ข้างในมีไอเย็นแผ่ออกมาอย่างต่อเนื่อง มีอุณหภูมิอยู่ที่ลบสามสิบถึงลบสี่สิบองศา แม้แต่เย่ซิวก็ยังได้รับผลกระทบและต้องอัดพลังวิญญาณกางเกราะวิญญาณหนา ๆเขาเดินไปข้างหน้าประมาณหกหรือเจ็ดร้อยเมตร ถึงได้มองเห็นแหล่งกำเนิดของไอเย็นมันเป็นเตียงน้ำแข็งเตียงหนึ่งบนเตียงยังมีผู้หญิงคนหนึ่งนอนอยู่ด้วยผู้หญิงคนนี้สวมชุดโบราณสีขาว ผิวขาวราวกับหิมะ และมีรูปโฉมที่งามล่มบ้านล่มเมืองบอกว่าเป็นผู้หญิงอาจจะไม่ตรงสักเท่าไหร่นักเนื่องจากไม่มีกลิ่นอายของความเป็นมนุษย์จากตัวเธอ เธอเหมือนเซียนที่ลงมาจากสรวงสวรรค์มากกว่า ชายใดก็ตามเมื่ออยู่ต่อหน้าเธอก็ต้องรู้สึกถึงความน้อยเนื้อต่ำใจแม้แต่เย่ซิวก็ไม่มีข้อยกเว้น ร่างกายเขาหมุนกลับไปโดยสัญชาตญาณ ราวกับว่าการมองผู้หญิงคนนี้จะเป็นการดูหมิ่นเธอเย่ซิวกัดปลายลิ้นเพื่อเรียกสติของตัวเองกลับมา ในใจรู้สึกตกตะลึงอย่างถึงที่สุด ผู้หญิงคนนี้มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่?ไม่ได้ทำอะไรเลย แค่นอนเงียบ ๆ ก็ส่งผลต่อตัวเองมากขนาดนี้หากเปลี่ยนป็นคนอื่น ผลกระทบนั้นจะยิ่งน่ากลัวกว่านี้อีกเขาถือกระบี่หงส์โบยบินไว้ในมือข้างหนึ่งแล้วค่อย ๆ ขยับเข้าไปใกล้รอจนกระทั่งอยู่ห่
“ที่นี่ก็คือประเทศจ้านอิงเหรอ?”หงอียืนอยู่บนถนนที่พลุกพล่าน ล้อมรอบด้วยอาคารสูงและรถหรูหลายคันที่วิ่งไปมาบนถนนไม่รู้ว่าเธอแก้ปัญหาเรื่องบัตรประจำตัวประชาชนและวีซ่าของเธออย่างไรเธอช่างสมดั่งชื่อ สวมเสื้อคลุมสีแดงขนาดใหญ่ ที่เท้าสวมรองเท้าส้นสูงสีแดงคู่หนึ่งจับคู่กับกางเกงยีนและเสื้อเชิ้ตสีแดง ยิ่งทำให้ผลลัพธ์ของวิสัยทัศน์นั้นความอลังการถึงขีดสุดเมื่อเธอปรากฏตัวขึ้นที่นี่ เธอก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนที่สัญจรไปมาเธอสวยมาก แต่มีบรรยากาศรอบตัวที่เย็นชาและห่างเหินเกินไป ท่วงท่าที่ประดุจดั่งราชินีซึ่งมีมาแต่กำเนิด กระแทกหัวใจของผู้ชายทุกคนที่ได้พบเห็นเธออย่างลึกซึ้งผู้ชายบางคนที่คิดว่าตัวเองเป็นชนชั้นสูง บังเกิดความคิดที่จะปราบผู้หญิงคนนี้บางคนที่มีรายได้น้อย กลับเกิดความคิดที่จะคุกเข่าเลียแข้งเลียขาเธอการปรากฏตัวของหงอีทำให้ถนนทั้งสายติดขัดในช่วงเวลาสั้น ๆ มีชายเจ็ดหรือแปดคนที่ขับรถหรูและสวมนาฬิการาคาเป็นล้านล้านเข้ามา พยายามเริ่มบทสนทนามุมปากของหงอีโค้งขึ้น "พวกคุณอยากขึ้นเตียงกับฉันเหรอ?"เธอพูดภาษาของประเทศจ้านอิง สำเนียงชัดเจนมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่เรียนรู้มาจากการฟังผู
