"กลัวผมเสียใจภายหลังหรอ?"น้ำเสียงเขาดูกลุ้มใจ "แต่ว่า ผมกลัวคุณจะเห็นผมเป็นคนแปลกหน้ามากกว่า"รอบๆ อากาศหนาว ทว่าอ้อมกอดของเขากลับอบอุ่นเหมือนวันเก่าๆคำพูดของเขา ทำเอาฉีันแน่นิ่งกว่าฉันจะรู้สึกตัว เขาก็เปิดประตูรถให้ฉันแล้ว หลังจากฉันขึ้นรถ ฉันก็ขับออกมาโดยไม่แม้หันกลับไปมองห่างเพียงสายฝนกั้น ฉันเหลือบเห็นแผ่นหลังสูงกว้างของเขาถูกฝนสาดไปจนทั่วหัวใจราวกับถูกมดนับสิบล้านตัวกัดกิน รู้สึกว่างเปล่าขึ้นเรื่อยๆที่แท้ การจบชีวิตสมรสมันก็ช่างแสนง่ายดายเวลาแค่ครึ่งชั่วโมง มาที่อำเภอ ยื่นเอกสารแล้วก็เซ็นหลังนี้อีกเดือน ก็แค่มาอีกรอบ ทั้งสองก็จะบรรลุเป้าหมายร่วม ได้ใบสำคัญหย่าป้ายแดงเหมือนกับใบสมรสทั้งหมดทั้งมวลก็จะขาดออกจากันชีวิตร่วมหมอนนอนเสื่อ ช่วยเหลือเกื้อกูล จะกลายเป็นเพียงความฝันแน่นอนว่าเงื่อนไขคือฟู่ฉีชวนจะต้องรักษาคำพูดพอกลับมาถึงบ้านของเจียงไหล ฉันยังไม่ทันเปิดประตู เจียงไหลก็เปิดออกมาจากในบ้าน"กลับมาแล้วหรอ?""อืม"ฉันยิ้มเบาๆ ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเธอมองฉันเดินเข้ามาในบ้าน เปลี่ยนรองเท้าและพูดกับฉันอย่างระวัง "ฟู่ฉีชวนส่งข้อความาหาฉันแล้ว พวกเธอ...ห
ลุงเฉิงรีบพูด "นายหญิง! รีบกลับมาเถอะครับ คุณท่านโมโหใหญ่แล้ว ทะเลาะกับนายน้อยแล้ว! มีแต่ท่านเขาถึงจะยอมฟัง""อะไรนะ?"ฟังถึงแค่ท่อนประโยคแรก ฉันก็ลุกขึ้นมาแล้ว ฉันคว้าเสื้อคลุมตัวนอกและออกไปทันทีฉันไม่ได้เป็นห่วงฟู่ฉีชวนท่านปู่แม้ไม่ได้มีฟู่ฉีชวนเป็นหลานคนเดียว แต่ถึงกระนั้น คนเจ็บที่สุดก็ยังเป็นเขา หากลงไม้ลงมือ อย่างมากห็แค่หนักเบา คงไม่ถึงกับชีวิตเพียงแต่สุขภาพของท่านปู่ ทางที่ดีไม่ควรให้โมโหอารมณ์เสีย ไม่งั้นอาจเป็นอะไรไป ถ้าไม่จวนตัวจริงๆ คงไม่โทรมา น้ำเสียงลุงเฉิงคงไม่กระวนกระวายขนาดนี้ลุงเฉิงกล่าว "ท่านกลับมาดูเองเถอะครับ!"ไม่ว่าเตรียมใจไว้ยังไง พอไปถึงบ้านของท่านปู่ ฉันถึงกับแน่นิ่งภายในห้องหนังสือ ฟู่ฉีชวนมักดูสง่าสุขุมเหมือนฟ้าหลังฝน ตอนนี้กลับกองอยู่บนพื้น ถูกทุบตีจนลุกขึ้นไม่ไหว ปวดจนเส้นเลือดปูดขึ้นตรงขมับ ใช้มือเกาะตรงขอบโต๊ะน้ำชชาสีดำเพื่อพยุงร่างกาย เพื่อไม่ให้ล้มลงกับพื้นเหนือความคาดหมายกว่านั้นคือฟู่จินอันก็อยู่ด้วยฉันอยากจะเอ่ยปากพูด ทว่าท่านปู่วึ่งมักใจดีกับฉันมาตลอดก็หันมองลุงเฉิงอย่างเย็นชา "แกโทรเรียกหนานจืองั้นเรอะ?""....ครับ"ลุงเฉิงได้แต่
