ตอนแรกก็วิ่งมาด้วยความเดือดดาล ตั้งใจจะเคลียร์กับเย่ซิวให้รู้เรื่องสุดท้ายกลับจบลงด้วยการเดินจากไปแบบงง ๆ เสียเองเธอไม่ได้ด่าเย่ซิวสักคำ แต่กลับเป็นตัวเธอเองที่ต้องตกตะลึงเต็มกระเป๋ากลับไปแทนเย่ซิวเองก็ได้แต่ยืนงงและรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้พิลึกขึ้นทุกทีเมื่อกลับเข้ามาในถ้ำ เย่ซิวก็เปิดค่ายกลป้องกันให้ทำงานเต็มกำลังแล้วเริ่มเตรียมตัวกลั่นโอสถเขาใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในการจัดเตรียมทุกอย่างให้พร้อมเริ่มจากกลั่นโอสถทั่วไปหนึ่งชุดเพื่อจับจังหวะและความรู้สึกก่อน พอมั่นใจแล้วถึงเริ่มลงมือปรุงโอสถจิตมังกรโอสถนี้มีค่าอย่างยิ่งและมีวิธีการกลั่นที่ยากมากเย่ซิวมีวัตถุดิบแค่นี้เท่านั้นจึงไม่กล้าประมาทแม้แต่นิดเดียว ต้องใช้สมาธิสูงสุดเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ระหว่างที่เย่ซิวกำลังกลั่นโอสถอยู่นั้น ฝ่ายเจ้าสำนักอวิ้นหลิงก็มาถึงเขตเขาดินแดนโอสถรั่วอวิ๋นเห็นเขาก็อดแปลกใจไม่ได้ “ท่านเจ้าสำนักมาทำอะไรที่นี่เหรอคะ”เจ้าสำนักยิ้มบาง “เมื่อวานอู๋ซวงไปเจอผลโลหิตมังกรในป่าลึกน่ะ แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายพวกมันโดนปีศาจร้ายตนหนึ่งขโมยไปเสียก่อน”รั่วอวิ๋นตกใจ “ผลโลหิตมังกร ของแบบนั้นฉันยังไม่เคยเห็นด้
“โครม!”ฝาหม้อระเบิดเปิดออก ทันใดนั้นก็มีเงามังกรพุ่งทะยานขึ้นฟ้าพร้อมเสียงคำรามดังกึกก้องเงามังกรนี้คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อการกลั่นโอสถเสร็จสมบูรณ์เย่ซิวดีใจสุด ๆ ในที่สุดก็สำเร็จแล้วภายในหม้อกลั่นโอสถมีโอสถสีทองแดงปนแดงสดนอนเรียงอยู่อย่างเรียบร้อยถึงร้อยเม็ดแต่ละเม็ดมีลักษณะภายนอกสวยงามไร้ที่ติเขาหยิบขึ้นมาหนึ่งเม็ดกลับพบว่ามันหนักหลายร้อยกรัมและคุณภาพสูงมากจนน่าเหลือเชื่อหากตั้งใจฟังให้ดีจะได้ยินเสียงคำรามของมังกรอันทรงอำนาจแผ่วเบาดังมาจากภายในโอสถเย่ซิวต้องพยายามข่มใจไม่ให้กลืนลงไปทันทีเพราะข้างนอกยังมีรั่วอวิ๋นที่ยังตะโกนโวยวายอยู่เขาโบกมือเก็บโอสถทั้งหมดไปแล้วก็ลูบขมับเบา ๆ พร้อมกับรู้สึกปวดหัวขึ้นมาเล็กน้อยนี่เขาไปหาอาจารย์แบบไหนมากัน ถึงได้เอาแต่เสียงดังโวยวายแบบนี้เย่ซิวเดินไปที่ประตูถ้ำแล้วเปิดออกก็เจอหน้ารั่วอวิ๋นที่เต็มไปด้วยความโมโหจ้องเขาอยู่“เจ้าเด็กบ้า เมื่อกี้ทำอะไรอยู่ข้างใน? ฉันเรียกตั้งนานก็ยังไม่เปิดประตูอีก”“เมื่อกี้ออกไปข้างนอกเจอสาวสวยคนหนึ่งน่ะครับ ก็เลยติดธุระอยู่นิดหน่อย ขอโทษนะครับท่านอาจารย์”รั่วอวิ๋นเหมือนโดนบีบคอทันท
