"ค่ะ"ฉันรับคำพร้อมกับนั่งลงข้างๆ เมื่อสบตากับสายตาเฉียบคมของคุณปู่ ก็ยิ่งนั่งไม่ติดภายในห้องหนังสือขนาดใหญ่ มีแค่ฉันกับคุณปู่ และลุงเฉิงที่ยืนชงชาอยู่ห่างๆแล้วก็เป็นดังคาด คุณปู่เอ่ยขึ้นมาอย่างคนที่รู้ทุกอย่าง "พวกหนูจะหย่ากัน?""..."หัวใจที่หวิวๆ ของฉันได้ตายไปในที่สุดในเมื่อถูกคุณปู่มองทะลุปรุโปร่งแล้ว คงไม่มีประโยชน์ที่โกหกอีกต่อไป "ค่ะ...คุณปู่ทราบได้ยังไงคะ?"คุณปู่ถอนหายใจ ทว่าไม่ได้โกรธที่ถูกหลอก "หนูเนี่ยนะ ถึงจะเป็นคนเด็ดเดี่ยว หัวแข็ง ถึงจะแสดงออกว่าไม่ได้ชอบเขาเท่าไหร่ แต่ดวงตาคู่นั้นเคยละสายตาไปจากเขาที่ไหน?""แต่วันนี้ แม้แต่หน้าเขาหนูยังไม่ปรายตามองสักครั้ง"ภายในคำพูดของคุณปู่แฝงไว้ด้วยความเสียใจได้ยินดังนั้น ฉันก็สะอึก จู่ๆ ก็พูดอะไรไม่ออกใช่สิ การชอบใครสักคนมันปิดไม่มิดหรอก ต่อให้ปิดปากเอาไว้ มันก็ฟ้องออกมาทางสายตาอยู่ดีแม้แต่คุณปู่ก็ยังเห็นอย่างชัดเจน แต่ฟู่ฉีชวนกลับคิดว่าฉันชอบคนอื่นสรุปว่าเป็นเพราะเขาเอาแต่หมกมุ่นจนมองไม่เห็น หรือเป็นเพราะไม่เคยใส่ใจกันแน่ฉันก้มหน้าลงเล็กน้อย ซ่อนความรู้สึกอันขมขื่น กลืนน้ำลายครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายคำพูดทั
"เป็นอย่างที่หนูเห็นนั่นแหละ"ในน้ำเสียงของคุณปู่แฝงไว้ด้วยความโชกโชนต่อโลกปนโศกเศร้า "ตระกูลฟู่ของเราทำผิดต่อเสียวหว่าน เราไม่สั่งสอนลูกชายของตัวเองให้ดีเอง!"แม่สามีของฉันที่เสียชีวิตไป มีชื่อที่ไพเราะว่า หลินทิงหว่านได้ยินดังนั้น ฉันเองก็ตกอยู่ในภวังค์ของความตกตะลึงที่แท้ แม่สามีของฉันไม่ได้เสียชีวิตเนื่องจากคลอดลูกยากธรรมดาๆแต่ตอนที่เธออายุครรภ์ได้สิบเดือน ถูกคนผลักตกจากบันไดและคนที่ผลักเธอ กลายเป็น "แม่เลี้ยงแสนดี" ของฟู่ฉีชวนที่รักเขาเหมือนลูกในไส้ และต้องกลายเป็นอัมพาตเพราะช่วยเขาสมองของฉันว้าวุ่นสับสนไปหมดหล่อนทำดีกับฟู่ฉีชวนได้ขนาดนี้ แต่ก็เป็นฆาตกรที่ทำให้แม่แท้ๆ ของฟู่ฉีชวนต้องตาย...?นี่มันดูจะขัดต่อมนุษยธรรมหน่อยมั้ง...ยังฉันเรียบเรียงสติอารมณ์ไม่ได้ ก็ได้ยินคุณปู่พูดต่อว่า "คิดไม่ตกว่าทำไมหล่อนถึงทำดีกับฉีชวนขนาดนี้?""ค่ะ..."คุณปู่แค่นหัวเราะทีนึง "ทั้งหมดถูกคำนวณถึงผลประโยชน์มาหมดแล้ว""หลังจากที่แม่ของฉีชวนเสียชีวิต พ่อสามีที่โง่เง่าเขลาปัญญาของหนูก็โวยวายจะสู่ขอเวินฟางเข้าตระกูลให้ได้""เวินฟางทำลายกล้องวงจรปิดก่อนที่จะลงมือ เลยนึกว่าทุกอย่างเป็น
