ตอนที่[13]ไม่มีวันรักซูซีหลิน“เสด็จลุงเสวยเยอะ ๆ นะพ่ะย่ะค่ะ ซูกุ้ยเฟยทำอาหารอร่อยทุกอย่างเลยพ่ะย่ะค่ะ” จูจิ่งหลงหลังจากคีบอาหารให้เสด็จลุงของตนด้วยท่าทางสุภาพเสร็จก็ฉีกยิ้มอย่างสดใส “อร่อยถึงเพียงนั้นเชียว” อวี๋กงซู่ฮ่องเต้เลิกพระขนงขึ้น แม้เขาจะรู้อยู่แล้วว่าฝีมือของซูซีหลินนั้นไม่ธรรมดาเพียงใดเพราะเขากินอยู่ทุกวัน แต่ก็อดจะหยอกล้อกับพระนัดดาไม่ได้ “จริงพ่ะย่ะค่ะ ฝีมือของกุ้ยเฟยอร่อยที่สุดพ่ะย่ะค่ะ” “ปากหวานนักนะ” ซูซีหลินหยิกที่แก้มของเด็กน้อยเบา ๆ อย่างมันเขี้ยว “กระหม่อมพูดจริง ๆ นะพ่ะย่ะค่ะ ไม่เชื่อท่านลองชิมดู” ว่าแล้วก็คีบอาหารให้ซูซีหลินด้วย “ข้าย่อมรู้อยู่แล้วว่าฝีมือตนเองเป็นอย่างไร อร่อยเช่นเจ้าว่า” ซูซีหลินว่าแล้วคีบอาหารเข้าปากก่อนจะหัวเราะออกมา “หลงตัวเองจริง ๆ” ก่อนจะได้ยินเสียงเหน็บแนมจากใครบางคนลอยมา หญิงสาวกลอกตามองบนก่อนจะทำเป็นหูทวนลมไม่สนใจเขา “หลงเออร์ การเรียนช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง มีอันใดที่ไม่เข้าใจหรือไม่” เมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่สนใจ อวี๋กงซู่จึงหันไปถามพระนัดดาแทน “การเรียนดีมากพ่ะย่ะค่ะ ท่านอาจารย์สอนได้ดีมาก กลับมาก็ยังมีซูกุ้ยเฟยคอยทบทวนเนื้อห
ตอนที่[14]เก่งแต่เรื่องร้าย ๆ“พระสนมช่วยหม่อมฉันด้วยเพคะ” ม่านซิ่วเต็มไปด้วยท่าทางตื่นตระหนกรีบเอ่ยขอร้องผู้เป็นนายย้อนไปก่อนหน้านี้ม่านซิ่วหลังจากที่ได้แสร้งทำเป็นว่าตนไร้เรี่ยวแรงเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ผู้เป็นนายจึงได้ให้นอนพักผ่อนไม่ต้องออกไปปรนนิบัติอันใด ม่านซิ่วจึงใช้จังหวะที่ไม่มีผู้ใดสนใจเพราะยามนี้ฮ่องเต้จะมาเสวยกระยาหารที่ตำหนักซิ่วอิง เหล่าบ่าวรับใช้จะต้องพากันให้ความสำคัญในการปรนนิบัติผู้สูงศักดิ์ทั้งสาม ทำให้ไม่มีผู้ใดสนใจนางมากนัก จึงเป็นโอกาสดีที่จะไปจัดการปัญหาบางอย่างให้จบไป เมื่อออกจากตำหนักซิ่วอิงมาแล้ว ม่านซิ่วก็ตรงไปที่คุกหลวง โชคดีที่ในยามเล่าเรื่องราวผู้เป็นนายกล่าวว่าหากมีป้ายคำสั่งที่แสดงว่าเป็นคำสั่งของซูกุ้ยเฟย ก็จะสามารถเข้าไปในคุกหลวงได้อย่างง่ายดาย นางอาศัยจังหวะที่ผู้เป็นนายเผลอ ช่วงชิงเอาป้ายนั้นมาโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว เมื่อสามารถเข้ามาในคุกหลวงได้สำเร็จ ก็นึกถึงเส้นทางที่ผู้เป็นนายเล่าให้ฟังว่าฝูมามาอยู่ที่จุดใด ไม่นานก็เห็นร่างอันทรุดโทรมของคนผู้หนึ่งขดอยู่ที่มุมห้องขังอันเหม็นอับและชื้นแฉะ หญิงสาวปิดจมูกและย่นคิ้วด้วยความไม่ชอบใจ โสโครกนั
