ร้านเฟยเจินเปิดบริการมาได้หนึ่งเดือนแล้ว เป็นระยะเวลาที่ค่อนข้างยุ่งวุ่นวายมากสำหรับไป๋ฟางเซียน เนื่องจากร้านเพิ่งเปิดใหม่ แม้ทุกอย่างภายในร้านจะถูกจัดการไว้อย่างดีแล้ว ทว่าลูกจ้างร้านมีเพียงสี่คนเท่านั้น สี่คนกับผู้คนจำนวนมากที่ให้ความสนใจร้านของนางนั้น มันเทียบกันไม่ได้เลย นี่ทำให้นางเข้ามาดูร้านของตนเองทุกวัน บางครั้งถึงกระทั่งไม่มีเวลาแม้แต่จะกลับจวนก็ต้องนอนที่ร้านแทนที่บอกว่าไป๋ฟางเซียนยุ่งมาก ๆ ก็เพราะนางต้องออกแบบชุด เจรจาทางด้านการค้า ตรวจสอบบัญชีรายวัน และที่หนักและรับมือยากที่สุดก็คือ อารมณ์ของลูกค้า ลูกค้าบางท่านที่มาถึงร้านเฟยเจินเพราะต้องการอาภรณ์แบบใหม่ เมื่อไม่ได้กลับไปจึงมีอารมณ์ให้พวกนางต้องรับหน้ามากน้อยต่างกันไป ด้วยความที่ร้านเฟยเจินมีอาภรณ์และลวดลายแบบใหม่ ที่ไม่เคยมีร้านค้าใดในเมืองหลวง หรือกระทั่งทั้งแคว้นเคยมีมาก่อน ผู้คนย่อมต้องสนใจมากเป็นธรรมดา ยิ่งเสียงชื่นชมเล่าลือเกี่ยวกับร้านของนางเมื่อวันเปิดร้านมากเท่าไร คนยิ่งให้ความสนใจมากเท่านั้น ชุดอาภรณ์สำเร็จที่นางกำหนดขายแค่ยี่สิบชุดต่อเดือนนั้น หมดตั้งแต่วันแรกที่เปิดร้านเลยทีเดียวร้านของนางได้รับความนิยมมาก
“ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร จะไม่รับผิดชอบหรือ”“ใช่ ๆ ทำไมถึงไม่รับผิดชอบ หน็อย... ชื่อเสียงร้านก็ดี ร้านหรือก็ใหญ่โต ไม่คิดเลยว่าร้านเฟยเจินจะมีการกระทำชั่วช้าเช่นนี้”“เป็นแบบนี้ข้าคงไม่เข้าแล้ว กลัวถูกหลอกตา ย้อมแมวขาย”“ดูแม่นางคนนี้สิน่าสงสารยิ่งนัก อาภรณ์ที่ได้รับมาหรือก็ไม่เรียบร้อย พอนำกลับมาที่ร้านกลับถูกปฏิเสธไม่ยอมรับผิดชอบใด ๆ เจ้าของร้านอยู่ที่ใดเล่า ออกมาคุยบ้างสิ ไม่ใช่ปล่อยให้ลูกจ้างร้านรับหน้าเช่นนี้”“ใช่ ๆ นางพูดนักพูดหนาว่าร้านนางดีอย่างนั้นอย่างนี้ เหอะ ครานี้เป็นเช่นไร มีคนกล้าเปิดโปงการกระทำไร้ยางอายของนาง นางไม่เห็นออกมาชี้แจงแถลงไขบ้าง”“นั่นสิ ข้าก็คิดเช่นเจ้า”“ปัดโธ่เอ๊ย! ที่แท้ฮูหยินเอกของท่านแม่ทัพก็มีนิสัยเช่นนี้ ทำสิ่งใดผิดก็ไม่ยอมรับผิดชอบ ข้าจะไม่เข้าร้านนางอีกต่อไป!”“ข้าด้วย! ข้าด้วย! ชุดอาภรณ์แบบใหม่แล้วอย่างไร ในเมื่องานไม่ได้คุณภาพเช่นนี้ ซ้ำเจ้าของยังไม่รับผิดชอบ เหตุใดจึงต้องสนับสนุนต่อกัน”เสียงโหวกเหวกโวยวายอยู่หน้าร้านเฟยเจินทำให้ไป๋ฟางเซียนขมวดคิ้ว ด้วยไม่เข้าใจสถานการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น นางไปกินข้าวเช้าที่โรงเตี๊ยมมา ไม่ถึงชั่วยาม ครั้นกลั
