วันต่อมา..
คามิลลาเดินถือแฟ้มเอกสารตามหลังประธานหนุ่มไปด้วยสีหน้าท่าทางไม่สดชื่นเท่าไรนัก สาเหตุเพราะเมื่อคืนกว่าจะข่มตาให้หลับได้ก็ตีสองแล้ว หนำซ้ำยังต้องนอนบนโซฟาคับแคบอีกทำให้รู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัวไปหมด
ส่วนอีกคนน่ะเหรอเดินสบายใจเฉิบก็แน่ล่ะสิได้นอนบนเตียงนุ่ม ๆ ห่มผ้าห่มหนา ๆ คิดแล้วก็น่าโมโหชะมัด เธอแอบคิดว่าเขาจะมีความเป็นสุขภาพบุรุษบ้างแต่ที่ไหนได้ยังมีหน้าบอกให้เธอไปนอนบนเตียงกับเขาอีก แล้วคิดว่าเธอจะพาตัวตัวเองไปเสี่ยงเหรอนอนบนโซฟาคับแคบยังจะดีและปลอดภัยมากกว่าอีก
เธอลอบพรูลมหายใจออกมาเบา ๆ เมื่อเดินมาถึงห้องอาหารส่วนตัวของทางพลูวิลล่าที่ถูกจัดไว้เป็นพิเศษสำหรับต้อนรับแขกวีไอพีที่จะมาเจรจาธุรกิจ ถึงเธอจะใจกล้าแค่ไหนแต่เมื่อต้องมาทำงานสำคัญแบบนี้เป็นครั้งแรกก็อดตื่นเต้น และประหม่าไม่ได้อยู่ดีเพราะประธานหนุ่มย้ำนักย้ำหนาว่าการเจราธุรกิจในครั้งนี้เขาไม่ต้องการให้มีอะไรผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว
“คุณตรวจเช็คเอกสารดีแล้วใช่ไหมคามิลลา” ประภากรณ์เอ่ยขึ้นหลังจากหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้แล้ว พนักงานสาวเพิ่งมาทำหน้าที่นี้ครั้งแรกกลัวว่าเธอจะทำผิดพลาด ใบหน้าและน้ำเสียงของเขาเคร่งขรึมบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเขาจริงจัง และซีเรียสกับงานนี้มากแค่ไหนไม่หลงเหลือคราบผู้ชายเจ้าเล่ห์เหมือนเมื่อวานแม้แต่นิดเดียว
“เช็คเรียบร้อยแล้วค่ะเอกสารไม่มีปัญหาอะไร” ใบหน้าหล่อเหลาเพียงพยักรับเล็กน้อยหลังจากนั้นภายในห้องอาหารก็ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ
แกร็ก!
ผ่านไปประมาณสิบห้านาทีประตูห้องอาหารก็ถูกเปิดออกอีกครั้งประภากรณ์และคามิลลาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้าง ๆ กันหยัดกายลุกขึ้นออกจากโต๊ะ ก่อนจะเดินไปต้อนรับนักธุรกิจชาวเยอรมันวัยสามสิบเจ็ดปีกับครอบครัวอย่างเป็นกันเอง หลังจากทักทายเสร็จก็พากันมานั่งที่โต๊ะอาหาร
โดยคามิลลานั่งข้างประธานหนุ่ม ส่วนเควิล ภรรยาและลูกสาวของเขาอีกหนึ่งคนนั่งฝั่งตรงข้าม การเจราเริ่มต้นขึ้นในทันทีและดูเหมือนสถานการณ์จะเคร่งเครียดไม่น้อยคามิลลาได้แต่นั่งมองประธานหนุ่มเจรจากับนักธุรกิจชาวเยอรมันเงียบ ๆ พลอยทำให้คนฟังอย่างเธอเครียดไปด้วยคิ้วสวยพลันขมวดชนกันโดยไม่รู้ตัวกระทั่งเสียงใส ๆ ของหนูน้อยวัยประมาณห้าขวบบุตรสาวของนักธุรกิจชาวเยอรมันทักทายเธอเบา ๆ
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีค่ะคนสวย” เธอรีบปรับสีหน้าให้ยิ้มแย้มแล้วโน้มหน้าไปกระซิบตอบเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงหวาน ซึ่งคำพูดของเธอเรียกรอยยิ้มจากเด็กน้อยได้เป็นอย่างดีการสนทนาจึงเริ่มต่อไปเรื่อย ๆ
“หนูชื่อเอมิลี่ค่ะ พี่ชื่ออะไรคะ”
“พี่ชื่อคามิลลาค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะพี่คนสวย”
“น้องเอมิลี่ชอบประเทศไทยไหมคะ”
“ชอบมากเลยค่ะ ทะเลที่ภูเก็ตสวยมากค่ะ” ดูเหมือนเอมิลี่จะเข้ากับคามิลลาได้ดีเพียงไม่นานทั้งสองก็สนิทกัน หลังจากเอ่ยจบประโยคเอมิลี่ก็ลุกจากเก้าอี้เดินมายืนข้างหญิงสาว ก่อนจะเปิดรูปทะเลที่ไปเที่ยวมาให้ดู
“สวยมากค่ะ” คามิลลาเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มก้มดูและฟังเด็กน้อยพูดคุยอย่างตั้งใจกระทั่งเสียงมาเรียแม่ของเอมิลี่ดังขึ้น
“เอมิลี่อย่าไปรบกวนพี่เขาค่ะ”
“ไม่ได้รบกวนเลยค่ะน้องเอมิลี่น่ารักมากค่ะ” เธอเงยขึ้นไปเอ่ยกับมาเรียด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ซึ่งมาเรียก็ยิ้มตอบอย่างเป็นมิตรพร้อมกับเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาที่สุด “ซนมากด้วยค่ะฉันกับคุณเควิลปวดหัววันละหายรอบเลยทีเดียว”