เดิมทีความแข็งแกร่งของกายเนื้อของเย่ซิวไม่มีความคืบหน้ามานานมากแล้ว แต่เมื่อสักครู่นี้แม้จะแค่ประเดี๋ยวเดียว ความแข็งแกร่งของกายเนื้อกลับเพิ่มขึ้นไม่น้อยสิ่งนี้ทำให้เขาเกิดการตั้งตารอบางทีกายาวัชระคงกระพันอาจจะยังไม่ใช่ที่สุด การทะลวงขึ้นไปอีกขั้นจะเป็นขั้นไหนกันนะ?ถ้าอิงตามหลักพระพุทธศาสนา ระดับเหนือวัชระก็คืออรหันต์หรือว่าจะพัฒนาไปเป็นกายาอรหันต์คงกระพัน?ถ้ามันไปถึงจุดนั้นจริง ๆ ตัวเองไม่ใช่ว่าจะสามารถต้านทานระเบิดเอชด้วยกายเนื้อเพียงอย่างเดียวได้แล้ว?ถ้าสามารถทำได้จริง ๆ งั้นในโลกนี้เย่ซิวก็ไม่จำเป็นต้องกลัวใครหน้าไหนอีกแล้วในเมื่อสมบัตินี้ถูกเย่ซิวค้นพบ เขาย่อมไม่มีเหตุผลที่จะทิ้งมันไปจากนั้นเขาก็วางแผนนำร่างผู้หญิงที่นอนอยู่บนเตียงน้ำแข็งลงมาทว่าไม่ว่าจะลองวิธีใดก็แล้วแต่ ก็ไม่สามารถสัมผัสร่างของผู้หญิงคนนี้ได้ไม่มีทางเลือกอื่น สุดท้ายเย่ซิวก็จำต้องเก็บเตียงน้ำแข็งทั้งเตียงเข้าไปในแหวนผนึกของสิ่งที่เย่ซิวไม่รู้ก็คือทันทีที่เขาเก็บเตียงน้ำแข็งเข้าไป ขนตาของผู้หญิงที่นอนอยู่บนเตียงน้ำแข็งก็ขยับผ่านไปอีกหนึ่งชั่วโมง เย่ซิวก็เสร็จสิ้นการวางค่ายกลฮวงจุ้ยรอจนกว่า
ทูตไม่กี่คนจากประเทศปิงจือ เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเย่ซิวก็โกรธมาก แต่พวกเขาไม่กล้าแสดงออกมาตอนที่พวกเขามา ปรมาจารย์อาวุโสทั้งสองท่านได้กำชับนักกำชับหนาว่าไม่ว่าเย่ซิวจะทำตัวหยิ่งยโสแค่ไหนหรือไม่ไว้หน้าเพียงใด พวกเขาล้วนต้องปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพดังนั้นหลังจากได้ยินสิ่งที่เย่ซิวพูดแล้ว หนึ่งในนั้นก็รีบพูดขึ้นมาว่า "รับทราบครับ ถ้าอย่างนั้นคุณได้โปรดรอสักครู่ ผมจะติดต่อปรมาจารย์ทั้งสองดูว่าพวกเขาคิดเห็นอย่างไร"เย่ซิวใส่ใจเพียงเรื่องของตัวเอง ยกชาขึ้นจิบ ขี้เกียจจะสนใจพวกเขาอีกทูตหลายคนวิ่งออกไปข้างนอก หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วกดโทรตอนนี้เอง ในเมืองที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดของประเทศปิงจือ ณ วิลล่าขนาดใหญ่มากที่ครอบคลุมพื้นที่กว่าหนึ่งแสนตารางเมตรแห่งหนึ่ง ที่ชั้นบนสุดวิลล่าหลังนี้มีความสูงสิบสามชั้น ไม่มีอาคารอื่นอยู่ใกล้ ๆ และมีสวนผลไม้มากมายด้านนอกการพักอยู่ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นความเพลิดเพลินอย่างถึงที่สุดในสถานที่เช่นนี้ซึ่งที่ดินทุกตารางนิ้วมีค่าดุจทองคำ สามารถพูดได้ว่าฟุ่มเฟือยอย่างยิ่งและนี่ก็คือเจตนาของกษัตริย์ ประชาชนเองก็ไม่มีความไม่พอใจที่ระเบียง มีอ่างอาบน้ำขนา