หลี่เหวินหลางก้าวเท้าเข้ามาในวงสนทนาอย่างองอาจ อกผายไหล่ผึ่งใบหน้าเชิดขึ้นเป็นองศา ความน่าเกรงขามแผ่กระจายออกมาจากตัวผู้เป็นแม่ทัพของแคว้น ทำให้ฝูงชนที่เสียงดังในคราแรกเริ่มเบาบางลง บางคนถึงกระทั่งเดินปลีกตัวออกไป หลี่เหวินหลางปรายตามองผู้คนทั้งหมดก่อนมาหยุดที่ร่างของภรรยา แล้วจึงมองโจวเฟิ่งจิ่วที่มองมาที่ตนด้วยสายตาเศร้าสร้อย ท่วงท่ากิริยาที่แสดงออกดูน่าสงสารยิ่ง เขาย่นหัวคิ้วเล็กน้อยก่อนถามขึ้นอีกครั้ง“ว่าเช่นไร ข้าถามไยจึงไม่มีผู้ใดตอบ เกิดสิ่งใดขึ้นกัน เหตุใดคนจึงได้มากมาย มาออกันที่หน้าร้านของภรรยาข้าเช่นนี้”คำว่าภรรยาที่ออกจากปากหลี่เหวินหลางพาให้โจวเฟิ่งจิ่วสั่นสะท้านในทรวงอก นางรู้สึกร้อนรุ่มและปวดร้าวในคราวเดียวกัน เขาพูดออกมาได้เช่นไร คำพูดที่ดูเป็นธรรมชาติเช่นนี้ไม่ทำร้ายนางเกินไปหน่อยหรือ หรือว่าเขามิเห็นว่านางยืนอยู่ตรงนี้ สองมือเล็กกำเข้าหากันแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อนางก็ยังไม่รู้สึกรู้สา ดวงตาฉายความร้าวรานให้เห็นแต่ผู้เป็นแม่ทัพกลับไม่ได้สนใจขณะที่โจวเฟิ่งจิ่วกำลังเสียใจเพราะคำเรียกขานที่หลี่เหวินหลางใช้เรียกภรรยาตนเองนั้น ไป๋ฟางเซียนกลับลอบกลอกตามองบนที่ถูกเขาเรียกว่
“คารวะอันใดกัน คนกันเองทั้งนั้น ว่าแต่มีปัญหาใดเล่าเจ้าจึงเรียกให้ข้าลงมาเช่นนี้ ใช่ว่าเจ้าก็จัดการได้หรือ” ฮูหยินผู้ตรวจการยิ้มละไมเอ่ยปากถาม เหตุใดนางจะไม่รู้ว่าสตรีน้อยตรงหน้าเก่งกาจแค่ไหน หลังจากที่ร้านเฟยเจินเปิดให้บริการ นางก็มาใช้บริการร้านเป็นประจำ เรียกได้ว่านางมาแทบทุกวันเลยก็ว่าได้ กระทั่งได้สิทธิเป็นแขกพิเศษคนแรกของทางร้าน จึงทำให้นางได้สนทนากับสตรีตรงหน้าอยู่บ่อย ๆ ทำให้พอรู้นิสัยใจคอของกันและกันอยู่บ้าง เป็นเช่นนี้นางจะไม่รู้ได้เช่นไรว่าปัญหาที่เกิดเพียงเล็กน้อยนี้ สตรีที่อยู่ตรงหน้าจะแก้ไม่ได้ ขนาดเรื่องของนางสับสนอลหม่านยิ่งกว่ายังได้ความฉลาดหลักแหลมของไป๋ฟางเซียนช่วยชี้แจงและแนะนำเลย ดังนั้นกับปัญหาที่เกิดขึ้นนี้หากว่าไป๋ฟางเซียนแก้ไม่ได้มิใช่ว่าเป็นเรื่องตลกหรือ และนี่จึงเป็นเหตุที่ทำให้นางถามอีกฝ่ายอย่างหยอกเย้า“ข้าเพียงเชิญท่านมาเป็นสักขีพยานให้ข้าเท่านั้นเจ้าค่ะ”“เช่นนั้นก็เชิญเถิด ข้าจะเป็นพยานให้เอง” จบคำพูดของฮูหยินผู้ตรวจการ สตรีเจ้าปัญหาก็ยิ่งตื่นตระหนก โจวเฟิ่งจิ่วก็รู้สึกขัดใจเช่นกัน ไม่คิดว่าศัตรูหัวใจจะรู้จักฮูหยินผู้ตรวจการที่เขาว่ากันว่าตงฉินนักหนาผู้
“เจ้าคิดว่าแค่ขอโทษแล้วทุกอย่างจะหายไปหรือ ก่อนหน้าเป็นข้าที่โดนต่อว่า และตอนนี้ก็นานมาแล้วไม่รู้ว่าคำเล่าลือกับเหตุการณ์นี้ไปถึงไหนต่อไหนแล้วบ้าง เจ้าคิดว่าเพียงขอโทษแล้วทุกอย่างจะจบเช่นนั้นหรือ ข้าพูดแล้วใช่หรือไม่ ว่าข้าจะเอาเรื่องคนที่หาเรื่องร้านของข้าให้ถึงที่สุด”“ฮูหยินแม่ทัพโปรดเมตตาข้าเถอะเจ้าค่ะ ข้าก็เป็นเหยื่อเช่นกัน ข้าขออภัยที่มาสร้างความวุ่นวาย