ถึงแม้ฉันไม่ได้คิดจะใช้ชีวิตสมรสกับฟู่ฉีชวนต่อแต่พอได้ยินท่านปู่พูดออกหน้าปกป้อง ฉันก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาฟู่ฉีชวนเม้มริมฝีปาก "ผมเป้นคนทำให้หนานจือผิดหวัง แต่ผมก็ไม่เคยคิดจะแต่งงานกับผู้หญิงอื่นเลย""ไม่เคยคิดหรอ? ถ้าแกไม่เคยคิด หนานจือทำไมถึงได้หย่ากับแก ไม่ใช่เพราะแกรึไงทำให้หนานจือต้องยอมหย่า?" ท่านปู่ไม่เชื่อเขาแม้แต่คำเดียวฟู่ฉีชวนยันโต๊ะชาสีดำค่อยๆ ลุกขึ้นมา "ผมไม่เคยคิดจริงๆ แต่ว่า ผมก็ไม่สามารถปล่อยฟู่จินอันไปได้ ยังไงเธอก็ท้องอยู่""แกมันหลายใจ!"ท่านปู่โยนถ้วยชาใส่เขาเขาไม่หลบ ไม่แม้แต่จะเบี่ยงตัวถูกถ้วยชากระแทกตรงๆ เลือดสดๆ ไหลออกจากหน้าผากอย่างรวดเร็วสีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนพร้อมกล่าวอย่างจริงจัง "ผมสัญญากับป้าเวินแล้วว่าผมจะดูแลเธอ""แล้วหนานจือล่ะ ข่าวอื้อฉาวในบริษัทลือกันสนั่น เจ้าย้ายฟู่จินอันมาอยู่ชิดข้างกาย ทำให้ทุกคนเข้าใจผิดคิดว่าหนานจือเป็นคนเข้ามาแทรกครอบครัวคนอื่น แกไม่ละอายใจต่อหนานจือบางหรอ?""เธอ...แข็งแกร่งเด็ดเดี่ยวมากกว่าฟู่จินอัน คนอื่นพูดยังไงเธอก็คงไม่สะทกสะท้าน เธอคงไม่สนใจคำพูดไม่มีมูลพวกนั้นฉันไม่คาดคิดว่าจะถูกฟู่ฉีชวนชมภายใต้สถานการณ์เช่
ถึงแม้พวกเราปกติไม่ค่อยกลับมาอยู่ที่นี่ แต่คนใช้ดูแลทำความสะอาดเป็นอย่างดี ไม่มีแม้แต่ฝุ่นแม้แต่ผ้าปูเตียง ผ้าห่ม ก็เปลี่ยนทุกๆ 3 วันตรงหัวเตียงมีภาพถ่ายเวดดิ้งแขวนเอาไว้ สไตล์ย้อนยุค ผลงานช่างแต่งภาพหลายคน ทว่าไม่มีร่องรอยการใช้โปรแกรมแต่งภาพพอฟู่ฉีชวนนั่งลงบนเตียง ฉันพยายามสะบัดข้อมือออก เขาจับข้อมือฉันไว้แน่นพร้อมกับขมวดคิ้ว "เรายังไม่ได้หย่ากันสมบูรณ์ ช่วยผมทายาหน่อยไม่ได้เลยหรอ?""...ฉันจะไปเอากล่องยา ไม่งั้นฉันจะเอาอะไรทายาให้คุณ?"ฉันไม่มีทางเลือก เลยบอกกับเขาเขาถึงปล่อยข้อมือฉัน "ครับ"ฉันเจอกล่องปฐมพยาบาลตรงลิ้นชัก หยิบเบตาดีนและยาทาเดินมาหาและยืนอยู่ตรงหน้าเขาแผลตรงหน้าผากทำเอาใจหายเมื่อเห็น ฉันค่อยๆ ก้มลงมา มือข้างหนึ่งช้อนหลังศีรษะเขา มืออีกข้างก็เช็ดคราบเลือดให้เขาท่านปู่ลงมือหนักมาก พอเช็ดคราบเลือดออก เลือดก็ไหลออกมาใหม่ฉันเห็นก็รู้สึกเจ็บแล้ว "เจ็บไหม?""เจ็บ เจ็บมาก"เขาเงยหน้ามามองฉัน ดวงตาสีดำราวกับหินออบซิเดียน สดใสสะดุดตาฉันรู้สึกใจอ่อนขึ้นมา ขณะฆ่าเชื้อตรงบาดแผลก็เป่าเบาๆ ตรงแผลไปด้วย เขาดูพออกพอใจจนเอ่ยออกมา "ไม่เจ็บแล้ว ขอบคุณครับ ที่รัก""พ
ฉันอึดอัดใจทันใดนั้นก็รู้สึกอึดอัดไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดถาโถมเข้ามาทั้งตัวแหวนวงนี้เป็นแหวนแต่งงานของเรางานแต่งตอนนั้น เขาถึงแม้จะไม่ได้สนใจ แต่ท่านปู่กลับเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับหลานสะใภ้อย่างฉันสินสอดสิบล้าน ห้องหอราคาสูงลิบ รวมถึงหาช่างออกแบบเครื่องประดับชั้นเลิศทำแหวนคู่ให้กับพวกเราต่อมา