หนานกงอวี่ยืนขึ้น เผยหุ่นที่ร้อนแรงเรือนร่างของสองพี่น้องมีความแตกต่างกันอยู่เอวของพี่สาวจะค่อนข้างมีเนื้อ ในขณะที่เอวของน้องสาวบาง แต่ละคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของตัวเอง“ไม่รู้ว่าถ้าท่านนั้นคิดจะให้เราปรนนิบัติเขาจริง ๆ เมื่อเห็นเรือนร่างของพวกเราสองพี่น้องจะแสดงสีหน้ายังไง จะจ้องจนตาแทบถลนเลยไหม” หนานกงอวี่คิดอย่างชั่วร้ายสิ่งที่เธอไม่รู้ก็คือเย่ซิวได้เห็นเรือนร่างของพวกเธอสองพี่น้องแล้ว...หลังจากที่สองพี่น้องแต่งตัวเสร็จด้วยเวลาอันสั้น พวกเธอก็โทรหากษัตริย์ของประเทศปิงจือไม่นานเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งก็บินมายังลานว่างนอกบ้านของพวกเธอ……หลังจากที่ทูตรายงานสถานการณ์ให้เย่ซิวทราบ พวกเขาก็ถูกจัดให้เข้าพักในโรงแรมที่ยังไม่ทันได้รับการปรับปรุงใหม่ทั้งหมดจากนั้นเย่ซิวก็เรียกหวังซวงและเฉินหลานมาเขาใกล้ถึงเวลาต้องกลับไปที่ประเทศหลงเถิงแล้วแต่ก่อนกลับไปต้องยกระดับความแข็งแกร่งของทั้งสองสาวเสียก่อนถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาต้องรู้สึกตัดใจไม่ลงแน่ ๆ และคงไม่ได้ฟุ่มเฟือยขนาดนั้นแต่ตอนนี้มันแตกต่างออกไปหลังจากได้รับเตียงน้ำแข็งเตียงนั้นมา เย่ซิวก็เปลี่ยนจากชาวบ้านธรรมดาไปเป็นมหาเศรษฐ
เนื่องจากพลังของเฉินหลานเติบโตอย่างรวดเร็วเกินไป เธอจึงไม่อาจควบคุมมันได้ผลที่ตามมาก็คือพลังอันป่าเถื่อนนั้นได้ทำลายเสื้อผ้าบนร่างกายของเธอทั้งหมดหวังซวงหันหน้าหนีด้วยใบหน้าแดงก่ำ ฉากนี้ช่างน่ากระอักกระอ่วนจริง ๆเฉินหลานกรีดร้องลั่น แล้วขดตัวเป็นลูกบอลด้วยความอับอายต่อหน้าคนนอกแบบนี้ อยากให้กระดากอายแค่ไหนก็กระดากอายแค่นั้น เย่ซิวมีสีหน้าที่สงบมาก เขาพูดกับเฉินหลานว่า "ไปหาเสื้อผ้าใส่ที่ห้องก่อน"เฉินหลานจากไปราวกับกำลังหลบหนีเย่ซิวมองไปที่หวังซวงซึ่งหันหน้าหนีไป เผยเพียงแผ่นหลังที่สวยงามต่อหน้าเขาแล้วพูดกลั้วหัวเราะ “หันกลับมาเถอะ ถึงตาเธอแล้ว"หวังซวงหันกลับมาด้วยสีหน้าเขินอายเล็กน้อย ถามไปอย่างระมัดระวังว่า "ท่านอาจารย์ อีกเดี๋ยวฉันจะไม่เป็นแบบนั้นใช่ไหมคะ?"“พูดยาก” เย่ซิวไม่ได้ยืนยันชัดเจน "ขึ้นอยู่กับว่าความสามารถในการควบคุมพลังของเธอเป็นยังไง"หวังซวงยิ้มอย่างขมขื่น พูดอีกอย่างก็คือถ้าตัวเองควบคุมพลังได้ไม่ดีเสื้อผ้าของเธอก็จะระเบิดเหมือนเฉินหลานแต่ท้ายที่สุดเธอไม่ใช่คนธรรมดา จึงปลอบใจตัวเองอย่างรวดเร็วอย่างไรเสียนี่ก็เป็นอาจารย์ของตัวเอง คำโบราณพูดไว้ได้ดี อ
พรสวรรค์ของผู้หญิงทั้งสองคนนี้ถือว่าอยู่ในระดับปานกลางเท่านั้น หากปราศจากการช่วยเหลือจากเย่ซิว ไม่มีทางที่พวกเธอจะประสบความสำเร็จในการทะลวงระดับได้เร็วขนาดนี้หลังจากใช้เวลาหลายชั่วโมง ก็ทำได้เพียงควบคุมคาถาในเบื้องต้น คิดที่จะเชี่ยวชาญมันและใช้มันอย่างชำนาญในสนามรบ ยังต้องฝึกฝนกันอีกมาก“เอาล่ะ ทั้งสองคนกลับไปบำเพ็ญตนเถอะ พยายามเชี่ยวชาญมันโดยเร็วที่สุด”ใครจะไปคิดเล่าว่าในสำนักโอสถเล็ก ๆ แบบนี้ นอกจากเย่ซิวแล้ว จริง ๆ ยังมีตัวตนระดับช่วงสร้างพื้นฐานอยู่อีกถึงสามคน ถ้าเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไป มันจะทำให้เกิดความโกลาหลอย่างแน่นอนไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยที่จะพูดว่าแค่ความแข็งแกร่งของผู้หญิงทั้งสามคนนี้รวมกัน อย่างน้อยก็เทียบเท่ากองทัพหนึ่งหมื่นคนแล้วแถมยังเป็นกองทัพของประเทศใหญ่พวกนั้นที่ติดอาวุธครบครันอีกด้วยดวงตาของเฉินหลานเปล่งแสงที่ทำให้ผู้คนหวั่นไหว เธอถามเลียบ ๆ เคียง ๆ ไปว่า “นายท่าน คืนนี้ต้องการให้ฉันบำเพ็ญตนเป็นเพื่อนคุณที่นี่ไหมคะ?"เฉินหลานรู้สึกว่าความแข็งแกร่งของตัวเองเพิ่มขึ้นไปอีกระดับหนึ่งแล้ว ไม่แน่ระหว่างการบำเพ็ญตนกับเย่ซิว ตัวเองจะสามารถรุกได้มากกว่าแต่ก่อน
“มาแล้ว!”สองพี่น้องตะโกนขึ้นในใจพร้อมกัน ที่เดาไว้ก่อนหน้านี้ไม่ผิดเลย เย่ซิวมีความคิดกับพวกเธอจริง ๆแต่พวกเธอกลับไม่รู้สึกต่อต้านมันมากนักเดิมทีพวกเธอเข้าใจว่าตัวเองยืนอยู่บนจุดสูงสุดของวิทยายุทธ์แล้ว โดดเดี่ยวดุจหิมะ ในโลกนี้ไม่มีผู้ชายคนไหนสามารถเข้าตาพวกเธอได้อีกแม้แต่กษัตริย์ของประเทศปิงจือก็มีเพียงความเคารพต่อเขาเท่านั้นแต่เย่ซิวนั้นแตกต่างออกไป เขาดูเด็กมาก แต่ความสำเร็จที่เขาครอบครองนั้นกลับทำให้พวกเธอสองพี่น้องได้แต่แหงนหน้ามองอีกอย่างเขาก็หล่อมากด้วย มีบรรยากาศรอบตัวที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งผู้ชายคนไหนก็ไม่มีบวกกับทั้งสองฝ่ายไม่ใช่ศัตรูกันภายใต้เงื่อนไขต่าง ๆ รวมกัน พวกเธอจึงไม่รู้สึกต่อต้านหากจะมีอะไรกับเย่ซิว กระทั่งยังตั้งตารอเล็กน้อยด้วยแต่ก่อนหน้านั้น ยังมีบางเรื่องที่ต้องเจรจาให้ชัดท้ายที่สุดสองสาวคือคนของประเทศปิงจือ จำเป็นต้องสู้เพื่อผลประโยชน์ของประเทศของตนหนานกงเสวี่ยพูดด้วยรอยยิ้ม "ถ้าอย่างนั้นขอถามท่าน พวกเราต้องจ่ายด้วยอะไรคะ?"เย่ซิวพูดตรง ๆ "ผมต้องการโอสถสีชาดของพวกคุณ"สองพี่น้องชะงักกึก ในใจก็คิดว่า ‘แม่เจ้า ตรงขนาดนี้เลย?’แต่ที่น่าแปลกก็
เย่ซิวเก็บร่างแยกทั้งห้าไว้ในจุดตันเถียนจากนั้นเขาก็ขังตัวเองบำเพ็ญตนในถ้ำอยู่อีกหลายวันเมื่อออกมาอีกครั้ง เขาก็ทยอยส่งมอบโอสถให้กับแต่ละคนตามที่สั่งไว้ แลกกับวัตถุดิบล้ำค่าหลายชิ้นหลังจากนั้นเย่ซิวก็ตรงไปหาจางเสี่ยวอวี๋ “ฉันอยากไปตลาดมืด เธอพอมีช่องทางไหม”ตลาดมืดนี่ เย่ซิวเคยได้ยินมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในสำนักอวิ้นหลิงแล้วเขาว่ากันว่าสถานที่ตั้งลึกลับสุด ๆนอกจากคนในสำนัก ก็ยังมีผู้บำเพ็ญจากสำนักอื่น ๆ แอบเข้ามาทำการค้าด้วยเบื้องหลังตลาดมืดเหมือนจะมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลังอยู่หลายรายการซื้อขายข้างในถือว่าปลอดภัยมากมีของดี ๆ หลายอย่างที่โลกภายนอกหาไม่ได้แน่นอนว่าถ้ามีสมบัติติดตัวมากเกินไปแล้วโดนรู้เข้าตอนออกจากตลาดมืดอาจถูกตามฆ่าปิดปากหรือโดนปล้นก็ได้“ฉันรู้สิ สถานที่แบบนั้นต้องใช้ชุดพิเศษในการเข้าไปด้วย”จางเสี่ยวอวี๋พูดจบก็ดึงชุดคลุมสีดำออกมาจากแหวนผนึกของ“ในนั้นทุกคนต้องใส่ชุดนี้ ห้ามเปิดเผยตัวตน และต้องจ่ายค่าผ่านประตูสิบศิลาวิญญาณด้วยนะ”เย่ซิวรับเสื้อคลุมมาถือไว้แล้วจางเสี่ยวอวี๋ก็อธิบายเส้นทางไปตลาดมืดให้ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากสำนัก เป็นเมืองเล็ก ๆ แ
“อะไรนะ? แค่วันเดียวนายก็กลั่นสำเร็จจริงเหรอ?”ทันทีที่เห็นเย่ซิว เจ้าสำนักก็รีบถามขึ้นด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวังเขาเองก็ไม่ได้เพิ่มพลังตัวเองมานานแล้วเหตุผลหลักก็เพราะไม่มีโอสถที่เหมาะสมพอให้ใช้โอสถระดับปฐมญาณนั้นหาได้ยากมากในตลาดต่อให้มีก็จะปรากฏแค่ในงานประมูลเท่านั้น และราคาก็มักจะพุ่งขึ้นสูงเทียมฟ้าเสมอแม้รั่วอวิ๋นจะสามารถกลั่นยาได้แต่เธอต้องลองห้าหกครั้งถึงจะสำเร็จสักครั้ง แถมแต่ละครั้งต้องใช้ต้นทุนมหาศาล“ผมไม่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวังครับ” เย่ซิวยื่นโอสถเก้าเม็ดที่ถูกเจือจางแล้วให้ ก่อนถอนหายใจหนึ่งที “ไม่คิดเลยว่าฝีมือกลั่นโอสถของผมจะแย่ขนาดนี้ ทั้งหมดออกมาเป็นแค่ระดับต่ำ”เจ้าสำนักมองโอสถระดับปฐมญาณในมือแล้วถึงกับตกใจ แม้เขาจะเป็นคนสุขุมมาก แต่ก็ยังเผยสีหน้าเหลือเชื่อออกมาแล้วก็หัวเราะลั่นด้วยความยินดี “ดี ดีมาก ๆ ฝีมือกลั่นโอสถของนายอาจจะแซงหน้าอาจารย์ของตัวเองไปแล้วก็ได้นะ”เย่ซิวยิ้มเก้อ ๆ “ไม่น่าเป็นไปได้หรอกครับ ผมยังพัฒนาอีกมาก เอ่อ…”จู่ ๆ สีหน้าเขาก็ซีดเผือด ร่างกายโงนเงนเหมือนจะล้มเจ้าสำนักหรี่ตา “นายเป็นอะไรไป?”“ไม่เป็นไรครับ แค่เสียพลังมากเก
เย่ซิวเอ่ยรายชื่อวัตถุดิบออกมาติดต่อกันเป็นสิบ ๆ อย่างหนึ่งในนั้นก็คือวัตถุดิบชิ้นสุดท้ายสำหรับการหลอมร่างแยกธาตุดินเขามีแผนการบางอย่างในใจ และจำเป็นต้องสร้างร่างแยกธาตุทั้งห้าสำเร็จเสียก่อนถึงจะลงมือได้ดวงตาของเจ้าสำนักเปล่งประกายวาบ “ฉันมีหินดินธาตุดั้งเดิมอยู่ก็จริง แต่ของสิ่งนี้ล้ำค่ามาก เว้นเสียแต่นายจะสามารถกลั่นโอสถระดับปฐมญาณออกมาได้”เย่ซิวพยักหน้า เขารู้จักโอสถประเภทนี้ดี มันสามารถเพิ่มพลังระดับปฐมญาณได้แต่กระบวนการกลั่นซับซ้อนมาก แถมวัตถุดิบยังหาได้ยากสุด