หลังจากนี้ข้าจะไม่ทำอีกเจ้าค่ะ”“คิดสร้างเรื่อง พอทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่คิดก็คิดจะหลบหลีกเข้ากลีบเมฆกระนั้นหรือ เจ้าคิดน้อยไปหรือไม่”“ฮูหยิน” สตรีนางนั้นเอ่ยเสียงค่อย มองมาที่นางอย่างอ้อนวอนแต่ไป๋ฟางเซียนไม่คิดใจอ่อน นางต้องการเชือดไก่ให้ลิงดู วันข้างหน้าจะได้ไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก“ข้าจะไม่แจ้งความเอาเรื่องเจ้า เพียงแต่ว่าเจ้าต้องจ่ายค่าเสียหายให้ข้า ดูจากลักษณะการแต่งตัวของเจ้าแล้วคงมิใช่คนลำบากยากแค้น ดังนั้นคงมีตำลึงเงินตำลึงทองจ่ายค่าเสียหายข้าอยู่กระมัง” จริงอย่างที่ไป๋ฟางเซียนพูด เพราะสตรีที่มาสร้างเรื่องผู้นี้ไม่ใช่สาวใช้หรือชาวบ้านทั่วไป แต่นางเป็นบุตรสาวของร้านขายผ้าร้านหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของร้านเฟยเจิ
“เอ่อ ท่านแม่ทัพยังไม่กลับหรือเจ้าคะ” จื่อถิงถามขึ้นด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นว่าหลี่เหวินหลางเดินเข้ามาภายในร้าน“ภรรยาอยู่ที่ไหนสามีย่อมอยู่ที่นั่น” คำตอบของเขาทำให้สตรีทั้งสองที่เข้ามาในร้านก่อนหน้าบิดตัวเขินอายกับคำพูดนั้น ทั้งยังต่างคิดว่าไป๋ฟางเซียนโชคดีที่ได้ครอบครองบุรุษที่ดีพร้อมเช่นเขาเป็นสามี ต่างจากจื่อถิงที่ยืนเป็นบื้อใบ้ไม่รู้ต้องทำเช่นไร เพราะยังตกตะลึงกับประโยคดังกล่าว“ภรรยาข้าอยู่ที่ชั้นสามใช่หรือไม่”“เจ้าค่ะ คุณหนูกำลังเจรจาเรื่องอาภรณ์ชุดใหม่ที่ฮูหยินผู้ตรวจการต้องการสั่งตัดเป็นพิเศษ ตอนนี้อยู่ที่ห้องรับรองเจ้าค่ะ”“เจ้าไปเอาน้ำชามาให้ข้าที ข้าจะรอเซียนเซียนที่ห้องทำงาน” หลี่เหวินหลางพยักหน้ารับคำ พร้อมบอกกล่าวในสิ่งที่ตนต้องการ จากนั้นก็เดินปลีกตัวขึ้นชั้นสามไปทันทีจื่อถิงไม่รู้ว่าควรตกใจกับคำเรียกขานที่ท่านแม่ทัพเรียกคุณหนูของตนว่า ‘เซียนเซียน’ หรือจะตกใจที่เขาบอกว่าจะเข้าไปรอที่ห้องทำงานก่อนดี กว่าจะตั้งสติได้ แม่ทัพหนุ่มก็เดินหายขึ้นชั้นสามไปแล้ว นางจึงรีบไปจัดการชงชา และถือชุดน้ำชาพร้อมของว่างที่กินคู่กันขึ้นชั้นสามไป โดยใช้ระยะเวลาไม่ห่างกันมากนักทันทีที่หล
“ท่านพ่อให้คนเรียกหาข้ามีอันใดหรือเจ้าคะ” แม้นางจะไม่พอใจและอารมณ์ไม่ดีที่ถูกตาม แต่ก็รู้ว่าควรทำตัวเช่นใดกับบิดาของนางผู้นี้“เจ้าไปไหนมา”“ข้าหรือเจ้าคะ”“ใช่ เจ้าไปที่ไหนมา” แม้น้ำเสียงจะราบเรียบแต่สายตาต่างไปที่มองมานั้น ทำให้โจวเฟิ่งจิ่วรู้ได้ทันทีว่าบิดากำลังไม่พอใจ“ข้าไปร้านเฟยเจินมาเจ้าค่ะ” นางตอบออกไปตามความจริง ก่อนจะได้ยินบิดาสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างระงับอารมณ์“เจ้าไปที่นั่นทำไม”เจอคำถามนี้โจวเฟิ่งจิ่วก็ไม่พูดสิ่งใดออกมา นางเพียงก้มหน้าเท่านั้น