สินสอดก็ยกให้กับท่านป้าเพื่อตอบแทนบุญคุณที่เลี้ยงดูมาห้องหอไม่มีที่ให้สำหรับฉันแต่ละวันก็มีเพียงแหวนวงนี้ซึ่งคอยอยู่เคียงข้างฉันช่วงแรกของชีวิตแต่งงาน ฉันพอใจจะสวมใส่มันเอาไว้บนนิ้วนาง หลังจากฟู่ฉีชวนรู้ว่าฉันก็ทำงานที่แซ่ฟู่กรุ๊ป เขาก็รีบเตือนฉันว่าอย่าทำตัวเป็นจุดสนใจฉันเลยถอดมันในวันนั้น คล้อยเอาไว้กับสร้อยเส้นเล็กและห้อยไว้ที่คอฉันสวมสร้อยนี้มาสามปีแล้วแหวนวงนี้ซึ่งเคยทำให้ฉันรู้สึกดีใจ ตอนนี้มันกลับเป็นคำเยาะเย้ยไร้เสียง ในสายตาของฟู่ฉีชวน ฉันก็เหมือนกับแหวนวงนี้ ตรงที่ไม่ควรออกไปเจอใครฉันหัวเราะเย้ยหยันให้กับตัวเอง "ก็แค่ลืมถอดออก"ลืมไปเลยจริงๆถ้าจะพูดให้ชัดก็คือคุ้นชิน ตอนอยู่คนเดียวหรือใจรู้สึกอ้างว้างก้มักจะเอื้อมมือไปลูบแหวนวงนี้จนคุ้นชิน...ฟู่ฉีชวนต
ฉันหัวเราะเบาๆ "ขอเพียงไม่ใช่แบบคุณตอนนี้ก็พอ"สีหน้าเขาเผยให้เห็นความรู้สึกเจ็บปวด "ผมแย่ในสายคุณขนาดนี้เลยหรอ?""ก็ไม่ได้แย่ เทียบกับพวกชอบใช้ความรุนแรง ติดยา ติดการพนันแล้ว พวกนั้นแย่ยิ่งกว่าคุณอีก""...หร่วนหนานจือ"สีหน้าเขาหมองหม่น ขณะกำลังจะพูดก็มีคนมาเคาะประตูห้องตามมาด้วยเสียงไพเราะของฟู่จินอัน "อาชวน ฉันเข้าไปนะ"ยังไม่มีใครขานรับ ประตูก็ส่งเสียง "คลิ๊ก" เธอผลักประตูเข้ามา"อาชวน เดี๋ยวฉันทา...."เสียงของเธอขาดหายตอนเห็นหน้าฉัน รอยยิ้มบนใบหน้าแข็งเกร็งฉันกล่าวอย่างเฉยเมย "ฉันขอตัวออกไปก่อน""หนานจือ"ฟู่จินอันโมโหกล่าว "หย่ากันแล้ว ก็ทำตัวให้เหมือนหย่ากันหน่อย คุณอย่าเข้าใจผิด ฉันก็แค่กลัวคนไม่หวังดีรู้เข้า หากมีคนเอาไปพูดคงจะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของเธอ""ราชการยังไม่ได้ส่งใบสำคัญหย่ามาให้เรา เธอก็ป่าวประกาศแล้วว่าพวกเราหย่ากันงั้นเหรอ?"ฉันอดทนไม่ไหวจริงๆ พร้อมกับกล่าวต่ออย่างไม่ใส่ใจ "ชื่อเสียงฉันแย่สักแค่ไหน ก็ไม่เท่ากับเธอขั้นเสนอหน้ามาแย่งของคนอื่นหรอก"พอพูดเสร็จฉันก็เดินออกไปยังไม่ทันเดินออกจากห้อง ฉันก็ได้ยินนางตีหน้าเศร้าพูดกับฟู่ฉีชวน "อาชวน คุณดูเ
ท่านปู่มองได้เฉียบขาด ฉันก็ไม่ลังเลอีกต่อไปและพยักหน้า "ใช่ค่ะ"ท่านปู่ยกมือขึ้นมา เป็นสัญญาณบอกให้ลุงเฉิงอาของบางอย่างเข้ามา มันเป็นแฟ้มประวัติผู้ป่วยสีเหลืองฉันรับเอามาอ่านดู หัวใจก็เหมือนถูกมือล่องหนข้างหนึ่งบีบรัดเอาไว้ฟู่ฉีชวนตอนเด็กไปพบแพทย์โรคหัวใจหลายครั้ง...ฉันเงยหน้าขึ้นมองอย่างช้าๆ ราวกลับไม่เชื่อเรื่องนี้เขาผู้เป็นเหมือนลูกคนโปรด กลับกลายเป็นผู้ป่วยประจำของแผนกโรคหัวใจผ่านไปนานกว่าฉันจะขมวดความคิดของตนเองได้จนฉันเผลอกัดริมฝีปาก "เขา เข้าทำไมถึง..."