ตอนที่[15]มิใช่บ่าวรับใช้ของเจ้า เมื่อคืนหลังจากที่ฮ่องเต้ผู้นั้นกลับไป นางก็พบกับจินจูที่ยืนน้ำตาคลออยู่ไม่ไกล สาเหตุของการเป็นเช่นนั้นนั่นก็เพราะเห็นใจผู้เป็นนายที่โดนคนสนิทหักหลัง อีกอย่างนั่นก็คือ “หม่อมฉันเห็นว่าตั้งแต่ที่ม่านซิ่วกลับมา พระสนมมักจะกันหม่อมฉันออกห่างโดยให้ไปทำงานอย่างอื่น หม่อมฉันคิดว่า…. พระสนมจะไม่ต้องการหม่อมฉันแล้ว” คืนนั้นทั้งคืนนางเลยต้องปลอบประโลมนางกำนัลตัวน้อยแสนอ่อนไหวให้เข้าใจว่าแท้จริงมันเกิดอันใดขึ้น ที่นางต้องกันจินจูออกไปนั่นก็เพื่อความแนบเนียน ม่านซิ่วนั้นนิสัยนั้นยิ่งกว่าซูซีหลินคนเดิมเสียอีก เจ้าแผนการ คิดร้าย ใจร้ายและขี้ระแวง ที่สำคัญยังมักใหญ่ใฝ่สูง นางไม่อยากให้จินจูที่ซื่อสัตย์ต้องมาเสี่ยงถูกคนเช่นนี้ทำร้าย การกันอีกฝ่ายออกไปนั่นคือสิ่งที่ถูกต้องที่ควรทำ แม้ว่าวันนี้ฮ่องเต้จะมีพระราชโองการสั่งประหารทั้งฝูมามาและม่านซิ่ว รวมถึงคนที่เกี่ยวข้องพร้อมกัน แต่หลังจากที่นางทบทวนแล้วนางก็พบกับความจริงที่น่าตกใจบางอย่าง ในชาติก่อนฝูมามาทำทุกอย่างเพื่อให้ซูซีหลินไปถึงจุดที่ถูกปรักปรำว่าสังหารองค์ชายจูจิ่งหลง และวางแผนทำร้ายผู้อื่นมากมาย เพื
ตอนที่[16]วังหลวงนี้มีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย ด้วยความที่ผูเถานั้นมีมากมาย นางจึงพยายามแจกจ่ายผู้คนทั้งคนในตำหนักซิ่วอิงและตำหนักอื่น ๆ จนทำให้เหล่าข้าราชบริพารแทบหลั่งน้ำตา ต่างพาสรรเสริญซูกุ้ยเฟยว่าทรงมีพระเมตตากับข้าราชบริพารตัวเล็กตัวน้อยมอบของราคาแพงเช่นนี้ให้ อวี๋กงซู่คราแรกแม้จะรู้สึกขัดใจเล็กน้อยที่นางนำของที่เขามอบให้นางโดยเฉพาะไปแจกจ่ายให้กับผู้อื่นด้วย แต่ในใจกลับยินดีลึก ๆ ที่ชื่อเสียงของนางในหมู่คนกลับดีขึ้นกว่าเดิมมาก แต่ทว่าก็ต้องหงุดหงิดอีกครั้งเมื่อได้ยินว่าหนึ่งในคนที่นางมอบให้ทั้งยังนำไปมอบให้ด้วยตนเอง พร้อมกับของว่างหลากหลาย ต่างกันกับผู้อื่นที่ให้บ่าวในตำหนักซิ่วอิงไปมอบให้แทน เจิ้งชงอวี้ สหายตัวดีของเขา! ระหว่างที่ซูซีหลิน เจิ้งชงอวี้และจูจิ่งหลงกำลังกินของว่างด้วยกันอยู่นั้น สายตาของเจิ้งชงอวี้ก็มองเห็นเผยกงกงที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินอยู่ไม่ไกล มุมปากชายหนุ่มพลันยกขึ้น “อาจารย์เจิ้งท่านยิ้มอันใดหรือ” “กระหม่อมเพียงขำขันอาภรณ์ของเผยกงกงที่กำลังปลิวไสวพ่ะย่ะค่ะ” เจิ้งชงอวี้ว่าแล้วพลางมองไปยังทิศทางที่ใครบางคนกำลังมา ซูซีหลินเห็นเช่นนั้นจึงได้หันไปมองเช่นกัน