คามิลลานึกขำกับคำพูดของมาเรีย หันไปมองเด็กน้อยที่ยังยืนอยู่ข้าง ๆ อย่างนึกเอ็นดู “คุณแม่บอกว่าน้องเอมิลี่ซนมากเลย จริงไหมคะ”
“หนูซนนิดเดียวเองค่ะ” เอมิลี่ปฏิเสธด้วยน้ำเสียงสูงปรี๊ดพร้อมยกนิ้วขึ้นจีบทำท่าทำทางประกอบทำเอาคามิลลาและมาเรียหลุดหัวเราะออกมาซึ่งทำให้เควิลกับประภากรณ์ที่เคร่งเครียดกับการเจรจาหันมองเป็นตาเดียวกัน
“ขอโทษค่ะ” คามิลลาเหมือนจะรู้ตัวรีบน้อมศีรษะขอโทษด้วยใบหน้าถอดสีดูจากสีหน้าแล้วทั้งสองคงไม่พอใจมาก ๆ โดยเฉพาะประธานหนุ่ม
ประภากรณ์เพียงจ้องหน้าพนักงานสาวด้วยแววตาดุแกล้มคาดโทษแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ส่วนเควิลหันไปเอ่ยกับภรรยาและลูกด้วยภาษาเยอรมันซึ่งเธอฟังไม่ออกจริง ๆ ว่าทั้งสามกำลังคุยอะไรกันแต่สีหน้าเคร่งเครียดไม่น้อย ได้แต่ภาวนาในใจขออย่าให้ต้องถึงขั้นยกเลิกการเจรจากันเลยไม่อย่างนั้นเธอต้องถูกไล่ออกแน่ ๆ
“คุณคิดว่าผมควรตกลงเซ็นสัญญากับทางบริษัทคุณไหมคุณคามิลลา”
ทว่าเธอก็ต้องหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความงุนงงเมื่อจู่ ๆ เควิลก็หันมายิงถามใส่เธอแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยซึ่งไม่ต่างจากประภากรณ์เลยทั้งสองหันมองหน้ากันอัตโนมัติ ก่อนคามิลลาจะหันกลับไปตอบตามที่คิดได้ในตอนนี้ “หากถามดิฉัน ดิฉันก็ต้องตอบว่าควรตกลงเซ็นสัญญาอยู่แล้วค่ะเพราะมันเป็นเรื่องน่ายินดีกับบริษัทมาก ๆ ค่ะหากได้นักธุรกิจไฟแรงมากความสามารถอย่างคุณเควิลมาร่วมงานด้วย”
“…”
“ซึ่งดิฉันคิดว่าคุณเควิลก็น่าจะมีคำตอบอยู่ในใจแล้วเหมือนกันใช่ไหมคะ ไม่อย่างนั้นคุณเควิลคงจะไม่ยอมลงทุนบินมาถึงประเทศไทย และดิฉันรับรองได้เลยค่ะว่าคุณเควิลจะไม่ผิดหวังหากจับมือกับทางบริษัทเราค่ะ” เสียงหวานเอ่ยอย่างฉะฉานทุกคำพูดที่เปล่งออกไปล้วนมาจากความรู้สึกจริง ๆ เพื่อแสดงให้อีกฝ่ายเห็นถึงความจริงใจไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไงเธอก็พร้อมยอมรับ แต่ดูเหมือนเควิลจะสัมผัสได้ถึงความจริงใจของหญิงสาว อีกทั้งยังทึ่งในคำพูดของเธอไม่น้อยนับว่าเป็นคนที่ไหวพริบดีทีเดียวตอบคำถามได้ดีมาก
“ผมชอบความตรงไปตรงมาของคุณจริง ๆ คุณคามิลลา” เขาระบายยิ้มให้หญิงสาวอย่างชอบใจ ก่อนเลื่อนสายตาไปมองหน้าประภากรณ์ต่อ “ผมตกลงเซ็นสัญญาครับคุณประภากรณ์”
ประภากรณ์ที่นั่งหน้าเคร่งขรึมถึงกับขมวดคิ้วชนกันกับคำตอบที่ได้รับไม่คิดว่าคำพูดเพียงไม่กี่คำของพนักงานสาวจะทำให้เควิลตอบตกลงโดยไม่ต้องคิดทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาพูดมาแทบตาย แต่ก็ต้องยอมรับว่าเธอไหวพริบดีมากแค่เวลาไม่กี่วินาทียังสรรหาคำมาพูดได้อย่างฉลาดโดยการใช้ความจริงใจซื้อใจของเควิล
"เป็นเกียรติกับบริษัทอย่างยิ่งครับที่ได้ร่วมงานกับคุณเควิล" เขาน้อมศีรษะระบายยิ้มให้เควิลเล็กน้อย ก่อนจะแบมือขอเอกสารสัญญาจากพนักงานสาว อีกคนยื่นแฟ้มเอกสารให้อย่างรู้งาน
หลังจากการเซ็นสัญญาเสร็จสิ้นลงเควิลก็ชวนทั้งสองคนทานอาหารและดื่มฉลองกัน บรรยากาศภายในห้องอาหารเป็นไปอย่างครึกครื้น ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายดูเหมือนจะแน่นแฟ้นขึ้นโดยเฉพาะภรรยาและบุตรสาวของเควิลที่ดูจะชื่นชอบ คุยกันถูกอกถูกใจกับคามิลลามาก
ประภากรณ์ลอบมองพนักงานสาวที่กำลังพูดคุยกับสองแม่ลูกอย่างออกรสออกชาติเป็นระยะ ๆ งานครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีเป็นความดีความชอบของเธอล้วน ๆ เพราะความสดใสและยิ้มแย้มเป็นกันเองของเธอทำให้เควินยอมเซ็นสัญญาโดยง่าย
