“แต่ตอนนี้... ท่านกลับเอาเงินของข้าไปเลี้ยงชู้รักของท่าน? แถมยังตั้งครรภ์ลูกของเขาอีกด้วย! ท่านแม่ ท่านทำแบบนี้กับข้าได้อย่างไร?”นางหลิวครานี้ก็ไม่พอใจเช่นกัน “ข้าทำอะไรผิดกัน? ข้าเลี้ยงเจ้ามาจนโต เอาสินสอดของเจ้ามาใช้แล้วอย่างไร? เจ้าก็ควรกตัญญูต่อข้าไม่ใช่หรือ?"นางถานที่มึนงงอยู่ก็เริ่มเข้าใจเรื่องราว จึงถามด้วยความเหลือเชื่อ “ถ้าเช่นนั้น นางหลิว สินสอดของข้าที่แบ่งไปครึ่งหนึ่ง ท่านเอาไปเลี้ยงชายอื่นหมดเลยหรือ? มิน่าล่ะ ลูกสาวของท่านถึงได้เอาแค่ของไร้ค่าเป็นสินเดิมเข้าบ้าน! ท่านทำแบบนี้กับพี่ชายข้าได้อย่างไร?”นางหลิวกล่าวว่า “เจ้ายังมีหน้ามาถามข้าอีกหรือ? วันนี้เจ้าคบชู้กับเขาต่อหน้าต่อตาข้า แล้วเจ้าคิดว่าเจ้าไม่ผิดกับใครเลยหรือ?”ฉีอวี่เยียนได้ยินเช่นนั้นก็หน้าซีดเผือด เพราะนางเข้าใจแล้วว่า แม่ของนางทำเรื่องเช่นนี้ มิหนำซ้ำยังถูกเปิดโปงต่อหน้าผู้คนมากมาย ในฐานะลูกสาวของนาง ชื่อเสียงของตนคงพังทลายอย่างสิ้นเชิง!ซิ่วไฉที่นางหมายปอง เกรงว่าคงไม่ยอมแต่งงานกับนางอีกแล้ว!เสียงเอะอะโวยวายดังขนาดนี้ฝั่งแขกชาย ไม่นานนักข่าวลือก็แพร่สะพัดไปทั่ว ทุกคนไม่สนใจเรื่องการแยกชายหญิงอีกต่
เมื่อนางพูดเช่นนั้น สายตาของคนจำนวนมากก็จับจ้องไปที่หรงจือจืออย่างไรก็ตาม หรงจือจือไม่ได้ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย ทำเพียงท่าทีประหลาดใจ “ท่านแม่...ท่านช่างกล่าวหาข้าจริง ๆ ข้าไม่เคยคิดเช่นนั้นเลย ฮูหยินทั้งหลายเป็นพยานให้ข้าได้!”นางสวีเป็นคนแรกที่พูดขึ้น “ที่จริงแล้ว ข้าถือถ้วยชาไม่มั่นคงเอง ทำให้น้ำชาหกใส่ท่านหญิง!”ฉีอวิ่นตะลึง “ท่านหญิง?”เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ฉีจื่อฟู่ก็รู้สึกอับอายขายหน้าเช่นกัน แต่เขาก็ยังอธิบาย “จือจือเคยช่วยท่านเสนาบดีไว้ ฝ่าบาทจึงทรงแต่งตั้ง และรอเพียงฤกษ์งามยามดี”ฉีอวิ่นอยากถามหรงจือจือมากว่าทำไมนางถึงไม่บอกคนในครอบครัวเรื่องที่นางช่วยท่านเสนาบดีไว้เร็วกว่านี้ คราวที่แล้วที่เขาถาม นางตอบว่าไม่รู้จักแต่เขาก็รู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะพูดถึงเรื่องเหล่านี้!เขาจึงสูดหายใจเข้าลึก ๆ สองสามครั้ง แล้วหันไปมองนางถานอีกครั้ง “เจ้าเองก็ได้ยินแล้ว! ที่จือจือมาที่นี่เป็นเพียงอุบัติเหตุ!”นางถานพูดอย่างโกรธเคือง “ใครจะรู้ว่านางสมรู้ร่วมคิดกับนางสวีหรือไม่?"คราวนี้ นางสวีก็ไม่ยอม นางพูดกับฉีอวิ่น “นายท่านฉี นี่เป็นเรื่องภายในครอบครัวของท่าน ตามหลักแล้วข้าไม่ควร