เสนาบดีโจวเหลียงเกาเห็นผู้เป็นบุตรสาวไม่ตอบก็ยิ่งโกรธ“ข้าถามว่าเจ้าไปที่นั่นทำไม!” เสียงตะคอกด้วยความโกรธเกรี้ยวที่นางไม่เคยได้ยินดังขึ้นจนสะดุ้ง นางมองไปที่บิดาด้วยท่าทางตื่นตระหนกก็เห็นว่าบิดาของตนมองมาด้วยสายตาแววตาโกรธเคืองเช่นกันหาใช่เพียงน้ำเสียงที่โกรธไม่“ท่านพ่อ...” นางเรียกบิดาเสียงสั่นแต่เสนาบดีโจไม่สนใจ“ข้าบอกเจ้าแล้วใช่หรือไม่ว่าให้เก็บตัวอยู่ในเรือน แล้วนี่เป็นอย่างไร คำสั่งของข้าไม่มีความหมายแล้วหรือ เจ้าจึงไม่เชื่อฟังข้า!”“ท่านพ่อ ข้าเปล่านะเจ้าคะ”“เปล่าอันใด ถ้าเจ้าเปล่าเจ้าจะไปโผล่ที่ร้านเฟยเจินหรือ ข้าบอกแล้วใ
เหตุการณ์ของผู้อื่นเป็นเช่นใดไป๋ฟางเซียนหาได้รับรู้และสนใจไม่ นางรู้แค่ว่าสถานการณ์ของนางตอนนี้นับว่าดีมาก เพราะเมื่อวานหลังจากปัญหาต่าง ๆ ถูกสะสางและพิสูจน์ออกมาแล้ว เสียงเล่าลือสัญลักษณ์รายละเอียดของร้านเฟยเจินก็กระจายออกไปพร้อมกับชื่อเสียงของทางร้านที่เพิ่มขึ้น แน่นอนว่าย่อมเป็นชื่อเสียงในทางที่ดี ผู้คนที่ได้รับชุดอาภรณ์จากทางร้านล้วนค้นหาสัญลักษณ์ดังกล่าวที่นางบอก และเมื่อเจอต่างก็เอามาพูดคุยโอ้อวดกัน ถามว่าเจ้าเห็นหรือไม่ สัญลักษณ์นั้นงดงามมาก ไม่คิดเลยว่าฮูหยินของท่านแม่ทัพจะคิดและสร้างสรรค์ออกมาได้ ทว่านางคงจะมีความสุขมากกว่านี้หากไม่มีคำพูดที่ว่า ‘ฮูหยินของท่านแม่ทัพ’เฮ้อ! แต่นางจะทำสิ่งใดได้เล่าก็แต่งกันไปแล้วนี่นา จะหย่าก็ยังหย่าไม่ได้ ทั้งเวลาที่ผ่านมาตัวของไป๋ฟางเซียนก็เคยเกริ่นไว้กับผู้มีอุปการคุณทั้งสอง โจวเหวินชิง และ เหลียนฮวา ว่า นางกับหลี่เหวินหลางอาจไม่สามารถใช้ชีวิตคู่อยู่ร่วมกันได้ เนื่องจากต่างฝ่ายต่างไม่ได้รักกัน หากหย่าขาดกันหลังจากนี้นับว่าเป็นเรื่องดี คำพูดของนางและหน้าตาน่าสงสารรวมถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่นางยกขึ้นมากล่าวอ้างไม่ได้ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองเห็นใจ พว
ไป๋ฟางเซียนที่รับรู้ได้ถึงความเยือกเย็นเบื้องหลังจึงหันกลับไปมอง ก็พบเห็นสามีของตนใบหน้าเขียวคล้ำสลับแดง เขาหรี่ตามองราวกับคนกำลังจับผิด สายตาของเขาทำเอานางรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ เสียงลมหายใจหอบถี่ของผู้เป็นสามีทำให้นางเข้าใจได้ทันทีว่านางทำให้เขาไม่พอใจแล้ว ขณะที่กำลังจะเอื้อนเอ่ย ร่างของผู้เป็นสามีก็สะบัดชายอาภรณ์ตรงกลับไปยังห้องนอน ไป๋ฟางเซียนนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนจะผุดลุกตามไปขณะเดินไปยังห้องนอนของตน นางก็ขบคิดกับตนเองว่าจะง้องอนเขาเช่นไรดี เขาจึงจะหายจากท่าทางปั้นปึ่งเช่นนั้น แต่คิดไปคิดมาพลันนึกขึ้นได้ว่า ตัวนางเองไม่ได้ผิดอันใดเสียหน่อย คนที่มาหานางในวันนี้ล้วนเป็นสหายนางทั้งนั้น