ดวงตาเย่ซิวเปล่งประกาย “วิชามังกรหนึ่งเดียว!”นี่คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายแข็งแกร่งถึงระดับหนึ่งหากว่าด้วยเรื่องระดับของพลังร่างกายแล้วโดยทั่วไปมักเปรียบเทียบเป็นแรงม้าหรือแรงพยัคฆ์สองตัวอะไรพวกนั้นแต่พอขึ้นมาถึงระดับสูงสุดถึงจะเรียกว่าวิชามังกรหนึ่งเดียวและคนที่สามารถไปถึงระดับนี้ได้ก็ไม่มีใครที่ไม่ใช่ผู้ที่มีพรสวรรค์ด้านฝึกฝนร่างกายโดยเฉพาะแม้แต่เย่ซิวเองก็ไม่คิดว่าตัวเองจะไปถึงจุดนี้ได้เร็วขนาดนี้เขาลุกขึ้นแล้วเริ่มร่ายกระบวนท่าหมัดอย่างต่อเนื่องพลังเลือดภายในกายไหลเวียนอย่างดุดันดั่งสายน้ำเชี่ยวท่าหมัดรุนแรงดุจสายฟ้าฟาด ทรงพลัง หนักแน่นจนเสียงกระดูกดังเปรี๊ยะ ๆ กึกก้องไปทั่วหลังจากฝึกจบกระบวนท่า เย่ซิวก็ควบคุมพลังใหม่ที่ได้รับมาได้อย่างสมบูรณ์เขารู้สึกได้เลยว่าพลังงานในร่างกายพุ่งทะยานถึงขีดสุด สภาพร่างกายตอนนี้ดีที่สุดในชีวิตตอนนี้เย่ซิวแค่ใช้พลังร่างกายล้วน ๆ ก็สามารถบดขยี้ผู้บำเพ็ญตนระดับถอดจิตได้อย่างไม่ลำบากเลยตราบใดที่อีกฝ่ายไม่มีสมบัติล้ำค่าอะไรเป็นพิเศษ ก็ไม่มีทางต้านทานพลังของเย่ซิวได้เลยส่วนเรื่องว่าจะสู้กับคนระดับปฐมญาณได้หรือไม่นั้น
ในห้องรับแขก เย่ซิวนั่งมองจางเสี่ยวอวี๋ที่เปลี่ยนมาสวมชุดใหม่ชุดใหม่นี่ทำให้เธอดูเปลี่ยนไปพอสมควร รูปร่างดูเพรียวขึ้น แถมยังดูมีความเรียบร้อยขึ้นด้วย“มีของดีอะไรจะเอามาให้ดูเหรอ?”จางเสี่ยวอวี๋หยิบขวดยาเล็ก ๆ ออกมาจากอกเสื้อ ก่อนจะเปิดฝาแล้วหยิบเม็ดยาสีดำ ๆ เม็ดหนึ่งขึ้นมาโชว์ด้วยความดีใจสุด ๆ“เห็นไหม? นี่คือโอสถฟื้นพลัง ฉันทำสำเร็จแล้วนะ เท่ากับว่าฉันกลายเป็นนักปรุงยาฝึกหัดอย่างเป็นทางการแล้ว”เธอพยายามมาหลายปี ในที่สุดก็ทำสำเร็จสักทีความดีใจในใจมันล้นจนเก็บไม่อยู่จะไปอวดพวกศิษย์รับใช้คนอื่น ๆ ก็ไม่ได้รู้สึกภูมิใจเท่าไหร่จะไปอวดอาจารย์รั่วอวิ๋นที่กำลังปิดด่านกลั่นโอสถอยู่ก็ไม่กล้ารบกวนคิดไปคิดมาก็เหลือแค่เย่ซิวนี่แหละที่เหมาะจะอวดให้ฟังเพื่อให้การอวดครั้งนี้ได้ผลเต็มที่ จางเสี่ยวอวี๋ถึงขั้นไปอาบน้ำและแต่งตัวใหม่ให้ดูเรียบร้อยและมีภูมิฐานกว่าเดิมแต่เย่ซิวกลับทำหน้าเซ็งเพราะนึกว่ามีเรื่องใหญ่โตอะไรเขาโบกมือไล้อย่างไม่สบอารมณ์ “อืม รู้แล้ว กลับไปได้แล้ว”จางเสี่ยวอวี๋หน้ามุ่ยทันที “นายนี่มันยังไงกัน ฉันเอาข่าวดีมาบอกนายเป็นคนแรกเลยนะ ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ หรือว่านาย