ผ่านไปกว่าสามชั่วโมงการเลี้ยงฉลองก็เสร็จสิ้นลงประภากรณ์และคามิลลาจึงกลับห้องพัก“การเซ็นสัญญาผ่านไปได้ด้วยดีท่านประธานจะเดินทางกลับกรุงเทพเลยไหมคะ” คามิลลาเปล่งเสียงถามทันทีที่เดินเข้ามาในห้องพัก“นี่เพิ่งวันที่สองผมบอกว่าสี่วันคุณจำไม่ได้เหรอคามิลลา” ประภากรณ์หันกลับไปมองหน้าตอบร่างบางที่ยืนอยู่ด้านหลังด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเรียบนิ่งแต่มุมปากกลับยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ใช่ที่จริงเซ็นสัญญาเสร็จก็สามารถบินกลับกรุงเทพได้เลยแต่ที่เขาอยู่ต่อเพราะจะใช้เวลาสองวันนี้ต้อนเธอให้จนมุม จะง้างปากคนปากแข็งให้ยอมรับให้ได้ว่าเธอคือคนในคืนนั้น คนฟังถึงกับหน้านิ่วคิ้วขมวดช้อนสายตาขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างไม่เข้าใจ เธอไม่เห็นว่ามีความจำเป็นอะไรจะต้องอยู่ต่อเลยในเมื่องานก็เรียบร้อยแล้ว หรือเขาคิดจะทำอะไรกันแน่เธอชักหวั่นใจแล้วสิยิ่งเห็นสายตาที่เขามองมาก็ยิ่งไม่น่าไว้ใจทั้งสองยืนมองสบตากันนิ่ง ๆ เนินนานหลายนาที ก่อนเสียงทุ้มจะเอ่ยทำลายความเงียบ “โทรสั่งไวน์และของว่างให้ผมด้วย”ว่าจบเขาก็เดินไปนั่งเอนกายบนโซฟาวางแขนทั้งสองบนพนักยกขาขึ้นไขว้ห้างด้วยท่าทางสบายใจ ขณะที่อีกคนได้แต่เก็บความขุ่นข้องหมองใจไว้ เดิ
สองร่างบดเบียดแนบแน่นตามแรงอารมณ์ที่ทะยานสูงขึ้นเรื่อย ๆ สัมผัสแปลกใหม่ทำให้สติของคามิลลาที่มีไม่เต็มร้อยเริ่มเตลิดเปิดเปิง ไม่รู้ว่าเพราะน้ำเมาหรือเพราะความต้องการทางร่างกายที่มันเป็นไปตามกลไกธรรมชาติกันแน่มือหนาคลายพันธนาการออกจากข้อมือเล็กเมื่อรับรู้ได้ว่าคนใต้ร่างไม่ได้ต่อต้านเหมือนในตอนแรก ผละจูบออกจากริมฝีปากอวบอิ่มเคลื่อนลงขบกัดติ่งหูเล็กเบา ๆ ซ้ำ ๆ ความวาบหวามแผ่ซ่านไปทุกอณูของร่างบอบบางจนเธอต้องจิกเล็บลงบนไหล่กว้างที่มีเสื้อขว้างกั้นระบายความรู้สึก“อื้อ.. ท่านประธาน” ริมฝีปากอวบอิ่มเผยอเรียกคนด้านบนเสียงอ่อนเสียงหวานยิ่งกระตุ้นเลือดในกายของคนถูกเรียกให้พุ่งพล่านมากกว่าเดิม ความเป็นชายขยายตัวจนรู้สึกปวดหนึบไปหมด ใบหน้าหล่อเหลาค่อย ๆ ผละออกจากติ่งหูเล็กเคลื่อนลงซุกไซ้ดอมดมกลิ่นกายหอมกรุ่นบนลำคอระหงพร้อมทั้งขบเม้มฝากรอยไว้เบา ๆ ระเรื่อยมาหยุดบนเนินอกอวบที่มีเสื้อผ้าขว้างกั้นอยู่มือหนารีบรูดรั้งชุดเดรสสายเดี่ยวลงไปกองใต้ราวนมพร้อมกับดึงทึ้งที่แปะจุกออกอย่างใจร้อน ทันทีที่ไร้สิ่งกีดขว้างริมฝีปากหนาก็อ้าครอบครองยอดถันสีสวยอย่างตะกละตะกลาม มือทั้งสองก็เคล้นคลึงก้อนเนื้อกลมกลึงไป
เมื่อรับรู้ได้ว่าร่างเล็กเคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสเขาจึงหยัดกายลุกขึ้นนั่งตัวตรงแยกขาเรียวออกจนกลีบกุหลาบสีสวยที่ปิดสนิทผลิบานโชว์ความสวยงาม แววตาทอประกายด้วยความปรารถนาจับจ้องอย่างลุ่มหลงพร้อมกับจับปลายหัวบานถูไถ่ขึ้นลง“อื้อ” สร้างความวาบหวามให้ร่างเล็กจนหลุดเสียงครางหวานออกมาเบา ๆ ใบหน้าเรียวเริ่มแดงระเรื่อด้วยพิษความเสียว เม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นตามกรอบหน้ายิ่งทำให้ดูเซ็กซี่ยั่วยวนอารมณ์คนด้านบน ค่อย ๆ ดันแท่งเนื้อเข้าไปในร่องฉ่ำแฉะแต่เข้าไปได้แค่ส่วนหัวเท่านั้นเขาก็ต้องกัดกรามกรอดเมื่อความคับแน่นบีบรัดจนรู้สึกปวดหนึบไปหมด ขณะที่ร่างเล็กนั้นใบหน้าเหยเกด้วยความเจ็บเริ่มดิ้นเล็กน้อยพร้อมทั้งยกมือขึ้นดันหน้าท้องแกร่ง ร้องบอกด้วยน้ำเสียงสั่น “จะ..เจ็บ”ประภากรณ์ไม่ได้เอ่ยอะไรโน้มตัวลงไปจูบซับทั่วใบหน้าเรียวเชิงปลอบประโลมทุกอย่างเป็นไปตามความรู้สึกโดยที่เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้อ่อนโยนกับเธอขนาดนี้ทั้งที่ไม่เคยทำแบบนี้กับใครมาก่อน แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะหาคำตอบประทับจูบริมฝีปากอวบอิ่มเคล้นคลึงอย่างนุ่มนวลพร้อมทั้งส่งเรียวลิ้นเข้าไปกวาดต้อนในโพรงปากฉ่ำ ดูดดึงพัวพันกับลิ้นเล็กอย่า