หรงจือจือเช็ดน้ำตาที่เอ่อคลอตรงหางตา สีหน้าฉายแววน้อยใจ “ท่านแม่ ข้ารู้ว่าท่านไม่เคยชอบข้า แต่เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ ท่านก็กล่าวหาข้าอย่างลอย ๆ ไม่ได้นะเจ้าคะ”“โชคดีที่ท่านพ่อทรงปรีชาสามารถ ตัดสินคดีออกมาอย่างชัดเจน ไม่เช่นนั้นชื่อเสียงของข้าคงป่นปี้หมด!”ฉีอวิ่นผู้ได้รับคำชมว่าปรีชาสามารถ แต่บนศีรษะกลับส่องประกายสีเขียว ถึงแม้จะได้รับคำยกย่อง ก็รู้สึกยินดีไม่ออก!นางถานหันไปมองนางหลิว ก่อนจะเอ่ยด้วยความขุ่นเคือง “ท่านได้ยินหรือไม่! เขาทำร้ายข้าเพราะโลภเงินของข้า ข้ามิเคยยั่วยวนเขาเลยสักนิด!”นางหลิวหน้าซีดเผือดไม่คาดคิดเลยว่าเจ้าอันธพาลผู้นั้นจะหันไปพูดกับนางถานว่า “ข้าลงมือจริง แต่ข้ามิได้บังคับเจ้าเสียหน่อย! ตอนแรกเจ้ายังแสร้งขัดขืนอยู่พักหนึ่ง แต่พอผ่านไปไม่นาน เจ้ากลับตื่นเต้นขึ้นมาเองไม่ใช่หรือ?”“ฮ่า ๆ...” ไม่รู้ว่าขุนนางท่านใดเผลอหลุดขำออกมาฉีอวิ่นยิ่งรู้สึกว่าหมวกเขียวบนศีรษะตนส่องประกายเจิดจ้ากว่าเดิมนางถานรู้สึกหวาดหวั่น แต่ก็ยังตะโกนเสียงดัง “ข้าไม่ได้ทำ!”อันธพาลหัวเราะเยาะ “เจ้ายังจะปฏิเสธอีกหรือ? เหล่าฮูหยินที่อยู่ตรงนั้นล้วนได้ยินกันหมดแล้ว!”เรื่องมาถึงตอน
หรงจือจือคิดว่านางหลิวต้องรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับนางถานแน่ ๆ ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถข่มขู่นางถานให้ทำเรื่องที่ไม่อยากทำได้ตลอดช่วงที่ผ่านมาในใจของนาง ความจริงก็แอบคาดเดาถึงเรื่องนี้ไว้แล้วเวลานี้ จึงจงใจยั่วยุนางหลิวขึ้นมาอีกหน่อย “ที่จริงแล้วข้าก็เชื่อนะ ท่านแม่ไม่ใช่คนเลว นางเป็นคนที่จิตใจดีมีเมตตาที่สุดในโลกนี้แน่นอน เป็นเพราะคนอันธพาลโลภเงินทองและความงามของนาง หลงใหลในหัวใจที่ขาวสะอาดไร้มลทินของนาง ถึงได้คิดร้ายกับนางเช่นนี้!”นางหลิว ในตอนนี้โกรธแค้นยิ่งนัก!ก่อนหน้านี้ ตนยังเชื่อใจสามีหนุ่มของตนอยู่ แต่เมื่อสาวใช้เปิดโปงความสัมพันธ์ลับระหว่างนางกับเขาแล้ว ตนจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าแท้จริงแล้วตนถูกหลอก ทั้งความรู้สึกและเงินทอง?พังพินาศหมดสิ้น เงินก็หมด แล้วยังตั้งครรภ์ลูกสารเลว แถมชื่อเสียงก็ป่นปี้ไปแล้วในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางก็ไม่มีทางปล่อยให้ใครมีความสุขไปได้ โดยเฉพาะนางถาน คนที่ทำลายความสุขของนางและลากเอาความอับอายทั้งหมดมาประจานให้เห็น!เมื่อได้ยินหรงจือจือชมเชยนางถานเช่นนี้ นางจะยังทนได้อีกหรือ?ทันใดนั้นก็โกรธจัด พลางกล่าวว่า “นางน่ะหรือ? จิตใจเมตตา บริสุทธิ์ผุดผ่อง?