บรรยากาศรอบตัวพลันเงียบกริบลงทันที!“กรี๊ดดด!!”จางเสี่ยวอวี๋กรีดร้องเสียงแหลมสุดชีวิต ก่อนจะรีบใช้มือปิดร่างตัวเองอย่างลนลาน“ไอ้บ้า ยังจะมองอยู่อีก หันหลังไปเดี๋ยวนี้เลยนะ”เย่ซิวตบไหล่เธอเบา ๆ “พวกเราก็เหมือนพี่น้องกัน จะเครียดอะไรขนาดนั้น”“ใครเป็นพี่น้องกับนาย ฉันจะฆ่านายซะ!”จางเสี่ยวอวี๋แทบจะคลั่ง ใครจะไปคิดว่าโลกนี้จะมีผู้ชายที่หน้าด้านได้ขนาดนี้อีกทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอยังเคยแอบรู้สึกดี ๆ กับเขาอยู่บ้าง แต่ตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองตาถั่วไปแล้วชัด ๆเย่ซิวหัวเราะเบา ๆ โดยไม่พูดอะไรเพิ่ม ก่อนจะหันหลังให้อย่างว่าง่ายเสียงขยับตัวขลุกขลักดังมาจากข้างหลังไม่นาน จางเสี่ยวอวี๋ก็ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วรีบวิ่งออกจากถ้ำไปทันทีเธอกลัวว่าเย่ซิวจะฉวยโอกาสทำอะไรไม่ดีใส่เธอแต่เธอคิดมากไปเองเย่ซิวผ่านอะไรมามากเกินพอแล้ว สาวสวยระดับไหนก็เห็นมานับไม่ถ้วนตอนนี้ความรู้สึกต้านทานต่อผู้หญิงสวย ๆ ของเขาสูงมากจนแทบไม่รู้สึกอะไรแล้วหลายวันต่อมา ชีวิตของเย่ซิวก็ดำเนินไปอย่างสงบเรียบง่ายทุกเช้าเขาจะไปให้อาหารสิงโตหยกขาวทั้งแปดเขาเตรียมอาหารให้ครบสามมื้อ แล้วก็โยนโอสถที่ตัวเองกลั่
“รางวัลอันดับสิบ เครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ระดับกลาง กระบี่อัคคีเมฆารางวัลอันดับเก้า เครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ระดับสูง โล่แสงศักดิ์สิทธิ์…อันดับสาม หญ้าลิ้นมังกรที่มีอายุสามร้อยปีอันดับสอง โอสถพยัคฆ์มังกรอันดับหนึ่ง สมบัติเวทมนตร์ระดับต่ำ กระบี่ไตรสุริยัน”เมื่อเจ้าสำนักประกาศรางวัลทั้งหมดออกมาจบแล้วไม่ใช่แค่เหล่าศิษย์ใหม่ที่ตาเป็นประกาย แม้แต่ศิษย์เก่าที่มีประสบการณ์ก็ยังมีท่าทีอิจฉาเสียงซุบซิบเริ่มดังขึ้นรอบ ๆ“ปีนี้รางวัลชักจะโหดเกินไปแล้ว”“เยอะกว่าปีก่อนหลายเท่าเลย”“โดยเฉพาะรางวัลอันดับหนึ่ง นั่นกระบี่ไตรสุริยันเชียวนะ อาวุธคู่กายเก่าของท่านเจ้าสำนักเลยนี่!”……รั่วอวิ๋นขยับสีหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหันมามองเย่ซิว “อันดับสองมีโอสถพยัคฆ์มังกร นั่นเป็นของดีมากนะถ้าได้กินจะทำให้มีโอกาสเข้าใจเคล็ดวิชา ‘พยัคฆ์คำรามมังกรรำพัน’ ได้ ลองพยายามดูนะ เผื่อจะได้อันดับที่สองมา”เย่ซิวยิ้มบาง “ท่านอาจารย์ดูแคลนผมขนาดนั้นเลยเหรอครับ แล้วถ้าผมได้ที่หนึ่งขึ้นมาล่ะ”รั่วอวิ๋นแค่นเสียงหึ “อย่าเพ้อฝันไปหน่อยเลย บอกตามตรงนะ ศิษย์ใหม่รอบนี้มีคนที่ฝีมือโหดมากอยู่คนหนึ่งทุกคนในสำนักต่างก็มั่น
เธอมีพรสวรรค์โดดเด่น แถมยังได้รับความรักความเอ็นดูจากเจ้าสำนักเป็นพิเศษและเธอยังเป็นคู่หมั้นของหนานกงอู๋ซวงอีกด้วยหนานกงอู๋ซวงละสายตากลับมาแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ก็แค่ตัวตลกไร้สาระ ไม่ต้องไปสนใจหรอก”“นั่นสิ เขาเทียบกับพี่อู๋ซวงไม่ได้เลยสักนิด”เจ้าสำนักมองเย่ซิวด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ “ถ้านายมีความสามารถถึงขนาดนั้น ของรางวัลทั้งหมดก็ยกให้นายได้ ไม่มีปัญหา”เขาเองก็ไม่คิดว่าเย่ซิวจะทำได้จริงเย่ซิวพยักหน้ารับ “ครับ ขอบคุณท่านเจ้าสำนักมาก”ในเมื่อเขาได้รับอนุญาตแล้ว งั้นก็แสดงฝีมือออกมาเล็กน้อยเพื่อกวาดรางวัลทั้งหมดไปก็แล้วกันจางเสี่ยวอวี๋รีบขยับเข้ามาใกล้ เธอดึงชายเสื้อเย่ซิวแล้วกระซิบ “นายบ้าไปแล้วเหรอ คิดยังไงถึงพูดอะไรแบบนั้นออกมาถ้าแพ้ขึ้นมา จะไม่ใช่แค่นายที่ขายหน้า แต่ท่านอาจารย์ก็จะเสียหน้าด้วยนะ”เย่ซิวหันมามองเธอก่อนจะตอบสั้น ๆ “พูดไปเธอก็ไม่เข้าใจหรอก”จางเสี่ยวอวี๋ถึงกับกลอกตาแรง ๆ พลางรู้สึกว่านายคนนี้คงหมดทางเยียวยาแล้วจริง ๆหลังจากเรื่องหยุมหยิมนั้นผ่านไป การประลองก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการมีผู้อาวุโสคนหนึ่งมาทำหน้าที่เป็นกรรมการ และเริ่มจับ
ทันทีที่ขึ้นเวที เย่ซิวก็สังเกตเห็นว่าหลี่ต้าไห่กับหลี่เฟิงสายตาหากันเขาก็เดาถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองคนได้ทันทีอีกทั้งสัมผัสด้านการรับรู้ของเย่ซิวยังไวมากเขารู้สึกได้ถึงความตั้งใจเล่นงานที่แผ่ออกมาจากตัวหลี่ต้าไห่อย่างชัดเจนแม้ว่าอีกฝ่ายจะพยายามปิดบังไว้ก็ตามทีตอนนี้เองหลี่ต้าไห่ก็ลงมือใช้กระบวนท่าอย่างสุดกำลัง ปล่อยปราณกระบี่พุ่งออกมาราวกับแสงอาทิตย์จ้าจนเกิดแสงสว่างวาบขึ้นทำให้พวกที่พลังไม่สูงนักต้องหลับตาลงโดยอัตโนมัติแต่เหล่าผู้อาวุโสหลายคนกลับมองเห็นถึงความผิดปกติได้ เพียงแต่ไม่มีใครพูดอะไรรั่วอวิ๋นถึงกับโกรธจัดเพราะเธอเห็นว่าในปราณกระบี่นั้นมีอะไรบางอย่างแฝงอยู่ด้วย“เข็มอัปมงคล!”ของสิ่งนี้ดูเหมือนไม่มีพิษสงอะไร แต่ในความจริงแล้วอันตรายสุด ๆถ้าเจาะเข้าสู่ร่างกายจะทำลายเส้นลมปราณทั่วทั้งร่าง อวัยวะภายในทั้งหมด และสุดท้ายยังสามารถทำลายจุดตันเถียนของเป้าหมายได้อีกด้วยเป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ที่ชั่วร้ายแบบสุดขีดรั่วอวิ๋นรีบลุกพรวดขึ้นทันทีแม้จะรู้ว่ารีบลงมือตอนนี้อาจจะไม่ทันการ แต่เธอก็ไม่อาจทนมองเย่ซิวถูกเล่นงานอยู่เฉย ๆ ได้ทว่ายังไม่ทันที่เธอจะได
เย่ซิวอายุแค่นี้เองนะ!แต่กลับสามารถกลั่นโอสถระดับสุดยอดออกมาได้ถ้าให้เวลาเขาอีกหน่อย แบบนี้ไม่บินขึ้นฟ้าไปเลยเหรอเจ้าสำนักกับภรรยาหันไปมองหน้ากัน ทั้งคู่ต่างเห็นความจริงจังและความตกตะลึงในแววตาของกันและกันดูเหมือนต้องประเมินเย่ซิวใหม่เสียแล้วจางเสี่ยวอวี๋ถึงกับหยิกเนื้อแขนตัวเองแรง ๆ แต่ก็ยังรู้สึกเหมือนฝันอยู่ดี“ไม่จริงน่า เขาจะกลั่นสุดยอดโอสถได้ยังไง…ถึงว่าทำไมวันนั้นฉันไปหาเขา เขาถึงได้ทำตัวเย็นชาใส่ ที่แท้ในสายตาเขาฉันก็เป็นแค่ตัวตลกคนหนึ่ง”ในขณะที่คนทั้งสนามกำลังตะลึงอยู่ สีหน้าของหนานกงอู๋ซวงกับเฉินเยียนจือก็เริ่มเก็บอารมณ์ไม่อยู่ทุกคนได้รับโอสถกันหมด มีแค่พวกเขาสองคนเท่านั้นที่ไม่มีมันชัดเจนมากว่าเย่ซิวตั้งใจเมินพวกเขาเฉินเยียนจือโกรธจนตัวสั่น ก่อนชี้หน้าเย่ซิวพลางตะโกน “นี่มันหมายความว่ายังไง ทำไมทุกคนมีกันหมด แต่ฉันกับพี่อู๋ซวงไม่มี!”