หลังจากพายุสวาทสงบลงประภากรณ์กับคามิลลาก็ต่างพากันหลับใหลไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย กว่าทั้งสองจะตื่นก็ปาเข้าไปหกโมงเย็นแล้วประภากรณ์หันมองร่างบางที่นอนหันหลังให้แวบหนึ่งแล้วลุกลงจากเตียงเดินเข้าห้องน้ำไปเพื่อชำระร่างกายอีกรอบถึงแม้หลังจบกิจกรรมรักจะอาบไปรอบหนึ่งแล้วก็ตาม ขณะที่คามิลลานั้นยังคงแสร้งทำเป็นหลับทั้งที่ตื่นมาสักพักแล้วเพราะต้องการหลบหน้าประธานหนุ่มยังรู้สึกกระดากอายกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นอยู่เล็กน้อย“บ้าชะมัด” เธอถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่พร้อมดีดตัวลุกขึ้นนั่งเมื่อได้ยินเสียงน้ำไหล มือเรียวยกขึ้นยีผมจนยุ่งเหยิงด้วยความรู้สึกหงุดหงิดทำไมทุกอย่างถึงออกมาเป็นแบบนี้ได้ก็ไม่รู้ทั้งที่พยายามเซฟตัวเองแล้วแท้ ๆ ตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าเธอคือผู้หญิงในคืนนั้นหวังว่ามันจะจบลงแค่นี้นะลมหายใจหนัก ๆ ถูกพ่นออกจากจมูกโด่งอีกครั้งก่อนเธอจะสลัดความคิดออก ลุกลงจากเตียงรีบเดินไปเอาผ้าเช็ดตัวมาพันรอบอกไว้จากนั้นก็เก็บเสื้อผ้าที่หล่นเกลื่อนกลาดบนพื้นขึ้นมา แล้วเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟารอให้อีกคนอาบน้ำเสร็จจะได้อาบต่อเพราะเธอยังไม่ได้ชำระร่างกายเลย หลังจากเสร็จกิจกรรมบนเตียงก็ผล็อยหลับไปทันทีคงเป็นเพ
"เอาคุณไงคามิลลา" ประภากรณ์โน้มใบหน้าลงตอบชิดกกหูเล็กด้วยน้ำเสียงแหบพร่าพร้อมจับมือเรียวที่เอาแต่ผลักไสเขาตรึงไว้ข้างศีรษะอย่างนึกรำคาญ ขณะที่อีกคนนั้นรีบเบือนหน้าหนีในทันทีก่อนจะหันกลับมาถลึงตาใส่เจ้าของคำพูดลามกด้วยความไม่พอใจ "ท่านประธานอย่ามาเล่นลิ้นนะคะ""ผมไม่ได้เล่นลิ้น" ว่าจบริมฝีปากหนาก็ประทับจูบริมฝีปากอวบอิ่มทันทีพร้อมกับใช้โอกาสที่เธอเผยอปากร้องท้วงสอดเรียวลิ้นเข้าไปไล่ต้อนเรียวลิ้นเล็ก หยอกเย้าเกี่ยวกระหวัดสอนคนอ่อนด้อยประสบการณ์ให้รู้ว่าเล่นลิ้นจริง ๆ มันเป็นยังไงริมฝีปากบดคลึง เรียวลิ้นเกี่ยวกระหวัดพัวพันอย่างร้อนแรงตามอารมณ์ที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทำคนอ่อนด้อยประสบการณ์แทบขาดอากาศหายใจส่งเสียงร้องอื้ออึงในลำคอระรัว เขารับรู้ได้จึงยอมถอนจูบออกเอ่ยชิดกลีบปากอวบด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “แบบนี้ต่างหากที่เขาเรียกว่าเล่นลิ้นของจริง"“ขอบคุณที่ทำให้รู้นะคะ” เสียงหวานประชดประชันคนอย่างเขาคงช่ำชองในเรื่องแบบนี้มากสินะก็แหง่ล่ะสิได้ข่าวว่าพาสาวขึ้นเตียงไม่ซ้ำหน้า ดวงตาคมจ้องลึกเข้าไปในแววตาทอประกายอย่างไม่เข้าใจพร้อมกับร้องท้วงอีกครั้ง “ปล่อยค่ะท่านประธานจะเอายังไงก็บอกมาเลยค่ะ ถ้าจ
“เฮ้อ” คามิลลาลอบถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกเซ็งแผนที่เธอวางไว้เมื่อวานหลังจากประธานหนุ่มอนุญาตให้เธอออกไปเที่ยวพักผ่อนได้ตามใจเป็นอันต้องล่มเพราะหนูน้อยเอมิลี่บุตรสาวของเควิลโทรมาชวนเธอไปเที่ยวด้วยกันเมื่อตอนเช้าตรู่ ตอนแรกเธอก็ดีใจอยู่หรอกที่จะได้ไปเที่ยวกับหนูน้อยเอมิลี่สองคน แต่พ่อแม่ของเอมิลี่กลับโทรมาขออนุญาตประธานหนุ่มบอกว่าวันนี้ขอยืมตัวเลขาสาวหนึ่งวันเพื่อให้เป็นเพื่อนเที่ยวบุตรสาว พอเขารู้แค่นั้นแหละก็บอกว่าจะไปกับเธอด้วยโดยให้เหตุผลว่ายังไงเอมิลี่ก็เป็นบุตรสาวคนสำคัญของบริษัทไปกันสองคนจะได้ช่วยกันดูแล แล้วผู้น้อยอย่างเธอจะขัดคนเป็นเจ้านายได้อย่างไรกันล่ะ และตอนนี้เธอกับประธานหนุ่มก็มายืนรอหนูน้อยเอมิลี่อยู่ที่ล็อบบี้ของพลูวิลล่าซึ่งครอบครัวของเควิลก็พักอยู่ที่นี่เหมือนกัน ผ่านไปประมาณสิบนาทีก็ได้ยินเสียงอันสดใสของเอมิลี่ดังมาแต่ไกล “พี่คามิลลา” ทำให้เธอยิ้มได้เล็กน้อยรีบหันไปมองทางต้นเสียง ก่อนจะพบว่าหนูน้อยเอมิลี่กำลังเดินกึ่งวิ่งตรงมาที่เธอด้วยท่าทางดีใจโดยมีเควิลและมาเรียเดินตามหลังมา“ว่าไงคะน้องเอมิลี่” เธอเอ่ยทักทายเด็กน้อยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพร้อมวางมือบนศีรษะเล็