จนตอนนี้ คุณปู่อุตส่าห์พูดมาขนาดนี้แล้ว ฉันไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธอีกฉันกับฟู่ฉีชวนแยกกันอยู่แล้ว หนังสือหย่าแผ่นเดียว แค่ช่วยให้พวกเราแยกขาดจากกันได้อย่างชัดเจนขึ้นก็เท่านั้นไม่ใช่สิ่งที่ต้องรีบร้อนทำเดี๋ยวนี้ยิ่งไปกว่านั้น งานครบรอบอายุแปดสิบปีของคุณปู่ ก็จะจัดในอีกหนึ่งเดือนให้หลัง อีกไม่นานก็ถึงแล้วจากนั้นลุงเฉิงก็มาส่งฉันออกจากห้องหนังสือ"ที่คุณท่านทำแบบนี้ ก็เพราะกลัวว่าคุณนายกับนายน้อยจะมานึกเสียใจทีหลัง ก็เลยอยากให้พวกคุณใช้เวลาช่วงนี้ไตร่ตรองกันให้ดี"ฉันเม้มปากนิดหน่อย ขณะกำลังอยากจะพูดอะไร เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเป็นเบอร์แปลกที่โทรเข้ามา"สวัสดีครับ เป็นญาติของเจียงไหลใช่ไห?""ใช่ค่ะ""ผมโทรมาจากสถานีตำรวจเจียงอัน รบกวนคุณช่วยมาที่นี่หน่อยครับ"ฉันตื่นตระหนกทันที ยังไม่ทันได้ถามอะไร อีกฝ่ายก็วางสายไปฉันไม่มีเวลาสนใจอย่างอื่น รีบซอยเท้าลงชั้นล่าง ทันทีที่ออกจากลิฟต์ก็เจอเข้ากับฟู่จินอันที่หัวร้อนจนควันออกหู"แกจะข่มเหงฉันมากไปแล้ว!"หล่อนพูด พร้อมกับเตรียมจะตวัดฝ่ามือใส่ฉันอีกรอบ แต่ถูกฉันรั้งเอาไว้ในใจของฉันคิดแต่เรื่องของเจียงไหล ไม่มีอารมณ์มาเสียเวลาอย
เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น สีหน้าของฟู่ฉีชวนมักจะเฉยชาตามเคยเสื้อกันลมสีดำยิ่งช่วยเพิ่มออร่าให้แข็งแกร่งขึ้นจนคนแปลกหน้าไม่กล้าเข้าใกล้ยิ่งเขาย่างกรายเข้ามาใกล้มากเท่าไหร่ จู่ๆ ฉันก็รู้สึกตุ้มๆ ต่อมๆมากขึ้นเท่านั้นเรื่องนี้ จะว่าเล็กก็ได้ จะว่าใหญ่ก็ไม่เชิงถ้าเป็นคดีเล็กก็ชดใช้เงิน แต่ถ้าคดีใหญ่...ระดับอำนาจของฟู่ฉีชวนในเมืองเจียงเฉิง การจะให้เจียงไหลเข้าคุกก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรยิ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่า เขาต้องปกป้องฟู่จินอันแน่นอนตามที่คาด เขายืนข้างกายฟู่จินอัน ดวงตาหรี่ลงเล็กร้อย ริมฝีปากบางเอ่ยขึ้นว่า "เธออยากจะให้จัดการยังไง?"ฉันกำฝ่ายมือแน่นทันที ก่อนที่ฟู่จินอันจะพูดอะไรออกมา เจียงไหลก็ดึงฉันไปไว้ด้านหลัง"ฉันเป็นคนทำเรื่องนี้เองคนเดียว ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับหรวนหร่วน""เจียงไหล!"ฉันร้อนใจทันที แต่เจียงไหลกลับมองมาที่ฉัน แล้วตั้งใจเสียดสีว่า "แล้วเธอจะทำยังไง? จะยอมขอร้องอ้อนวอนอดีตสามีต่อหน้าประชาชี หรือขอร้องอ้อนวอนนังเมียน้อยหน้าไม่อายที่เข้ามาเป็นมือที่สามในชีวิตคู่ของเธอเพื่อฉันดีล่ะ?"ก่อนที่เธอจะพูดจบ บรรยากาศยิ่งตึงเครียดหนักกว่าเดิมฟู่จินอันแค่นหัวเราะเสียง
"ตอนนั้นถ้าไม่ใช่เพราะคุณปู่เอาความคิดของตัวเองเป็นที่ตั้ง นายก็คงไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้"……เจียงไหลฟังจนต้องกรอกตามองบน ถ้าไม่ใช่เพราะฉันลากเอาไว้ คงได้พุ่งกลับไปสั่งสอนอีกแน่ไม่รู้ว่าฝนตกลงมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ลมในฤดูใบไม่ร่วงโหมกระหน่ำ อุณหภูมิลดลงอย่างกระทันหัน หนาวจนต้องหดคอลงเมื่อขึ้นมาบนรถ เจียงไหลก็บ่นอย่างเดือดดาล "เธอจะลากฉันออกมาทำไม ไม่ได้ยินที่มันพูดหรอ? แม่งเอ้ย ไอ้ควาย ตอนที่มนุษย์กำลังวิวัฒนาการ มันมัวแต่ไปหลบอยู่ในกะลาสินะ!""ได้ยินแล้ว"ฉันเหนื่อยหน่าย สตาร์ทรถแล้วค่อยๆ ขับออกถนน "ฟู่ฉีชวนเป็นคนเอาแน่เอานอนไม่ได้ ฉันอยากรีบออกมาก่อนที่เขาจะนึกเปลี่ยนใจ"ไม่มีความจำเป็นต้องจุกจิกอยู่กับฟู่จินอัน"เธอไม่โกรธหรอ?" เธอถาม"ยังได้อยู่"แทนที่จะบอกว่าไม่โกรธ บอกว่าชินแล้วจะดีกว่าเวลานี้ ชีวิตกลางคืนในเมืองเจียงเฉิงเพิ่งเริ่มต้นขึ้น ผู้คนจำนวนมากแออัดเต็มท้องถนน ทำให้การจราจรติดขัดฉันขับๆ หยุดๆ ตลอดทางจู่ๆ เจียงไหลก็โค้งริมฝีปากหัวเราะออกมา เขยิบเข้ามาใกล้ แล้วกระพริบตาปริบๆ ใส่ฉัน "สะใจป้ะ?""สะใจอะไร""เห็นรถของแม่นั่นโดนทุบจนกลายเป็นสภาพนั้น สะใจป้ะ?"
ย้ายบ้าน?ฉันแทบหยุดหายใจทันใดนั้นก็รู้สึกหงุดหงิดไม่ค่อยสบายใจฉันหายใจเข้าลึก "ย้ายมานี่? แต่ฉันยังไม่อนุญาตเลย""ปู่เธอบอกว่าเธอสัญญากับผู้ใหญ่ว่าจะเลื่อนการหย่าออกไป"เขาเริ่มเล่นแง่ ส่งมือถือมาให้ฉัน "ไม่งั้นคุณคุยกับคุณปู่ดู""เล่นแง่กับฉันหรอ"ฉันอดไม่ได้ถลึงตาใส่เขา "ฉันยอมจะเลื่อนการหย่า ไม่ได้หมายความว่าให้คุณย้ายมาอยู่"ขนาดเป็นถึงรองประธานบริษัทแซ่ฟู่กรุ๊ปยังจะมาไม้นี้พูดออกไปใครจะเชื่อ"ผัวเมียอยู่ได้กันเป็นเรื่องปกติ" เขาพูดด้วยเหตุผลน่าคล้ายตาม"ตรรกะป่วยๆ"ฉันด่าเขาและเปิดประตูกลับเข้าบ้านเขาเดินตามเข้ามาอย่างเป็นกันเองบางทีอาจเพราะคิดถึงท่านปู่บอกฉันเมื่อคืนนั้น ฉันเลยอดไม่ได้จะรู้สึกสงสารฟู่ฉีชวน และไม่ได้ไล่เขาออกไปฉันเพียงแค่ชี้ไปยังห้องนอนตรงข้าม "คุณนอนห้องนั้น""อืม ครับ"เขาไม่ได้เรียกร้องอะไร เขาตอบอย่างนุ่มนวล และลากกระเป๋าเดินเข้าไปฉันเทน้ำดื่ม พอวางแก้วหันหลัง ก็กระแทกเข้ากับแผงอกอันอบอุ่นเป็นบรรยากาศคุ้นเคยชวนคิดถึงทว่า ฉันกลับกระโจนถอยหลังไปสองก้าว ถามกลับอย่างทำตัวไม่ถูก "มีธุระอะไรอีก?"ไม่ได้ดูคุ้นเคยเหมือนสามีภรรยา แต่กลับเ
"ยัง ยังไม่หิว"ฉันปฏิเสธ "ฉันมาหยิบของ""อันนั้นน่ะเหรอ?"เขาชี้นิ้วไปยังถุงใส่อาหารเดลิเวอรี่ใบหนึ่งบนโต๊ะฉันรู้สึกอายเหมือนโกหกแล้วถูกจับได้คาหนังคาเขา ฉันปัดจมูก "คนส่งอาหารไม่ได้กดกริ่งไม่ใช่หรอ""เขาไม่ได้กดกริ่งหรอก""คุณรู้ได้ไงเขามาส่งแล้ว?""เขาเคาะประตู""..."ฉันกระแอมเบาๆ รู้เหลือสุดจะทนกับความฉลาดของคนส่งอาหารตอนฉันเดินเข้าไปเปิดถุงเตรียมรับประทาน ฟู่ฉีชวนก็เอาโจ๊กทะเลร้อนๆ หอมฟุ้งมาวางไว้ตรงหน้าฉัน"คุณปู่บอกว่าคุณแทบไม่ได้ทานอะไรเลย เลยให้คนเอาอาหารทะเลที่เหลือมาส่ง""แล้วโจ๊กชามนี้...""