หรงจือจือกล่าวว่า “ข้าเองก็มีความรู้เรื่องแพทย์อยู่บ้าง หากใช้ยาพิษโดยจงใจให้ไปสะสมในครรภ์มารดา ตัวมารดาเองก็เพียงแต่จะอ่อนแอลงและรู้สึกหมดแรงอยู่บ้างเท่านั้น แต่จะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต! ข้าไม่คิดเลยว่าท่านแม่จะเป็นคนเช่นนี้...”เมื่อหรงจือจือกล่าวเช่นนี้ ผู้คนก็กระจ่างในทันทีนางถานยังคงปฏิเสธ “ข้าไม่ได้ทำ ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น!”นางหลิวกล่าว “ไม่ได้ทำ? จดหมายที่ท่านเขียนถึงพี่ชายของท่าน ข้ายังเก็บมันไว้อยู่เลย! ข้าเก็บมันไว้เผื่อวันใดวันหนึ่งจะได้ใช้มันเล่นงานท่าน อยากให้ข้าเอาออกมาให้ทุกคนดูหรือไม่?”คราวนี้นางถานทรุดลงกับพื้นบรรดาฮูหยินต่างวิพากษ์วิจารณ์ “นางถานช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก เมื่อพี่ชายและบิดาของนางเซวียตายหมดแล้ว เหลือเพียงนางคนเดียว นางก็เป็นเพียงอนุภรรยาเท่านั้น แต่นางถานก็ยังไม่ยอมปล่อยนางไป”“เรื่องนี้ยังไม่เท่าไร นายหญิงจะทนไม่ได้ที่สามีโปรดปรานอนุจนละเลยภรรยาเอก ก็พอจะเข้าใจได้อยู่บ้าง แต่เด็กน้อยไร้เดียงสาไม่รู้อีโหน่อีเหน่เลยนะ บุตรชายคนโตสายรองของนายท่านฉี ตอนนั้นยังเล็กขนาดไหนกัน?”พวกนางไม่ได้เห็นใจนางเซวียจริง ๆ หรอก บางคนเวลาจัดการอนุก็โหดเหี้ยมกว่าน
หรงจือจือฟังแล้วก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ฉีจื่อฟู่ไม่รู้จริง ๆ หรือแสร้งไม่รู้ ว่าการที่เขาพูดต่อหน้าคนอื่นว่าตนเองรังเกียจเขาเพราะตำแหน่งขุนนางที่ต่ำต้อย อาจส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของตนเองได้?นางจะรู้ได้อย่างไร ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าตนเองผู้นี้ เคยพูดเช่นนี้ต่อหน้าคนจำนวนมากในท้องพระโรงชิงเจิ้งมาแล้วตอนนี้มีใต้เท้าบางส่วนที่วันนั้นไม่ได้เข้าร่วมประชุมเช้า ทั้งได้รับข่าวสารล่าช้า ใช้สายตาดูถูกและไม่เห็นด้วยมองมาที่ตนเอง หรงจือจือยิ้มเล็กน้อย พลางมองฉีจื่อฟู่และกล่าว “ใต้เท้าฉีท่านพูดล้อเล่นแล้ว ตอนนั้นหมอหลวงบอกว่าท่านจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน ข้ายังไม่รังเกียจท่านเลย แต่ตอนนี้ท่านเป็นขุนนางขั้นหกแล้ว ข้ามีอะไรให้ต้องรังเกียจอีกหรือเจ้าคะ?”คำพูดนี้ ทำให้สีหน้าของฉีจื่อฟู่ชะงักไป นางเรียกตนเองว่าใต้เท้าฉีหมายความว่าอย่างไร?บรรดาใต้เท้าคนอื่น ๆ มองหน้ากัน ต่างก็เห็นด้วย ต้องรู้ไว้ก่อนหน้านี้ฉีจื่อฟู่ไม่แน่ว่าจะรอดชีวิต แต่สกุลหรงยังคงแต่งเข้ามา และไม่หวั่นเกรงต่อการเป็นหม้าย ช่างเป็นสตรีที่มีคุณธรรมเสียจริงหากจะบอกว่านางรังเกียจตำแหน่งขุนนางที่ต่ำต้อยของฉีจื่อฟู่ ก็คงฟังไม่ขึ้นเสียเท่าใดน