ๆแค่ต้นทุนวัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นก็เกินสิบล้านศิลาวิญญาณแล้วผู้บำเพ็ญสายอิสระทั่วไปไม่มีทางสู้ราคาไหวแน่“แล้วเจ้าสำนักอยากได้กี่เม็ด ถึงจะยอมแลกล่ะครับ”“นายกลั่นได้จริงเหรอ?” เจ้าสำนักมองเย่ซิวด้วยสีหน้าตกตะลึง ดวงตาฉายแววไม่เชื่อโอสถชนิดนี้ไม่เหมือนกับโอสถวิญญาณหยก ระดับความยากสูงกว่ากันหลายเท่าเย่ซิวไม่ได้รีบตอบในทันที แต่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ผมขอลองก่อน ยังไม่กล้ารับประกันว่าจะสำเร็จเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้าสำนักให้วัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นกับผมก่อนถ้ากลั่นไม่ได้ ผมยินดีจ่ายค่าต้นทุน
เย่ซิวรีบวิ่งเข้าไปในห้องทันทีพอเปิดประตูเข้าไปก็เห็นเสี่ยวไป๋ลอยอยู่กลางอากาศพลังวิญญาณในห้องถูกดูดเข้าไปหามันอย่างบ้าคลั่งไม่กี่วินาทีก็สูบพลังวิญญาณจนหมดทั้งห้องจากนั้นร่างของมันก็ถูกห่อหุ้มด้วยรังไหมขนาดใหญ่ แล้วค่อย ๆ ลอยลงสู่พื้นอย่างช้า ๆเย่ซิวยิ้มกว้างด้วยความดีใจ เสี่ยวไป๋กำลังจะวิวัฒนาการอีกแล้วรอบที่แล้วเหมือนจะพัฒนาขึ้นไม่มากเท่าไหร่แต่สัญชาตญาณของเย่ซิวบอกว่ารอบนี้น่าจะเติบโตแบบก้าวกระโดดเลยทีเดียวเขารีบเอาน้ำพุวิญญาณที่เหลืออยู่เทราดลงไปบนรังไหมทันที ซึ่งมันก็ถูกดูดซึมหายไปอย่างรวดเร็วนี่อาจช่วยเร่งขั้นตอนวิวัฒนาการให้เร็วขึ้นได้เย่ซิวเดินไปอุ้มเจ้าเสี่ยวอวี่ที่อยู่ไม่ไกลขึ้นมาเจ้าตัวนี้ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากแต่ท้องของมันนี่เหมือนหลุมดำชัด ๆเย่ซิวเลยจัดเต็มอีกครั้ง เขากลั่นโอสถวิญญาณหยกมาอีกหมื่นเม็ดให้มันไว้กินเล่นทั้งสำนักอวิ้นหลิงคงไม่มีใครกล้าทำอะไรฟุ่มเฟือยอย่างเขาอีกแล้วล่ะในช่วงครึ่งเดือนหลังจากนั้น เย่ซิวก็หมกตัวอยู่แต่กับการกลั่นโอสถและฝึกฝนวิชาต่าง ๆข้างนอกเองก็เริ่มมีข่าวแพร่กระจายไปว่าเย่ซิวสามารถกลั่นโอสถวิญญาณหยกได้ควา
จากท่าทีและสีหน้าของทุกคน เย่ซิวก็พอเดาออกว่าโอสถนี่น่าจะหาได้ยากมากในตลาดไม่งั้นพวกเขาคงไม่แห่กันมาขอซื้อแบบนี้แน่เขาทำหน้าลำบากใจเล็กน้อย “ผมก็อยากช่วยนะครับ แต่โอสถตัวนี้ตอนปรุงมันใช้พลังจิตเยอะมากวันหนึ่งผมปรุงได้ไม่กี่รอบเอง แถมวัตถุดิบก็หายากด้วย”ความหมายแฝงก็คือพวกคุณต้องเพิ่มเงินและเตรียมของมาเองซึ่งทุกคนก็ไม่ใช่คนโง่และเข้าใจเจตนาของเขาทันที ก่อนจะรีบเสนอว่า“ถ้างั้นแบบนี้ดีไหม โอสถวิญญาณหยกหนึ่งเม็ด ฉันให้หนึ่งพันหนึ่งร้อยศิลาวิญญาณ ส่วนวัตถุดิบเราจัดการเอง แบบนี้ตกลงไหม”เย่ซิวคำนวณในหัวอย่างไวต้นทุนของโอสถวิญญาณหยกต่อเม็ดอยู่ที่ราว ๆ หนึ่งพันศิลาวิญญาณถึงจะรวมค่าแรงและพลังวิญญาณที่ใช้ก็ถือว่าต้นทุนต่ำมาก อย่างมากก็แค่เสียเวลาเฉย ๆเขาสามารถกลั่นได้เป็นหมื่นเม็ดในคราวเดียวถ้าขายให้คนพวกนี้หมื่นเม็ดก็เท่ากับว่าจะได้เงินถึงสิบกว่าล้านศิลาวิญญาณเลยทีเดียวกำไรขนาดนี้ก็แทบจะเรียกได้ว่ากินขาดแต่เย่ซิวก็ยังไม่ตอบตกลงทันที และทำท่าลังเลอยู่รั่วอวิ๋นที่ยืนข้าง ๆ ตบไหล่เขาเสียงดัง “ยังจะลังเลอะไรอีกล่ะ?นี่มันโอกาสทองเลยนะ ได้ทั้งเงินได้ทั้งฝึกฝีมือ”เย่ซิวถ