พอลองคิดอีกด้าน ก็รู้สึกว่ามีเค้าลางเสียแม่มาตั้งแต่เกิด พ่อเขาเองทำให้ครอบครัววุ่นวายจนบ้านแตกเพราะผู้หญิงอื่นแค่คนเดียว อีกทั้งยังเอาแต่รักลูกต่างแม่เขาจะมีปัญหาสภาพจิตใจก็เป็นเรื่องปกติ"หลายปีมานี้ ปู่ก็เคยคิดว่าควรจะบอกเขาดีไหม"ท่านปู่ถอนหายใจ แววตาของคนผ่านโลกมานานก็ดูเฉียบคมขึ้นมาทันที "ทว่ายังไงก็ต้องมีสักวันที่เขาจะต้องรู้ ปิดบังเขาไม่ได้ตลอดชีวิตหรอก"……ฉันออกมาจากบ้านตระกูลฟู่ด้วยอารมณ์ซับซ้อน บนถนนขณะกลับบ้าน ตาข้างขวาก็กระตุกไม่หยุดปกติฉันไม่เชื่อเรื่องโชคลางพวกนี้ ทว่าวันนี้ฉันรู้สึกอึดอั
"แล้วฟู่จินอันล่ะ?"ฉันปัดมือเขาออกพร้อมกับสะอึกสะอื้นถามท่านปู่หมดสติตอนอยู่กับฟู่จินอัน ฟู่จินอันทำไมถึงไม่อยู่นี่?พอฉันถาม เสียงรองเท้าส้นสูงก็ดังขึ้นตรงทางเดิน ดูกระวนกระวายชัดเจน ฟู่จินอันวิ่งพรวดเข้ามา ทำท่าตกใจ "อาชวน ท่านปู่ไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ฉันขอโทษ ตรงนั้นฉันเรียกรถไม่ได้เลย ฉันเลยมาช้า..."ฉันพูดขัดในทันที "ท่านปู่ทำไมถึงหมดสติ?"ฟู่จินอันเผยสีหน้าวิตกกังวลจากนั้นก็พูด "ฉัน ฉันเองก็ไม่รู้ จู่ๆ ท่านปู่ก็หายใจหอบขึ้นมาแล้วก็หมดสติไป""จู่ๆ ก็เป็นแบบนี้เลยหรอ? เธอไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้ทำอะไรเลยงั้นหรอ?" ฉันไม่เชื่อนางสองปีมานี้ ท่านปู่ดูแลสุขภาพตัวเองดีมาก ตรวจสุขภาพตรงตตามนัดขนาดตอนเขาลงมือทำร้ายฟู่ฉีชวนก็ยังไม่เป็นอะไรเลย ยิ่งไม่มีทางจะล้มป่วยอย่างไม่มีสาเหตุ"เธอหมายความว่าไง? หนานจือ หรือว่าเธอสงสัยว่าฉันทำให้ท่านปู่โมโหจนล้มป่วยงั้นเหรอ?"ฟู่จินอันสีหน้าสับสน ทันใดนั้นเธอก็กุมท้อง หันไปมองฟู่ฉีชวนอย่างเจ็บปวด "อาชวน ฉันเจ็บท้อง..."ฟู่ฉีชวนสีหน้าสงสัย "เจ็บท้อง?""อืม!"พอเห็นฟู่จินอันตอบกลับเขาอย่างมั่นใจ เขาก็รีบอุ้มนางขึ้นมาและรีบเดินออกไป "หมอครับ! เธอต
เสียงของเธอเป็นปกติ แต่ดูเหมือนว่าเสิ่นซิงหยูจะกลัวเขาเล็กน้อยท่าทางเย่อหยิ่งบนใบหน้าของเธอหายไปโดยสิ้นเชิง เธอเบ้ปากและพูดอย่างเขิอาย: "ลู่สือเยี่ยน ทำไมคุณถึงมองฉันแบบนี้ ฉันแค่มาคุยกับคุณหร่วนบ้างไม่ได้หรือไง?"ลู่สือเยี่ยนยกคิ้วขึ้น “แล้วเสร็จหรือยัง?”"ใช่ ฉันคุยเสร็จแล้ว"เสิ่นซิงหยูตอบอย่างประหม่า แต่เมื่อเธอเห็นว่าลู่สือเยี่ยนยังคงไม่มีอารมณ์ เธอก็โกรธขึ้นมาทันใดและพูดอย่างโกรธเคืองว่า "ทำไมคุณถึงเป็นเหมือนไอ้งั่งอย่างโจวฟางที่คอยรังแกฉัน! อีกสองวันพ่อแม่ของฉันจะมามาดูกันว่าฉันจะยังกลัวคุณอยู่ไหม!"หลังจากพูดคำหยาบเหล่านี้ เธอก็เดินออกไปด้วยรองเท้าส้นสูงเธอเดินอย่างโกรธจัดและจงใจก้าวเท้าออกไปอย่างดังหลังจากที่เธอหันหลังและหายไป ลู่สือเยี่ยนมองไปที่ฉากนองเลือดนอกบ้านของฉันและหยิบโทรศัพท์ของเขาออกมาเพื่อกดโทรออก โดยขอให้บริษัททำความสะอาดจัดหาคนมาทำความสะอาดให้ต่อมา เขาจ้องมาที่ฉันอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "คุณไม่ได้กลัวใช่ไหม?""พูดตามตรง มีตอนแรกนิดหน่อย"ฉันยิ้มและหันไปให้เขาเข้ามา ฉันหยิบรองเท้าแตะคู่หนึ่งออกมาจากตู้รองเท้าและพูดว่า "คุณกินข้าวหรือยัง ฉันทำซุปเสร็
เป็นเสิ่นซิงหยูเธอยืนอยู่ท่ามกลางเลือดในรองเท้าบู๊ตสีขาวของเธอ และเมื่อเธอเห็นว่าฉันหยุดปิดประตู เธอก็ค่อยๆ ดึงมือของเธอออกและโอบรอบหน้าอกของเธอ "หร่วนหนานจือ ฉันแนะนำให้คุณยอมแพ้และเจียมตัวเองซะ อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับพี่ฉีชวนอีก"เธอพบที่อยู่ของฉันอย่างรวดเร็วฉันขมวดคิ้วและพูดว่า "ไม่ว่าจะเป็นคุณหรือฟู่จินอัน หากพวกคุณป่วย ก็ควรไปโรงพยาบาลหรือไปหาฟู่ฉีชวนดีกว่า อย่ามายุ่งกับฉัน""โอ้ เลิกเสแสร้งสักที"เธอเหลือบมองเข้าไปในบ้านแล้วพูดจาเหยียดหยาม "ฉันตรวจสอบดูแล้ว และถ้าคุณไม่ได้แต่งงานกับพี่ฉีชวน คุณจะซื้อบ้านที่มีทะเบียนบ้านชำรุดได้กี่ชั่วอายุคน ทั้งพ่อและแม่เสียชีวิตเธอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แสดงความเย่อหยิ่งที่ไม่เหมือนใครของเศรษฐีอย่างเต็มที่ฉันหมดความอดทนและพูดอย่างเย็นชา "โอ้ แล้วเธอล่ะ? เธอโชคดีแค่ไหนที่ถูกอุปการะจากตระกูลเสิ่น เธอถึงยืนอยู่ตรงนี้แล้วพูดแบบนี้ได้ และก้าวก่ายการแต่งงานของคนอื่นอย่างหยิ่งผยอง"ใครก็โดนแทงใจดำกันได้เธอหักหน้าฉัน ก็อย่าโทษฉันที่หยาบคาย"หร่วนหนานจือ!!!"ทันใดนั้น ท่าทางอันสูงส่งของเสิ่นซิงหยูก็กลายเป็นดุร้าย เธอยกมือขึ้นและต้องการตบหน้าฉัน
ฝ่ามือของฟู่จินอันกำแน่นขึ้นอย่างเงียบๆ แววตาแห่งความเสียใจปรากฏบนใบหน้า เธอพูดติดขัดและสารภาพว่า "ฉัน... ฉันรู้สึกอายเกินกว่าจะถูกเธอตีและดุด่าต่อหน้าสาธารณะในตอนนั้น เป็นช่วงเวลาแห่งความโกรธและความหงุดหงิดที่ทำให้ฉันพูดคำเหล่านั้นที่ใส่ร้ายแม่ของฉัน! ฉันผิดไปแล้ว... อาชวน"ทักษะการแสดงของเธอนั้นดีมาก ถ้าฉันไม่รู้ความจริงจากปู่ของฉันก่อนหน้านี้ ฉันอาจจะเชื่อคำพูดของเธอก็ได้สายตาของฟู่ฉีชวนจับจ้องไปที่ฟู่เหวินไห่ ตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย "คุณคิดยังไง?"“ฉันคิดยังไง?”ฟู่เหวินไห่เกร็งคอ "ถ้าเธอเป็นเป็นเมียน้อยจริงๆ เราจะแต่งงานกันได้ยังไงหลังจากแม่ของแกเสียชีวิตไปห้าปีพอดี"ทันทีที่เขาพูดจบ ประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดออกฟู่ฉีชวนยังคงสงสัยและมองไปที่หมอ "สาหัสไหม?""ประธานฟู่"หมอเดินออกไปโดยถอดหน้ากากออกด้วยสีหน้าจริงจัง "เสียเลือดไปมากพอสมควร โชคดีที่ส่งตัวมาทันเวลา ถ้าช้ากว่านี้อีกหน่อย ผมกลัวว่าจะหมดหวัง"เมื่อมองเห็นด้วยตาเปล่า ร่างกายที่แข็งเกร็งของฟู่ฉีชวนผ่อนคลายลงเล็กน้อยฉันขมวดคิ้ว เป็นไปได้ไหมที่จะยอมเสี่ยงชีวิต เพื่อการแสดงเช่นนี้.....ถ้าไม่ได้มาที่โรงพยาบาลเซิ่งซิน ฉ