ตอนที่[16]วังหลวงนี้มีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย “หม่อมฉันอยากขอให้ฝ่าบาททรงหย่าขาดกับหม่อมฉันเพคะ” !!! ฉับพลันพระพักตร์หล่อเหลาของฮ่องเต้หนุ่มก็หันขวับมาทันทีพร้อมกับท่าทีลนลาน “เพราะเรื่องผูเถาเจ้าถึงกับอยากจะหย่าเลยหรือ” “มิใช่เพคะ” ซูซีหลินเผยรอยยิ้มอ่อนโยน นางจะโกรธเขาด้วยเรื่องแค่นี้จนต้องขอหย่าได้อย่างไร เรื่องนี้เป็นเรื่องที่นางคิดมาทั้งคืนแล้ว มิใช่แค่ฮ่องเต้ที่ตกใจ แม้กระทั่งเผยกงกงที่ยืนอยู่ไม่ไกลยังเผยความตกใจไม่แพ้กัน ซูกุ้ยเฟยขอหย่ากับฝ่าบาท!! นี่จะเป็นไปได้อย่างไร พระนางรักฝังใจกับฝ่าบาทมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ “แล้วเรื่องอันใดกัน” อวี๋กงซู่ฮ่องเต้เร่งร้อนเอาคำตอบจากหญิงสาว “หม่อมฉันคิดว่าอีกไม่นานคุณหนูช่ายก็จะมาวังหลวงแล้ว” “เจ้ารู้….” เสียงจากพระโอษฐ์เอ่ยอย่างบางเบา “เพคะ ม่านซิ่วบอกหม่อมฉันแล้ว หม่อมฉันจึงมาคิดดูแล้วว่าหากหม่อมฉันไปจากวังหลวงก่อนที่นางจะมาเมืองหลวงน่าจะเป็นการดีกว่าเพคะ ฝ่าบาทจะได้เดินหน้ากับคุณหนูช่ายได้อย่างเต็มที่ไร้ซึ่งพันธะใด ๆ”“ไม่ ๆ มิใช่ว่าเจ้าเคยบอกหากเจ้าจากไปก่อนคุณหนูช่ายจะมาถึง พวกขุนนางพวกนั้นก็จะเร่งร้อนหาสตรีอื่นมาแทนเ
ตอนที่[17]นางเอกและพระเอกในนิยายมาถึงแล้ว “หลินเออร์ อาภรณ์ชุดนี้ดีหรือไม่” อวี๋กงซู่ฮ่องเต้ว่าพลางนำพระภูษาสีแดงหรูหราที่เพิ่งให้คนตัดเย็บใหม่ พยายามทาบทับไปบนร่างของสนมของตน “ฝ่าบาท เหตุใดจึงไม่อยากหย่ากับหม่อมฉันเพคะ” กึก! พระหัตถ์นิ่งค้างไปทันที โดยที่ยังจับอาภรณ์ค้างอยู่เช่นนั้น “เราว่าเข้ากับเจ้ามากเลย เดี๋ยวเราให้คนไปตัดเพิ่ม” “ฝ่าบาทอย่าเปลี่ยนเรื่องเพคะ” “เราไม่อยาก…... ระหว่างที่ฮ่องเต้หนุ่มกำลังคิดคำตอบอยู่นั้น เผยกงกงก็รีบเข้ามารายงานบางอย่าง “ฝ่าบาทคุณหนูช่ายมาถึงเมืองหลวงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ฉับพลันวรกายของอวี๋กงซู่ก็แข็งค้างก่อนที่จะค่อย ๆ เลื่อนพระเนตรเมียงมองไปยังซูกุ้ยเฟย “เอ่อ” “ฝ่าบาทรีบไปจัดการธุระก่อนเถิดเพคะ” ซูซีหลินว่าพลางเผยรอยยิ้มบางเบา นั่นทำให้ใจของชายหนุ่มยิ่งไม่สงบ “เจ้าอย่าเพิ่งคิดไปไกล และอย่าเพิ่งคิดเรื่องหย่าด้วย เดี๋ยวเรากลับมา” ในวันเดียวกันนั้นเขาไม่ได้กลับมาแต่อย่างใด แต่วันรุ่งขึ้นหนิงเหอและหนิงหวงก็มารายงานว่าฮ่องเต้เรียกช่ายเฟิ่งจิ่วเข้าวังเป็นการส่วนตัว “คุณหนู….” จินจูถือวิสาสะเอื้อมมือของตนมาจับผู้เป็นนายไว้ ด้วยตนสงสารผู้เ
ตอนที่[18]โดนพิษ เป็นองค์ชายจูจิ่งหลงที่กำลังร้องไห้นัยน์ตาแดงก่ำดูแล้วน่าสงสารยิ่ง ซูซีหลินไม่อาจมองเด็กน้อยที่ตนเฝ้าดูแลร่ำไห้ด้วยท่าทางน่าสงสารเช่นนี้ได้ ไม่รอช้าจึงรีบหมุนกายเพื่อเดินตรงไปยังจุดที่เขายืนอยู่จากนั้นจึงนั่งยองลงเพื่อกอดปลอบเขาทันที “องค์ชายร้องไห้เพราะเหตุใดกันเล่า” “เสด็จลุงบอกว่าท่านจะหนีพวกเราไป ฮึก กุ้ยเฟย