าให้พนักงงานของบริษัทรู้ตัวตนของเขาเด็ดขาด ดังนั้น พนักงานทุกคนที่อยู่บนชั้น 66 ได้ถูกย้ายไปทำงานอยู่ที่ชั้นอื่นแล้วในวันนี้มีเพียงชู๋ยู่หยานคนเดียวที่มารอต้อนรับการมาถึงของประธานบริษัทคนใหม่และเธอได้มายืนคอยอยู่ที่หน้าประตูลิฟต์นานแล้วเมื่อซู๋ยู่หยานเห็นหลินเซียวเดินออกมาจากลิฟต์ก็ตกตะลึงอ้าปากอย่างอดไม่ได้เธอจะไปคิดได้ที่ไหนกันล่ะว่าประธานคนใหม่ของหนานหูกรุ๊ปกลับเป็นลูกเขยเศษสวะของตระกูลซูที่มีชื่อเสี
“เรื่องแรกสำหรับการดำเนินงานตามปกติของหนานหูกรุ๊ป จะไม่มีการเปลี่ยนโครงสร้างของพนักงานที่มีอยู่ในตอนนี้ ตัวตนของผม คุณต้องปิดเป็นความลับ อย่าให้ใครรู้เป็นอันขาด ปกติผมไม่ค่อยมาที่บริษัท ดังนั้น เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ในบริษัทให้คุณมีสิทธิ์จัดการได้เต็มที่”“ได้ค่ะ ประธานหลิน ฉันไม่ทำให้ท่านผิดหวังอย่างแน่นอนค่ะ” ชู๋ยู่หยานไม่คิดว่าหลินเซียวรับตำแหน่งวันแรกก็ให้สิทธิ์เธอมากขนาดนี้ จึงดีใจเป็นที่สุด“เรื่องที่สอง หนานหูกรุ๊ปหยุดร่วมมือทุกอย่างกับหนานหูและตระกูลซูในทันที” หลินเซียวพูดขึ้นต่อชู๋ยู่หยานได้ยินหลินเซียวพูดเช่นนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ก่อนจะถามขึ้นอย่างประหลาดใจว่า: “ตระกูลซู? ประธานหลินคะ ท่านหมายถึงตระกูลซูของภรรยาท่านใช่ไหมคะ?”“ใช่”“โอเคค่ะ ฉันจะไปดำเนินการเดี๋ยวนี้ค่ะ” ชู๋ยู่หยานสงสัยมากว่าทำไมหลินเซียวถึงตัดขาดความร่วมมือระหว่างหนานหูกรุ๊ปกับตระกูลซู แต่ประสบการณ์ในทำงานหลายปีบอกเธอว่าควรทำตามคำสั่งและอะไรไม่ควรถามก็อย่าถาม“เรื่องที่สาม ผู้อำนวยการโครงการของบริษัทเรานามสกุลหวังใช่ไหม? หลินเซียวอยากจะจัดการคุณลุงของหวังเทียนเฟิง แต่กังวลว่าจะทำร้ายผิดคน ก็เลยสอบถา
โดยปกติหากมีธุระอะไรก็จะให้เลขาแจ้งหวังยีต๋าให้มาหาเสียมากกว่า“หวังยีต๋า ฉันจะมาแจ้งคุณด้วยตัวเองว่าคุณโดนบริษัทเลิกจ้างแล้วล่ะ” ชู๋ยู่หยานไม่อ้อมค้อม พูดขึ้นด้วยสีหน้านิ่งเฉยและเย็นชาราวน้ำแข็งหวังยีต๋าได้ยินที่ซู๋ยู่หยานพูด มันเหมือนกับการโดนฟ้าผ่า เกือบจะล้มทั้งงยืน รีบยื่นมือไปค้ำขอบโต๊ะทำงานที่อยู่ตรงหน้าพอหวังเทียนเฟิงและซูชิงเอ๋อร์ได้ยินก็พากันตกใจอ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่“ชู๋…..ประธานชู๋……ทำไมบริษัทต้องเลิกจ้างผมด้วย? เรื่อง…..