ให้ตายนางก็ไม่ยอมง้อเขาหรอกแน่นอนว่านั่นเป็นเพียงแค่ความคิด เพราะทันทีที่เข้ามาในห้องนอนเห็นสีหน้าปั้นปึ่งมองนางตาขวางด้วยแล้ว ไป๋ฟางเซียนก็รีบก้าวเท้าเดินไปเบื้องหน้าตรงเข้าหาเขาอย่างเร็วรี่ พลางลอบกลืนน้ำลายเงียบ ๆ “ท่านพี่เจ้าขา เหตุใดถึงทำหน้าเช่นนี้เล่าเจ้าคะ ประเดี๋ยวจะไม่หล่อเอานา” นางเอ่ยเสียงหวานหยอกเย้าเขา หวังให้เขาโต้แย้งเช่นทุกครั้ง แต่กลับได้ความเงียบตอบมาแทนดวงตากลมโตช้อนสายตาหวานขึ้นมองอ
หนึ่งเดือนผ่านไปนับจากวันที่ไป๋ฟางเซียนฟื้นขึ้นมา ทุกอย่างในชีวิตของนางและหลี่เหวินหลางก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ความรักของคนทั้งสองต่างผลิบานและสุกงอมเต็มที่ หลี่เหวินหลางกระทำอย่างปากว่า เขาไม่เคยปล่อยให้นางห่างจากตัวหรือห่างจากสายตาอีกเลย ไม่รู้เช่นกันว่าเขาไปทำเช่นไร จึงสามารถทำให้องค์ฮ่องเต้พระราชทานวันหยุดมาให้ถึงสองเดือนด้วยกัน ทว่าจะบอกว่าหยุดเลยก็คงไม่ถูกนัก เพราะระหว่างนี้หลี่เหวินหลางก็ต้องไปดูระเบียบในค่ายทหารเป็นครั้งคราวด้วยเช่นกัน กระนั้นเขาก็มีเวลาอยู่กับนางมากขึ้นอยู่ดี และนอกจากชีวิตของนางและเขาจะเปลี่ยนไปแล้ว ชีวิตของผู้อื่นก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกันยามนี้สาวใช้ตัวน้อยของนางและคนสนิทของหลี่เหวินหลาง จื่อถิงกับตงผิง ต่างก็กราบไหว้ฟ้าดินเป็นสามีภรรยากันแล้วทั้งคู่ ตลอดหนึ่งเดือนมานี้นางจึงไม่เห็นหน้าสาวใช้คนสนิทเลย แต่ก็เป็นนางอีกนั่นแหละที่ให้จื่อถิงหยุดและใช้ชีวิตคู่หลังแต่งงานบ้าง แน่นอนว่าคำของนางทำให้ตงผิงมีความสุขอย่างมาก เพราะถ้านางบอกให้จื่อถิงหยุด หลี่เหวินหลางก็จะบอกให้ตงผิงหยุดงานชั่วคราวเช่นเดียวกัน แต่นี่ก็ครบกำหนดเวลาที่นางให้ไปแล้ว คาดว่าไม่เกินสองวันนี้คงได้เห็นห
หลี่เหวินหลางกอดร่างบางแนบแน่น คางสากเกยไหล่มนของนางไว้พร่ำบอกแนบชิดริมหู จนคนป่วยที่เพิ่งฟื้นอดหัวเราะน้อย ๆ ไม่ได้ มือบางยกมือขึ้นโอบกอดบุรุษร่างโตด้วยความรู้สึกไม่ต่างกัน ความรู้สึกรักและห่วงหาทว่าดูเหมือนพวกเขาจะหลงลืมไปว่าในห้องนี้หาได้มีพวกเขาไม่ ยามนี้ทั้งท่านหมอชรา หลี่เหวินชิง เหลียนฮวา จื่อถิงและตงผิงต่างมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทำหน้าไม่ถูกกันแทบทั้งสิ้น ก่อนจะเป็นไป๋ฟางเซียนที่ตั้งสติได้ นางมีกิริยาเลิ่กลั่ก พยายามดันตัวตนเองออกจากอ้อมกอดของหลี่เหวินหลาง แต่เจ้าของอ้อมกอดแสนอบอุ่นหาได้ยินยอมไม่“เซียนเซียน พี่คิดถึงเจ้าเหลือเกิน คิดถึงเหลือเกิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าพี่กลัวมากเพียงใด กลัวว่าเจ้าจะจากพี่ไป กลัวว่าเจ้าจะไม่กลับมาหาพี่อีก พี่คิดไปต่าง ๆ นานา นอนก็ไม่เคยหลับ กินก็ไม่เคยอิ่ม ใจภวงคิดถึงเป็นกังวลแต่เรื่องของเจ้า เซียนเซียน ขอบคุณที่เจ้ากลับมาหาพี่ นับว่าการรอคอยที่แสนทรมานของพี่สิ้นสุดลงแล้ว ขอบคุณ ขอบคุณจริง ๆ”“เอ่อ ท่านปล่อยข้าก่อนดีไหมเจ้าคะ”“ไม่! จากนี้ไปพี่จะไม่ยอมห่างเจ้าอีกแล้ว ทั้งยังไม่ยอมให้เจ้าห่างสายตาจากพี่อีกด้วย”“ท่านพี่ ปล่อยข้าก่อนเถิดเจ้าค่ะ