หลงเออร์เป็นเด็กไม่ดีหรือ” ยิ่งปล่อยให้พูดเด็กน้อยก็ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม อวี๋กงซู่นะอวี๋กงซู่ ไปบอกอะไรเช่นนี้กับเด็กเจ็ดหนาวได้อย่างไร ทำเอานางที่คิดจากไปจริง ๆ รู้สึกผิดเป็นอย่างมาก แต่ช้าเร็วอย่างไรสักวันนางก็ต้องจากไปอยู่ดี “โอ๋ ๆ หลงเออร์ไม่ร้อง ข้าก็อยู่นี่แล้วอย่างไรเล่า จะหนีไปที่ใดกัน” แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่กล้าบอกความจริงกับจูจิ่งหลงในตอนนี้ “แต่ท่านกำลังเก็บเสื้อผ้า” เด็กน้อยว่าพลางโบ้ยไปทางด้านหลังที่มีกองผ้าของนางกองไว้อยู่ “เอ่อ นั่นเพราะมันไม่เรียบร้อย ก็เลยต้องเก็บเสียบ้าง” “ท่านจะไม่หนีไปจริง ๆ ใช่หรือไม่ ฮึก” จูจิ่งหลงว่าพลางซุกเข้ากับอ้อมกอดของซูซีหลินอีกครั้ง ยามอยู่ด้วยกันตามลำพังเขามักจะละทิ้งกฎระเบียบหลายอย่างไป “ข
ตอนที่[19]เผชิญหน้ากับความจริง เมื่อซูซีหลินไปถึงที่ตำหนักเฉินไท่ นางก็ได้พบกับความจริงที่ว่าเรื่องที่อวี๋กงซู่ฮ่องเต้นั้นถูกวางยาพิษเป็นเรื่องจริง นัยน์ตาหงส์สั่นไหวเมื่อเห็นว่ามีหมอหลวงมากมายต่างขวักไขว่เดินเข้าห้องบรรทมของจักรพรรดิราวกับหนูติดจั่น “นี่….” “ฝ่าบาทตรัสว่า หากวันนี้จัดการฎีกาทั้งหลายให้เบาบางลงแล้ว พรุ่งนี้จะเสด็จไปหาพระสนม เมื่อเห็นว่ามีคนของตำหนักซิ่วอิงนำกระยาหารมาให้ ฝ่าบาทยิ่งมีแรงใจในการทำงาน แม้แต่กระหม่อมจะหยิบเข็มเงินออกมาทดสอบยังไม่ทัน เป็นความผิดของกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ” เผยกงกงเอ่ยเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดในใจ ทำไมกัน ทำไมเขาถึงให้ความสำคัญกับอาหารที่อ้างว่ามาจากนางถึงเพียงนี้ เหตุใดไม่ทำเช่นแต่ก่อน เมื่อได้รับอาหารก็ให้คนไปเททิ้งไป ความคิดมากมายตีวนอยู่ในหัวของซูซีหลินก่อนที่นางจะตัดสินใจเข้าไปนั่งข้างเตียงเขา ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่หัวหน้าหมอหลวงนามว่า หลิวซุน ทำการตรวจอาการและรักษาเบื้องต้นเสร็จพอดี “ทูลพระสนมยามนี้ฝ่าบาทยังไม่พ้นขีดอันตรายพ่ะย่ะค่ะ ต้องติดตามและเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด ทว่า….” ท่านหมอหลิวมีสีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด
ตอนพิเศษที่[2]ฮ่องเต้แห่งแคว้นจ้าว จะเห็นได้ว่าสีหน้าของคนทั้งสี่ปราศจากแววตาล้อเล่นสนุกสนานดังที่เคยไป หนำซ้ำยังแดงก่ำราวกับคนจะปล่อยโฮออกมาอยู่รอมร่อ อวี่กงซู่อยากจะห้ามแต่เขาเห็นความหวังและความมุ่งมั่นในตาของลูก ๆ จึงได้แต่ปล่อยเด็ก ๆ ไปด้วยกัน “พวกเจ้าต้องดูแลตนเองให้ดี ห้ามเป็นอันใดไปเด็ดขาด” มิได้บอกเพียงลูก ๆ แต่อวี๋กงซู่ยังบอกจู่จิ่งหลงด้วย “พ่ะย่ะค่ะ/เพคะ”“เนื่องจากว่าวันนี้มืดค่ำแล้ว