อีกอย่าง เดี๋ยวยังต้องใช้ประโยชน์จากฉีจื่อเสียนอีกบ่าวรับใช้ของสกุลถานจะกล้าขัดขืนบรรดาใต้เท้าเหล่านี้ได้อย่างไร โดยเฉพาะใต้เท้าเซินแล้วยังมีคนที่อยู่ข้างกายท่านเสนาบดีอีก เขาจึงรีบจับฉีจื่อเสียนกดลงไปเมื่อลากไปบนไม้กระดานก็เฆี่ยนจนเขาร้องด้วยความเจ็บปวดร้องไห้จนน้ำหูน้ำตาไหลลงมา และกลิ่นเลือดก็คละคลุ้งไปทั่วหรงจือจือยังจงใจกล่าวอีกว่า “โธ่เอ๊ย ข้าจะรู้ได้อย่างไร ว่าสี่สิบไม้กระดานมันจะรุนแรงถึงเพียงนี้! แม่สามีนี่จริง ๆ เลย! แม้จะคิดว่าน้องเสียนติดสินบนใต้เท้าเซินจริง ก็ควรกลับไปคุยกันที่เรือน เหตุใดต้องพูดขึ้นในที่แห่งนี้ด้วย?”ฉีจื่อเสียนเดิมแอบตำหนิหรงจือจือที่ไม่ช่วยตนเองให้ได้รับการยกเว้นโทษเมื่อครานี้ถูกเตือนสติ ก็รู้สึกโกรธมาก หรือไม่ใช่? ท่านแม่ไม่เคยนึกถึงอนาคตของตนเองเลย ซ้ำยังบอกต่อหน้าคนอื่นอีกว่าใต้เท้าเซินรับสินบน หากเรื่องนี้เป็นความจริง ใต้เท้าเซินจะไม่ฆ่าตนเองตายเชียวหรือ?เขาเหนื่อยเหลือเกิน เหตุใดเขาถึงได้มีมารดาที่โง่เขลาและทั้งไร้ความสามารถเช่นนี้นางถานเริ่มพูดไม่ออกแล้วนางทนรับแรงกระแทกเหล่านี้ไม่ไหว จนตะคริวกินอยู่ตลอด เห็นท่าทางนั้น...เหมือนจะเป
กลับคิดไม่ถึงว่า ฉีจื่อเสียนที่ถูกเฆี่ยนจนเกือบตาย แถมยังเหลือเพียงลมหายใจสุดท้าย จะเป็นคนแรกที่เอ่ยปากอย่างรังเกียจออกมาว่า “ท่านพ่อ ใช้สารหนูเถอะขอรับ! สารหนูไม่มียารักษา!”นางถานมองบุตรชายคนเล็กที่ใช้สินเดิมของตนเองไปครั้งหนึ่งอย่างเหลือเชื่อ และไม่กล้าเชื่อเลยว่าคำพูดเช่นนี้ จะหลุดออกมาจากปากของอีกฝ่ายได้เดมทีนางคิดว่า ฉีจื่อเสียนเอาเงินของตนเองไปเล่นพนันแล้ว อย่างน้อยคงจะรู้สึกผิดและรู้สึกติดค้างต่อนางบ้างกลับคิดไม่ถึงว่าฉีจื่อเสียนจะกล่าวอย่างแค้นเคืองว่า “มองอะไรหรือ? ท่านแม่ ท่านทำร้ายข้าถึงสองครั้ง! ท่านช่างเป็นมารดาที่ดีของข้าเสียจริงนะขอรับ!”“ครั้งก่อนก็เป็นท่าน ยืนกรานจะนำจดหมายที่ท่านเจียงเขียนไปเผยแพร่ต่อสาธารณะ ทำร้ายข้าจนอับอายขายขี้หน้า ต่อหน้าฮูหยินผู้สูงศักดิ์เหล่านั้น!”“วันนี้ยังเป็นท่าน จงใจพูดเรื่องของข้าออกไปต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนั้น ทำร้ายจนข้าถูกเฆี่ยนยังไม่พอ เดิมทีชื่อเสียงของข้าก็เหมือนขี้อยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งเหม็นเน่าเข้าไปใหญ่!”ฉีอวี่เยียนก็กล่าวโทษอีกว่า “ยิ่งไม่ต้องพูดเลยว่าท่านแม่ไร้ยางอาย ถึงขนาดคบชู้กับชายอื่น! ท่านรู้หรือไม่ว่า วันนี้ท่านก่
ทว่าฮูหยินหลี่กลับไม่รู้วิธีปฏิบัติและกฎของสกุลดังในเมืองหลวงเลย หนำซ้ำตอนนี้ยังคิดว่าตนจัดงานเลี้ยงได้ดีอย่างยิ่งอีกฉีกยิ้มพร้อมกล่าวกับหรงเจียวเจียวว่า “ข้ายังต้องออกไปรับแขก พวกเจ้าเข้าไปเล่นกันก่อน พวกฮูหยิน พวกหนุ่ม ๆ สาว ๆ จากแต่ละจวนรวมตัวกันอยู่ตรงนั้น พวกเจ้าไปสนุกกันเองเถอะ”ส่วนพวกผู้ใหญ่ พวกบัณฑิต ย่อมอ่านกวีแต่งบทกลอน พูดคุยเรื่องสถานการณ์บ้านเมืองอยู่อีกที่หนึ่งอยู่แล้ว ไม่มีทางอยู่รวมกับพวกเด็ก ๆ เหล่านี้งานเลี้ยงเขียนกวีของแคว้นต้าฉี แต่ไหนแต่ไรมาก็จัดเช่นนี้หรงเจียวเจียวฉีกยิ้มหวานพลางตอบกลับ “ท่านป้าไปเถิด พวกข้าจะดูแลตัวเองให้ดีเจ้าค่ะ”ฮูหยินหลี่เรียกหลี่เซียงเหยาบุตรสาวของตนมา “เหยาเหยา เจ้าอยู่เป็นเพื่อนพี่หญิงสามของเจ้าให้ดี อย่าให้คนมาล่วงเกิน จำขึ้นใจหรือยัง?”หลี่เซียงเหยามองหรงจือจือทีหนึ่ง ในตอนนี้ถึงกล่าวว่า “จำเอาไว้แล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่”ครั้นสิ้นเสียง ก็เดินฉีกยิ้มไปกอดแขนของหรงเจียวเจียว ทำทีท่าสนิทกันเป็นอย่างมากตอนหลี่เซียงเหยายังไม่มาเมืองหลวง ก็ได้ยินว่าพี่หญิงใหญ่ของตนโดดเด่นอย่างไร ในใจของนางโหยหาเป็นอย่างมากแต่คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อตนมา
เหวินหมัวมัว “นี่...เจ้าค่ะ! บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!”นางหวังยังรีบไปกำชับข้างหูนางอีกว่า “ถ้าไม่สะดวกจะเรียกกลับมา ก็อย่าให้พวกนางพูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกไปเป็นอันขาด”เหวินหมัวมัว “เจ้าค่ะ”นางลุกลี้ลุกลนออกไปจากจวน นางหวังร้อนใจกระวนกระวายดั่งด้ายพันกัน หากไม่ใช่เพราะนึกขึ้นได้ว่าตนกำลังไว้ทุกข์อยู่ ไม่สะดวกจะไปงานเลี้ยงเขียนกวี นางแทบอยากจะรุดหน้าไปด้วยตัวเองแล้ว...ในขณะนี้ จวนสกุลหลี่จวนสกุลหลี่แม้จะเป็นจวนที่ซื้อมาใหม่ ทว่าในหลายวันนี้ก็ซ่อมแซมอย่างดีไปยกหนึ่ง ฮูหยินหลี่เสียแรงตกแต่งไปอย่างมากครั้นเห็นพวกเด็ก ๆ จากสกุลหรงมาถึงท่านลุง ท่านป้าสะใภ้สกุลหลี่ ก็ฉีกยิ้มออกมารับหน้า “ท่านพี่มีใจแล้วจริง ๆ ถึงให้พวกเจ้ามา นับเป็นเกียรติกับเราจริง ๆ”หรงจือจือในฐานะพี่สาวคนโต ย่อมกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เป็นสิ่งสมควรเจ้าค่ะ งานเลี้ยงเขียนกวีของจวนท่านป้าสะใภ้ ก็ต้องมาร่วมงานอยู่แล้ว”ฮูหยินหลี่มองนางทีหนึ่ง ทว่าในสายตากลับมีความไม่พอใจอยู่เล็กน้อยหากไม่ใช่เพราะนางหวังส่งจดหมายมา บอกให้นางให้ความร่วมมือพูดฉีกหน้าหรงจือจือสักครา ทำให้ต่อไปนางไม่กล้าทำตัวบ้าคลั่งต่อหน้า
“ครั้งนี้เจ้าจะได้พูดกับนางให้เข้าใจด้วยพอดี ให้นางพิจารณาตัวเองเสีย เหตุใดเป็นลูกสาวของข้าเช่นกัน พี่สาวนางแต่งงานครั้งที่สองแล้ว อัครมหาเสนาบดีเฉินมาสู่ขอแล้ว แต่นางกลับยังทำให้ข้าไม่รู้จะเอาหน้าเหี่ยว ๆ ไปซุกไว้ที่ไหน!”ครั้นนางหวังได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกเพียงราวกับบนหน้าตนถูกคนฟาดสองฉาด เจ็บปวดแสบปวดร้อนไปหมดสิ่งเดียวที่เจียวเจียวกับจือจือแตกต่างกัน ก็คือคนหนึ่งตนอบรมสั่งสอนมาเองกับมือ ส่วนอีกคนฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนอบรมสั่งสอนมานี่ไม่เท่ากับกำลังว่าตนสั่งสอนลูกสาวได้ไม่ดีเท่ายายแก่ที่ตายไปแล้วนั่นหรอกหรือ?