เสียงของเธอหนักแน่นกว่าครั้งไหน ๆ “เริ่มจากโครงการลงทุนซ้อน และการกดราคาที่ทำให้พวกคุณต้องสูญเสีย” มือของเธอแตะซองเอกสารอีกฉบับ เอกสารที่เธอเพิ่งได้รับจากชายคนหนึ่งที่คีรณัฐพามา “และเราจะไม่หยุด…จนกว่าเส้นเลือดทุกเส้นที่เชื่อมโยงกับพฤกษ์ไพศาลจะถูกตัดขาดจากวงการธุรกิจนี้” ............................. อีกด้านหนึ่ง ณ ห้องทำงานของภานุวัฒน์ แสงจ้าจากหน้าจอคอมพิวเตอร์สาดเข้าบนใบหน้าคมเข้มของภานุวัฒน์ เขากำลังนั่งอยู่ในห้องกระจกชั้นบนสุดของอาคารซาเลียน อินโนเวชั่น ไฟล์จำนวนมากเรียงรายอยู่บนหน้าจอ—รายงานหน้างานก่อสร้าง ภาพเสาคอนกรีตที่แตกร้าว สายไฟที่ติดตั้งผิดแบบ และรายชื่อผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่ไม่มีใครรับผิดชอบ เสียงเรียกเข้าจาก “ธีภพ” ดังขึ้น ภานุวัฒน์กดรับทันที “ได้เวลาแล้ว” เสียงของธีภพจากปลายสาย ราบเรียบ…แต่เจือแรงกร้าว “ปล่อยข้อมูลพวกนั้นทั้งหมด ส่งให้สื่ออิสระกับองค์กรตรวจสอบอาคารระหว่างประเทศ” “ใช้ชื่อ ‘ผู้แจ้งนิรนาม’ เหมือนเดิม” “ยืนยันนะ?” ภานุวัฒน์ถาม น้ำเสียงต่ำ เงียบไปไม่ถึงวินาที “ยืนยัน” ปลายสายถูกตัด ภานุวัฒน์เอนหลังพิงพนัก พร้อ
แสงไฟสีอุ่นจากโคมระย้าในห้องทำงานส่วนตัว ทาบเงาลงบนพรมลายยุโรปโบราณ ของคฤหาสน์รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคง รัฐมนตรี วิศรุต เกริกไกร วางแก้วบรั่นดีลงบนจานรองเบา ๆ ก่อนจะเลื่อนมือถือบนโต๊ะรับสายที่ปรากฏชื่อว่า พฤกษ์ไพศาล เดชาสกุลวงศ์ “สวัสดีครับคุณพฤกษ์” วิศรุตกล่าวเรียบ ๆ ขณะเอนพิงเก้าอี้หนังแท้ น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเกินกว่าจะเดาอารมณ์ได้ ปลายสายเต็มไปด้วยความกดดัน ก่อนที่เสียงทุ้มต่ำจะเอ่ยขึ้น “ข่าวลือมันลุกลามเกินไปแล้วครับท่าน…ผมมั่นใจว่ามีมือที่มองไม่เห็นอยู่เบื้องหลัง” วิศรุตหัวเราะในลำคอเบา ๆ “โลกธุรกิจน่ะ มันไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวรหรอกคุณพฤกษ์ มีแค่ผลประโยชน์กับจังหวะ” เขาหยิบซิการ์ขึ้นมาหมุนในมืออย่างไม่จุดไฟ สายตายังมองออกไปนอกหน้าต่าง ที่เมืองทั้งเมืองค่อย ๆ ดับแสงลง “ใจเย็นเถอะ ยังไม่ถึงจุดที่คุณควรลน…หรือคุณแค่ไม่ชินกับการถูกล้วงเกม?” พฤกษ์ไพศาลไม่ได้ตอบทันที ปลายสายมีเพียงเสียงหายใจหนักที่แสดงถึงความไม่พอใจ ก่อนที่วิศรุตจะเปลี่ยนเรื่องโดยไม่ปล่อยให้ความตึงยืดเยื้อ “ว่าแต่…” “ในสถานการณ์แบบนี้…ผมว่าธีภพควรห่างจากลาริสาไปก่อน” เสียงของพฤกษ์ไพศาลชะงัก