ผมทำเอง"ฟู่ฉีชวนนั่งตรงข้ามฉัน สีหน้าจริงจังเล็กน้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นสงบ "ผมอาบน้ำแล้ว อาบเสร็จก็ไปทำให้ คุณไม่สบายไม่ใช่หรอ ช่วงนี้ควรลดทานอาหารเดลิเวอรี่"พอฟังเขาพูด ฉันชะงักไปเล็กน้อย หลังจากได้สติก็อดประหลาดใจไม่ได้เขากำลังบอกฉันเขาอาบน้ำจนสะอาดแล้วไปต้มโจ๊กให้ฉัน เพื่อไม่ให้ฉันรังเกียจเขางั้นหรอฉันก้มหน้าลงมองโจ๊กร้อนๆ ด้วยสายตาเหม่อลอย พอตักโจ๊กทานได้สองสามคำ อารมณ์ก็สงบลง"ฟู่ฉีชวน ที่จริงไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้"คุณทำแบบนี้ ยิ่งทำให้ฉันลังเลตัดใจไม่ไ
ตั้งแต่หลังจากท้อง นี่เป็นครั้งที่ฉันนอนหลับไม่เต็มอิ่มที่สุดฉันตอกย้ำบอกตัวเองซ้ำๆ ว่าเขาคืออดีตสามี แต่สุดท้ายก็ควบคุมตัวเองไม่ได้อยู่ดีวันรุ่งขึ้น ตอนต้องออกไปทำงานพร้อมกับขอบตาดำ ขณะกำลังเดินไปเปิดประตูก็ถูกฟู่ฉีชวนเรียกเขาสวมสูทธสีเทาเงินแบบพิเศษ สั่งตัดพอดีตัว เสริมให้บรรยากาศรอบตัวดูเข้าหายาก แต่รูปร่างหน้าตาสมบูรณ์แบบกลับดึงดูสายตามากขึ้นเขาเอากระเป๋าเก็บอุณหภูมิยื่นให้ฉันอย่างไม่อาจปฏิเสธพร้อมกับเสียงราบเรียบ "เอาอาหารเช้าไปด้วย""อืม"ฉันรับไว้ไม่ได้ปฏิเสธฉันเองจะได้ไม่ต้องซื้อข้าวเช้าด้วย เขาฐานะพ่อของเด็กในท้อง ทานอาหารเช้าของเขาสักมื้อไม่ใช่เรื่องใหญ่พอเห็นเช่นนั้น มุมปากของเขาก็เผยยิ้มเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว "ผมต้องไปบริษัทด้วย ไปด้วยกัน""อย่าเลย ไม่อยากเป็นที่ต้องสงสัย เดี๋ยวคนรักคุณมาหาเรื่องฉันอีก""เธอไม่หาเรื่องหรอก""คุณยอมรับว่าเธอคือคนรักคุณ?"น้ำเสียงฉันเยาะเย้ย พอพูดจบก็เดินออกจากห้อง เดินไปเข้าลิฟต์ในลานจอดรถชั้นล่าง รถ Maybach สีดำคุ้นตาจอดอยู่ข้างๆ รถฉันฉันทำเป็นไม่เห็นและขึ้นรถของตัวเอง ขณะกำลังสตาร์ทรถ ฉินเจ๋อทำหน้ายิ้มแย้มเดินมาเคาะกร
เขามีความแค้นในใจกับเสิ่นซิงหยูหรือเปล่า?เขาลดตาลงและพูดอย่างไม่ใส่ใจ "อย่าคิดมาก ฉันแค่ต้องการจัดการกับเธอด้วยตัวเอง"ฉันพูดโดยไม่ลังเล: "โอเ งั้นเรื่องวันนี้ถือว่าคุณจัดการไป"ทำไมไม่แก้แค้นเสิ่นซิงหยู่และถอยห่างจากเธอล่ะโจวฟางเหลือบตามองมาที่ฉันและยิ้มออกมา "หร่วนหนานจือ คุณฉวยโอกาสเก่งมากเลยสินะ?""แน่อยู่แล้ว!"ฉันหัวเราะคิกคัก “ว่าแต่ คุณรู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”โจวฟางมองฉันเหมือนคนโง่แล้วพูด: "คุณคิดว่าจินซื่อเจี๋ยจะไม่โทรหาฉันก่อนลงมือเหรอ?"