คามิลลาอดหัวเราะออกมาไม่ได้กับคำพูดของเอมิลี่สงสัยคงเรียกตามเธอสินะก็ประธานหนุ่มดันไม่บอกชื่อกับเด็กน้อยเองนิ แต่เพียงเสี้ยวนาทีเธอก็ต้องรีบเม้มปากแน่นเมื่อประธานหนุ่มส่งสายตาดุมา"เรียกพี่ว่าพี่กรณ์ก็ได้ครับ" ประภากรณ์จับจ้องใบหน้าเรียวเพียงเสี้ยวนาทีแล้วตวัดสายตากลับมาพูดกับเด็กน้อยต่อ เขาบอกชื่อพยางค์สุดท้ายของชื่อจริงไปแทนชื่อจริงเพราะชื่อโปรดเขาจะให้คนที่สนิทด้วยจริง ๆ เรียกเท่านั้น"ค่ะพี่กรณ์" เอมิลี่ยิ้มรับ "พี่กรณ์กับพี่คามิลลามาถ่ายรูปกับเอมิลี่สิคะ""น้องเอมิลี่ถ่ายกับพี่คามิลลาเถอะครับ พี่ไม่ชอบถ่ายรูปครับ" เขาปฏิเสธไปทำเอาเอมิลี่หน้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัดพลอยทำให้เขารู้สึกผิดไม่น้อย"ถ่ายหน่อยเถอะค่ะท่านประธานเห็นไหมคะน้องเอมิลี่เศร้าแล้ว" คามิลลาเอียงหน้ากระซิบใกล้ ๆ ประธานหนุ่มเพราะนึกสงสารเด็กน้อยดูจากสีหน้าแล้วคงผิดหวังมาก ๆ ไม่รู้ว่าเขาจะอะไรกันนักหนาก็แค่ถ่ายรูป อีกคนช่างใจสักพักก่อนจะพยักหน้าตกลงอย่างเลี่ยงไม่ได้หากไม่ยอมก็ดูจะใจร้ายเกินไปหากน้องเอมิลี่กลับไปบอกพ่อแม่คงทำให้ทั้งสองรู้สึกไม่ดีแน่"พี่คะรบกวนช่วยถ่ายรูปให้หน่อยได้ไหมคะ" เมื่อประธานหนุ่มตอบตกลงคามิลลาก็
วันนี้ทั้งวันเขาได้เห็นเธอในหลายมุมมาก ๆ ท่าทางของเธอในตอนนี้ราวกับแมวน้อยก็ไม่ปรานหมดคราบสาวมั่นไปเลยน่ามันเขี้ยวจนเขาอยากจะบีบจมูกรั้น ๆ นั้นสักทีสองทีแววตาลุ่มลึกจ้องมองใบหน้าเรียวนิ่ง ๆ นานนับนาทีราวกับชั่งใจก่อนจะเปล่งเสียงตอบ "ก็ได้""ขอบคุณค่ะ" คนรอฟังคำตอบด้วยความลุ้นระทึกยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจมองสบนัยน์ตาลุ่มลึกอย่างขอบคุณ ซึ่งอีกคนรับรู้ได้เขาเพียงระบายยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วก้มเอ่ยกับเอมิลี่ที่ยืนจับชายเสื้อเขาไม่ปล่อย "พระอาทิตย์ใกล้ตกแล้วเรารีบไปกันดีกว่าครับจับพี่ดี ๆ นะครับห้ามปล่อยมือ""ค่ะ" "งั้นไปกันเลยครับ" เมื่อบอกกล่าวกับเด็กน้อยเรียบร้อยร่างสูงก็เริ่มก้าวเท้าเดินต่อทันที ทว่าก้าวเดินได้เพียงก้าวเดียวเท่านั้นเขาก็ต้องหยุดชะงักกับเสียงทักท้วงของร่างบางบนวงแขน "ฉันเดินเองก็ได้ค่ะท่านประธานคนมองหมดแล้ว""หากคุณยังดื้อผมจะพาคุณกลับเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องดูมันแล้วพระอาทิตย์ตก" เขาถึงกับถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่จ้องมองใบหน้าเรียวด้วยแววตาดุ นี่เขาก็ใจดีสุดแล้วนะที่ยอมให้เธออยู่ดูพระอาทิตย์ตกต่อ ยังจะมาทักท้วงอะไรอีกดูก็รู้ว่าเธอเดินไม่ไหวแน่ ๆ เพราะข้อเท้าบวมแดงมาก".." คามิ
หลายปีต่อมา.."อ๊ะ!" แรงสวมกอดจากด้านหลังทำให้คุณแม่ลูกหนึ่งที่กำลังก้มหน้าก้มตาล้างขวดนมบุตรสาวอยู่ภายในห้องครัวสะดุ้งด้วยความตกใจกับการมาไม่ให้สุ่มให้เสียงของคนเป็นสามี เอี้ยวหน้าไปส่งสายตาดุเล็กน้อย "รักตกใจหมดพี่โปรด""โอ้ ๆ! ขวัญเอ๋ยขวัญมา" คนโดนดุกลั้วหัวเราะออกมาเบา ๆ ยกมือขึ้นลูบศีรษะทุยเรียกขวัญพร้อมกับกดจูบข้างขมับด้วยความรักใคร่เรียกรอยยิ้มของอีกคนได้เป็นอย่างดี เธอโคตรชอบเวลาที่คนเป็นสามีแสดงความรักแบบนี้มองสบแววตาอ่อนโยนนานนับนาทีก่อนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง "แล้วลูกละคะ""หลับอยู่ครับ" เขาเอ่ยพร้อมกับเกยหน้าบนไหล่มน