“ข้าขอโทษ” น้ำเสียงแผ่วเบาเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างรู้สึกผิด เจ้าของร่างตัวจริงทำเพียงยิ้มรับ ก่อนจะส่ายหน้าช้า ๆ“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษ สุดท้ายแล้วข้าและเจ้าก็คือคนคนเดียวกัน เจ้าคิดว่าจะมีใครที่ไหนจะมีชื่อแซ่เดียวกับตนเองบ้างเล่า สิ่งที่เจ้าควรรู้คือ เจ้าคือข้า ข้าคือเจ้า ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด”“แต่ว่า...”“ตอนแรกข้าก็สงสัยเหมือนเจ้า ในยามที่ข้าตกตายเพราะจมน้ำ ข้าก็ถูกพามายังสถานที่แห่งนี้ เฝ้ามองดูเจ้าเข้าไปในร่างของข้าอย่างไม่ยินยอมนัก หลายครั้งที่ข้าคิดทำร้ายเจ้า หากแต่ไม่สามารถกระทำได้ เพราะทุกครั้งที่คิด ข้าจะรู้สึกเจ็บไปด้วยเช่นกัน ข้าไม่เข้าใจและเฝ้าถามตนเองมาตลอดว่าทำไม กระทั่งวันหนึ่งข้าก็ได้คำตอบจากคนผู้หนึ่ง”“ผู้ใดรึ”“คนผู้นั้นบอกกับข้าว่า แท้จริงแล้วทั้งข้าและเจ้าต่างเป็นคนคนเดียวกัน เพียงแต่ว่าตอนเกิด ดวงจิตของเราได้แยกเป็นสอง หนึ่งคือข้า สองคือเจ้า เมื่อดวงจิตแยกไม่รวมเป็นหนึ่งชะตาชีวิตของคนผู้นั้นย่อมเปลี่ยนแปลงไป เจ้าไม่สงสัยบ้างหรือ ว่าทำไมตอนที่อยู่ในโลกเดิมทั้ง ๆ ที่เจ้ามีทุกอย่าง มีครอบครัวที่ดีพร้อมและอบอุ่น แต่เจ้ากลับรู้สึกมีความสุขได้ไม่เต็มที่นัก เ
สภาพของหลี่เหวินหลางทำให้ผู้เป็นใหญ่ของจวนตระกูลหลี่รู้สึกเป็นห่วงอย่างมาก หากจะบอกว่าอาการของไป๋ฟางเซียนน่าเป็นห่วง สภาพของผู้เป็นบุตรชายก็น่าเป็นห่วงไม่ต่างกันหลี่เหวินชิงและเหลียนฮวามองสภาพบุตรชายที่หน้าประตูด้วยสายตาเป็นห่วงอย่างสุดแสน คิ้วของคนทั้งคู่ขยับเข้าหากันจนแน่นขนัด ใบหน้าที่ร่วงโรยไปตามวัยฉายความกังวลออกมาอย่างมาก ก่อนจะเป็นหลี่ฮูหยินที่ทนไม่ไหวพูดมันออกมา“ท่านพี่ น้องเป็นห่วงบุตรของเราจังเลยเจ้าค่ะ อาเหวินแทบไม่ออกจากห้องนอนของเซียนเอ๋อร์เลยนะเจ้าคะ เห็นอาการของลูกเราตอนนี้แล้ว น้องกลัวเหลือเกินเจ้าค่ะ น้องกลัวว่าลูกจะล้มป่วยไปอีกคน” เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นอย่างหนักอกหนักใจ มองหลี่เหวินหลางที่กอบกุมมือไป๋ฟางเซียนด้วยความห่วงใยอย่างถึงที่สุด ด้วยไม่เคยเห็นบุตรชายของตนมีสภาพซึมเศร้าเช่นนี้มาก่อน“ไม่ต้องกังวลหรอกน้องหญิง อาเหวินรู้ขีดจำกัดของร่างกายตนเองดี เราแค่อยู่ข้าง ๆ เขาในยามที่เขาต้องการก็พอ ตอนนี้เราไปนั่งรับลมที่ศาลากันก่อนเถิด อยู่ตรงนี้ไปก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา ประเดี๋ยวน้องหญิงจะเป็นกังวลห่วงคนนั้นคนนี้จนพานจะไม่สบายไปอีกคน”“ท่านพี่”แม้จะเป็นห่วงบุตรชายแต่ก