พวกเราต้องรอพรุ่งนี้เช้าถึงจะออกเดินทางได้” ก่อนออกเดินทางจู่จิ่งหลงรีบหันไปสั่งการบางอย่างกับคนของตน ก่อนจะเผยแววตาอันเยือกเย็นเต็มไปด้วยรังสีสังหารแผ่ออกมา ใครกล้าคิดร้ายกับเสด็จป้าของเขามันต้องไม่ตายดี!! จากนั้นห้าคนพี่น้องรวมถึงผู้ติดตามจึงได้พากันเดินทางไปยังป่าทางตอนใต้ของแคว้นที่มีความชื้นมากเป็นพิเศษ ค้นหาอยู่ทั้งวันก็ไม่พบสิ่งที่ใกล้เคียงกับสมุนไพรที่ว่านั้นเลย ระหว่างที่หลายคนเริ่มใจเสีย หางตาของจูจิ่งหลงก็หันไปพบกับบางอย่าง ทว่าระหว่างที่เขากำลังคิดจะไปเก็บมัน กลุ่มคนร้ายกลุ่มใหญ่ก็ปรากฏตัวขึ้น “ฝ่าบาทในที่สุดก็มาถึงวันนี้ วันที่ข้าไม่ต้องก้มหัวให้กับเด็กน้อยปากไม่สิ้นน
ตอนพิเศษที่[2]ฮ่องเต้แห่งแคว้นจ้าว นับตั้งแต่ที่วันนั้นเดินทางจากที่ที่เคยเติบโตมากว่าสิบปีเพื่อมาอยู่ที่แคว้นที่ตนกำเนิดมา เด็กน้อยที่เคยผอมแห้งแรงน้อยและหวาดกลัวผู้คนบัดนี้ได้เติบใหญ่สูงสง่า ท่าทางองอาจ รูปลักษณ์หล่อเหลาไม่แพ้ผู้เป็นพระปิตุลาที่อยู่แคว้นหลิวหยวนเลยแม้แต่น้อย จูจิ่งหลงฮ่องเต้ จักรพรรดิที่ปกครองแผ่นดินด้วยอายุน้อยที่สุดของแคว้นจ้าว ครองราชย์ตั้งแต่พระชนม์มายุสิบหกชันษา จากวันนั้นผ่านมาเจ็ดปี บัดนี้ก็ยี่สิบสองชันษาแล้ว แม้เหล่าขุนนางและคนภายนอกจะมองว่าเขามากความสามารถและน่าเกรงขามเพียงใด แต่ยามนี้พระพักตร์หล่อเหลากลับเต็มไปด้วยการรอคอย ราวกับเด็กน้อยที่รอเพื่อจะได้กินของอร่อยที่สหายคนแรกเคยแอบนำมาให้ เมื่อครั้งยังอยู่ที่ตำหนักซิงเยียน ใช่แล้ว เขากำลังรอคอยสหายหรือยามนี้ที่เขาเรียกว่าเสด็จป้า เดินทางมาเยี่ยมเยียนเขาที่แคว้นจ้าวเฉกเช่นทุกปี ยามนี้คงใกล้ถึงแล้วกระมัง “พี่จิ่งหลงพวกเรามาแล้ว” และคนที่เขารอคอยก็มาถึง เริ่มต้นด้วยเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของเหล่าลูกลิงทั้งสี่ แม้จะเติบใหญ่กันแล้ว แต่พวกเขาก็ยังทำตัวเป็นเด็กน้อยที่สดใส โดยเฉพาะอวี๋กงจวิ้นที่แม้จะอายุเ
ตอนพิเศษที่[1]ผู้ใดก็ห้ามเข้าใกล้“ข้าขอแสดงความยินดีกับพวกท่านทั้งสองด้วยนะ ขอให้พวกท่านครองรักกันตลอดไปไร้ซึ่งอุปสรรค”“ขอบพระทัยเพคะฮองเฮา ไว้หม่อมฉันส่งเมล็ดพันธุ์พืชที่น่าสนใจจากด้านนอกมาให้ฮองเฮาปลูกอีกนะเพคะ” ช่วงนี้นางกำลังชื่นชอบการปลูกพืชชนิดต่าง ๆ ช่ยเฟิ่งจิ่วก็ชอบส่งเมล็ดพันธุ์พืชที่แปลกใหม่และน่าสนใจมาให้นางเรื่อย ๆ“ดีจริง ขอบใจเจ้าล่วงหน้าด้วยนะ” ซูฮองเฮาฉีกยิ้มด้วยความดีใจพลางจับมือของช่ายเฟิ่งจิ่วเอาไว้ คราแรกช่ายเฟิ่งจิ่วไม่คิดอะไร แต่ทว่าเมื่อเห็นพระเนตรของฮ่องเต้แล้ว จึงทำท่าขยับกายเข้าใกล้ฮองเฮาแล้วกระซิบบางอย่าง หากมองจากมุมที่ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมา คงคล้ายกับว่านางกำลังหอมแก้มฮองเฮากระมัง “องค์รัชทายาทดูแลคู่หมายของท่านให้ดี อย่าได้มายุ่งกับคนของผู้อื่น!” อวี๋กงซู่รีบเดินเข้ามาแยกทั้งคู่ออกจากกัน แต่ราวกับไม่ทันใจเขาจึงได้ช้อนกายของฮองเฮาลอยหวิวขึ้น “ว้าย” “กลับตำหนักเรากันเถิด” แม้ว่าซูซีหลินจะทุบไปที่ต้นแขนเขาอย่างไร เขาก็ไม่ปล่อยนางลงด้านข่ายเชี่ยนหยุนและช่ายเฟิ่งจิ่วที่มองภาพนั้นจากด้านหลังทั้งคู่ พวกเขาหันมามองหน้ากันก่อนจะหัวเราะออกมา “พระองค์สัญญากับ
ตอนพิเศษที่[1]ผู้ใดก็ห้ามเข้าใกล้ นับตั้งแต่ที่มีการแต่งตั้งฮองเฮาก็เป็นอันรู้กันจนทั่วเมืองหลวงว่าฮ่องเต้นั้นมีความรักลึกซึ้งต่อซูฮองเฮามากเพียงใด ไม่ว่าจะเสด็จไปประพาสที่ใดก็มักจะพาซูฮองเฮาไปด้วยเสมอ ทั้งสองพระองค์มักจะพากันไปกินของอร่อยที่เป็นร้านรวงของชาวบ้านตามสถานที่ต่าง ๆ โดยฝ่าบาทมักจะเป็นฝ่ายคีบอาหารให้ฮองเฮาด้วยพระพักตร์เปื้อนรอยยิ้มเสมอ ภายนอกผู้คนมักมองว่าสองผู้สูงศักดิ์ช่างรักใคร่กลมเกลียวต่อกันยิ่งนัก และยามนี้อวี๋กงซู่ก็เป็นที่ชื่นชมของประชาชนหลายคนในความมั่นคงที่มีรักเดียว เหล่าสตรีได้แต่คิดว่าหากมีสามีก็ต้องการหาบุรุษที่เป็นเฉกเช่นฮ่องเต้ ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ก็ไม่นับว่าเกินจริงแต่อย่างใด ทว่ามันกลับมีหลายอย่างที่มากกว่านั้น “จินจู เจ้าลองกินขนมนี้ดู ข้าว่าอร่อยมาก” ระหว่างที่ซูฮองเฮากำลังยื่นขนมไปป้อนให้นางกำนัลคนสนิทกลับพบว่าผู้ที่รับขนมนั้นไปมิใช่จินจูแต่เป็นพระสวามี “ฝ่าบาท!” “ทำไมเห็นเราจะต้องตกใจด้วย” “ก็ฝ่าบาทมาไม่ให้สุ้มให้เสียงจะมิให้ตกใจได้อย่างไรเพคะ” “เป็นเจ้าที่ไม่สนใจการมาของเรามากกว่า มัวแต่ไปป้อนขนมให้ผู้อื่น” จินจูที่ได้ยินเช่นนั้นก็ร
ตอนที่[24]นางร้ายที่ได้เริ่มต้นใหม่ (ตอนจบ) วันเวลาผันผ่านไปอีกหลายปีทว่าคนในวังหลวงของแคว้นหลิวหยวนกลับยังเต็มไปด้วยความอบอุ่นใจ รักใคร่ปรองดองกัน โดยเฉพาะอวี๋กงซู่ฮ่องเต้ที่หลังจากว่างเว้นจากงานบ้านเมืองก็มักจะพาตนเองมาอยู่ที่ตำหนักหงอี้ ที่เป็นตำหนักที่ประทับของซูฮองเฮาและพระราชโอรสทั้งสอง ผ่านไปห้าปีมีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมากมาย ซูฮองเฮาหลังได้รับการแต่งตั้งก็ถูกย้ายจากตำหนักซิ่วอิงมาอยู่ที่ตำหนักหงอี้ เหตุผลนั่นก็เพราะตำหนักหงอี้อยู่ใกล้กับตำหนักเฉินไท่ของฝ่าบาทมากที่สุด ที่จริงฮ่องเต้ผู้นั้นอยากจะย้ายตนเองมาอยู่ที่ตำหนักหงอี้เสียให้รู้แล้วรู้รอด ติดก็ตรงที่เผยกงกงเอาแต่บอกว่าไม่เหมาะสม ๆ อยู่นั่น “เผยกงกงขัดใจอันใดมาหรือเพคะ” ซูซีหลินเอ่ยถามพระสวามีที่มีพระพักตร์บูดบึ้งราวกับไม่พอใจบางอย่าง ซึ่งไม่ต้องเดาว่าเรื่องอันใด ต้องเป็นฝีมือเผยกงกงเป็นแน่ “ก็เผยกงกงบอกว่าเรามาค้างที่ตำหนักหงอี้มากเกินไป เดี๋ยวพวกขุนนางเฒ่าจะหาว่าข้าลุ่มหลงในฮองเฮาได้ แล้วมันไม่จริงหรืออย่างไร ก็เราลุ่มหลงในตัวเจ้าจริง ๆ” จากใบหน้าบูดบึ้งจู่ ๆ ก็แปรเปลี่ยนเป็นความเจ้าเล่ห์ หนำซ้ำมือปลาหมึกยังเลื้