คำพูดนั้นทำให้แววตาธีภพกระตุกเล็กน้อย แต่เขาไม่ได้พูดอะไร…นอกจากพยักหน้าเบา ๆ แล้วเอ่ยชัดเจน “งั้นผมมีข้อเสนอ” ธีภพเอ่ยขึ้น ขณะยังยืนตรงหน้าพ่อของเขา พฤกษ์ไพศาลเลิกคิ้วเล็กน้อย น้ำเสียงเย็นลง แต่นัยน์ตายังคมเฉือน “ว่ามา…” ธีภพไม่ลังเล เขาพูดชัดถ้อย น้ำเสียงราบเรียบแต่เต็มไปด้วยแรงกดดันที่กดทับไว้ “ถ้าผมทำให้ซาเลียน อินโนเวชั่น ยอมเข้ามาร่วมมือกับเราได้…” เขาหยุดเพียงวินาที เพื่อให้คำถัดไปหนักแน่นยิ่งกว่าเดิม “พ่อจะต้องยุติการเคลื่อนไหวใด ๆ ที่เกี่ยวกับนารา ไม่สั่งให้คนตาม ไม่แทรกแซง ไม่คุกคาม ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม” คำพูดนั้นทำให้บรรยากาศในห้องขึงตึงขึ้นอีกระดับ พฤกษ์ไพศาลวางมือบนไม้เท้าแน่นขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ อย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “นี่แกกำลัง ‘ต่อรอง’ กับฉันงั้นเหรอ?” ธีภพยังคงนิ่ง ไม่หลบ ไม่หวั่น “ไม่ใช่การต่อรองครับ…” “…แต่เป็นเงื่อนไขร่วมทุน ที่ผมจะลงแรงเต็มที่ให้ ถ้าพ่อยอม” พฤกษ์ไพศาลจ้องเขา สีหน้าเคร่งขึ้น “แล้วถ้าฉันไม่ยอมล่ะ?” ธีภพยิ้มบาง ๆ ไม่มีแววอารมณ์ใดบนใบหน้า นอกจากความนิ่งที่แทบจะทำให้บรรยากาศรอบตัวหยุดนิ่งตาม “ก็เท่ากับ พ่อป
นาราเงยหน้าขึ้น สายตาสั่นไหวเพียงเสี้ยววินาที เธอไม่รู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังซาเลียนคือใคร แต่เธอรับรู้ได้ถึงแรงสนับสนุนบางอย่างที่ไม่อาจมองเห็น เธอพยักหน้าเบา ๆ สูดลมหายใจแล้วพูดชัด “งั้นฉันก็วางใจ” ... ณ บ้านวรเมธินทร์ในค่ำคืนที่ไม่มีแสงดาว เสียงประตูปิดลงช้า ๆ ดังแผ่วเบา แต่สะท้อนหนักแน่นในอกของใครบางคน นาราถอดส้นสูงออกแล้วเดินผ่านห้องรับแขกอย่างคนหมดแรง สูทพาดไว้ที่โซฟา เอกสารถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะ ไม่มีบทบาทใดของซีอีโอหลงเหลือในเวลานี้ คืนนี้...เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่บริหารบริษัท เธอแค่ผู้หญิงธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ความเงียบในบ้านแทบจะกลืนเสียงหายใจของเธอ จนกระทั่ง...เสียงกริ่งหน้าประตูดังขึ้น นาราหยุดนิ่ง ราวกับร่างแข็งค้าง เธอไม่อยากเจอใคร ไม่คิดว่าจะมีใครมาในคืนที่หัวใจอ่อนล้า แต่เมื่อเปิดประตูออกไป ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า กลับเป็นคนที่เธออยากลืมมากที่สุด และลืมไม่ได้ที่สุด ธีภพ เดชาสกุลวงศ์ เขายืนอยู่ในความมืด ด้วยใบหน้าที่ไม่ได้ซ่อนอะไรไว้อีก ไม่มีหน้ากากของนักธุรกิจ ไม่มีเงาของคำสั่งจากใคร มีแค่แววตาที่เต็มไปด้วย...ความหวังสุดท้าย “นารา…” เสี