สองแขนโอบกอดร่างบางไว้แนบแน่น เขาแต่งงานกับเธอมาห้าปีกว่าแล้วมีลูกสาวที่แสนน่ารักด้วยกันหนึ่งคน และยิ่งนานวันเขาก็ยิ่งรู้สึกรักเธอมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะทุกช่วงเวลาที่ยากลำบากเธอคอยอยู่เคียงข้างและค่อยให้กำลังเขาเสมอมา เป็นทั้งภรรยาและแม่ที่ดีที่สุด ดูแลเขากับลูกไม่เคยขาดตกบกพร่องอะไรเลยคามิลลาเพียงพยักหน้ารับแล้วก้มหน้าล้างขวดนมต่อโดยมีคนเป็นสามีโอบกอดอยู่ ทว่าเธอก็ต้องหน้านิ่วคิ้วขมวดหันควับมองคนด้านหลังอีกครั้งเพราะมือของเขาเริ่มอยู่ไม่นิ่งล้วงเข้ามาในเสื้อยืดแล้วบ
"อารักข๋า" เสียงใส ๆ ของเด็กน้อยดังขึ้นทำให้คามิลลาที่นั่งก้มหน้าทำงานอยู่ที่โต๊ะละสายตาจากแฟ้มเอกสารเงยหน้าขึ้นมอง รอยยิ้มบาง ๆ พลันผุดขึ้นประดับมุมปากหยักเมื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงอันสดใสคือน้องปริมเด็กน้อยวัยสามขวบเศษ ๆ ลูกสาวประภาวินท์พี่ชายของแฟนหนุ่ม รีบลุกเดินไปหาเด็กน้อยที่เดินจูงมือคนเป็นอาเข้ามา "น้องปริมมาได้ยังไงคะเนี่ย""น้องปริมขอตามอาโปรดมาค่ะ น้องปริมคิดถึงอารักค่ะ" เด็กน้อยยิ้มตอบจนตาหยีทำให้เธอทั้งมันเขี้ยวทั้งเอ็นดูจนต้องโน้มลงไปใช้มือบีบพวงแก้มอวบเบา ๆ "หื้ม นอกจากสวยแล้วยังปากหวานอีกด้วยนะเนี่ย""แน่นอนอยู่แล้วใช่ไหมครับน้องปริมนี่หลานอาโปรดนะ" ประภากรณ์เอ่ยด้วยใบหน้าเคลือบรอยยิ้มพลางมองหน้าแฟนสาว ตั้งแต่เขาพาเธอไปพบน้องปริมเมื่อหลายเดือนก่อนเด็กน้อยก็ดูจะชอบเธอเอามาก ๆ และเธอก็ดูเหมือนจะเข้ากับน้องปริมได้ดีหากวันไหนมีเวลาว่างเธอมักจะแวะเวียนไปเล่นด้วยน้องปริมตลอดบอกตามตรงว่าเวลาที่เห็นเธอเล่นกับหลานก็นึกอยากจะมีลูกเป็นของตัวเองขึ้นมาบ้างเขาก็อายุไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว ซึ่งตอนนี้รอให้คนที่จะมาเป็นเจ้าสาวของเขาพร้อมอย่างเดียวเลย ส่วนเรื่องอื่นไม่มีปัญหาอะไรเขาได้บอกให้ผู
"พี่โปรดยังงอนรักอีกเหรอคะ" คามิลลาเริ่มเปิดบทสนทนาทันทีที่ในห้องเหลือเพียงเธอกับเขาพร้อมกับเดินอ้อมไปนั่งบนตักยกมือขึ้นโอบลำคอแกร่งหลวม ๆ อีกคนกดยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห๋ แต่เพียงเสี้ยวนาทีก็หายไปเปล่งเสียงตอบคนบนตักด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "พี่ไม่ได้งอนอะไรนิครับ" "ไม่งอนแล้วทำไมทำตัวเย็นชาแบบนี้ละคะ" แววตาคมมองหน้าถามอย่างคาดคั้นปากบอกว่าไม่ได้งอนแต่การกระทำตรงข้ามกันสิ้นเชิงตั้งแต่ออกจากคอนโดจนถึงตอนนี้เขาก็เอาแต่ทำเย็นชาใส่ ขนาดเธอนั่งบนตักแบบนี้แล้วยังไม่คิดจะโอบกอดสักนิด"แค่น้อยใจที่เมียไม่ให้เอา" "มันใช่เรื่องจะมาน้อยใจไหมคะท่านประธาน" คำตอบของคนตัวโตทำเอาเธอถึงกับกลอกตามองบนถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่อะไรมันจะขนาดนั้นกันเชียว แต่กระนั้นเธอก็ยอมง้อนั่นแหละ มือเรียวคลายออกจากลำคอแกร่งเคลื่อนมาประคองใบหน้าหล่อเหลาแทน "แล้วทำยังไงถึงจะหายน้อยใจคะ"ประภากรณ์ไม่ได้ตอบแต่ทำปากจู๋ขอจูบจากเธอแทน อีกคนส่ายหน้าระบายยิ้มออกมาบาง ๆ แต่ก็ยอมประทับจูบบนเรียวปากหยักตามคำเรียกร้อง เมื่อจะผละจูบออกกลับถูกมือหนากดท้ายทอยไว้พร้อมทั้งส่งเรียวเข้ามาในโพรงปาก และเธอก็ไม่คิดจะขัดขืนหลับตาจูบตอบ เกี่ยวกระหวั
แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านม่านสีขาวเข้ามากระทบร่างสองหนุ่มสาวที่นอนกอดกันอยู่บนเตียงปลุกให้คามิลลารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก่อน ขณะที่อีกคนยังนอนหลับสนิทรอยยิ้มบาง ๆ ผุดขึ้นประดับริมฝีปากอวบอิ่มเมื่อลืมตาขึ้นมาเห็นใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ห่างเพียงคืบเป็นอันดับแรก ดวงตาคมไล่มองสัดส่วนบนใบหน้าหล่อเหลาอย่างพินิศพร้อมใช้นิ้วกรีดกรายไปตามคิ้วดกดำ ลงมาหยุดที่แพรขนตายาวหนาที่ดูเหมือนจะยาวและสวยกว่าของเธอเสียอีกน่าอิจฉานักอดไม่ได้ที่จะเล่นกับมันโดยการลูบไปมาซ้ำ ๆ ก่อนจะลากนิ้วผ่านจมูกโด่งลงไปยังริมฝีปากสีแดงระเรื่อราวกับของผู้หญิง “จะดูดีเกินหน้าเกินตากันไปแล้วนะ” เธอพึมพำออกมาอย่างนึกอิจฉาเอาจริงเครื่องหน้าของเขาแป๊ะจนผู้หญิงอย่างเธออิจฉาหนักมาก เสียงพึมพำจากริมฝีปากอวบอิ่มทำเอาคนที่ตื่นตั้งแต่เธอลากนิ้วบนคิ้วแต่แสร้งหลับต่อหลุดยิ้มออกมา พร้อมกับเปลือกตาบางที่ปรือขึ้นมองใบหน้าเรียว “บ่นอะไรหื้ม”“บ่นว่าพี่หล่อเกินไปแล้ว” เสียงหวานบอกไปตามจริงพร้อมกับทำหน้าคว่ำใส่ด้วยความหมั่นไส้“ไม่ภูมิใจเหรอครับมีแฟนหล่อ” ประภากรณ์ถึงกับกลั้วหัวเราะออกมากับท่าทางแสนน่ามันเขี้ยวของเธอใช้มือบีบจมูกโด่งรั้นเบา ๆ ก่อน
“หลังจากนี้ไม่อนุญาตให้หายไปไหนแล้วนะครับ” ประภากรณ์ยิ้มจนแก้มแทบแตกกับคำตอบตอนแรกก็แอบกลัว แต่ตอนนี้หัวใจพองโตคับอกแล้ว รู้สึกดีใจและมีความสุขจนอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ ริมฝีปากหนากดจูบบนหน้าผากมนอีกครั้งพร้อมกับสวมกอดร่างบางอย่างแนบแน่นให้สมกับที่เขารอเธอมานานแสนนาน ร่างบางกอดตอบแนบแน่นไม่ต่างกัน ใบหน้าเรียวที่เคลือบด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ซบลงบนแผงอกแกร่งพร้อมหลับตาลง เธอชอบอ้อมกอดนี้ ไออุ่นนี้เหลือเกินให้ความรู้สึกอบอุ่นหัวใจและปลอดภัยเหมือนในตอนเด็ก ๆ ที่เขาค่อยปกป้องเธอไม่มีผิดทั้งสองยืนกอดกันอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาปล่อยให้ภาษากายบอกความรู้สึกที่มีต่อกันแทน ผ่านไปเนินนานหลายนาทีเสียงทุ้มจึงเอื้อนเอ่ยอีกครั้ง “คืนนี้นอนที่นี่นะครับ”“ไม่ค่ะรักต้องกลับไปเลี้ยงฉลองงานวันเกิดเพื่อนต่อ แล้วกลับไปนอนที่คอนโดเติม” ใบหน้าเรียวผงกขึ้นปฏิเสธทันควัน ก่อนจะอธิบายเหตุผลให้ฟัง “รักบอกเพื่อนไว้ว่าคุยธุระกับพี่เสร็จจะกลับไปฉลองด้วย รักไม่อยากผิดคำพูดกับเพื่อนค่ะ”“ครับ” ประภากรณ์เข้าใจเหตุผลของเธอ แต่ที่ไม่ชอบคือผู้ชายคนนั้นที่มาใกล้ชิดสนิทสนมกับเธอเกินไป ดวงตาคมกริบมองหน้าถามคนในอ้อ
ครืด! ครืด!โทรศัพท์เครื่องหรูแผดเสียงดังขึ้นทำให้เธอหลุดออกจากห้วงความคิด ก่อนจะรีบหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายออกมาดูเมื่อเห็นว่าเป็นเติมรักจึงกดรับสาย ส่วนร่างสูงที่ยืนอยู่ด้านหน้ารีบหมุนตัวกลับมามองด้วยแววตาดุพร้อมเปล่งเสียงถามเพราะอยากรู้ว่าคนที่โทรมาเป็นผู้ชายคนนั้นหรือเปล่า “ใครโทรมา”คามิลลาถึงกับงุนงงกับท่าทางของประธานหนุ่มความจริงใครจะโทรมามันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเธอหรือเปล่า ทำไมเขาถึงแสดงอาการเหมือนพ่อหวงลูกเพราะกลัวลูกจะมีแฟนไม่มีผิด“เติมรักค่ะ” ดวงตาคมมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างไม่เข้าแต่กระนั้นก็ยอมตอบไปเพราะขี้เกียจมีปัญหาอีก จากนั้นก็กรอกเสียงพูดกับคนปลายสายต่อ อีกคนเมื่อได้รับคำตอบที่พึงพอใจจึงหมุนตัวเดินต่อโดยคามิลลาเดินตามหลังไปห่าง ๆ พลางคุยโทรศัพท์ไปด้วยจนถึงห้องของเขา“เข้ามาสิ” เธอขอวางสายจากเพื่อนสาวแล้วเดินเข้าไปในห้องของเขาตามคำเชื้อเชิญโดยง่ายอาจเป็นเพราะรู้ว่าเขาคือพี่โปรดเธอจึงไว้ใจและกล้าเข้าแบบไม่กลัวอะไร ดวงตาคมมองสำรวจรอบ ๆ ห้องอย่างพินิศพิจารณาที่นี้หรูหรา กว้างขว้างและสะดวกสบายสมราคาจริง ๆ “อ๊ะ!” ทว่าเธอก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ ๆ ก็ถูกอีกคนสวมกอดจากด้