เย่ซิวไหล่ตกก่อนจะทำหน้าไร้เดียงสา “อ๋อ พวกคุณก็อยู่ด้วยเหรอ ขอโทษที พอดีโอสถหมดพอดีเลยเอาแบบนี้แล้วกัน พรุ่งนี้พวกคุณทั้งคู่มาหาผมสิ เดี๋ยวผมจะกลั่นให้ส่วนตัวเลย”เฉินเยียนจือไม่พูดอะไรอีก แต่จ้องเย่ซิวด้วยสายตาเย็นเฉียบส
เสาไอพลังโอสถพุ่งขึ้นฟ้าด้วยแรงมหาศาลราวกับค้อนยักษ์ที่มองไม่เห็นทุบกระแทกลงกลางใจของทุกคนอย่างแรงรั่วอวิ๋นแทบล้มทั้งยืน ปากสวย ๆ ของเธออ้าค้างจนสามารถยัดไข่ไก่เข้าไปได้หลายฟองเธอมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาเลื่อนลอย ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดีเย่ซิวโบกมือเบา ๆ จากนั้นโอสถจำนวนมหาศาลก็ลอยออกมาจากเตากลั่นและพุ่งขึ้นไปลอยเหนือศีรษะของเขาดูแล้วมีไม่ต่ำกว่าหมื่นเม็ดโอสถจำนวนมากขนาดนั้นรวมตัวกันจนกลายเป็นเมฆโอสถที่ปกคลุมอยู่เหนือหัวไม่ต้องพูดถึงบรรดาศิษย์ แต่ละคนถึงกับอ้าปากค้างไปแล้วแม้แต่ผู้อาวุโสทั้งหลายก็ไม่เคยเห็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจแบบนี้มาก่อนทุกคนตกตะลึงจนพูดไม่ออกเย่ซิวโบกมืออีกครั้งโอสถกว่าหมื่นเม็ดแยกออกเป็นส่วนย่อย ๆ ลอยกระจายไปตรงหน้าของทุกคนในสนามจากนั้นก็ได้ยินเสียงเย่ซิวพูดว่า “ในเมื่อผมมาอยู่ที่นี่แล้ว เราก็ถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกันโอสถพวกนี้ก็ถือเป็นของขวัญแนะนำตัวจากผมก็แล้วกันผมเป็นคนคุยง่ายนะ ถ้าคุณให้เกียรติผม ผมก็จะให้เกียรติคุณแต่ถ้าคิดจะเล่นสกปรกกับผม ผมก็จะขยี้ให้แหลกไม่เหลือเหมือนกัน”เด็กสาวหน้ากลมคนหนึ่งมองเย่ซิวอย่างไม่แน่ใจ “ศิษย์พี่เย่พู
เพียงแต่ต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้ เขาย่อมไม่สามารถแสดงความไม่พอใจออกมาตรง ๆ ได้“เอาล่ะ การประลองครั้งนี้ถือว่าจบลงตรงนี้ เหล่าศิษย์ใหม่ทั้งหลายกลับไปพักผ่อนเถอะ อีกหนึ่งถึงสองวันจะมีประกาศว่าพวกนายจะได้เป็นศิษย์ของท่านอาวุโสท่านใด”“เดี๋ยวก่อนครับ”จู่ ๆ เย่ซิวก็พูดขึ้นมาอีกครั้งเจ้าสำนักเริ่มหมดความอดทนแล้ว ก่อนจะมองเย่ซิวด้วยสายตาเย็นเฉียบ “นายยังมีอะไรอีก”เขาเริ่มหมดความอดทนกับเจ้าหมอนี่ที่ทำให้เขาเสียหน้า แถมยังทำให้เขาเสียหายหลายอย่างด้วยเย่ซิวทำเหมือนไม่เห็นสีหน้าที่เย็นยะเยือกน่ากลัวของอีกฝ่าย ยังคงยิ้มแล้วหันไปเอ่ยกับทุกคนว่า“พวกคุณอาจจะลืมไปเรื่องหนึ่ง