แล้วทุกคนก็เห็นจ่าฝูงเดินตรงไปหาเย่ซิว จากนั้นมันก็แลบลิ้นออกมาเลียหน้าของเขาเบา ๆ ด้วยแววตาประจบเอาใจสุด ๆทุกคนตกตะลึง “???”รั่วอวิ๋นถึงกับยืนนิ่งตัวแข็งเป็นหิน ตาถลน ปากอ้าค้างจากนั้นเธอก็ชี้ไปที่เย่ซิวอย่างโกรธจัด “นายยังจะกล้าบอกว่าไม่ได้ทำอะไรอีกเหรอ แล้วนี่มันอะไรกัน?!”แต่ก่อนที่เธอจะพูดจบ สิงโตหยกขาวอีกเจ็ดตัวก็วิ่งตามกันมาล้อมเย่ซิวไว้รอบด้าน แถมยังมองรั่วอวิ๋นด้วยสายตาแข็งกร้าวอย่างเต็มไปด้วยท่าทีคุกคามรั่วอวิ๋นเผลอก้าวถอยหลังไปด้วยสีหน้าซีดเผือดความรู้สึกตอนนี้เหมือนโดนใครสักคนมายึดบ้านไปคนอื่น ๆ เองก็จ้องมองเย่ซิวด้วยสายตาในแบบที่ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองภาพที่อยู่ตรงหน้ามันเหนือจริงเกินไปเย่ซิวทำหน้าใสซื่อ “ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ”รั่วอวิ๋นโกรธจนตัวสั่นสัตว์ที่เธอเลี้ยงมากับมือหลายปีดันพร้อมใจกันหักหลังเธอแบบนี้ ใครจะทนได้มันไม่ใช่แค่เรื่องทรัพยากร แต่ยังรวมถึงความรู้สึกที่ทุ่มเทไปทั้งหมดด้วย!“นายบอกว่าไม่ได้ทำอะไร แล้วทำไมพวกมันถึงพร้อมใจกันหักหลังฉัน อธิบายมาเดี๋ยวนี้!” รั่วอวิ๋นกัดฟันพูด สายตาที่มองเย่ซิวเต็มไปด้วยความคาดโทษถ้าเจ้าเด็กนี่ไม่ให
ในใจรั่วอวิ๋นกำลังปลื้มเป็นที่สุดแต่ต่อหน้าคนอื่นเธอยังคงวางมาดสงบนิ่ง และพยักหน้าเบา ๆ แบบถ่อมตัวสุด ๆ“ก็ไม่เท่าไหร่นะ แค่สัตว์วิญญาณไม่กี่ตัว เอาไว้เฝ้าประตูเฉย ๆ”คำพูดโอ้อวดแบบถ่อมตัวเช่นนี้ทำเอาคนที่ยืนฟังอยู่ถึงกับกระตุกมุมปากกันเป็นแถบเธอคิดว่านี่คือผักกาดขาวหรือไงนี่มันสัตว์วิญญาณระดับจินตานตั้งแปดตัวเชียวนะถึงสายเลือดของพวกสิงโตหยกขาวจะไม่ใช่ระดับสูงสุด แต่ก็ไม่ใช่พวกชั้นต่ำ อยู่ระดับกลางค่อนไปทางดีเลยด้วยซ้ำถ้าเลี้ยงต่อไปดี ๆ รับรองว่าเก่งขึ้นได้อีกแน่นอนลองจินตนาการดูสิ สิงโตหยกขาวแปดตัวคำรามพร้อมกันจะอลังการแค่ไหน มันต้องเป็นภาพที่อลังการและน่าเกรงขามสุด ๆ“เย่ซิวก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ” ภรรยาเจ้าสำนักทำทีเหมือนเพิ่งสังเกตเห็นเขาเย่ซิวยิ้มพลางเอ่ย “ขอคารวะท่านผู้อาวุโสทุกท่าน เจ้าสำนักและภรรยา ผมแค่มาให้อาหารพวกมันน่ะครับ”ทุกคนก็พยักหน้าเบา ๆ เป็นเชิงรับรู้ ไม่มีใครเชื่อมโยงได้ถึงเรื่องที่สัตว์วิญญาณเลื่อนระดับได้เพราะตัวเขาเลยแม้แต่น้อยไม่นานนัก สัตว์วิญญาณทั้งแปดตัวก็ค่อย ๆ สร้างตานปีศาจได้สำเร็จแทบจะพร้อมกันพลังที่ระเบิดออกมาทำให้เกิดพายุขนาดใหญ่ไปทั