ประภากรณ์นั่งมองประภาวินท์ผู้เป็นพี่ชายที่อายุห่างจากเขาแค่ปีเดียวความสงสัยเพราะตั้งแต่มาถึงพี่ชายก็เอาแต่กระดกเหล้าเข้าปากไม่พูดไม่จาสักคำคงมีเรื่องเครียดมากแน่ ๆ ถึงได้ดื่มแอลกอฮอล์เหมือนกับน้ำเปล่าแบบนี้ทั้งที่ปกติแทบจะไม่แตะเลยหากไม่จำเป็น “ไหนบอกมีเรื่องจะปรึกษา” เขาปล่อยให้พี่ชายดื่มไปสักพักก่อนจะเริ่มถามไถ่ทำให้คนที่กำลังยกน้ำสีอำพันขึ้นดื่มหยุดชะงักฉับพลัน มองหน้าผู้เป็นน้องนิ่ง ๆ นานนับนาทีก่อนระบายเรื่องกลัดกลุ้มในใจออกไป “ฉันเจอวารีแล้วแถมเธอยังมีลูกที่เกิดจากฉันด้วย”“จริงเหรอแล้วเธอว่าไงบ้าง บอกสาเหตุที่หายไปไหม” พอพี่ชายบอกถึงสาเหตุเขาก็เข้าใจได้ในทันทีรู้สึกเห็นใจและเป็นห่วงความรู้สึกพี่ชายในเวลาเดียวกันวารีเป็นแฟนที่พี่ชายรักมากมากจนถึงขั้นยอมทะเลาะกับแม่เพราะท่านไม่ชอบที่พี่ชายคบกับวารีซึ่งเป็นเพียงเด็กกำพร้าเติบโตมาในสถานสงเคราะห์ ทั้งสองฝ่าฟันอุปสรรคด้วยกันจนแม่ของเขายอมใจอ่อนแต่หลังจากอยู่ด้วยไม่กี่ปีจู่ ๆ วารีก็มาหายไปโดยไม่บอกกล่าว และไม่ทราบสาเหตุหายไปราวกับบนโลกใบนี้ไม่เคยมีเธออยู่ทำให้พี่ชายเสียใจอย่างหนักไม่เป็นอันทำอะไรนานหลายเดือนเลยทีเดียว“เพราะแม่ แม่ใ
เขาใช้เวลาในการเดินทางเพียงสี่สิบห้านาทีก็มาถึง ทว่าเมื่อรถมาจอดลงหน้าบ้านเขาก็ต้องขมวดคิ้วชนกันเพราะรถเก๋งคันสีดำที่จอดอยู่หน้าบ้านเมื่อวานหายไปนั่นแสดงว่าต้องมีใครออกไปไหน หรืออาจจะไม่อยู่ทั้งสองคนก็ได้รอยยิ้มที่เคลือบอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาพลันมลายหายไปสิ้นเมื่อคิดว่าตัวเองต้องมาเสียเที่ยว แต่เพื่อความชัวร์เขาจึงลงจากรถลองเดินไปกดกริ่งหน้ารั้วดูรอเพียงไม่นานก็มีผู้หญิงอายุราว ๆ ห้าสิบปีเดินออกมาจากบ้าน ดวงตาคมกริบเพ่งมองร่างท้วมที่เดินตรงเข้ามาเรื่อย ๆ อย่างพินิศพิจารณา รอยยิ้มบาง ๆ ผุดขึ้นประดับมุมปากหนาด้วยความดีใจเพราะเป็นแม่ของระรินรักนั่นเองถึงแม้ท่านจะอายุมากขึ้นแต่เขาก็จำได้ดี “สวัสดีครับน้าอร ผมโปรดครับ” รีบยกมือไหว้ทักทายอย่างนอบน้อมพร้อมบอกกล่าวเมื่อเห็นว่าท่านมองมาที่เขาด้วยสายตาสงสัย“โปรดเองเหรอ ไม่เจอกันสิบกว่าปีโตเป็นหนุ่มหล่อจนน้าจำไม่ได้เลย” อรดีฉีกยิ้มกว้างเมื่อรู้ว่าชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่ยืนอยู่นอกรั้วเป็นใคร รีบเปิดประตุให้เขาเข้ามาทันทีพร้อมเชื้อเชิญให้เข้าบ้าน “มา ๆ เข้ามานั่งในบ้านก่อน”“ขอบคุณครับ” เขาน้อมศีรษะขอบคุณอรดีแล้วเดินตามหลังท่านเข้าไปในบ้าน ดว
การหายไปของเธอทำให้เขาเจ็บปวดและเสียใจมากในสมองมีแต่คำถามมาตลอดว่าทำไมเธอกับครอบครัวถึงหายไป แล้วหายไปไหนทำไมถึงไม่บอกกล่าวกันสักคำ แต่กระนั้นเขาก็ยังแอบมีความหวังว่าเธอจะกลับมา ทุกวันหลังเลิกเรียนเขาจะมายืนรอหน้าบ้านเธอเสมอกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบเดือนจู่ ๆ ก็มีเจ้าของคนใหม่เข้ามาอยู่พอถามไถ่ก็ได้รู้ว่าเจ้าของคนเก่าขายบ้านหลังนี้แล้วความหวังที่มีเพียงน้อยนิดดับลงในพริบตาเขาเจ็บปวดมากแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะตอนนั้นยังเด็กไม่มีกำลังเพียงพอที่จะตามหาเธอ แต่กาลเวลาก็ไม่ได้ทำให้เขาลืมเลือนเธอได้เลยภาพใบหน้า รอยยิ้ม ความน่ารักสดใส และเรื่องราวดี ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดสิบปียังคงชัดเจนอยู่ในใจ เมื่อเขาเรียนจบและได้เข้ารับตำแหน่งผู้บริหารในบริษัทแทนผู้เป็นพ่อมีเงิน มีอำนาจจึงเริ่มจ้างนักสืบฝีมือดีตามหาเธอ เขามีความหวังเต็มเปี่ยมว่าจะได้เจอเธอที่ไหนสักที่ของประเทศไทยแต่ผ่านมาหลายปีก็ยังไร้วี่แวว เขาลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนสลัดความคิดในอดีตออกยังไงมันก็ไม่สำคัญแล้วในเมื่อตอนนี้เธอกลับมาหาเขาแล้ว เขานั่งมองบ้านหญิงสาวอยู่อย่างนั้นจนเวลาล่วงเลยมาถึงสามทุ่มจึงขับรถกลับบ้านอย่างน้อยวันนี้เขาก็ได้เห็นบ