มหาราชครูหรงพูดจบ ก็ยังกล่าวต่อทั้งสายตาเคร่งขรึมว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าพูดถูก ในเมื่อจะแต่งงานกับท่านเสนาบดี สินเดิมจะน้อยไม่ได้ ไม่รวมกับสินติดตัวเจ้าสาวที่ท่านแม่ให้จือจือในก่อนหน้านี้ เจ้าก็เตรียมเพิ่มให้นางอีกหน่อยแล้วกัน”นางหวังเดือดดาลจนเสียงหาย “ท่านพี่! การแต่งงานดี ๆ ของเจียวเจียวถูกจือจือแย่งไป ท่านยังให้ข้าเตรียมสินเดิมให้จือจือเพิ่มอีก ท่านอยากบีบเจียวเจียวให้ตายหรืออย่างไร?”มหาราชครูหรง “พอได้แล้ว! พูดจาเพ้อเจ้อแย่งงานแต่งอะไรกัน เจ้าอย่าได้พูดอีกเชียวนะ ลูกสาวท
เห็นนางหวังดีอกดีใจ และพูดจามั่นอกมั่นใจเช่นนี้คำพูดที่มหาราชครูหรงอยากจะกล่าว แทบจะติดอยู่ที่คอหอยพูดไม่ออกนางหวังยังพูดเป็นต่อยหอย “ท่านพี่ ข้าว่า เราต้องให้สินเดิมเจียวเจียวเพิ่มอีกหน่อย จะให้น้อยกว่าจือจือไม่ได้ อย่างไรก็แต่งงานกับท่านเสนาบดี จะให้คนดูถูกได้อย่างไร...”มหาราชครูหรงอดกลั้นเอาไว้ไม่ไหวแล้วจริง ๆ “พอได้แล้ว”นางหวังอึ้งไป ครั้นเห็นว่าสีหน้าของมหาราชครูหรงไม่ดีจริง ๆ ก็เอ่ยถามขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “ท่านพี่ มีอะไรหรือ? เกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?”ในตอนนี้มหาราชครูหรงถึงตอบกลับว่า “จับคู่ผิดแล้ว! คนที่อัครมหาเสนาบดีเฉินอยากแต่งงานด้วย ไม่ใช่เจียวเจียว!”นางหวังฉงนไปเลย “ฮะ? ท่านพี่ ท่านเลอะเลือนไปแล้วหรืออย่างไร ไม่ใช่เจียวเจียวแล้วจะเป็นผู้ใดได้? หรือว่าในใต้หล้านี้ยังมีสตรีที่ดีกว่าเจียวเจียวของเราอีกหรือ?”นางหวังยิ่งกล่าว ก็ยิ่งคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ท้ายที่สุดก็คลี่ยิ้มพร้อมกล่าวว่า “ท่านพี่ ท่านพี่กำลังล้อข้าเล่นอยู่ใช่หรือไม่?”มหาราชครูหรงลูบหว่างคิ้วพลางตอบกลับ “ข้าไม่มีทางเอาเรื่องใหญ่เช่นนี้มาล้อเล่นเป็นอันขาด! คนที่ท่านเสนาบดีต้องการคือจือจือ ไม่
เฉินเยี่ยนซูแทบจะเดือดดาลจนโพล่งขำ “เช่นนั้นท่านมหาราชครูเคยคิดหรือไม่ เป็นบุตรสาวของท่านเหมือนกันแท้ ๆ เหตุใดคนหนึ่งไร้เดียงสาใสซื่อได้ แต่อีกคนกลับไม่เข้มแข็งไม่ได้?”“ท่านหญิงก็เป็นเพียงแม่นางน้อยอายุยี่สิบปีผู้หนึ่ง ผ่านการล้มลุกคลุกคลานมามากมายขนาดนี้ ลำบากมามากมายขนาดนี้ มหาราชครูยังคิดจะให้นางเข้มแข็งอย่างไร?”มหาราชครูหรงพูดไม่ออก ได้แต่เอ่ยขึ้นพร้อมเปลี่ยนเรื่องว่า “ที่จริงก็เป็นเพราะข้าหวังดีกับท่านเสนาบดี อย่างไรจือจือก็เคยผ่านการหย่ามาก่อน สู้สตรีบริสุทธิ์อย่างเจียวเจียวได้เสียที่ไหน? นี่ถึงได้...”