“เซียนเซียน ตื่นขึ้นมาเถิดนะคนดี พี่คิดถึงเจ้า อยากได้ยินเสียงของเจ้าจนแทบจะทานทนไม่ไหวแล้ว หรือที่เจ้าไม่ยอมตื่นขึ้นมาเพราะอยากลงโทษที่พี่เคยพูดไม่ดีกับเจ้าในวันแรกที่เจ้าลืมตาขึ้นมาที่จวนเรือนหลังนี้ใช่หรือไม่ เซียนเซียน พี่ขอโทษเจ้า กลับมาเถิดนะคนดี กลับมาหาพี่ พี่รักเจ้า รักเจ้าเหลือเกิน” หลี่เหวินหลางทอดสายตาแห่งความคะนึงหาไปยังดวงหน้างาม ก่อนที่ชั่วพริบตาแววตาของเขาจะมีความโกรธแค้นวาบผ่าน หากแล้วก็ปล่อยวางลงอย่างรวดเร็ว เพราะคนที่ทำให้คนรักของเขาต้องเป็นเช่นนี้ได้ตกตายไปแล้ว เขาจึงไม่รู้ว่าต้องจ้องเวรไปเพื่อสิ่งใดแท้จริงแล้วการตกน้ำของนางอันเป็นที่รักใช่ว่าเขาไม่คิดติดใจสงสัย เขาย่อมต้องสงสัยแน่นอน และมั่นใจมากว่านางคงไม่กระโดดน้ำฆ่าตัวตายแน่ ที่ไม่ได้สืบหาตั้งแต่วันแรกเพราะเป็นห่วงนางจนไม่เป็นอันทำสิ่งใด พอตั้งสติกับตนเองได้เขาจึงเริ่มสอบถามเรื่องราวคาดคั้นกับจื่อถิงอีกครั้ง แต่นางก็ตอบสิ่งใดไม่ได้ ทั้งยังไม่รู้ว่าว่ามันเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ นอกจากร่ำไห้ด้วยความรู้สึกผิดและโทษว่าที่ไป๋ฟางเซียนเป็นเช่นนี้ ทั้งหมดเป็นความผิดของตน หลี่เหวินหลางจึงสั่งให้ตงผิงและจื่อถิงกลับไปที่สร
“เซียนเซียน! เซียนเซียน ฟื้นสิเซียนเซียน” หลี่เหวินหลางร้องเรียกชื่อภรรยาด้วยความกระวนกระวายใจ ภายในอกของเขาร้อนรุ่มเต็มไปด้วยความวิตกกังวล กลัวเหลือเกินว่านางจะเป็นอันใดไป กลัวสูญเสียนางอย่างไม่มีวันหวนกลับ ความกังวลฉายชัดทั้งสีหน้าและแววตา โชคยังดีที่เขามาได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นเขาคงเป็นกังวลมากกว่านี้“พาคุณหนุกลับจวนก่อนเถิดเจ้าค่ะท่านแม่ทัพ จะได้รีบตามท่านหมอมาดูอาการ” จื่อถิงบอกอย่างร้อนรนและกระวนกระวายใจไม่แพ้กัน พลางมองเจ้านายสาวด้วยความเป็นห่วงเป็นใยอย่างถึงที่สุด น้ำตาเอ่อคลอไปทั่วดวงตาสวย เหตุใดจึงเกิดเรื่องกับคุณหนูทุกครั้งที่นางไม่ได้อยู่ด้วยก็ไม่รู้ โชคดีที่ทั้งนางและท่านแม่ทัพมาได้ทันท่วงที ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าคุณหนูของนางจะเป็นเช่นไร“รีบกลับจวนให้เร็วที่สุด!” หลี่เหวินหลางบอกคนขับรถม้าพร้อมทั้งอุ้มนางเข้าไปนั่งภายใน โอบกอดนางไว้อย่างหวงแหน มองดวงหน้าหวานด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใยอย่างถึงที่สุดก่อนหน้านี้หลี่เหวินหลางกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว และได้เข้าไปรายงานทุกอย่างให้องค์ฮ่องเต้รับรู้เรียบร้อยถึงการปราบโจรของตน หลังจากนั้นก็รีบพาตนเองออกจากวังหลวงอย่างรวดเร็ว ด้วยคิดถ