เรื่องนี้ยังไงก็ต้องมีเหตุผลไหมครับ!” หวังเทียนเฟิงจ้องชู๋ยู่หยานเขม็ง ก่อนถามขึ้นอย่างสั่นเทา“นี่เป็นคำสั่งของประธานบริษัทคนใหม่ เชิญคุณออกจากบริษัทตอนนี้เลยค่ะ” ชู๋ยู่หยานพูดขึ้น“ประธานบริษัทคนใหม่? ประธานบริษัทเป็นใครกัน? วันนี้เขาเพิ่งดำรงตำแหน่ง แล้วจะมาเลิกจ้างผมได้ยังไง?” หวังยีต๋าพูดขึ้นอย่างตื่นตระหนกและเป็นกังวล“ท่านประธานให้ฉันบอกคุณว่าเหตุผลที่เลิกจ้างคุณมีอยู่สองอย่าง อย่างแรกคุณได้เซ็นสัญญาฉบับหนึ่งกับตระกูลซู อย่างที่สอง หวังเทียนเฟิงของตระกูลหวังของพวกคุณไปล่วงเกินคนที่เขาไม่ควรล่วงเกิน” ชู๋ยูหยานพูดขึ้น
“ก่อนนี้ผมเคยบอกคุณแล้วว่าตัวตนของผมที่หนานหูกรุ๊ปต้องปกปิดเป็นความลับ รวมถึงภรรยาของผมด้วย คุณก็แค่ทำตามที่ผมบอก” หลินเซียวพูดขึ้น“ฉันจะไปดำเนินการเดี๋ยวนี้ค่ะ” ชู๋ยุ่หยานพูดขึ้น“ระหว่างที่เธอดำรงตำแหน่ง โครงการของหนานหูกรุ๊ปตัดสินใจโดยเธอทั้งหมด แต่คุณต้องบอกให้เธอรู้ว่าเธอไม่มีสิทธิ์ร่วมมือกับตระกูลซู หากต้องการร่วมมือกับตระกูลซู จำเป็นต้องส่งการขออนุญาตมาที่ห้องทำงานของประธานก่อน”เมื่อคืนวานหลินเซียวป่าวประกาศที่คฤหาสน์ตระกูลซูว่าต่อไปนี้อย่ามาขอให้เขาและซูหว่านเอ๋อร์ช่วย ตอนนั้นคนตระกูลซูต่างหัวเราะเย้ยหยันและไล่เขาไสหัวออกไปจากตระกูลซูมาวันนี้ เขาไล่หวังยีต๋าผู้อำนวยการโครงการออกโดยไม่ได้เตรียมการไว้ก่อน และให้ซูหว่านเอ๋อร์เข้ามารับตำแหน่งนี้พอดี แบบนี้ บริษัทที่เธอสร้างขึ้นมากับมือก็มีผลประโยชน์ตามมามากด้วยเช่นกันถึงตอนนั้น ซูหว่านเอ๋อร์ที่กุมสิทธิ์ในความร่วมมือทุกๆโครงการของหนานหูกรุ๊ปเอาไว้ในมือ หลินเซียวจะดูสิว่าตระกูลซูที่เลือกปฏิบัติพวกนั้นจะยอมโค้งคำนับและคุกเข่าขอร้องอ้อนวอนขอให้เธอร่วมมือยังไง“ได้ค่ะ ถึงเวลาเดี๋ยวฉันคุยกับประธานซูให้ค่ะ” ชู๋ยู่หยานพูดขึ้น“ร
ตระกูลหวังมีธรรมเนียมทางสังคมที่เข้มงวด ผู้อาวุโสสามารถสั่งสอนผู้อายุน้อยกว่าได้ แม้แต่การดุด่าและตบตีผู้อายุน้อยกว่า ผู้อายุน้อยกว่าก็ไม่กล้าดูหมิ่นและขัดขืนแม้แต่น้อย“แกยังกล้าบอกว่าไม่ได้ล่วงเกินอีกเหรอ? เมื่อกี้แกไม่ได้ยินเหตุผลที่ประธานชู๋ไล่ฉันออกหรือยังไง? ก็เพราะแกไปล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกินไง แกยังกล้าบอกว่าไม่ได้ทำอีกเหรอ?” หวังยีต๋าตวาด“ลุงรองคะ เทียนเฟิงอยู่กับหนูทุกวัน หนูเป็นพยานให้เขาได้นะคะ เขาไม่ได้ไปล่วงเกินใครเลยจริงๆ ค่ะ! เขาไม่ผิดนะคะ คุณลุงลองคิดดูว่ามีอะไรผิดพลาดตรงไหนหรือเปล่าคะ!” ซูชิงเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ พูดช่วยหวังเทียนเฟิงหวังเทียนเฟิงและซูชิงเอ๋อร์ไม่มีทางคิดได้ว่าคนที่พวกเขาล่วงเกินจะเป็นหลินเซียว!แม้ว่าพวกเขาทั้งสองจะล่วงเกินหลินเซียวไปทั้งเมื่อคืนวานและเมื่อช่วงสายของวันนี้ก็ตาม แต่พวกเขาไม่รู้สึกว่าเศษสวะคนหนึ่งจะมีอำนาจมากขนาดนี้ที่จะไล่หวังยีต๋าออกจากหนานหูกรุ๊ปได้เลยดังนั้น ทั้งสองก็ไม่ได้พูดเรื่องที่ไปมีเรื่องกับหลินเซียวออกมา“ตรงนี้ไม่มีที่ให้เธอพูด! ฉันโดนไล่ออกแล้ว ตระกูลซูของพวกเธอก็ไม่อาจผลักความรับผิดชอบได้! เมื่อกี้ไม่ได้ยินที่ประ
“อยากจะลงมือกับฉันใช่ไหม? มาสิ ทำไมไม่กล้าแล้วล่ะ!” หลินเซียวพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังหวังเทียนเฟิงในเวลานี้ยังจะกล้าพูดอะไรมากไปกว่านี้อีก เผชิญกับพลานุภาพอันทรงพลังของหลินเซียว กำแพงความกล้าในใจของเขาได้ทลายลงไปตั้งนานแล้ว แม้แต่หายใจเสียงดังก็ยังไม่กล้า“คิดจริงๆ หรือว่าฉันคนนี้ล่วงเกินได้ง่ายๆ แบบนี้! ถ้าเป็นเมื่อก่อนนะ พฤติกรรมแบบนี้ของพวกแกก็คงตายห่าไปตั้งนานแล้ว! ตอนนี้ฉันขี้เกียจใส่ใจกบในกะลาอย่างพวกแกก็แค่นั้น”เมื่อพูดจบ หลินเซียวก็สแกนปลดล็อกรถจักรยานสาธารณะ และปั่นจากไปอย่างสง่าผ่าเผยทิ้งไว้เพียงหวังเทียนเฟิงและซูชิงเอ๋อร์ที่ยืนเอ๋อและตื่นตระหนกตกใจมากเอาไว้“เทียนเฟิง คุณยังโอเคไหม!” ซูชิงเอ๋อร์รีบพยุงหวังเทียนเฟิงที่ตกใจกลัวจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่างขึ้นมา ก่อนจะถามขึ้นอย่างเป็นห่วง“ไม่ ไม่มีอะไร” หวังเทียนเฟิงตอนนี้ยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง“แววตาของไอ้ชั่วนั่นปานจะกินคน! ทำไมมันมีสีหน้าท่าทางแบบนี้นะ?” ตอนนี้ซูชิงเอ๋อร์ยังรู้สึกว่าหลินเซียวเมื่อครู่เหมือนกับปีศาจไม่มีผิด“ใช่เหรอ? เหมือนจะธรรมดานะ? เมื่อกี้ผมก็แค่ยืนไม่มั่นคงถึงได้ล้มไง ไม่งั้นนะผมต่อยมันฟันร่ว