เมื่อจัดการธุระที่บริษัทเสร็จนาราก็กลับมาที่บ้านเพื่อเตรียมตัวสำหรับออกเดินทาง กระเป๋าเดินทางใบกลางถูกเปิดออกบนเตียง ภายในห้องนอนที่ตกแต่งอย่างเรียบหรู นารา กำลังจัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋าอย่างตั้งใจ ทุกพับ ทุกชิ้น เหมือนใช้มันเพื่อกลบเสียงในหัวใจ แต่แล้ว...เสียงกริ่งประตูหน้าบ้านก็ดังขึ้น หัวใจของเธอกระตุกเบา ๆ โดยไม่รู้เหตุผล เธอหันไปมองภาพจากจอกล้องวงจรปิดอัตโนมัติที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอผนัง และชื่อหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวทันที ธีภพ เขายืนอยู่หน้าประตูบ้าน ในชุดเชิ้ตสีเข้มท่ามกลางแสงบ่ายที่ขับให้เงาของเขาดูยาวและโดดเดี่ยว เธอไม่ได้ตกใจ แต่รู้สึก…ปวดแน่นกลางอกในทันที เขายังไม่ยอมแพ้ ยังไม่ยอมถอย ยังคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์อยู่ในชีวิตของเธออยู่หรือยังไง? เธอเดินออกจากห้องนอน หยุดตรงบันไดชั้นบน มองลงไปยังโถงบ้านที่เงียบกริบ “ลุงอำนวย” เธอเรียกเสียงเรียบ ชายชราซึ่งกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ข้างบ้าน เงยหน้าขึ้นทันที “ครับคุณนารา?” เธอกลั้นหายใจเล็กน้อย ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดแต่ไม่แข็งกร้าว “ไปบอกเขาทีค่ะ…ว่าฉันไม่ต้องการพบใครในตอนนี้” ลุงอำนวยลังเลไปเล็กน้อย ก่
เสียงล้อรถของธีภพยังไม่ทันหยุดสนิท ประตูกระจกบานใหญ่ก็เลื่อนเปิดออกช้า ๆ คุณพิรัชต์ กับ คุณบงกช ที่เพิ่งพานาราเข้าไปในบ้านได้ไม่นาน เดินออกมายืนมองด้วยความแปลกใจ ชายหนุ่มในชุดเรียบสุภาพ เดินลงจากรถด้วยท่าทีมั่นใจ แต่สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่หญิงสาวเพียงคนเดียวตรงหน้า นารา สูดลมหายใจเข้าลึก เธอก้าวเร็ว ๆ ออกไปขวางทางเขาไว้ ก่อนที่เขาจะเดินเข้าถึงตัวพ่อแม่เธอ “คุณมาทำไม?” เธอกระซิบเสียงเบา ใบหน้ายังพยายามคงความสงบไว้แม้ในใจจะปั่นป่วน ธีภพไม่ตอบในทันที เพียงส่งยิ้มบางอย่างคนที่ไม่ได้มาเพื่อขออนุญาต แต่…มาในฐานะที่เขาเลือกเอง เสียงคุณบงกชดังแทรกขึ้นมาจากด้านหลัง “นารา เขาเป็นใครน่ะลูก?” นาราหันกลับไปหาแม่ พยายามยิ้มให้เป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่จะทำได้ “แค่คนรู้จักน่ะค่ะพ่อ แม่…” “รู้จักกันทางธุรกิจเฉย ๆ” คุณพิรัชต์เลิกคิ้วนิด ๆ แต่ก็ไม่ได้ถามต่อ ในขณะที่ธีภพเองก็เดินเข้ามาช้า ๆ ยกมือไหว้อย่างสุภาพ “สวัสดีครับ…ขอโทษที่มารบกวนโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า” “ผม…ชื่อธีภพครับ” คุณบงกชรับไหว้ด้วยรอยยิ้มสุภาพแบบผู้ใหญ่ “เชิญเข้ามาดื่มน้ำพักเหนื่อยก่อนสิจ๊ะ” “ไม่เป
นารายืนอยู่ข้างเคน แต่สายตาเธอกลับมองไปยังชายอีกคนที่เดินห่างออกไปทางหน้าประตูบ้าน ธีภพกำลังพูดคุยกับคุณพิรัชต์และคุณบงกช รอยยิ้มของเขาเรียบ สุภาพ และเป็นมิตร จนไม่น่าเชื่อว่า…ชายคนเดียวกันนี้ คือคนที่เธอพยายามผลักออกจากชีวิตอย่างเจ็บปวด เขาคุยกับคุณพ่อของเธอราวกับรู้จักกันมานาน สีหน้าดูผ่อนคลาย แม้จะมีบางแววในดวงตาที่เธออ่านออกว่าไม่ใช่ นารามองภาพนั้นอยู่เงียบ ๆ ก่อนจะเบือนสายตากลับมาหาเคน เธอพยายามฝืนยิ้มให้ธรรมดาที่สุด ทั้งที่ในใจมีอะไรบางอย่างปั่นป่วน “แล้วคุณล่ะคะ มายังไง…” เธอถามเบา ๆ ราวกับต้องการอะไรสักอย่างมาถ่วงอารมณ์ไม่ให้หนักเกินไป เคนหันมายิ้มให้เธอทันที รอยยิ้มของเขายังอบอุ่นเหมือนเดิม “ผมเพิ่งว่างจากงานน่ะครับ” “ตั้งแต่มาทำธุรกิจในไทยก็ยังไม่มีโอกาสมากราบคุณอาทั้งสองเลย” เขาหันไปมองผู้ใหญ่ทั้งสองที่ยืนคุยกับธีภพอย่างสุภาพ ก่อนจะหันกลับมาหาเธออีกครั้ง “พอดีผมมีเวลาว่างนิดหน่อยก่อนจะกลับไปเคลียร์งานต่อที่ญี่ปุ่น…เลยตั้งใจแวะมา” พูดจบ เคนก็หยิบกล่องของขวัญที่วางอยู่ในรถ ก่อนจะยิ้มบาง ๆ แล้วพูดต่ออย่างติดจะขำ ๆ “ก็เลยแวะเอาของฝากเล็ก
นารายิ้มจาง ๆ พยายามไม่ให้น้ำเสียงสั่น “หนูไม่ได้ปิดใจค่ะแม่…แค่ยังไม่อยากเปิดตอนนี้” คุณบงกชยื่นมือเปียกน้ำออกมาแตะมือเธอเบา ๆ “กานต์…เขาไม่อยู่แล้วลูก” “แต่แม่เชื่อว่าถ้าเขาเห็นลูกยังยิ้มไม่ได้แบบนี้ เขาก็คงไม่สบายใจ” เสียงนั้นแผ่วแต่จริงใจ “บางที…คนที่ดี อาจไม่ได้เดินเข้ามาเพื่อแทนที่ใคร” “แต่อาจมาเพื่อช่วยให้ลูกหายเจ็บ” นาราก้มหน้าลง เธอไม่ได้ตอบ แต่เสียงในอก…ดังพอจะทำให้หยดน้ำจากดวงตา…ร่วงปะปนกับหยดจากฝ่ามือเปียกของเธอ เธอเงียบ เช็ดจานในมือต่อด้วยจังหวะที่ช้าลงอย่างไม่รู้ตัว ในหัวใจที่เหมือนจะว่างเปล่า กลับอัดแน่นด้วยเสียงหนึ่งที่ไม่เคยหายไปเลย ในความลึกของใจ เธอก็อยากจะเปิดใจเหมือนกัน อยากปล่อยให้ความสุขเข้ามาแทนที่ความเจ็บ อยากเชื่อ ว่าเธอจะรักใครอีกครั้งได้ แต่สิ่งที่ครอบครัวของเขาทำกับกานต์...กับอดีตคนรักของเธอ มันไม่ใช่แค่ความบังเอิญ มันคือการพราก...อย่างตั้งใจ และแค่ความรู้สึกดีที่เขาเคยมีให้กัน มันยังไม่พอจะลบล้างสิ่งนั้น เธอพยายามแล้ว แต่บางแผล…มันลึกเกินกว่าที่จะเย็บด้วยคำว่า "ให้อภัย" ... แสงสุดท้ายของวันสาดส่องเป็นเงาอ่
“เหนื่อยไหมครับ?” เขาถามเมื่อพาเธอเข้ามานั่งบนโซฟา “ไม่ค่ะ…แค่ใจเต้นแรงอยู่เรื่อยเลย” เธอยิ้มบาง ๆ พูดออกมาอย่างเขิน ๆ ธีภพหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะโน้มตัวลงกระซิบใกล้ใบหูเธอ “ใจคุณเต้นแรง…แต่ใจผมแทบจะระเบิด” นาราหัวเราะคิก แล้วตีไหล่เขาเบา ๆ แต่มือของเขากลับยื่นมาจับมือนั้นไว้ และแนบมันไว้กับอกเขา ภายในห้องนอน แสงไฟสีอำพันคลี่คลุมห้องทั้งห้องไว้ด้วยความอบอุ่น กลิ่นหอมจาง ๆ จากดอกไม้ข้างเตียงแตะจมูกเบา ๆ เสียงหัวใจสองดวงที่กำลังใกล้กันทีละนิด…ดังกว่าเสียงใด ๆ ธีภพยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ดวงตาเขามองเธอราวกับเธอเป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิต ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปปลดเครื่องประดับผมของเธอออกช้า ๆ เส้นผมดำขลับสยายลงบนบ่าขาว เธอหลับตาลงช้า ๆ รับสัมผัสจากปลายนิ้วของเขา “คุณรู้ไหม” เขากระซิบ “ผมฝันถึงค่ำคืนนี้มานานมาก ฝัน…ถึงวันที่คุณจะอยู่ในอ้อมแขนผม ไม่ใช่แค่ชั่วคืน แต่ตลอดชีวิต” เธอไม่ตอบ เพียงยิ้ม และยื่นมือไปแตะแก้มเขาเบา ๆ “และฉันก็เลือกจะอยู่ตรงนี้…กับคุณ ทั้งในคืนนี้ และคืนไหน ๆ ที่ยังมีลมหายใจอยู่” ธีภพก้มลงจูบหน้าผากเธออย่างแผ่วเบา จากนั้นป
วันแต่งงานที่รอคอยมาถึง เช้าวันนั้น แสงแดดยามสายทอดอุ่นลงบนสนามหญ้าเขียวขจี สายลมพัดผ่านแผ่วเบา กลีบดอกไม้ที่ประดับอยู่ตามซุ้มขาวเคลื่อนไหวราวกับเต้นรำรับจังหวะหัวใจของใครบางคน บริเวณงานถูกจัดเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยรายละเอียดที่เต็มไปด้วยความใส่ใจ ผ้าคลุมบางเบา โทนสีขาวครีมผสมกลิ่นกุหลาบอ่อน ๆ ลอยในอากาศ ดนตรีจากเปียโนคลอเบา ๆ ท่ามกลางเสียงพูดคุยของแขกที่มาด้วยรอยยิ้ม ที่นี่...คือสถานที่ซึ่งหัวใจสองดวงจะเริ่มต้นบทใหม่ ไม่ใช่แค่พิธีการ แต่เป็น "คำสัญญา" ที่กลั่นมาจากทุกบททดสอบของชีวิตที่ผ่านมา ... ภายในห้องแต่งตัว เสียงหัวเราะนุ่ม ๆ ดังขึ้นเมื่อหญิงสาวในชุดเดรสลูกไม้สีพีชก้าวเข้ามา พราวฟ้า ดาราสาวเพื่อนสนิทของนารา วางกระเป๋าเบา ๆ แล้วโผเข้ากอดเพื่อนด้วยความคิดถึง “หายไปครึ่งปี! ฉันนึกว่าเธอหายสาบสูญไปแล้วนะ” นาราหัวเราะอย่างแผ่วเบา “เกือบแล้วจริง ๆ” พราวฟ้าหัวเราะตาม “กองถ่ายเรื่องล่าสุดให้เก็บตัวขึ้นเขา ไม่มีเน็ต ไม่มีสัญญาณเลยสักเส้น ฉันนับวันรอจะได้ลงมางานนี้เลยนะรู้ไหม” สองเพื่อนสาวสบตากันอย่างเข้าใจ แม้ไม่มีคำพูดมาก แต่แววตาก็สื่อได้ว่า…เธอไม่พลาดวัน
คำพูดนั้นเรียบ แต่หนักแน่นพอจะทำให้ห้องทั้งห้องเงียบงันชั่วครู่ คุณบงกชหันไปมองนารา ลูกสาวของเธอในวันนี้…ไม่ใช่ผู้หญิงที่ยังตกอยู่ใต้เงาอดีตอีกต่อไป แต่คือผู้หญิงที่ยืนอย่างมั่นคง ข้างคนที่เลือกจะปกป้องเธอจนสุดทาง การพูดคุยหลังจากนั้นดำเนินไปอย่างอบอุ่น กำหนดวันหมั้นและวันแต่งงานถูกพูดถึงทีละลำดับ เสียงหัวเราะดังขึ้นบ้างในจังหวะที่คุณบงกชและคุณสุวิมลคุยกัน พลางหันมาถามว่า “ตกลงต้องเตรียมห้องไว้สำหรับเวลาหลาน ๆ มาเที่ยวเล่นเลยไหมลูก?” ธีภพกับนาราสบตากันแล้วยิ้ม แบบที่ไม่ต้องมีคำตอบ เพราะคำตอบอยู่ในดวงตาคู่นั้น…ที่มองกันราวกับโลกทั้งใบมีแค่คนสองคน หลังจากบทสนทนาเรื่องวันสำคัญสิ้นสุดลง