ฆ่าตัวตาย?การฆ่าตัวตายจึงเป็นทักษะทั่วไปของแม่ลูกทั้งสองคนประเภทที่ส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น?ฉันไม่รู้ว่าทำไมตัวเองมีความคิดแบบนี้ ฉันจึงถามไปอย่างอธิบายไม่ถูกว่า "คุณต้องการให้ฉันไปด้วยไหม?"บางทีฉันอาจต้องการดูว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเท็จหรืออาจเป็นเพราะความกลัว... ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นจริงๆ ฟู่ฉีชวนก็ไม่มีใครให้ไว้ใจได้เลยฟู่ฉีชวนมองฉันอย่างไม่คาดคิดและพูดว่า "จะไม่เป็นไรใช่ไหม?""ไปเถอะ"ฉันหยิบกระเป๋าแล้วไปโรงพยาบาลกับเขาเมื่อเธอมาถึงโรงพยาบาล เวินฟางยังอยู่ในห้องฉุกเฉิน และเป็นฟู่จินอันและฟู่เหวินไห่ที่เฝ้าอยู่ข้างนอกฉากนี้ทำให้ฉันรู้สึกตลกมากในช่วงเวลาตึงเครียดเช่นนี้ ฉันไม่ควรหัวเราะ ฉันจึงนึกถึงเรื่องเศร้าๆ ในชีวิตของฉันในใจฟู่ฉีชวน ฟู่จินอัน ฟู่เหวินไห่ และเวินฟางในห้องฉุกเฉินหากคุณวาดแผนผังความสัมพันธ์ของตัวละครทั้งสี่คนนี้ มันควรจะคล้ายกับใยแมงมุม วุ่นวายและสับสนฟู่จินอันรีบวิ่งเข้ามาและผลักฉัน "หร่วนหนานจือ แกหัวเราะอะไร แม่ของฉันประสบอุบัติเหตุ แกมีความสุขที่ได้มาที่นี่เพื่อดูความตื่นเต้นหรือไง?!"ใช่ ฉันพยายามกลั้นหัวเราะอย่างหนัก แต่ก็ยังทำไม่ไ
หรือจะบอกได้ว่า ตั้งแต่ปู่ของเขาตายไป เวินฟางอาจกลายเป็นความอบอุ่นเพียงอย่างเดียวที่ฟู่ฉีชวนได้รับจากความรักในครอบครัวแต่ตอนนี้... หากสิ่งที่ฟู่จินอันพูดเป็นความจริง ทัศนคติของเขาเกี่ยวกับความรักในครอบครัวก็จะพังทลายลงอย่างสิ้นเชิงความผูกพันทางอารมณ์หลายปี หลายทศวรรษ จะขาดสะบั้นลงพร้อมๆ กันสำหรับคนที่เติบโตมาในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์แบบ การต้องประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำอีกครั้งอาจเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เลวร้ายอย่างไรก็ตาม ฉันไม่เห็นด้วยกับแนวทางของลุงเฉิง มีบางสิ่งที่ความเจ็บปวดในระยะสั้นดีกว่าความเจ็บปวดในระยะยาวฉันมองฟู่ฉี่ชวนอย่างมั่นคงและพูดว่า "คุณจะเชื่อสิ่งที่ฉันพูดไหมล่ะ?"น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน "เชื่อ"คงต้องใช้เวลาคิดนานก่อนที่จะตัดสินใจถามฉัน ดังนั้นฉันจึงไม่ลังเลที่จะตอบนั่นทำให้ฉันสบายใจ ฉันจิบกาแฟแล้วเริ่มพูดว่า “ถ้าฉันบอกคุณว่าวันนั้นที่โรงพยาบาล ฉันพูดอะไร....”“พี่ฉีชวน!”ประตูห้องทำงานถูกผลักเปิดออกโดยไม่ทันตั้งตัว พร้อมกับเสียงผู้หญิงที่สดใสและชัดเจนซึ่งขัดจังหวะฉันอย่างหยาบคายวินาทีต่อมา เสิ่นซิงหยูเดินเข้ามาโดยชุดชาแนลรุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นและรองเท้าบู๊