“หว่านเอ๋อร์ คุณก็รู้ว่าใจของผมไม่ถือสาอดีตที่ผ่านมาของคุณเลยสักนิด คุณยอมแต่งงานกับผมไหมครับ?” หูหมิงหาวพูดขึ้นอีกครั้งทว่า หยางฮุ้ยฟางยังมีความกังวลใจอยู่เล็กน้อย เลยรีบพูดแทรกขึ้นว่า: “ถึงหว่านเอ๋อร์จะแต่งงานกับไอ้ชั่วนั่นแล้ว แต่พวกเขายังไม่ได้หลับนอนด้วยกันนะ ตอนนี้หว่านเอ๋อร์ยังเป็นสาวพรหมจรรย์อยู่”“คุณแม่! พูดเรื่องพวกนี้ทำไมคะ!” ซูหว่านเอ๋อร์พูดขึ้นอย่างลนลานและอับอาย“ฉันพูดเรื่องจริงน่ะสิ มีปัญหาอะไรไหม?” หยางฮุ้ยฟางพูดขึ้น“อย่าพูดต่อไปมากกว่านี้เลยนะ หลินเซียวรับปากฉันแล้วว่าวันที่ 30 ที่จะถึงนี้เขาจะจัดงานแต่งที่ยิ่งใหญ่อลังการให้กับฉัน และฉันก็เชื่อใจเขาค่ะ!” ซูหว่านเอ๋อร์พูด“แกโดนมันวางยาแล้วใช่ไหม ถึงเชื่อคำพูดโป้ปดของมันได้! เศษสวะที่ไม่มีแม้งานที่เป็นหลักแหล่งจะจัดงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่อลังการให้แกได้ไง! มันหลอกแกทั้งนั้น!” หยางฮุ้ยฟางพูด“ถึงเขาจะไม่ได้รวย ฉันก็ไม่ทิ้งเขาไปอยู่ดี! ฉันไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ ขอแค่เขาดีกับฉันอย่างสุดหัวใจก็พอแล้ว! พวกคุณอย่าพูดอีกเลยค่ะ!” ความอดทนของซูหว่านเอ๋อร์หมดลงคำพูดของซูหว่านเอ๋อร์ทำให้หลินเซียวเข้าใจทัศนคติและความแน่วแ
หยางฮุ้ยฟางและซูหว่านเอ๋อร์เห็นหลินเซียวลงมือในทันใดต่างก็ตกตะลึง“แกทำอะไรน่ะ….รีบ รีบปล่อยเดี๋ยวนี้นะ!” หูหมิงหาวเจ็บจนหน้ายู่เข้าหากัน“นี่แกหูหนวกหรือไง? หว่านเอ๋อร์พูดแล้ว เธอไม่ตอบตกลงแก หากแกยังตอแยเมียฉันอีก ฉันก็ไม่เกรงใจที่จะหักขาแกหรอกนะ!” หลินเซียวพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบแม้แต่ซูหว่านเอ๋อร์ก็เพิ่งจะเคยเห็นหลินเซียวมีพละกำลังแบบนี้ กล้าแม้แต่ลงมือกับหูหมิงหาว“แก ไอ้เศษสวะชาติชั่ว กล้าลงมือกับคุณชายหู แกอยากตายแล้วใช่ไหม! รีบปล่อยอุ้งเท้าของแกออกซะ!” หยางฮุ้ยฟางตะคอกออกในทันทีทั้งที่ยังไม่ทันหายตะลึง“ถึงได้พูดไงผมก็เป็นสามีของหว่านเอ๋อร์นะ คุณแม่ไม่เข้าข้างผมเลย แต่ไปเข้าข้างคนอื่นเหรอ?” แน่นอนว่าหลินเซียวโกรธบ้างแล้ว“คุณชายหูเป็นลูกเขยที่ฉันต้องการต่างหากล่ะ ส่วนแก ไม่คู่ควรกับหว่านเอ๋อร์แม้แต่น้อย รีบขอโทษคุณชายหูเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นละก็แกต้องโดนดีแน่!” หยางฮุ้ยฟางพูดใจของหลินเซียวจมดิ่ง ถ้าหากตัวเองใช้กำปั้นจัดการไอ้ชั่วหูหมิงหาวนี่ เหมือนจะไม่มีความหมายอะไร ก็เลยต้องปล่อยมือออกไปหยางฮุ้ยฟางและหูหมิงหาวที่ยืนอยู่ข้างๆ ต่างคิดว่าหลินเซียวถูกตัวตนของหูหมิงหาวทำใ