“ไม่จริง! ข้าไม่เชื่อ เจ้าอย่ามาโกหกข้า ข้าไม่สนว่าใครจะเป็นคนคิด ในเมื่อพี่เหวินเป็นคนทำเขาก็ต้องรับผิดชอบ เจ้าก็ด้วย ในเมื่อวันนี้ข้าสูญสิ้นไม่เหลืออะไร พวกเจ้าก็ต้องสูญสิ้นไม่เหลือสิ่งใดเช่นเดียวกัน อย่างไรวันนี้ทุกอย่างก็ต้องจบลง ไม่ข้าและเจ้าก็ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง ครั้งที่แล้วข้าหวังให้เจ้าจมน้ำตายที่นี่ เพราะต้องการให้เจ้าทรมานถึงที่สุด กระทั่งหลังความตายก็ยังคงทุกข์ทรมานเพราะความเย็นของกระแสน้ำ ได้แต่เหน็บหนาวแต่เพียงผู้เดียวไร้ซึ่งคนเหลียวแล ครั้งที่แล้วเป็นโชคดีของเจ้าที่ข้าทำไม่สำเร็จ แต่ครั้งนี้มันจะไม่เหมือนเดิม เจ้าต้องตาย ตายเพราะข้า!” โจวเฟิ่งจิ่วตวาดกร้าว ไป๋ฟางเซียนได้ฟังแล้วรู้ว่าถึงเจรจาต่อไปย่อมไม่เป็นผล ดังนั้นจึงโพล่งไปอย่างไม่เกรงกลัวเช่นกัน เช่นไรนางก็เคยตายมาแล้ว ตายอีกสักครั้งจะเป็นไรไป ไม่มีสิ่งใดน่ากลัวเลยสักนิด ห่วงก็แต่หลี่เหวินหลาง หากนางจากไปเขาจะรู้สึกเช่นไร จะเสียใจหรือคิดถึงนางบ้างหรือไม่เท่านั้นเอง “ตายก็ตายสิ คนอย่างไป๋ฟางเซียนไม่เคยกลัวตายอยู่แล้ว หากข้าตาย เจ้าก็ต้องตายเช่นกัน” จบคำพูดของไป๋ฟางเซียนร่างของโจวเฟิ่วจิ่วก็พุ่งตรงเข้ามาหวังจะกร
“ข้าไปทำอะไรให้เจ้านักหนาจึงได้คิดทำร้ายข้า”“ฮ่าฮ่า เพราะเจ้ามาแย่งทุกสิ่งทุกอย่างของข้าไปไงเล่า! คนไม่มีบิดามารดาเป็นกำพร้าเช่นเจ้า กล้าดีอย่างไรลงประกวดสาวงาม แย่งชิงตำแหน่งสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงจากข้าไป เท่านั้นยังไม่พอเจ้ายังเป็นคู่หมั้นของพี่เหวิน คิดอยากได้และครอบครองเขา เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงคิดว่าตนเองเหมาะสมกับบุรุษเก่งกล้าและรูปงามเช่นเขา แทนที่เจ้าจะสำนึกในบุญคุณของบิดามารดาของพี่เหวิน กล่าวยกเลิกงานหมั้นนั่นเสีย เจ้ากลับเร่งรัดให้ทุกอย่างเร็วขึ้นกว่าเดิม ทั้ง ๆ ที่เจ้าก็รู้ตนเองดี ว่าพี่เหวินมิได้รักเจ้าเลยแม้แต่น้อย แล้วข้าจะให้คนหน้าด้านเช่นเจ้าเชิดหน้าอยู่ในระดับเดียวกันกับข้าได้เช่นไร คิดว่าข้าไม่รู้รึว่าเจ้าคิดเทียบเคียงข้ามาโดยตลอด หวังใช้ฐานะฮูหยินแม่ทัพตีเสมอข้าน่ะสิ หึ ไม่เจียมตน”“เจ้าบ้าไปแล้วโจวเฟิ่งจิ่ว ข้าไม่เคยคิดตีตนเสมอเจ้า ข้ารู้ตนเองดี เจ้าเอาแต่ว่าข้าแล้วเจ้าเล่าดีตรงไหน วัน ๆ ตามแต่คู่หมั้นของสหาย นอกจากไม่รู้สึกผิดแล้ว ยังคิดทำร้ายผู้อื่น นี่มันไม่น่ารังเกียจกว่าข้ารึ” ไป๋ฟางเซียนย้อนกลับทันควัน เพราะนางไม่ชอบให้ใครมาว่านางเช่นกัน แม้ว่าคนที่ถูก