เฉินเยี่ยนซูพูดแทรกขึ้นมา “ท่านมหาราชครู นายหญิงผู้เฒ่าหรงให้ท่านดูแลท่านหญิงให้ดี ข้าคิดว่าที่เรียกว่าดูแล นอกจากเป็นห่วงในด้านการใช้ชีวิตแล้ว ก็น่าจะมีเรื่องการเคารพในด้านตัวตนด้วย”“ในในของท่านดูถูกท่านหญิงแล้ว คิดว่านางสู้คุณหนูสามของจวนท่านไม่ได้ หรือว่านี่ไม่ใช่ความอัปยศอย่างหนึ่งสำหรับนาง?”“นางก็แค่แต่งงานผิดคน ไม่ได้ทำเรื่องผิดพลาดใหญ่หลวงอะไร ตามที่ข้ารู้ การแต่งงานในตอนแรกนั้นนางไม่ได้เป็นคนเลือกด้วยตัวเอง”“ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่นางเป็นเหยื่อ และยิ่งเป็นค
เฉินเยี่ยนซูราวกับเดือดดาลจนขำ เขาวางจอกชาในมือลง “เยี่ยมจริง ๆ มหาราชครูหรงยกบุตรสาวให้หมั้นหมายกับข้า แล้วก็คิดจะให้นางแต่งงานกับคนอื่นอีกด้วย”“ที่ข้ามาเพราะอยากขอคำอธิบาย มหาราชครูไม่มีเจตนาจะขอโทษไม่พูดถึง แต่ยังจะยัดเยียดบุตรสาวให้ข้าอีก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้เราไปตัดสินกันต่อหน้าฝ่าบาทเถอะ!”ครั้นมหาราชครูหรงได้ยินเช่นนั้น ก็ขมวดคิ้วมุ่น พลางเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ “จะเรียกว่ายัดเยียดบุตรสาวตามอำเภอใจได้อย่างไร? หรือว่าหากเปลี่ยนเจียวเจียว ท่านเสนาบดีก็ไม่พอใจอีก?”เฉินเยี่ยนซูมองเขาทีหนึ่ง “คนที่ข้าอยากแต่งงานด้วย มีเพียงท่านหญิงแห่งหนานหยางผู้เดียวเท่านั้น”มหาราชครูหรงเริ่มรู้สึกว่า ตนถูกคำของนางหวังหลอกเข้าแล้ว บางทีผู้ที่เฉินเยี่ยนซูต้องการตั้งแต่ต้นจนจบ ล้วนเป็นสตรีที่เขาชื่นชม แต่มิใช่สตรีที่มุ่งแต่จะแต่งงานกับเขามหาราชครูหรงที่รู้สึกว่าตนคล้ายตัวตลก ฉีกยิ้มอย่างขมขื่นออกมาทีหนึ่ง “ข้าเข้าใจแล้ว”เฉินเยี่ยนซูเอ่ยถามขึ้นว่า “ในเมื่อเข้าใจแล้ว คิดว่าท่านพ่อตาก็คงจะไม่ถอนหมั้นใช่หรือไม่?”การเรียกท่านพ่อตานี้ แสดงถึงความเคารพออกมาอีกสองสามส่วน ทำให้ในใจของมหาราช
เขาจงใจพูดไล่หลังหรงจือจือด้วยเสียงดังเพื่อให้นางได้ยินหรงเจียวเจียวหน้าแดงด้วยความเขินอายโดยพลัน นางกระทืบเท้าว่า “ท่านพี่!”แต่หรงจือจือราวกับไม่ได้ยินที่เขาพูด นางไม่แม้แต่จะหันมามองนี่ทำให้หรงซื่อเจ๋อโมโหหนักกว่าเดิม เขากัดฟันว่า “นางมีนิสัยแบบนี้ ไม่แปลกเลยที่สกุลฉีจะรังเกียจ! คงมีแต่ต้องแต่งงานไปอยู่ตระกูลเล็กๆ และพึ่งพาการปกป้องจากท่านพ่อไปจนตาย ข้ารู้สึกสงสารว่าที่พี่เขยในอนาคตด้วยซ้ำ!”แต่พูดถึงตรงนี้ หรงซื่อเจ๋อก็ต้องสำลักคำพูดตัวเองนั่นเพราะนึกถึงเรื่องที่หรงจือจือบอกให้เขาแต่งงานไปอยู่สกุลฉีเมื่อคราก่อน หากนางได้ยินว่าเขาสงสารฉีจื่อฟู่ เกรงว่าคงพูดแบบนั้นให้ตัวเองสะอิดสะเอียนอีก เขารีบปิดปากเงียบหรงเจียวเจียว “พอแล้วๆ ท่านรีบขึ้นรถม้าเถิด! หากไปสาย ท่านพ่อคงตำหนิว่าพวกเราไม่รู้กฎเกณฑ์”หรงซื่อเจ๋อจำใจต้องขึ้นรถม้าเป็นเพราะแผลที่หลังเขายังไม่หายดีและกลัวว่าท่านพ่อจะโบยตีอีกรอบหรอกนะ มิเช่นนั้นเขาจะด่าหรงจือจือชุดใหญ่……รถม้าของพวกเขาเพิ่งจะออกจากสกุลหรงได้ไม่นานรถม้าของจวนราชเลขาธิการก็มาถึงหน้าจวนสกุลหรง มหาราชครูหรงทราบเรื่องแล้วยังคงออกมาต้อนรับด้วยตัวเอ