ระหว่างทางไปบริษัทแซ่ฟู่กรุ๊ป ฉันคิดว่าในที่สุดฟู่ฉีชวนก็เต็มใจที่จะเริ่มสงสัยเวินฟางและลูกสาวของเธอ ฉันควรจะถอนหายใจด้วยความโล่งใจบางทีสาเหตุการตายของปู่ของเขาและการตายของแม่ของเขาอาจอธิบายได้ในครั้งนี้แต่ในใจของฉันยังคงรู้สึกไม่สบายใจฉันไม่สามารถบอกสาเหตุได้เมื่อฉันมาถึงแซ่ฟู่กรุ๊ป ฉันรู้สึกถึงบรรยากาศที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ทุกคนเร่งรีบและดูจริงจังทันทีที่ฉันก้าวออกจากลิฟต์ที่ชั้นบนสุด ความตึงเครียดก็ถึงจุดสูงสุดฉินเจ๋อรอฉันในลิฟต์เป็นการส่วนตัวและพาฉันไปที่สำนักงานของรองประธาน เมื่อเห็นคำถามในสีหน้าของฉัน เขาก็ถอนหายใจและพูดว่า "สถานการณ์ออนไลน์ส่งผลกระทบอย่างมากต่อกลุ่มบริษัท มีโครงการหลายโครงการเพียงก้าวเดียวก็จะลุล่วง และอีกฝ่ายกำลังใช้ท่าทีรอและดู"ฉันขมวดคิ้วและพูด "มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ?"ดูเหมือนว่าโจวฟางจะชำนาญในกลยุทธ์ของเขาจริงๆ เพียงแค่การเคลื่อนไหวครั้งเดียว เขาก็สร้างวิกฤตที่แซ่ฟู่กรุ๊ปไม่เคยเจอในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา"ใช่แล้ว ไม่มีใครคาดคิด"ฉินเจ๋อเหลือบมองไปทางสำนักงานของรองประธานอีกครั้งแล้วพูดว่า "ประธานฟู่ไม่ได้พักเลยตั้งแต่เหตุการณ์เ
".....หยุด หยุดขู่ฉันได้แล้ว!"หลินกั๋วอันตะโกนประโยคนี้ แต่ดวงตาของเขากลับเต็มไปด้วยความกลัว ก่อนที่ฉันจะตอบได้ เขาก็วิ่งหนีไปในพริบตา!"โอเคไหลไหล ฉันมีบางอย่างต้องทำตอนนี้ ฉันจะติดต่อกลับในภายหลัง"ฉันวางสายโทรศัพท์ของเจียงไหลและมองไปที่หลินเฟิง ซึ่งมักจะเป็นคนที่จืดจางเสมอมา "คุณแค่มองดูพ่อของนายทุบตีแม่ของนายแบบนี้เหรอ?"หลินเฟิงยักไหล่และพูดว่า "ผมไม่แข็งแร็งเท่าเขา และเขาเองก็ไม่ฟังผมเหมือนกัน""..."ฉันโกรธมากและไม่รู้จะพูดอะไรคุณป้าของฉันพูดด้วยความเจ็บปวด "หลินเฟิง ออกไปก่อน ฉันอยากคุยกับลูกพี่ลูกน้องของแก""อ้อ"หลังจากหลินเฟิงออกไป ฉันก็ดึงเก้าอี้มานั่งลงข้างเตียง "แผลทั้งหมดบนตัวของคุณรักษาแล้วหรือยัง? มีจุดไหนที่พวกเขาพลาดไปหรือเปล่า?'"ไม่หรอก อาการบาดเจ็บพวกนี้ไม่ได้ร้ายแรงมาก มีหมอและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาห้ามไว้ เลยไม่ได้ร้ายแรงมาก"คุณป้าของฉันส่ายหัว ราวกับว่าเธออ่อนแอกว่าตอนที่ฉันเจอเธอครั้งล่าสุดมาก น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ "ฉันอยากหย่ากับเขา แต่เขาไม่เห็นด้วย..."ฉันถอนหายใจแล้วพูดว่า "ไม่ต้องห่วง ฉันจะจัดการเอง"หลินกั๋วอันไม่ใช่ฟู่ฉีชวน ไม่ใช่เร