นั่นคือผมเป็นนักปรุงยา”เฉินเยียนจือที่ตอนนี้ไม่ว่าจะมองเย่ซิวยังไงก็ไม่ชอบใจเอาเสียเลยทันทีที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบแย้งขึ้นมา “นายเพิ่งจะได้เป็นศิษย์ของผู้อาวุโสรั่วอวิ๋นเอง ยังไม่ทันได้เป็นนักปรุงยาฝึกหัดด้วยซ้ำ กล้าพูดจาแบบนี้ได้ยังไง”เย่ซิวมองเธอด้วยสีหน้าไม่พอใจ “อายุแค่นี้ทำไมพูดมากนักล่ะ พ่อแม่ไม่สอนเรื่องมารยาทรึไง? ไร้การอบรมเสียจริง!”เจ้าสำนักที่อยู่ไม่ไกลถึงกับหน้าบึ้งอย่างเห็นได้ชัดเขาอยากจะตบเจ้าเด
สีหน้าของเจ้าสำนักเริ่มบึ้งตึงเล็กน้อยความรู้สึกที่มีต่อเย่ซิวแย่ลงทันตาจนถึงขั้นรู้สึกขยะแขยงเรื่องที่ทุกคนในที่นี้ก็ดูออกกันหมด ไม่รู้ว่าเขาแกล้งโง่หรือไม่รู้จริง ๆคนที่มีไหวพริบหน่อยก็ควรจะแกล้งทำเป็นไม่รู้และปล่อยให้เรื่องผ่านไปเงียบ ๆแต่เย่ซิวกลับพูดออกมาตรง ๆ ต่อหน้าทุกคน ไม่มีการไว้หน้าเลยแม้แต่น้อยแถมยังจะเหมารางวัลสิบอันดับแรกไปคนเดียว มันช่างโลภเสียจริงแต่เขาก็ไม่คิดย้อนดูตัวเองบ้างว่าเป็นคนตอบตกลงไปก่อนเอง แล้วตอนนี้จะมาขอเปลี่ยนใจได้ยังไงเฉินเยียนจือลุกพรวดขึ้นมาทันที ก่อนจะใช้นิ้วชี้หน้าเย่ซิวแล้วตะโกนด่าอย่างไม่ไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย “นายนี่ชักจะเกินไปแล้ว นายพูดกับเจ้าสำนักแบบนี้ได้ยังไง? ไม่มีสัมมาคารวะเลยสักนิด รีบคุกเข่าขอโทษเดี๋ยวนี้!”เย่ซิวไม่หันไปมองเฉินเยียนจือเลยแม้แต่น้อยเขาได้ยินคำพูดที่ผู้หญิงคนนี้พูดก่อนหน้านี้ชัดเจนทุกคำ ได้ยินทั้งคำพูดหยาบคายและดูถูกเขาแบบไม่ตกหล่นสักคำเย่ซิวเกาหูเบา ๆ แล้วเงยหน้ามองฟ้า “แปลกแฮะ ทำไมได้ยินเสียงหมาเห่าล่ะ?”“นาย!!!” เฉินเยียนจือหน้าแดงก่ำ พลางจ้องเย่ซิวตาไม่กะพริบ “ไม่เคยมีใครกล้าพูดแบบนี้กับฉันมาก่อนเลยนะ
“อาคมธาตุลมที่บริสุทธิ์ขนาดนี้ คนทั่วไปไม่มีทางใช้ได้แน่นอน หรือว่าเขาจะมีรากวิญญาณกลายพันธุ์หายาก!”“ให้ตายเถอะ ไม่คิดเลยว่าชาตินี้จะได้เห็นคนที่มีรากวิญญาณกลายพันธุ์กับตา!”“รากวิญญาณแบบนี้มีศักยภาพสูงมาก อาจจะกลายเป็นอัจฉริยะที่มีโอกาสทะลวงถึงระดับมหายานในอนาคตเลยนะ”“เย่ซิวคงถึงคราวลำบากแล้ว ต่อให้เขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็ไม่น่าจะสู้กับคนที่มีรากวิญญาณธาตุลมได้หรอก”……สายตาของหนานกงอู๋ซวงลุกวาวขึ้นมาทันทีเขาจ้องมองเด็กหนุ่มที่เปล่งประกายอยู่บนเวทีอย่างไม่กะพริบตา “ในที่สุดก็เจอคนที่ทำให้ฉันรู้สึกอยากสู้ด้วยสักที”เย่ซิวยิ้มมุมปาก “ที่โอหังแบบนี้ก็เพราะมีรากวิญญาณกลายพันธุ์สินะ”ท่ามกลางอาคมลมอันรุนแรงที่อีกฝ่ายปล่อยออกมา เย่ซิวก็กำหมัดขวาแน่น พลังโลหิตในร่างพลุ่งพล่านแล้วชกออกไปหมัดหนึ่งทันทีที่หมัดถูกปล่อยออกไปก็เหมือนกับมีเสียงกลองยักษ์ดังสนั่นขึ้นมาจนทำให้หลายคนลมหายใจติดขัด สีหน้าตกใจสุดขีดจากนั้นพวกเขาก็เห็นว่าลมทั้งหมดที่อยู่บนเวทีถูกหมัดนั้นกวาดหายไปหมดเด็กหนุ่มคนนั้นถูกแรงปะทะของหมัดที่ทรงพลังจนถอยกรูดไปไกลเป็นร้อยเมตรใบหน้าเขาขาวสลับแดง หัวใจรู้สึกตื่นตระ