ตอนที่[23]ฮองเฮาพวกเราเข้าหอกันเถิด “เจ้าก็ควรถอดเช่นกันนะ” “…..” เมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังคงนิ่ง ชายหนุ่มก็คิดว่าตนไม่อาจรั้งรอได้อีก จึงได้ถือวิสาสะเข้าไปช้อนกายภรรยาก่อนจะรีบพาไปที่เตียงทันที “หลินเออร์ คืนนี้เรามาสร้างความแนบแน่นกันเถิด” “…..” “แล้วก็หากเจ้าได้เราแล้ว ก็ห้ามทิ้งเราไปที่ใดเล่า” นี่มันอันใดกัน ใครได้ใครกันแน่ ในเมื่อสายตาของเขาตอนนี้แทบจะกลืนกินนางทั้งตัวแล้ว! “เหตุใดจึงเงียบ รับปากเราสิ” ระหว่างที่รอคำตอบพระเนตรของจักรพรรดิก็เอาแต่จับจ้องริมฝีปากของฮองเฮาอย่างไม่ละสายตา และยามที่นางเอื้อนเอ่ย “หม่อมฉัน อื้อ” “ข้ารอไม่ไหวแล้ว” ริมฝีปากหนารีบเข้าฉกชิงความหอมหวานจากริมฝีปากของอีกฝ่ายทันที ลิ้นของเขาพยายามเกี่ยวกระหวัดและหยอกล้อหญิงสาวอยู่เนิ่นนาน มือที่ว่างอยู่ก็พยายามแตะไปยังจุดอ่อนไหวของภรรยาจนทั่วร่าง “ฝ่าบาท” รู้ตัวอีกทีซูซีหลินก็ไม่เหลืออาภรณ์ปิดกายแม้แต่ชิ้นเดียวแล้ว “เจ้างดงามและหอมหวานถึงเพียงนี้ ก็อย่ามาโทษว่าเราเอาแต่ใจเล่า” ว่าแล้วก็ก้มใบหน้าลงไปฉกฉวยบุปผางามที่พยายามชูช่อดึงดูดสายตาของเขาอย่างอดใจไม่ไหว และไม่เพียงแค่บุปผางามที่ทั้งขาว
ตอนที่[23]ฮองเฮาพวกเราเข้าหอกันเถิด หลังแล้วเสร็จงานเลี้ยงฉลองที่โจวหย่วนถูกประกาศว่าเป็นกบฏต่อแผ่นดินเรียบร้อยแล้ว แคว้นหลิวหยวนก็มีพิธีการที่สำคัญจัดขึ้นอีกหนึ่งพิธีการ นั่นก็คือการแต่งตั้งฮองเฮา มารดาแผ่นดินผู้ที่จะอยู่เคียงข้างกับองค์จักรพรรดิเพื่อปกครองแผ่นดินร่วมกัน ซูฮองเฮานั้น ยามที่หลายคนได้แอบเงยหน้าตนเพื่อยลโฉมอีกฝ่ายก็ได้พบกับความจริงว่าฮองเฮานั้นเป็นสตรีที่อยู่เหนือผู้คนจริง ๆ และข่าวลือต่าง ๆ ที่ร่ำลือกันมาตลอดหลายเดือนก็เป็นอันต้องเงียบไป ตั้งแต่ฝ่าบาทครองราชย์กลับมีสตรีเพียงคนเดียวคือซูกุ้ยเฟย ข่าวลือต่าง ๆ ได้เล่าลือว่า ที่ตำแหน่งฮองเฮายังว่างก็เพราะว่าฝ่าบาทรอสตรีในดวงใจเพื่อที่จะมอบตำแหน่งฮองเฮาให้กับสตรีผู้นั้น แต่วันนี้สตรีที่รับการแต่งตั้งคือสตรีที่เคยเป็นกุ้ยเฟยในอดีต เรื่องนี้หมายความว่าอย่างไร ก็หมายความว่าสตรีที่อยู่ในใจฝ่าบาทมาตลอดนั่นก็คือซูฮองเฮาอย่างไรเล่า ทั้งฝ่าบาทยังได้เปรย ๆ ออกมาว่าซูฮองเฮาจะเป็นสตรีเพียงผู้เดียวที่อยู่เคียงข้างพระองค์ตลอดไปอีกด้วย ราชบัลลังก์เดิมก็แข็งแกร่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีสตรีมากหน้าหลายตามาคอยคานอำนาจหร