"ฉันได้ยินมาว่าโจวฟางมาที่เมืองเจียงเฉิงครั้งนี้ เพื่อหาเบาะแสเกี่ยวกับอดีตคู่หมั้นของเขา""ฉันคิดไม่ออกเลยว่าเขาจะเป็นคนทุ่มเทขนาดนั้น"ฉันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ดูเหมือนว่าจะมีคนอย่างลู่สือเยี่ยนอยู่จริงๆ ที่ทั้งคู่ยึดติดกับใครบางคนที่พวกเขาพบตอนเป็นเด็กยึดมั่นในความผูกพันนั้นมาหลายปีลู่สือเยี่ยนยิ้มและไม่พูดอะไรอีก เพียงแต่พูดว่า "พรุ่งนี้คุณอยู่บ้านไหม ฉันจะนำของขวัญมาฝากคุณหลังเลิกงาน""ของขวัญ?"ฉันใช้เวลาสักครู่เพื่อนึกถึงสิ่งที่เขาพูดเมื่อคืน ฉันพยักหน้า "แน่นอน ฉันจะกลับบ้านในอีกไม่กี่วันนี้ เว้นแต่จะมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น"……วันรุ่งขึ้น ฉันนอนหลับจนกระทั่งตื่นขึ้นมาเองและสัมผัสขอบเตียงที่ว่างเปล่าเจียงไหลหายไปฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู จึงเห็นไลน์ที่เธอส่งมาให้ฉัน [ไปก่อนนะ ถ้าเฮ่อถิงเป็นโรคประสาทอีกเมื่อไหร่ ฉันจะกลับมาใหม่][นังตัวดี นอนกับฉันเสร็จก็หนีไปเลย]ฉันตอบด้วยรอยยิ้ม ขณะนอนเล่นโทรศัพท์อย่างขี้เกียจบนเตียงเหตุการณ์ระหว่างฟู่จินอันกับฟู่เหวินไห่ รวมถึงการเปิดเผยความขัดแย้งระหว่างเธอและเวินฟางที่อำเภอ ส่งผลกระทบอย่างมากต่อบริษัทแซ่ฟู่กรุ๊ป ทำให้รา
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้พบกับเศรษฐีรุ่นสองที่พูดเรื่องเงินตลอดเวลา"ช่างมันเถอะ ฉันจะไปถามคนอื่น"ทันทีที่ฉันพูดจบ ฉันก็ก้าวเดินเข้าไปข้างในฉันเพิ่งกลับมาถึง เจียงไหลก็ก้าวออกมาจากห้องส่วนตัว ดวงตาของเธอแดงเล็กน้อย เห็นได้ชัดจากการร้องไห้ “กลับบ้านกันเถอะ”"ทุกอย่างเรียบร้อยไหม?"ฉันหยิบเสื้อคลุมจากมือของเธอแล้วพาดไว้บนไหล่ของเธอเธอสูดหายใจและดวงตาของเธอแจ่มใส "อืม จากนี้ไป ไม่ว่าเขาจะแต่งงานหรือไม่ก็ตาม มันไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน"เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉันก็ชื่นชมความเด็ดขาดของเธอ ความสามารถในการปล่อยวางอย่างหมดจดของเธอขณะที่กำลังเดินทางกลับบ้าน เจียงไหลกำลังรับผิดชอบการขับรถอยู่ ทันใดนั้น ฉันก็ได้รับสายจากลู่สือเยี่ยนหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดขึ้นและถามว่า "หนานจือ คุณคือคนที่อยู่กับโจวฟางเมื่อกี้ใช่ไหม?"ฉันตกใจไปครู่หนึ่ง แต่ฉันไม่ได้โกหกเขา "ใช่ ฉันเอง... คุณรู้ได้ยังไง"โจวฟางปิดบังฉันไว้อย่างมิดชิดแม้แต่ฟู่ฉีชวนก็ถามแค่เรื่องรองเท้าเท่านั้นและถึงอย่างนั้น น้ำเสียงของเขาก็ยังไม่แน่ใจแต่ลู่สือเยี่ยนเดาได้จริงๆ ว่าเป็นฉันทางโทรศัพท์ ดูเหมือนเขาจะสังเกตเห็นค