ในขณะที่ทุกคนยังนั่งพูดคุยกันด้วยรอยยิ้มอบอุ่น นาราค่อย ๆ ลุกขึ้น เธอไม่ได้เอ่ยคำใด เพียงสบตาธีภพอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหมุนกาย ก้าวขึ้นสู่ชั้นบนของบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำ บ้านสไตล์เรียบหรูที่แวดล้อมด้วยสีอุ่นและแสงเงานุ่มนวล เงียบพอให้ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองทุกครั้งที่ก้าวเท้า เธอหยุดหน้าห้องห้องหนึ่ง ประตูไม้สีอ่อนเรียบสะอาดบานนั้นไม่ได้ถูกเปิดมานานหลายปี เพราะมันคือห้
ไม่กี่วันถัดมา แสงแดดอุ่นยามสายสาดลงบนระเบียงหน้าบ้านสองชั้นสไตล์เรียบหรู เส้นสายของรั้วขาวตัดกับสวนสีเขียวขนาดย่อมอย่างลงตัว เงาของต้นปีบที่ปลูกใหม่เพิ่งเริ่มผลิใบสะท้อนบนกระจกหน้าต่างชั้นสอง ธีภพ ก้าวลงจากรถก่อนจะเดินอ้อมมาเปิดประตูให้เธอ มือเขายื่นออกมาโดยไม่ต้องเอ่ยคำ เธอก็วางมือลงในมือเขาอย่างคุ้นเคย “บ้านหลังนี้…จะเป็นเรือนหอของเรานะ” เขาบอกเสียงนุ่ม นารามองตรงไปยังตัวบ้าน บ้านเดี่ยวหลังไม่ใหญ่แต่ถูกออกแบบอย่างประณีต สีนวลอ่อนของผนังตัดกับโครงไม้สีอบอุ่น ประตูไม้จริงมีลวดลายเรียบง่ายแต่แฝงความมั่นคง “สวยมากเลยค่ะ” เสียงเธอเบา ดวงตาเปล่งประกาย “เหมือนบ้านที่อยู่ในฝันตอนเด็กของฉันเลย” เขายิ้ม มองเธอด้วยแววตาที่มีแสงสะท้อนบางอย่าง “ผมอยากให้มันเป็นมากกว่าฝัน…อยากให้คุณรู้ว่า ที่นี่...คุณจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว” ภายในบ้านอบอวลด้วยกลิ่นใหม่และแสงธรรมชาติจากช่องแสงบนเพดานสูง พวกเขาเดินไปด้วยกัน ดูทีละห้อง ห้องรับแขกโปร่งโล่งเชื่อมต่อกับครัวเปิด ห้องนั่งเล่นเล็ก ๆ ที่มีหน้าต่างบานใหญ่รับวิวสวนหลังบ้าน พอขึ้นมาชั้นสอง เธอก็หยุดอยู่หน้าห้องหนึ่ง “ห้องน
เสียงของเขาไม่ได้ดังก้อง แต่น้ำหนักของถ้อยคำแต่ละพยางค์ กลับกรีดอากาศให้บางยิ่งกว่าใบมีด “อย่าให้เธอได้อยู่อย่างเป็นสุขแม้แต่วันเดียว…” “ฉันไม่สนวิธีไหน กด เฆี่ยน ล่อหลอก ดึงจิตใจเธอให้สั่นไหว ทำทุกอย่างที่จำเป็น” เจ้าหน้าที่ชะงักวูบ แววตาเขาสะท้อนความลังเลเพียงเสี้ยววินาที แต่ก็หายไปทันทีเมื่อสบตารัฐมนตรี “เค้นออกมาให้ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้ความเจ็บปวดแค่ไหน” เสียงของเขาต่ำลง “หาที่ซ่อนตัวของลาริสาให้เจอ” จากนั้น เขาเงียบไปครู่ ก่อนพูดประโยคสุดท้ายช้า ชัด และราวกับตอกตรึงไว้ในอากาศ “และในวันที่เธอปริปากบอกเรา…ให้วันนั้นเป็นจุดจบของเธอ” เจ้าหน้าที่ข้างกายพยักหน้ารับเบา ๆ เสียงรองเท้าหนัก ๆ เริ่มเคลื่อนออกจากคฤหาสน์ ร่างของวิลัยลักษณ์ถูกพาไปยังรถคุมขังที่รออยู่ด้านนอก ใบหน้าเธอยังมีรอยยิ้มเยาะอยู่จาง ๆ แต่ในแววตา…มีบางสิ่งเริ่มเปลี่ยนไป เหมือนเธอกำลังรู้ตัวว่า “เกม” ที่คิดว่าควบคุมได้…อาจกลายเป็น “นรก” ที่เธอสร้างขึ้นไว้ให้ตัวเอง บันไดหินอ่อนภายในคฤหาสน์เดชาสกุลวงศ์ เงาของโคมไฟแก้วระย้าไหวระริกตามแรงลมที่ลอดเข้ามาเพียงแผ่วเบา ภายนอก...รถควบคุมตัวเคลื่อ