แม้ว่ารั่วอวิ๋นจะรู้ดีว่าความคิดแบบนี้มันไม่ค่อยแฟร์เท่าไหร่ แต่เธอก็ห้ามตัวเองไม่ได้เลยจริง ๆถ้าเย่ซิวแค่ลองกลั่นโอสถเป็นครั้งแรกก็เก่งกว่าเธอแบบไม่เห็นฝุ่น แบบนั้นมันก็เหมือนโดนตบหน้าแรง ๆ เข้าให้แล้วแบบนี้จะรักษาภาพลักษณ์ความเป็นอาจารย์ไว้ต่อหน้าเขาได้ยังไงกันล่ะเสียงโครมดังขึ้น ก่อนที่ฝาปิดเตาจะหลุดออกกลิ่นหอมของโอสถที่เข้มข้นจนถึงขีดสุดกระจายไปทั่วเย่ซิวถึงกับใจหล่นวูบ คิดในใจว่าแย่แล้วถึงเขาจะพยายามเก็บงำกลิ่นเท่าที่ทำได้แล้ว แต่ดูเหมือนแค่กลิ่นที่ลอยออกมาก็แรงกว่าโอสถของรั่วอวิ๋นเสียอีกรั่วอวิ๋นพยายามควบคุมสีหน้าแล้วรีบเดินเข้าไปดูโอสถในเตาพอเห็นแล้วก็ถึงกับยืนช็อกไปทั้งตัวที่ก้นเตา โอสถจำนวนห้าสิบเม็ดวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ และแต่ละเม็ดก็ใสบริสุทธิ์ดูอัดแน่นไปด้วยพลังแต่สิ่งที่ทำให้เธอรับไม่ได้ที่สุดก็คือทุกเม็ดมีลวดลายโอสถปรากฏอยู่บนผิวของมัน หมายความว่าโอสถทั้งหมดนี้เป็นระดับสูงนี่มันไม่ใช่แค่โดนตบหน้าแล้ว แต่มันคือการโดนกดหัวลงพื้นแล้วลากไปเลยต่างหากเย่ซิวไอแห้ง ๆ หนึ่งทีและจงใจไม่เข้าไปดู แต่ทำท่าทางตื่นเต้นแล้วถามเธอด้วยสีหน้าลุ้น ๆ ว่า “ท่านอาจ
ทั้งความรู้ที่เคยได้รับรวมถึงทักษะการกลั่นโอสถต่าง ๆ ก็ควรจะเหนือกว่าตัวเขาแบบทิ้งห่างสิแต่ทำไมกลับรู้สึกว่ายังห่างชั้นจากเขาอยู่เยอะเลย?เย่ซิวยังคิดว่าตัวเองอาจจะคิดไปเองจึงตั้งใจดูต่ออีกสักพักจนสุดท้ายก็มั่นใจเต็มร้อยว่าทักษะการกลั่นโอสถของผู้หญิงคนนี้ไม่ถึงหนึ่งในสิบของเขาด้วยซ้ำแค่ฝีมือระดับนี้ก็ยังยืนหยัดอยู่ในโลกของผู้ฝึกตนได้ด้วยเหรอ?หรือโลกของผู้ฝึกตนมันหากินง่ายขนาดนั้นเลย?ความคิดสารพัดผุดขึ้นมาในหัวเย่ซิว แต่สีหน้าเขาก็ยังคงนิ่งเฉย ไม่แสดงพิรุธอะไรออกมาเลยหนึ่งชั่วโมงผ่านไป โอสถก็กลั่นเสร็จเรียบร้อยรั่วอวิ๋นเปิดฝาเตาก่อนจะหยิบเม็ดยาออกมาหนึ่งเม็ด ใบหน้าเต็มไปด้วยความพึงพอใจ “ไม่เลว ๆ หนึ่งเตาได้โอสถมายี่สิบเจ็ดเม็ด ระดับกลางหกเม็ด ถือว่าสมบูรณ์แบบ”จากนั้นเธอก็หันไปมองเย่ซิวแม้ใบหน้าจะดูเรียบเฉย แต่เย่ซิวก็พอจะจับความหมายแฝงได้ไม่ยากก็แค่รอให้เขาชมเธอนั่นแหละหากพูดตรง ๆ การกลั่นโอสถของรั่วอวิ๋นรอบนี้ถือว่าสอบตกสำหรับเย่ซิว เพราะวัตถุดิบที่ใช้ไปทั้งหมด ถ้าเป็นเขากลั่นเองอย่างน้อยจะได้เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวแถมยังเป็นโอสถระดับสูงทั้งหมดด้วยซ้ำเมื่อเห็นโ