ฉันขมวดคิ้วและคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เข้าใจ"ฉันเข้าใจแล้ว"แน่นอนว่าจินซื่อเจี๋ยจะต้องแจ้งให้โจวฟางทราบถ้าโจวฟางตกลง นั่นก็ถือเป็นการช่วยเหลือสำหรับเขา เพราะเมื่อฉันขอความช่วยเหลือในวันนั้น ฉันก็ยืมชื่อของโจวฟางมาใช้ และถ้าเกิดเรื่องไม่ดี โจวฟางก็จะปกป้องเขาถ้าโจวฟางหยุดเขา มันก็จะยิ่งสะดวกสำหรับเขามากขึ้น เพราะเขาไม่ต้องเสี่ยงต่อการถูกแก้แค้นจากตระกูลเสิ่นหลังจากลงมือไม่ว่าจะคิดอย่างไร เขาก็ไม่มีข้อเสียเปรียบเลยหลังจากกลับไปที่เมืองเจียงเฉิงหมายเลข 1 และออกจากลิฟต์แล้ว เราก็แยกย้ายกันกลับบ้านของตัวเองฉันเพิ่งล
ปฏิกิริยาแรกของฉันคือสับสนไปชั่วครู่ จากนั้นฉันก็พบว่ามันไร้สาระโหดร้ายพวกเขาลักพาตัวฉันและปล่อยให้ฉันบาดเจ็บตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ฉันไม่เห็นว่าพวกเขาจะคิดทบทวนตัวเองบ้างเลยตอนนี้ ฉันแค่ขอให้จินซื่อเจี๋ยทำแผลแบบเดียวกับฉันบนเสิ่นซิงหยู แต่พวกเขากับเรียกมันว่าสองมาตรฐานคุณหนูลูกสาวเศรษฐีมีค่า แต่คนธรรมดานั้นไม่มีค่าเลยงั้นเหรอ?ช่างสองมาตรฐานจริงๆ"พูดอะไรหน่อยสิ? แกรู้สึกผิดอยู่หรือเปล่า โอเค ตั้งแต่คุณเริ่มเรื่องนี้ อย่าโทษฉันสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป!" แม่เสิ่นยังคงตะโกนอย่างโกรธจัดที่ปลายสายอีกด้านโทรศัพท์เชื่อมต่อกับบลูทูธของรถ ดังนั้นโจวฟางจึงได้ยินทุกอย่างอย่างชัดเจนฉันยิ้ม ก่อนที่ฉันที่จะพูดออกมา โจวฟางก็พูดขึ้นก่อน: "ป้า คุณกำลังกล่าวหาคุณหร่วนอย่างไม่ยุติธรรมอยู่ วันนี้ฉันอยู่ที่บริษัทของเธอทั้งบ่าย เพื่อถูรถ และฉันก็ไม่เห็นเธอคบหาสมาคมกับใครเลย"เขาใช้คำพูดเบาๆ เพียงไม่กี่คำเพื่อเคลียร์ฉันให้พ้นจากความเกี่ยวข้องใดๆ ได้อย่างเรียบร้อย"อาฟาง?"แม่เสิ่นลังเลอยู่ครู่หนึ่งและระงับอารมณ์ไว้ "มันไม่จำเป็นต้องพบใครเพื่อทำแบบนี้ อย่าให้รูปลักษณ์ที่เรียบง่ายและใจดีขอ
"?"ฉันสงสัยว่า "รอฉันทำงานเสร็จก่อนเหรอ?"นี่มันการกระทำแบบไหนกัน"เพื่อนส่งฉันมาที่นี่เมื่อกี้ ฉันไม่มีรถ"ขณะที่เขาพูด เขาก็ยื่นข้อมือมาให้ฉันและขอให้ฉันดูเวลา "คุณกำลังจะเลิกงานแล้ว ช่วยมารับฉันกลับด้วย""ฉันจะโทรเรียกรถให้คุณ"ฉันหยิบโทรศัพท์ออกมา และเขาก็ขมวดคิ้วก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า "ฉันไม่เคยนั่งแท็กซี่มาก่อน"เอาล่ะเป็นเรื่องธรรมดาที่นายน้อยจะมีลักษณะเฉพาะของเขาฉันไม่มีอะไรจะพูด "งั้นคุณก็รอได้เลย"ฉันหันศีรษะและเข้าไปในห้องทำงานของฉัน เจียงไหลเอื้อมมือมาอย่างรวดเร็วเธอขยิบตาให้ฉันและพูดว่า "ทำไมนายน้อยของตระกูลโจวยังไม่ไปจากที่นี่?""