เย่ซิววิ่งพุ่งเข้าไปหาศิษย์คนสุดท้ายเขาต่อยออกไปหมัดหนึ่ง แต่ในวินาทีนั้นเอง แววตาของอีกฝ่ายก็เปลี่ยนไปทันทีเหมือนจากคนธรรมดากลายเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์ในพริบตาอีกฝ่ายใช้ฝีเท้าอันแปลกประหลาดก้าวไปบนเวทีและทิ้งเงาร่างไว้เป็นสาย พลางหลบหลีกการโจมตีของเย่ซิวไปได้อย่างหวุดหวิดปัง! ปัง! ปัง!เสียงของผู้เข้าแข่งขันอีกแปดคนที่ร่วงจากเวทีเพิ่งจะดังขึ้นในตอนนั้นตูม!เสียงที่เหมือนมีฟ้าผ่าลั่นกลางลานประลองทำเอาทุกคนในสนามรวมถึงเหล่าผู้อาวุโสถึงกับตกตะลึงเดิมทีต่างก็คิดว่าเย่ซิวแค่ทำตัวเด่นและเรียกร้องความสนใจทว่าเมื่อเขาเผยพลังเพียงเล็กน้อยออกมา ทุกคนถึงได้รู้ว่าที่แท้เขาไม่ได้เย่อหยิ่งโอหัง แต่เป็นเพราะเขามีพลังแข็งแกร่งเหนือกว่าคนรุ่นเดียวกันอย่างแท้จริงต่างหากทันใดนั้นเอง สายตาของผู้คนที่มองเขาก็เปลี่ยนไปชนิดพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ“โห ศิษย์พี่เย่ซิวเก่งมากเลย” “แถมในอนาคตยังจะได้เป็นนักปรุงยาอีก หน้าตาก็หล่อเหลาสุด ๆ” “เขาคือคู่ชีวิตในฝันของฉันเลย” “เขาแต่งงานแล้วหรือยังนะ?” “อยากแต่งงานกับเขาจังเลย”……แววตาของหนานกงอู๋ซวงวาววับขึ้นมาส่วนเฉินเยียนจือที่นั่งข้
และผู้อาวุโสสองคนนั้นก็นั่งหลับตาพริ้มราวกับไม่สนใจสถานการณ์ภายนอกเลยแม้แต่น้อยดูจากท่าทีแล้วน่าจะเป็นคนจากฝ่ายอนุรักษนิยมทุกครั้งที่มีการประลองระหว่างศิษย์ใหม่แบบนี้ สิบอันดับแรกมักจะถูกดึงตัวไปอยู่สายเซียนกระบี่ทุกครั้งพอนานเข้าฝ่ายอนุรักษ์ก็เลยเริ่มจะปลง ๆแต่ละปีจึงส่งแค่ผู้อาวุโสสองคนมาร่วมงานเท่านั้นส่วนที่เหลือจะไปปิดด่านบำเพ็ญตนหรือไม่ก็ออกเดินทางโดยหวังจะไปเจอศิษย์ฝีมือดีสักคนแค่นี้ก็พอมองออกแล้วว่าฝ่ายอนุรักษ์กำลังอยู่ในจุดลำบากแค่ไหนเย่ซิวพลันมีความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาเพียงแต่ความคิดนี้ยังไม่สมบูรณ์เขาเดินกลับมาที่ด้านหลังรั่วอวิ๋นรั่วอวิ๋นหันไปมองเขาตาขวาง “เจ้าเด็กนี่ ชอบหาเรื่องให้ปวดหัวจริง ๆ”เย่ซิวยิ้ม ๆ ไม่ได้เถียงอะไรกับเธอท่าทางแบบนั้นยิ่งทำให้รั่วอวิ๋นโมโหเข้าไปใหญ่เหมือนเธอเป็นคนงี่เง่าอยู่ฝ่ายเดียวยังไงยังงั้นการแข่งขันยังคงดำเนินไปเรื่อย ๆยิ่งเวลาผ่านไป ศิษย์ใหม่หลายคนก็เริ่มเผยความสามารถจนดึงดูดความสนใจจากเหล่าผู้อาวุโสได้ไม่น้อยจากนั้นก็เริ่มผ่านการคัดออกทีละรอบ ๆ จากกว่าห้าร้อยคนจนเที่ยงวันเหลืออยู่เพียงยี่สิบคนอีกไม่นานก็จะไ