หรงจือจือสะกดกลั้นความโมโหในใจ ตอนนี้นางได้ลิ้มรสความรู้สึกที่มีเพียงคนตรงไปตรงมาแบบเจาซีที่จะมีได้!หากไม่ใช่เพราะยังมีสติสัมปชัญญะอยู่ มันก็มีอยู่ชั่วพริบตาหนึ่งที่นางอยากไปที่จวนราชเลขาธิการเดี๋ยวนี้ ไปบอกว่าตัวเองยินดีแต่งงานกับเฉินเยี่ยนซู หรงเจียวเจียวจะได้เลิกเห่าเสียทีนางยกยิ้มมุมปากมองหรงเจียวเจียว “ได้ เช่นนั้นข้าจะรอดูวันที่เจ้าได้แต่งเข้าจวนราชเลขาธิการ น้องสามต้องพยายามเข้าล่ะ อย่าได้พลาดเด็ดขาด”นางอยากรู้เหมือนกันว่าหรงเจียวเจียวจะมีสีหน้าเช่นไรเมื่อทราบเรื่องราวทั้งหมดหรงเจียวเจียวแค่นเสียงเบาและวางท่ามั่นอกมั่นใจ “เช่นนั้นเชิญพี่หญิงเบิกตาดูให้ดีได้เลย!”“ถึงเวลานั้นก็อย่าอิจฉาจนร้องไห้ล่ะ ข้าได้ยินว่าบุรุษที่ท่านพ่อหาให้ท่านเป็นแค่เสมียนกรมเล็กๆ นี่ต่างหากที่น่าขัน!”หรงจือจือพูดอย่างราบเรียบ “หวังว่าพรุ่งนี้ เจ้าจะยังยิ้มออกนะ”ฟังจากที่เฉินเยี่ยนซูพูด เขาจะมาคุยกับท่านพ่อให้ชัดเจนในวันพรุ่งนี้ หลังจากผ่านพรุ่งนี้ไป หรงเจียวเจียวคงทำหน้าเย่อหยิ่งเช่นนี้ไม่ได้อีกหรงเจียวเจียวมีหรือจะรู้ว่าหรงจือจือคิดอะไรอยู่?นางพูดด้วยความดูถูก “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ได้จะยิ
“แต่ราชเลขาธิการเฉินผู้นี้ เขาเป็นคนประเภทที่ข้ารู้สึกชื่นชมตั้งแต่ยังไม่แต่งงาน ข้ากลัวว่าหากแต่งงานกับเขาจริงๆ เมื่อได้ใช้เวลาร่วมกันตั้งแต่เช้าจรดเย็น ตัวข้าจะเกิดความรู้สึกที่ไม่ควรมีต่อเขาได้”“ความจริงแล้วเขาเป็นตัวเลือกที่อันตรายสำหรับข้า”“หลังจากที่ท่านย่าจากไป ข้าก็ชอบคิดอยู่เสมอ หากข้าไม่สามารถปกป้องอะไรได้เลย แต่อย่างน้อยก็ต้องปกป้องหัวใจตัวเอง ห้ามให้ผู้ใดมีโอกาสกรีดแทงหัวใจข้าเด็ดขาด ข้าไม่อยากตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายไปกว่านี้”ในการพบกันเมื่อสี่ปีก่อน ความจริงแล้วหรงจือจือเคยตะลึงงันกับรูปลักษณ์ที่โดดเด่นของเฉินเยี่ยนซู หลังจากได้ใช้เวลาร่วมกันสองสามวัน บทสนทนาที่มีร่วมกับเขาก็ทำให้นางประทับใจเช่นกันแต่ตอนนั้นนางรู้ตัวว่าตัวเองมีการหมั้นหมาย ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้มีความรู้สึกอื่นใดนอกเหนือจากนี้ทว่าบัดนี้นางเป็นอิสระแล้ว ส่วนเขาก็มีเสน่ห์ยิ่งกว่าเมื่อก่อน มีบางครั้งที่นางเผลอมองนานเกินไปโดยไม่รู้ตัว ส่วนวันนี้ก็มีอาการหน้าแดง จะไม่ให้เป็นกังวลได้อย่างไร?เคราะห์ดีที่เฉินเยี่ยนซูต้องการแต่งงานกับนางเพื่อให้ช่วยดูแลอาการป่วย ไม่ใช่เพราะพึงใจในตัวนาง มิเช่นนั้น นาง