กำลังรอรถ"ฉันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตอบเจียงไหลนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามฉัน โดยวางข้อศอกบนโต๊ะและเอามือประคองใบหน้า“ก่อนหน้านี้ ฉันสังเกตเห็นว่าแม่ลูกตระกูลเสิ่นดูกลัวเขามาก บางทีคุณควรพยายามทำความรู้จักกับเขาหน่อย ถ้าเกิดอะไรขึ้น เขาอาจช่วยคุณได้”“ช่างมันเถอะ”ฉันปฏิเสธความคิดนั้นโดยไม่ลังเล “คุณคิดว่าเขาเป็นคนประเภทที่ปล่อยให้ตัวเองถูกหลอกใช้หรือเปล่า?”เขาดูเย้ยหยัน แต่ที่จริงแล้ว เขารู้ทุกอย่างในใจของเขาไ
เมื่อเห็นเขาเข้ามา เสิ่นซิงหยูก็ระงับสีหน้าเยาะเย้ยทันที แต่ยังคงอารมณ์ฉุนเฉียวและพึมพำว่า “เข้าข้างคนนอกเสมอ!”แม่เสิ่นไม่ได้แข็งกร้าวเหมือนก่อนหน้านี้ เธอแค่ถาม "ทำไม?"“ผมบอกคุณย่าไปแล้วว่าผมจะเอาชุดที่สั่งตัดมาให้เธอสองสามชุด”โจวฟางยิ้มและเสริมว่า “สุดสัปดาห์นี้ผมจะพาหร่วนหนานจือไปพบเธอเพื่อฟังความคิดของเธอ ถ้าตอนนี้คุณรังแกเธอแล้วเธออารมณ์เสียและปฏิเสธผม ผมจะอธิบายเรื่องนี้กับคุณย่าได้ยังไง”เมื่อได้ยินเช่นนี้ เสิ่นซิงหยู่ก็ยกคิ้วและจ้องมองทันที "คุณจะพาเธอไปหาคุณย่าโจวเหรอ?""ใช่เรื่องของเธอเหรอ?"โจวฟางพูดอย่างประหยัด ไม่เต็มใจที่จะเสียเวลาแม้แต่พยางค์เดียวเสิ่นซิงหยู่ขมวดคิ้วอย่างเย็นชา "คุณย่าโจวมักจะกังวลเกี่ยวกับกฎเกณฑ์และชื่อเสียงอยู่เสมอ จะยอมให้หญิงมั่วชายอย่างนางพบได้ยังไง?""เสิ่นซิงหยู่ แม้ว่าเธอจะเป็นแบบนี้ คุณย่าของฉันก็ยังทนได้ ฉันแน่ใจว่าคุณหร่วนจะได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี"แม้แต่ต่อหน้าแม่เสิ่น โจวฟางก็ไม่ไว้หน้าให้เสิ่นซิงหยู่แม่เสิ่นระงับความโกรธและประนีประนอมโดยกล่าว: "เมื่อเป็นอย่างนั้น เราจะไว้หน้าให้เธอและไม่โต้เถียงกับเธอในตอนนี้"“ดูแลตัวเอ
หากยืนกรานที่จะทำให้ฉันอับอายอย่างตั้งใจ นั่นฟังดูน่ายินดีมากแสดงความรักอย่างลึกซึ้งในอดีต แต่ฉันจำคำพูดตรงไปตรงมาที่ เธอพูดกับฟู่ฉีชวนในโรงพยาบาลได้อย่างชัดเจนอย่างไรก็ตาม แม่เสิ่นก็ตกตะลึงจนจับหน้าผากของเธอด้วยความหงุดหงิด "นี่ลูก! ทำไมลูกถึงรักฟู่ฉีชวนทั้งหัวใจแบบนี้!”เสิ่นซิงหยูยิ้มอย่างเชื่อฟังและพูดว่า "เขาเป็นคนดีมาก บางคนไม่รู้ว่าจะดูแลเขายังไง แต่ฉันจะทำแน่นอน"ชอบพูดจาแขวะคนอื่นฉันพบว่ามันน่าขบขันแต่ก็ไม่อยากยุ่งกับเธอ ฉันแค่อยากจะจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ฉันเลยถามอีกครั้งว่า “แล้วคุณบอกความต้องการของคุณให้ฉันรู้ได้ไหม?”"ต้องสูงศักดิ์!"เธอสั่งอย่างเย่อหยิ่งและเสริมว่า “ควรมีเพชรจำนวนมาก แวววาวไปทั่วทุกจุด คอเสื้อควรประดับด้วยไข่มุก ต้องดูแพงมาก โอ้ แล้วก็ทับทิมด้วย ฉันชอบสีแดง…”สุดท้ายแล้ว ฉันรู้สึกมีแรงบันดาลใจเล็กน้อยเพชร ไข่มุก ทับทิมนี่ไม่ใช่ชุดราตรี แต่เป็นตู้โชว์เครื่องประดับฉันบอกไม่ได้ว่าเธอชอบสไตล์นี้จริงๆ หรือเธอจงใจทำให้ทุกอย่างยากขึ้นฉันเม้มปากและพูดจากมุมมองของมืออาชีพมากที่สุดเท่าที่จะทำได้: "คุณหนูเสิ่น องค์ประกอบนี้อาจมากเกินไปหน่อย ซึ่ง