คฤหาสน์ตระกูลเดชาสกุลวงศ์ ห้องโถงใหญ่เงียบงัน จอทีวีฉายข่าวแบบเรียลไทม์ น้ำเสียงผู้ประกาศนิ่ง เรียบ แต่อัดแน่นด้วยพลังของ “ความจริง” คุณวิลัยลักษณ์ ยืนมองอยู่กลางห้อง ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไร แม้แต่คนสนิทที่สุดของเธอ มือของเธอกำหมัดแน่น เล็บจิกเข้ากับเนื้อจนเลือดซึม แต่เธอไม่รู้สึกถึงความเจ็บอีกแล้ว ทุกอย่างที่เธอวางไว้… กลับย้อนใส่ตัวเอง เสียงโทรศัพท์เริ่มดังขึ้นไม่หยุด ทั้งจากนักข่าว หน่วยงานรัฐ และทนายของเธอ แต่เธอไม่รับแม้แต่สายเดียว เธอเพียงหลุบตามองโต๊ะ… ที่วางภาพของ ปกรณ์ ในวันที่ยังยิ้มได้ ภาพที่ไม่เหลือความจริงอยู่ในวันนี้แม้แต่น้อย ... อีกฟากหนึ่ง ที่ซาเลียน อินโนเวชั่น ข่าวเปิดโปงถูกรายงานซ้ำในทุกช่องทาง ทีมงานหลายคนถอนหายใจออกมาเงียบ ๆ อย่างโล่งอก ภานุวัฒน์เดินเข้ามาพร้อมรายงานล่าสุด “ตอนนี้ฝ่ายข่าวหลักเจ็ดสำนักตรวจสอบแล้ว ทุกอย่างตรงกับที่เราส่ง ไม่มีข้อโต้แย้ง” เขายิ้มบาง “ถ้าข่าวนี้ออกไปเร็วกว่านี้อีกนิด เธอคงไม่ได้ทันปล่อยข่าวปลอมมาปั่นด้วยซ้ำ” ธีภพไม่พูดอะไร เขาหันไปมองนาราที่นั่งเงียบอยู่ที่มุมห้อง เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขา “ยังไม่หมด
ท่านวิศรุตหรี่ตา ใบหน้าแข็งราวหิน “คุณกำลังจะบอกว่าในประเทศนี้…ไม่มีใครตามรถตู้คันหนึ่งได้เลย?” ไม่มีเสียงตอบ หัวหน้าหน่วยวางซองรายงานสรุปลงเบื้องหน้า “มีข้อมูลชัดเพียงจุดเดียวครับ…” เขาเปิดหน้าแผนที่ขนาดเล็ก “รถคันสุดท้ายถูกพบครั้งสุดท้ายพร้อมศพของชายสองคน ใกล้เขตชายแดนด้านตะวันตก แล้วหลังจากนั้น…ไม่มีร่องรอยอีกเลยครับ” ท่านวิศรุตนิ่งไปครู่ใหญ่ เหมือนโลกทั้งใบหยุดหายใจ “หมายความว่า…มันหลุดออกนอกประเทศไปแล้ว?” หัวหน้าหน่วยพยักหน้า “ครับ และเรายังไม่รู้ว่า…หลุดไป ในนามใคร” ... ค่ำวันนั้น กระทรวงฯ เริ่มขยับทั้งระบบ เครือข่ายข่าวกรองพิเศษถูกสั่งระดมทันที หน่วยลับชายแดนถูกขยายกำลัง รายชื่อขบวนการลักพาตัวที่เชื่อมโยงกับการค้าคน ถูกสั่งรื้อทุกแฟ้ม แต่ไม่ว่าจะเร่งแค่ไหน…ก็ยังไม่มีคำว่า “เจอ” ... ยามค่ำในห้องทำงานส่วนตัว ไฟเพดานสลัวลง เหลือเพียงแสงจากจอคอมพิวเตอร์ที่สว่างจ้า รัฐมนตรีวิศรุตนั่งนิ่ง สองมือทับกันบนโต๊ะ แววตาเขา...เปลี่ยนไป จากนักการเมืองผู้เด็ดขาด กลายเป็นพ่อที่ไร้ความสามารถจะปกป้องสิ่งเดียวที่สำคัญที่สุดในชีวิต เขาก้มหน้าลงช้า