ตอนที่[22]ตำแหน่งฮองเฮาเป็นของเจ้าเท่านั้น “หม่อมฉันรับรู้มาว่าโจวหย่วนร่วมมือกันกับฝูมามา สุดท้ายก็จะสังหารหม่อมฉันแล้วโยนความผิดให้ฝ่าบาท ทั้งหมดนี้ก็เพียงหวังยั่วยุให้ท่านพ่อยกกองทัพเจี้ยนคังมาที่เมืองหลวงเพื่อก่อกบฏ ทว่าที่แท้จริงเขานั่นแหละที่จะก่อกบฏเสียเอง แล้วโยนความผิดให้ท่านพ่อและอัครเสนาบดีช่าย จากนั้นเขาก้คิดจะจัดการฝ่าบาทแล้วขึ้นครองบัลลังก์เสียเอง” “นี่….” เรื่องนี้เกินความคาดหมายของอวี๋กงซู่ฮ่องเต้ เขารู้ว่าโจวหย่วนผู้นั้นคิดไม่ซื่ออยู่ตลอด เรื่องคิดจะก่อกบฏเขาก็รู้ แต่เรื่องที่ว่าจะสังหารซูซีหลินเพื่อเรียกให้แม่ทัพใหญ่เข้ามาเป็นหนึ่งในหมากนั้นเขาไม่รู้เลยสักนิด ถึงว่านางถึงพยายามจะจากไป แล้วในจดหมายฉบับนั้นที่นางเขียนถึงครอบครัว ที่บอกว่าห้ามมาเมืองหลวงโดยเด็ดขาด ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาเข้าใจแล้ว “แต่หม่อมฉันไม่คาดคิดว่าเรื่องมันจะต่างออกไป ที่ท่านพ่อนำทัพมาเมืองหลวงภายใต้การร่วมมือกับฝ่าบาท และยังมีการช่วยเหลือของตระกูลช่าย จึงทำให้ตลบหลังโจวหย่วนได้เพียงในไม่กี่ชั่วยาม” ย้อนไปในตอนที่นางไปพบกับครอบครัวที่โถงรับรองเมื่อวานนี้ ‘ท่านพ่อ ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่า
ตอนที่[22]ตำแหน่งฮองเฮาเป็นของเจ้าเท่านั้น ด้านอวี๋กงซู่และซูซีหลินเมื่อกลับเข้าไปในราชรถม้าเรียบร้อย เขาก็จับมือหญิงสาวมากอบกุมเอาไว้อีกครั้ง ครานี้ไม่คล้ายมีแววล้อเล่นหากทว่าเต็มไปด้วยความเปิดเปลือยความในใจ“หลินเออร์ ข้าไม่รู้ว่าเมื่อใดตั้งแต่ที่ข้าเลิกให้ความสนใจในตัวของคุณหนูช่าย แรกเริ่มข้าประทับใจในความเก่งกาจรอบด้านของนาง และนางไม่มีนิสัยเฉกเช่นสตรีในห้องหอ อีกทั้งยามนั้นเจ้าก็ทำตัวไม่น่ารัก นั่นทำให้เกิดข้อเปรียบเทียบที่ชัดเจน ทว่าหลังจากวันนั้นที่เราไปหาเจ้าและทำข้อตกลงกับเจ้าที่ตำหนักซิ่วอิง มันก็ทำให้เห็นว่าเจ้าไม่เหมือนเดิมและความไม่เหมือนเดิมนี้เป็นสิ่งที่ดึงดูดให้ข้าอยากเข้าใกล้เจ้ามากยิ่งขึ้น” “ยิ่งมีเรื่องของหลงเออร์เข้ามา นั่นทำให้ข้าเห็นว่าเจ้ามิใช่สตรีร้ายกาจที่นึกถึงแต่ตนเอง เจ้ายังเป็นห่วงผู้อื่น ถึงขั้นวางแผนเป็นขั้นเป็นตอนเพื่อช่วยเหลือ หากไม่เกิดความประทับใจก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว” ว่าแล้วก็ขยับกายเข้าไปใกล้หญิงสาวจนตัวแทบจะติดกัน “เอ่อ ไม่ต้องเข้ามาใกล้เช่นนี้ก็ได้เพคะ หม่อมฉันได้ยินที่พระองค์ตรัสอยู่” “ไม่ล่ะ เราอยากให้เจ้าเห็นความจริงใจของเรา รู้ตั