เมื่อแม่เสิ่นปรากฏตัวที่สำนักงาน หน้าอกของเธอยังคงไม่เท่ากันเล็กน้อย ซึ่งบ่งบอกว่าเธอกำลังวิตกกังวลใครๆ ก็บอกได้ในทันทีว่าเธอใส่ใจลูกสาวของเธอ เสิ่นซิงหยูมากเพียงใดไม่ต่างอะไรกับการปกป้องอัญมณีอันล้ำค่าเสิ่นซิงหยูเห็นผู้สนับสนุนของเธอเข้ามาและยื่นปากออกมา ดูเหมือนว่าเธออยากจะร้องไห้ "แม่ ฉันสงสารเธอที่หย่าร้างและจะช่วยอุดหนุนธุรกิจของเธอ เธอถึงกับเรียกฉันว่าหมากับเพื่อนของเธอด้วยซ้ำ"แม่เสิ่นขมวดคิ้วและจ้องมองฉันอย่างโกรธเคือง "หร่วนหนานจือ อย่าไม่รู้จักบุญคุณกันเกินไปนะ! ขอโทษลูกสาวของฉันเดี๋ยวนี้!""ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น"เจียงไหลไม่สามารถฟังได้อีกต่อไป "การไม่รู้จักบุญคุณหมายความว่ายังไง? ใครเป็นคนขอร้องให้ลูกสาวของคุณอุดหนุนธุรกิจของเรา ฉันบอกไปแล้วว่าเราไม่รับออเดอร์ เธอจะยืนกรานอย่างไม่ลดละ""แล้วเธอคิดว่าเธอเป็นใคร ถึงกล้าพูดกับฉันแบบนี้?”หลังจากพูดจาเหยียดหยาม สายตาของแม่เสิ่นก็จับจ้องมาที่ฉัน เต็มไปด้วยความคุกคาม "หร่วนหนานจือ คราวที่แล้ว ฉันปล่อยให้เธอออกไปเพราะไว้หน้าเธอ ถ้าวันนี้เธอควบคุมปากไม่ได้ ฉันจะทำให้เธอหายไปจากเมืองเจียงเฉิง"เจียงไหลที่ไม่เคยยอมแพ้ต่อการ
ส่วนที่เหลือ ค่อยๆ รับสมัคร……ในช่วงบ่าย ขณะที่ฉันกำลังจดจ่ออยู่กับการออกแบบคอลเลกชั่นฤดูใบไม้ผลิใหม่ ฉันได้ยินเสียงการโต้เถียงดังมาจากภายนอกหนึ่งในนั้นชัดเจนมาก ฉันคุ้นเคยเป็นพิเศษและอีกอันก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าเช่นกันทันทีที่ฉันเปิดประตูและเดินออกไป ฉันได้ยินเจียงไหลพูดว่า "เธอไม่เข้าใจเหรอ ฉันบอกเธอแล้วว่าฉันจะไม่ทำธุรกิจกับเธอ การออกแบบเสื้อผ้าให้เธอ ฉันคิดว่าฉันกำลังทำให้มือของหรวนหร่วนของฉันสกปรก"ฮึ่ม"อีกคนกรนเสียงเย็นชาด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่งและชอบบงการตามปกติของเขา “งั้นฉันขอพูดให้ชัดเจนนะ เธอจะทำไม่ว่าเธอจะต้องการหรือไม่ก็ตาม”มีเพียงเสิ่นซิงหยูเท่านั้นที่สามารถทำตัวให้หยิ่งผยองได้“ถ้าฉันปฏิเสธล่ะ เธอจะทำยังไง?”เจียงไหลก็ไม่กลัวเธอเช่นกัน เขาทำท่ายักไหล่แล้วพูดว่า "ทำไมเธอไม่โทรเรียกตำรวจล่ะ? อ้อ ถ้าเราจับคุณได้ เราคงต้องหาทีมจับสุนัขให้เจอ อย่าไปโทร 110 เลย เธอจะเสียทรัพยากรของตำรวจไปเปล่าๆ"เธอไม่เคยแพ้ใครในการด่าทอเลยเสิ่นซิงหยู่โกรธมากจนกัดฟันแล้วพูดว่า “เธอแน่ใจนะว่าจะไม่ทำ? โอเค งั้นฉันจะทำให้แน่ใจว่าบริษัทของเธอปิดตัวลงในวันที่เปิดทำการ”"เราจะทำ!"ฉันก
ฉันกับเจียงไหลคิดเรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง แต่ไม่คิดว่าจะมีใครทำเรื่องดีๆ เช่นนี้"ลืมไปเถอะ อย่าเพิ่งคิดเรื่องนี้ตอนนี้ การเปิดประตูเพื่อทำธุรกิจ การมีออเดอร์เป็นสิ่งที่ดี"เจียงไหลมองโลกในแง่ดีขณะที่เธอยืดตัวอย่างขี้เกียจ “มีคนมาสัมภาษณ์เร็วๆ นี้ เธอพร้อมไหม? อยากร่วมสัมภาษณ์กับฉันไหม?”"ได้"ฉันตกลงมีหลายอย่างที่ต้องทำเมื่อบริษัทใหม่เปิดขึ้นแค่ฉันกับเจียงไหลทำงานไม่หยุดตลอด 24 ชั่วโมงไม่เพียงพอการจ้างงานเป็นเรื่องเร่งด่วนระหว่างการสัมภาษณ์ เจียงไหลรับผิดชอบในการถามคำถาม ในขณะที่ฉันรับผิดชอบแค่การทบทวน เราสามารถตัดสินใจร่วมกันในภายหลังฉันคิดว่าสองสามคนแรกโอเค แต่ฉันบอกไม่ได้ว่าดีตรงไหนจนกระทั่งมีหญิงสาวผลักประตูเปิด โค้งตัวเล็กน้อยให้เรา นั่งลงอย่างเชื่อฟัง และแนะนำตัว "สวัสดี ฉันชื่อโจวโม่...."ฉันรู้สึกคุ้นเคยกับท่าทางไร้เดียงสาของเธอเสมอเมื่อเธอพูด สายตาของเธอหันมาทางฉันเป็นครั้งคราว ดวงตาที่เปียกชื้นของเธอเป็นประกายสดใสเจียงไหลรู้สึกขบขันและถามเธอว่า “คุณรู้จักประธานหร่วนของเราไหม? หรือคุณแค่คิดว่าเธอสวยเกินไป?”“ประธานหร่วน...”เธอยิ้มอย่างเขินอายและถามอย่างระมั
ฉันมองออกไปนอกหน้าต่างรถ ชั่วขณะหนึ่ง รู้สึกราวกับว่าน้ำตาได่้ไหลรินลงมาราวกับฝนตก แต่ใบหน้าของฉันยังคงสะอาดและแห้งแม้แต่การมองเห็นก็ยังชัดเจนเป็นพิเศษเมื่อฉันกลับถึงบ้าน ตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ก็โทรมาหาฉันทันทีและบอกว่ามีผู้ซื้อรายหนึ่งตัดสินใจซื้อบ้านในหลินเจียงการ์เด้นและยังใจกว้างมาก โดยไม่ต้องลดราคาใดๆ ทั้งสิ้นพวกเขาขอให้ฉันพบกับผู้ซื้อเพื่อหารือรายละเอียด หากทุกอย่างเป็นไปด้วยดี เราก็สามารถเซ็นสัญญาและดำเนินการตามกระบวนการต่อไปได้ระหว่างทางไปหลินเจียงการ์เด้น ฉันคิดอยู่ตลอดว่าถ้าบ้านหลังนี้สามารถหาผู้ซื้อได้เร็วกว่านี้สักหน่อย หนานซีก็คงไม่ต้องพึ่งการลงทุนของ RF กรุ๊ปน่าเสียดาย ที่ไม่มีคำว่าถ้าอย่างไรก็ตาม การพิงต้นไม้ใหญ่เพื่อให้ร่มเงาก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวของมันเองเมื่อฉันมาถึงหลินเจียงการ์เด้น ฉันเห็น "ผู้ซื้อ" ยืนอยู่ข้างๆ ตัวแทน และอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ "คุณเฉิน คุณชอบอพาร์ตเมนต์นี้หรือเปล่า?""ฉันเอง"เฉินเย่ดูไม่แปลกใจเลยและเป็นกันเองมาก “คุณหร่วน เราเจอกันอีกแล้ว”ฉันหัวเราะและพูดว่า "บังเอิญจริงๆ คุณลงทุนกับฉันตอนเที่ยงและซื้อบ้านของฉันในช่วงบ่าย