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ลาริสา ยิ้มบางเบา ขณะพูดขอบคุณเจ้าของร้านขนม เธอเพิ่งแวะซื้อขนมกล่องเล็ก ๆ กลับไปฝากคุณแม่ ก่อนจะก้าวไปยังรถที่รออยู่ริมถนน เธอกำลังเก็บกระเป๋าเงิน ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเผลอวางโทรศัพท์ลืมไว้ที่ร้าน เธอหันมาบอกคนขับรถ "ฉันลืมของไว้ เดี๋ยวขอวิ่งกลับไปหยิบก่อนนะคะ” ไม่มีอะไรน่าสงสัย ร้านเงียบ รถราบนถนนมีไม่มาก เสียงบีบแตรเบา ๆ ดังมาจากระยะไกล ขณะที่เธอก้าวหันกลับเพียงไม่กี่ก้าว... ประตูรถตู้สีดำ ก็เปิดออกโดยไร้เสียงเตือน ชายสองคนในชุดเข้ม พุ่งเข้าใส่เธอด้วยความแม่นยำ มือหนึ่งปิดปาก อีกมือรั้งแขนไว้แน่น แรงพอให้เธอทรุดโดยไม่ทันร้อง ลาริสาหายไปในความเงียบ ภายในรถตู้ เธอถูกกดร่างให้นอนราบ แขนขาถูกพันด้วยเทปพันสายไฟอย่างแน่นหนา ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจสุดขีด น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว เสียงในลำคอเป็นเพียงอากาศแห้งที่ไม่ออกมาเป็นคำ เธอไม่รู้ว่าใครทำ ไม่รู้ว่ากำลังจะถูกพาไปไหน แต่สิ่งที่แน่นอนคือ... ไม่มีใครได้ยินเสียงเธอเลย ................ ในอีกมุมของเมือง แสงหน้าจอคอมพิวเตอร์ กะพริบเบา ๆ ท่ามกลางความมืดของห้องทำงานใต้ดิน ข่าวปลอมชุดแรก ถ
คุณวิลัยลักษณ์ เดชาสกุลวงศ์ ก้าวลงจากรถแทบจะทันทีที่ประตูเปิด ไม่สนรองเท้าส้นสูง ไม่สนว่าใครอยู่ตรงไหน เธอพุ่งเข้าไปในโกดัง ร่างของหญิงวัยกลางคนวิ่งฝ่าความมืดจนเห็นร่างที่นอนนิ่งอยู่กลางพื้น “ปกรณ์!!” เสียงเธอแทบขาดใจ น้ำเสียงที่เคยสง่างามกลายเป็นเสียงร้องของคนเป็นแม่ ร่างของลูกชายเธอ ถูกทำลายไม่มีชิ้นดี อวัยวะที่เป็นความภาคภูมิใจ ของสายเลือดชายในตระกูล...ไม่มีอีกแล้ว เธอทรุดตัวลงข้างร่างนั้น สองมือสั่นระริกเมื่อแตะร่างที่ยังอุ่น แต่ไม่ตอบสนอง ริมฝีปากเธอสั่นระรัว...ดวงตาเบิกกว้าง คุณวิลัยลักษณ์ทรุดตัวลงข้างร่างของปกรณ์ สองมือเธอสั่นระริกขณะพยายามแตะไหล่ลูกชายที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นซีเมนต์แข็ง เลือดไหลซึมเปื้อนพื้นอยู่รอบกายเขา และไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเลย...นอกจากเธอกับเขา เธอกวาดตามองไปรอบโกดังด้วยดวงตาที่สั่นด้วยทั้งความหวาดกลัวและความสับสน ไม่มีเงาของคนที่ลงมือ ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของรถ มีเพียง ความเงียบ ที่ราวกับตะโกนกรอกหูเธอว่า สายเกินไปแล้ว “ปกรณ์…ปกรณ์ลูกแม่...” เสียงเธอพร่าแตกขณะพยายามเรียก แต่ไม่มีคำตอบจากร่างที่นอนนิ่ง เธอหันไปสั่งลูกน้องด้วย