ทันทีที่ขึ้นเวที เย่ซิวก็สังเกตเห็นว่าหลี่ต้าไห่กับหลี่เฟิงสายตาหากันเขาก็เดาถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองคนได้ทันทีอีกทั้งสัมผัสด้านการรับรู้ของเย่ซิวยังไวมากเขารู้สึกได้ถึงความตั้งใจเล่นงานที่แผ่ออกมาจากตัวหลี่ต้าไห่อย่างชัดเจนแม้ว่าอีกฝ่ายจะพยายามปิดบังไว้ก็ตามทีตอนนี้เองหลี่ต้าไห่ก็ลงมือใช้กระบวนท่าอย่างสุดกำลัง ปล่อยปราณกระบี่พุ่งออกมาราวกับแสงอาทิตย์จ้าจนเกิดแสงสว่างวาบขึ้นทำให้พวกที่พลังไม่สูงนักต้องหลับตาลงโดยอัตโนมัติแต่เหล่าผู้อาวุโสหลายคนกลับมองเห็นถึงความผิดปกติได้ เพียงแต่ไม่มีใครพูดอะไรรั่วอวิ๋นถึงกับโกรธจัดเพราะเธอเห็นว่าในปราณกระบี่นั้นมีอะไรบางอย่างแฝงอยู่ด้วย“เข็มอัปมงคล!”ของสิ่งนี้ดูเหมือนไม่มีพิษสงอะไร แต่ในความจริงแล้วอันตรายสุด ๆถ้าเจาะเข้าสู่ร่างกายจะทำลายเส้นลมปราณทั่วทั้งร่าง อวัยวะภายในทั้งหมด และสุดท้ายยังสามารถทำลายจุดตันเถียนของเป้าหมายได้อีกด้วยเป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ที่ชั่วร้ายแบบสุดขีดรั่วอวิ๋นรีบลุกพรวดขึ้นทันทีแม้จะรู้ว่ารีบลงมือตอนนี้อาจจะไม่ทันการ แต่เธอก็ไม่อาจทนมองเย่ซิวถูกเล่นงานอยู่เฉย ๆ ได้ทว่ายังไม่ทันที่เธอจะได
เธอมีพรสวรรค์โดดเด่น แถมยังได้รับความรักความเอ็นดูจากเจ้าสำนักเป็นพิเศษและเธอยังเป็นคู่หมั้นของหนานกงอู๋ซวงอีกด้วยหนานกงอู๋ซวงละสายตากลับมาแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ก็แค่ตัวตลกไร้สาระ ไม่ต้องไปสนใจหรอก”“นั่นสิ เขาเทียบกับพี่อู๋ซวงไม่ได้เลยสักนิด”เจ้าสำนักมองเย่ซิวด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ “ถ้านายมีความสามารถถึงขนาดนั้น ของรางวัลทั้งหมดก็ยกให้นายได้ ไม่มีปัญหา”เขาเองก็ไม่คิดว่าเย่ซิวจะทำได้จริงเย่ซิวพยักหน้ารับ “ครับ ขอบคุณท่านเจ้าสำนักมาก”ในเมื่อเขาได้รับอนุญาตแล้ว งั้นก็แสดงฝีมือออกมาเล็กน้อยเพื่อกวาดรางวัลทั้งหมดไปก็แล้วกันจางเสี่ยวอวี๋รีบขยับเข้ามาใกล้ เธอดึงชายเสื้อเย่ซิวแล้วกระซิบ “นายบ้าไปแล้วเหรอ คิดยังไงถึงพูดอะไรแบบนั้นออกมาถ้าแพ้ขึ้นมา จะไม่ใช่แค่นายที่ขายหน้า แต่ท่านอาจารย์ก็จะเสียหน้าด้วยนะ”เย่ซิวหันมามองเธอก่อนจะตอบสั้น ๆ “พูดไปเธอก็ไม่เข้าใจหรอก”จางเสี่ยวอวี๋ถึงกับกลอกตาแรง ๆ พลางรู้สึกว่านายคนนี้คงหมดทางเยียวยาแล้วจริง ๆหลังจากเรื่องหยุมหยิมนั้นผ่านไป การประลองก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการมีผู้อาวุโสคนหนึ่งมาทำหน้าที่เป็นกรรมการ และเริ่มจับ